อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
การขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้าน ของ 2 ตระกูลใหญ่ “ชินวัตร-ดามาพงศ์” ให้เทมาเส็กตั้งแต่เมื่อต้นปี ไม่เพียงจุดกระแสต่อต้านผู้นำที่ไร้คุณธรรม-จริยธรรมอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่การขายหุ้นที่ไม่ชอบมาพากลครั้งนี้ ยังสร้างความเคลือบแคลงเรื่องไม่ต้องเสียภาษี และส่อเค้ามีการซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย มาถึงวันนี้...แม้จะน่าดีใจที่ สตง.เร่งเดินหน้าตรวจสอบกรมสรรพากรเรื่องไม่เก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป แถมกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังตรวจพบ คนไทยที่ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป เข้าข่ายเป็นแค่ “นอมินี” เป็นแค่ร่างทรงของเทมาเส็ก แม้งานนี้ จะส่งผลสะเทือนถึงขั้นล้มดีลชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านได้ แต่ช่างน่าอนาถใจที่ฝ่ายการเมือง-ขรก.ที่ยอมรับใช้ระบอบทักษิณพยายามยื้อเรื่อง-เปลี่ยนผลสอบทุกทาง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ย้อนเวลากลับไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกฯ ที่มีคนในครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) ได้ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกต่อสื่อมวลชนว่า ไม่ได้เตรียมขายหุ้นชินคอร์ปให้ต่างชาติ ขนาดช่วงปีใหม่ พาครอบครัวไปสิงคโปร์ ก็ยังเสียงแข็ง ว่า ไม่ได้ไปเจรจาเพื่อขายชินคอร์ปแต่อย่างใด แต่ให้หลังไม่เท่าไหร่ ก็เป็นข่าวตูมขึ้นมาเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ว่า ตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ ที่ถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป (น.ส.พิณทองทา ชินวัตร, นายพานทองแท้ ชินวัตร, นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร, นางบุษบา ดามาพงศ์, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ) ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด 49.595% ให้กับบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ ของกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ โดยขายในราคาหุ้นละ 49.25 บาท คิดเป็นมูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้าน!
การขายหุ้นชินคอร์ปทิ้งครั้งนี้ ไม่เพียงตอกย้ำความเป็นผู้นำจอมโกหกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยืนยันมาตลอดว่า จะไม่ขาย แต่ยังเกิดคำถามและเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหลายประเด็น เช่น ทำไมรัฐบาลต้องแก้กฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้ต่างชาติเข้ามาถือครองหุ้นได้ถึง 49% ทั้งที่กฎหมายเดิมพยายามสงวนกิจการเหล่านี้ให้คนไทย โดยกำหนดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% เท่านั้น ที่สำคัญ ทันทีที่กฎหมายฉบับแก้ไขนี้ มีผลบังคับใช้ คือ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. พอ 2 วันให้หลัง คือ วันจันทร์ที่ 23 ม.ค.การขายหุ้นชินคอร์ปก็เกิดขึ้นทันที นี่คือ การแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดทางให้ตระกูลชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ปบิ๊กล็อตให้ต่างชาติได้นั่นเอง? ไม่เท่านั้น กิจการของชินคอร์ปที่ขายให้สิงคโปร์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกิจการที่ล่อแหลมต่อการกระทบต่อความมั่นคงของไทย ไม่ว่าจะเป็นกิจการดาวเทียม ที่บริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ได้รับสัมปทานจากรัฐ โดยเฉพาะดาวเทียมไทยคม ที่เป็น “ชื่อพระราชทาน” ด้วย แต่ตระกูลชินวัตรก็ขายให้ต่างชาติได้ลงคอ นอกจากนี้ ยังมีกิจการโทรศัพท์มือถือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (เอไอเอส) และกิจการโทรทัศน์ (ไอทีวี) เป็นต้น
การขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้าน นอกจากเกิดคำถามจากสังคมว่า ทำไมไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐสักบาทแล้ว ยังส่อด้วยว่า น่าจะมีการซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะอยู่ๆ สังคมก็จับได้ว่า จำนวนหุ้นที่ น.ส.พิณทองทา และนายพานทอง แท้ขายให้สิงคโปร์นั้น มันงอกขึ้นจากจำนวนที่ทั้งสองเคยถืออยู่ โดยหุ้นเพิ่มขึ้นมาคนละ 160 กว่าล้านหุ้น รวมแล้ว 329 ล้านหุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นดังกล่าว สอดคล้องกับจำนวนหุ้นของชินคอร์ปที่กองทุนแอมเพิลริช ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้นไอร์แลนด์ (1 ในแหล่งที่โด่งดังเรื่องการฟอกเงิน)ถืออยู่ สืบไปสืบมา จึงพบว่า ณ วันที่ 23 ม.ค.2549 ที่มีการขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านให้สิงคโปร์ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ให้ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการของตน แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า แอมเพิลริชได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้รวม 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 ม.ค.หรือก่อนหน้าที่ทั้งสองจะขายหุ้นให้สิงคโปร์แค่ 2 วันเท่านั้น!
การที่ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ซื้อหุ้นจากแอมเพิลริชในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วมาขายต่อให้สิงคโปร์ในราคา 49.25 บาท ทำให้ทั้งสองฟันกำไรทันทีกว่า 1.5 หมื่นล้าน และไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอีกตามเคย เพราะมีผู้บริหารกรมสรรพากรช่วยตีความกฎหมายให้ไม่ต้องเสีย โดยกรมสรรพากรมีพฤติกรรมส่อว่า กลับกลอก เพราะพูดกลับไปกลับมา ตอนแรกบอกว่า ขณะที่ซื้อหุ้นมา ไม่ต้องเสียภาษี เพราะยังไม่ได้ประโยชน์จากหุ้นนั้น จะเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการขายหุ้นนั้นออกไปแล้วได้กำไร แต่พอ น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ขายหุ้นดังกล่าวออกไปให้สิงคโปร์แล้ว ผู้บริหารกรมสรรพากรก็พูดใหม่ว่า ไม่ต้องเสียภาษีอีก เพราะเป็นการขายหุ้นในตลาด แถมยังอ้างว่า รายได้ที่เกิดจากการขายหุ้นดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเงินได้พึงประเมินตาม ม.39 และ ม.40 นอกจากนี้ ยังชี้ว่า ทั้งสองซื้อหุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริชในราคาถูก ราคาต่ำกว่าตลาด จึงไม่เข้าข่ายเสียภาษี เหตุผลทั้งหลายทั้งมวลของกรมสรรพากร ได้รับการแย้งจากนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและภาษีหลายสำนัก เช่น อาจารย์ธิติพันธ์ เชื้อบุญชัย คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยตั้งข้อสังเกตว่า การตีความกฎหมายแบบกรมสรรพากรนั้น จะทำให้ฐานภาษีของประเทศถูกบ่อนทำลายไป และจะทำให้เป็นโมเดลที่คนจะทำต่อไป อ.ธิติพันธ์ บอกด้วยว่า ที่กรมสรรพากร บอกว่า การซื้อหุ้นมาในราคาถูก ไม่ต้องเสียภาษี เพราะยังไม่ได้รับประโยชน์จากหุ้นนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่ทันทีที่หุ้นมีการขายออกไป ทำให้เกิดรายได้จากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อมากับขายไป เมื่อนั้นต้องเสียภาษี เพราะการได้ส่วนต่างจากการขายหุ้น ถือเป็นรายได้พึงประเมิน “อะไรก็ตามที่ทำให้เรามั่งคั่งขึ้น คือ เงินได้พึงประเมิน” และกรมสรรพากรไม่ควรอ้างว่า ส่วนต่างรายได้ดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเงินได้พึงประเมินตาม ม.39 และ ม.40 เพราะ ม.40 อนุ 8 เป็นบทบัญญัติที่ครอบจักรวาล ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม แม้ไม่เข้าข่าย ม.39 และ ม.40 อนุ 1-7 อย่างไรเสียก็ต้องเข้าข่าย ม.40 อนุ 8 จึงเป็นไปไม่ได้ที่กรณีดังกล่าวจะไม่เข้าทั้ง ม.39 และ ม.40 ตามที่กรมสรรพากรอ้าง
ส่วนกรณีที่กรมสรรพากร บอกว่า น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ซื้อหุ้นแอมเพิลริชในราคาต่ำกว่าตลาด จึงไม่ต้องเสียภาษี ก็เคยมีนักวิชาการแย้งประเด็นนี้เช่นกัน โดยตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อหุ้นแอมเพิลริชในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาทนั้น ไม่ถือว่า เป็นราคาต่ำกว่าตลาด เพราะราคาต่ำกว่าตลาด ควรจะต่ำกว่าเพียงนิดหน่อย เช่น ต่ำกว่า 2 บาท 5 บาท หรือ 10 บาท แต่ไม่ใช่ต่ำกว่าแบบที่ปรากฏ คือ 48 บาท ซึ่งเกือบจะเรียกว่า เป็นการได้หุ้นมาฟรีด้วยซ้ำ!
ซึ่งล่าสุด เรื่องภาษีขายหุ้นชินคอร์ปที่กรมสรรพากรไม่จัดเก็บ ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) อยู่ระหว่างตรวจสอบและเรียกเจ้าหน้าที่สรรพากรมาชี้แจง โดยทางกรมสรรพากรพยายามเล่นแง่ด้วยการส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความว่า สตง.มีอำนาจตรวจสอบเรื่องนี้หรือ? (กฤษฎีกายังไม่ให้ได้คำตอบ) ไม่รู้ว่า...อาการตีรวนของผู้บริหารกรมสรรพากรแบบนี้ เป็นเพราะกลัวว่าสุดท้ายตระกูลชินวัตรจะต้องเสียภาษีขายหุ้นชินคอร์ป หรือกลัวว่า สตง.จะจับทุจริตตัวเองได้ เดี๋ยวจะถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกันแน่?
กลับมาติดตามความยอกย้อนของแอมเพิลริช กับตระกูลชินวัตรกันต่อ เมื่อคุณหญิงพจมานให้เลขานุการส่วนตัวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า แอมเพิลริชขายหุ้นให้ลูกทั้งสอง 329 ล้านหุ้นๆ ละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2549 โดยอ้างว่าขายในตลาด แต่ปรากฏว่า เมื่อตลาดฯ ตรวจสอบ กลับไม่พบการขายดังกล่าวแต่อย่างใด คุณหญิงพจมานจึงให้ลูกทั้งสองแจ้งใหม่ว่า จริงๆ แล้วขายนอกตลาด ไม่ใช่ในตลาด ที่ผ่านมา เป็นการ “ติ๊กผิด” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็เชื่ออย่างง่ายดายว่า นั่นคือ การติ๊กผิด แจ้งผิดจริงๆ ไม่ใช่การ “แจ้งเท็จ” ตามที่หลายฝ่ายสงสัย? ซึ่ง น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ยังแจ้งใหม่ด้วยว่า ที่เคยบอกว่า ซื้อหุ้นดังกล่าวจากแอมเพิลริช เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2549 จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตนได้ซื้อหุ้นดังกล่าวมาตั้งนานแล้ว สรุปว่า แจ้งผิด-ติ๊กผิดอีกตามเคย?
ไม่เท่านั้น กับคำถามที่ว่า ทำไมแอมเพิลริชต้องขายหุ้นชินคอร์ป 329 ล้านหุ้นใน น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ในราคาหุ้นละแค่ 1 บาท ทั้งที่ราคาในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทำไมแอมเพิลริชไม่ขายหุ้นดังกล่าวให้กับสิงคโปร์โดยตรง จะได้กำไรถึงกว่า 1.5 หมื่นล้าน การทำเช่นนี้ แสดงว่า แอมเพิลริชมีความเกี่ยวพันอะไร น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ใช่หรือไม่? ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้ทนายประจำตระกูลอย่างนายสุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาชี้แจงต่อสังคมแทน โดยยอมรับว่า ตนเป็นผู้ก่อตั้งกองทุนแอมเพิลริช ที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้นไอร์แลนด์เอง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2542 เพื่อโอนหุ้นชินคอร์ปไปไว้ที่นั่นจำนวน 32.93 ล้านหุ้น (ภายหลังแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท หุ้นจึงเพิ่มเป็น 329.2 ล้านหุ้น) เพื่อนำหุ้นเข้าซื้อ-ขายในตลาดแนสแด็กของสหรัฐฯ แต่ให้บังเอิญว่า ปี 2543 ตลาดแนสแด็กตกต่ำมาก จึงยกเลิกแผนดังกล่าว และขายหุ้นทั้งหมดให้นายพานทองแท้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2543 ก่อนเลือกตั้งปี 2544 โดยอ้างว่า ขายนอกตลาด ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นชินคอร์ปที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โอนไปไว้ที่แอมเพิลริชนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยแจ้งต่อ ป.ป.ช.แต่อย่างใด โดยอ้างว่า ได้ขายหุ้นดังกล่าวให้ลูกไปแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับเงินจากการขายหุ้นในครั้งนั้นแล้ว?
สังคมจึงอดมองไม่ได้ว่า นี่คือ การซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่? โดยนำหุ้นไปซุกไว้ที่แอมเพิลริช ที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น สถานที่ขึ้นชื่อเรื่องฟอกเงิน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดกับสาธารณะว่า “ใครเอาเงินไปลงทุนที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ถือว่าไม่รักชาติ” เพราะการทำธุรกรรมต่างๆ ที่นั่นไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ “กลืนเลือด” ตัวเอง แล้วยังกล้ามาโกหกประชาชนในภายหลังอีกว่า ตนไม่เคยพูดแบบนั้น!
เมื่อมีการนำหุ้นไปซุกไว้ที่ แอมเพิลริช โดยไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช.พอวันหนึ่งตัดสินใจจะขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมดให้สิงคโปร์ ก็เลยมีการโอนหุ้นที่แอมเพิลริช กลับมาให้ลูกๆ เพื่อรวมขายให้สิงคโปร์ในคราวเดียวกัน นั่นคือ รูปการที่สังคมมองว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น
แม้พฤติกรรมดังกล่าวจะดูน่าสงสัยและส่อเข้าข่ายซุกหุ้นภาค 2 เพียงใด แต่หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องภายใต้รัฐบาลทักษิณ กลับไม่ติดใจสงสัยใดๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก มีมติไม่รับคำร้องของ 28 ส.ว.ที่ขอให้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซุกหุ้นภาค 2 หรือไม่ (หลังศาล รธน.ถูกครหามาครั้งหนึ่งแล้วว่า อุ้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ให้รอดพ้นกรณีซุกหุ้นภาค 1) โดยศาลฯ ให้เหตุผลว่า ข้อกล่าวหาของ 28 ส.ว.ไม่ชัดเจนและไม่มีหลักฐานเพียงพอ!?! โดย 1 ในตุลาการศาล รธน. จุมพล ณ สงขลา ยังพูดส่อว่าอุ้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า “หากศาลฯ รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา ผู้ถูกกล่าวหาจะสู้คดีได้ยากมาก และศาลฯ เองก็ลำบากใจในการพิจารณา”
เมื่อสังคมคาใจในคุณสมบัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ซุกหุ้นหรือไม่ บวกความไร้คุณธรรม-จริยธรรมที่ขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านโดยไม่เสียภาษี กระแสต่อต้านและหมดศรัทธาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วประเทศนับแต่นั้นจนถึงบัดนี้!!
ขณะที่ ก.ล.ต.ก็มีพฤติกรรมส่ออุ้ม พ.ต.ท.ทักษิณ อีกเช่นกัน ด้วยการสรุปว่า ไม่พบความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีโอนหุ้นให้ลูก และไม่พบความผิด น.ส.พิณทองทา ส่วนนายพานทองแท้ พบความผิด 3 กรณี เช่น ไม่รายงานการได้หุ้นชินคอร์ปจากแอมเพิลริช, ไม่ทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) หลังได้หุ้นจากแอมเพิลริช เป็นต้น ซึ่งโทษสำหรับความผิดดังกล่าว มีตั้งแต่จำคุก 2 ปี และปรับ แต่ ก.ล.ต.บอก ความผิดไม่ถึงขั้นจำคุก เพราะไม่มีความผิดอื่นร่วมด้วย ส่วนโทษปรับ ตอนแรก ก.ล.ต.บอก อาจจะประมาณ 20 ล้าน แต่ไปๆ มาๆ ปรับแค่ 5.9 ล้าน!?!
นอกจากความไม่ชอบมาพากลในการซุกหุ้นและขายหุ้นชินคอร์ปให้สิงคโปร์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สังคมคาใจ ก็คือ แม้ว่าหุ้นชินคอร์ปจะถูกเปลี่ยนมือจากตระกูลชินวัตร และดามาพงศ์ มาเป็นเทมาเส็กของสิงคโปร์ แต่ก็ยังถือว่า สถานะของชินคอร์ปยังเป็นไทย ไม่ใช่ต่างด้าว เพราะหากเป็นต่างด้าวจะผิดกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่ปัญหาก็คือ แน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้ถือหุ้นคนไทยที่ยังถือหุ้นชินคอร์ปหลังเปลี่ยนมือแล้ว เป็นผู้ถือหุ้นตัวจริง ไม่ใช่เป็นแค่ “นอมินี” (ผู้ถือหุ้นแทน) หรือ “ร่างทรง” ของเทมาเส็ก ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ยื่นเรื่องให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบความเป็นนอมินีของบริษัท กุหลาบแก้ว ที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซีดาร์โฮลดิ้งส์ (บ.ซีดาร์ และ บ.แอสเพนโฮลดิ้งส์ เข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ป โดยซีดาร์ ถือหุ้นใหญ่) โดยพรรคประชาธิปัตย์ยื่นให้ตรวจสอบตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา หลังพบความไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ส่อว่า กุหลาบแก้ว อาจเข้าข่ายนอมินี
นายเกียรติ สิทธีอมร กรรมการบริหารและคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยมีส่วนร่วมร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ชี้จุดที่สะท้อนว่า กุหลาบแก้วน่าจะเป็นนอมินีของต่างชาติ ว่า แต่เดิมนั้น กุหลาบแก้วถือหุ้นใหญ่โดยนายพงส์ สารสิน และ นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ คือ 51% และมี บ.ไซเพรสโฮลดิ้งส์ (ต่างชาติ) ถือหุ้นอีก 49% ซึ่งสังเกตได้ว่า ตั้งแต่วันแรกที่ บ.กุหลาบแก้ว จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ ก็ชัดเจนแล้วว่า น่าจะเป็นนอมินี เพราะบอกว่า ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยไม่สามารถขายหุ้นได้ เว้นแต่ฝ่ายสิงคโปร์จะเห็นชอบ นอกจากนี้ แม้ผู้ถือหุ้นไทยในกุหลาบแก้ว จะถืออยู่ 51% แต่กลับได้ส่วนแบ่งกำไรแค่ 3% ไม่เท่านั้น กรรมการส่วนใหญ่ในกุหลาบแก้ว ยังเป็นชุดเดียวกับกรรมการใน บ.ซีดาร์โฮลดิ้งส์ (ที่กุหลาบแก้วถือหุ้นใหญ่), บ.แอสเพนโฮลดิ้งส์ (ที่ร่วมซื้อหุ้นชินคอร์ป) และ บ.ไซเพรสโฮลดิ้งส์ (ไซเพรส นอกจากถือหุ้นในกุหลาบแก้ว 49% ยังถือหุ้นในซีดาร์ 49%) และเป็นที่น่าสังเกตว่า กรรมการส่วนใหญ่ในกุหลาบแก้วก็เป็นคนของสิงคโปร์
นายเกียรติ ชี้ด้วยว่า บ.กุหลาบแก้ว มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 ครั้ง จากตอนแรกที่มี นายพงส์ สารสิน และนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จากนั้นก็ค่อยๆ มีการเพิ่มทุนมากขึ้น และเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่มาเป็น นายสุรินทร์ อุปพัทธกุล หรือดะโต๊ะสุรินทร์ นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนในมาเลเซีย ดังนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ดะโต๊ะสุรินทร์เป็นคนไทย และมีเงินมากมายหลายหมื่นล้าน แล้วจะยืนยันได้ว่า กุหลาบแก้วไม่ได้เป็นนอมินี แต่ดะโต๊ะสุรินทร์ต้องอธิบายให้ได้ว่า เงินที่ลงทุนในกุหลาบแก้ว เป็นเงินตนเองหรือไม่? และเงินนั้นต้องมีที่มาที่ไปที่อธิบายได้ด้วย ไม่เช่นนั้น อาจเป็นเงินฟอก
“มันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นอยู่ 3 ครั้ง ครั้งแรกคือ ตอนทุนจดทะเบียน 1 แสน ซึ่งตอนนั้นก็มีคุณพงส์ (สารสิน) คุณอะไรอีกท่านหนึ่ง (ศุภเดช พูนพิพัฒน์) ผมจำชื่อไม่ได้ จากธนชาติหรือไง มี 2 คนนั้นเป็นตัวละคร ในตอนนั้นเอกสารที่จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ ก็ชี้ชัดว่า ถือหุ้น 51% แต่รับส่วนแบ่งกำไรแค่ 3% อันนี้ก็แหมไม่รู้จะว่าอย่างไร ค่อนข้างจะชัด (ว่าเป็นนอมินี) พอต่อมาเดือน มี.ค.มีการเพิ่มทุนเป็น 160 กว่าล้าน และหลังจากนั้น ก็มีดะโต๊ะสุรินทร์เข้ามาถือเพิ่มเป็น 4 พันล้าน ก็ต้องไปดูทุกขั้นตอน ถูกมั้ย อยู่ดีๆ จะไปบอกว่า ดะโต๊ะสุรินทร์ผิด หรือคุณพงส์ผิด อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ยังไม่ควรไปทำอย่างนั้น เพราะก็ต้องดูหลักฐานว่า คุณไปถือหุ้นแทนเขาหรือเปล่า การถือหุ้นแทนก็หมายความว่า คุณไม่ได้ใช้เงินคุณเอง คุณอธิบายที่มาที่ไปของเงินคุณเองไม่ได้ ...ถ้าคุณอธิบายไม่ได้ว่า เป็นเงินคุณ ก็จบ และต้องเป็นเงินบริสุทธิ์ด้วยนะ ไม่งั้นก็เป็นเงินฟอกอีกนะ ถูกมั้ย อยู่ดีๆ บอก ผมรวย ผมมีเงินจากสิงคโปร์ ผมมีเงินจากฮ่องกง ผมมีเงินจากมาเลเซียเยอะแยะ ก็ชี้มาสิว่า มันเป็นเงินคุณน่ะ ก่อนนั้นนะ ไม่ใช่แค่เงินมาจากสิงคโปร์หรือประเทศที่คุณอ้างว่า คุณมีเงินอยู่ แล้วพอนะ เงินนั้นต้องเป็นรายได้ที่ถูกต้องตาม กฎหมาย คุณเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย”
หลังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่มี น.ส.อรจิต สิงคาลวณิช เป็นอธิบดี ใช้เวลาตรวจสอบนานถึง 5-6 เดือน มีข่าวแพลมออกมาเมื่อเดือน ก.ค.ว่า กรมฯ ได้สรุปผลสอบแล้ว พบว่า กุหลาบแก้วเข้าข่ายเป็นนอมินีจริง ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ต้องส่งผลสรุปดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขึ้นไปสู่ชั้นศาลต่อไป ซึ่งโทษสำหรับการเป็นนอมินี ตามความผิดมาตรา 36 ของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ก็คือ ผู้เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของคนไทยที่ยอมถือหุ้นแทนต่างชาติ และต่างชาติที่ให้คนไทยถือหุ้นแทน รวมทั้งผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 1 แสน-1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าวเสีย หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับวันละ 1 หมื่น-5 หมื่นบาท ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ แต่ผลสะเทือนที่อาจร้ายแรงกว่าความผิดทางอาญาและแพ่งกรณีที่กุหลาบแก้วเป็นนอมินี ก็คือ เมื่อกุหลาบแก้วกลายเป็นต่างด้าว ก็ส่งผลให้ บ.ซีดาร์ ที่กุหลาบแก้วถือหุ้นใหญ่อยู่ กลายเป็นต่างด้าวไปด้วย และนั่นหมายถึง ชินคอร์ปที่ซีดาร์ และแอสเพน ซื้อมาจากตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ก็ต้องกลายเป็นต่างด้าวไปด้วย เมื่อทุกบริษัทในเครือชินคอร์ปที่ขายให้เทมาเส็ก กลายเป็นต่างด้าว ก็ผิดกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ต้องยกเลิก ต้องเป็นโมฆะหรือไม่ ดีลชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านที่ผ่านมา...อาจต้องล้มหรือยึดสัมปทานคืนรัฐกันเลยทีเดียว!!
นอกจากผลสะเทือนที่รุนแรงดังกล่าวแล้ว ประกอบกับช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง ถ้าผลสอบกุหลาบแก้วถูกส่งให้ตำรวจดำเนินคดี แน่นอนว่า ต้องกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคไทยรักไทย ด้วยเหตุผลเหล่านี้หรือเปล่า สังคมจึงได้เห็น ฝ่ายการเมืองบีบไปยังข้าราชการประจำให้ทำตามคำสั่งด้วยการยื้อผลสอบเรื่องกุหลาบแก้วเป็นนอมินีออกไปให้นานที่สุด เมื่อข้าราชการประจำบางคนสั่งไม่ได้ ก็หันไปเลือกข้าราชการที่สั่งได้เช่นนั้นหรือ?
โดยมีรายงานข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่า หลังจาก น.ส.อรจิต อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สรุปผลสอบว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินีแล้ว นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้พยายามให้ น.ส.อรจิต ทำเรื่องเสนอให้นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องกุหลาบแก้วเพิ่มเติม แต่ น.ส.อรจิตปฏิเสธ โดยยืนยันว่า กรมฯ ตรวจสอบครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบเพิ่ม หลังจากนั้น นายปรีชา ได้พยายามให้ นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ทำเรื่องถึงนายยรรยง เพื่อเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบเพิ่ม แต่นายการุณก็ปฏิเสธอีก โดยนายการุณยืนยันผลสรุปตามที่กรมพัฒนาธุรกิจฯ เสนอให้ส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดี เมื่อถูกปฏิเสธเช่นนั้น นายปรีชา จึงได้ให้นายยรรยงเป็นผู้ทำเรื่องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบเองเลย โดยให้ทำเรื่องเสนอมาที่ตน แล้วนายปรีชาก็เซ็นอนุมัติตั้งคณะกรรมการสอบกุหลาบแก้วเพิ่มเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา
นายปรีชา ยังอ้างด้วยว่า ดะโต๊ะสุรินทร์ ส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมมายังตนเพื่อขอให้มีการสอบเพิ่ม ขณะที่นายยรรยงก็รับลูก สำทับเพิ่มว่า เอกสารของดะโต๊ะสุรินทร์หนาถึง 200 หน้า คงต้องใช้เวลาสอบเพิ่มประมาณ 2 เดือน โดย นายยรรยง บอกว่า คณะกรรมการที่จะสอบเพิ่มนี้ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายฝ่าย เช่น กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยมีนายยรรยงเป็นประธาน ซึ่งนายยรรยง ได้ส่งสัญญาณออกมาด้วยว่า คณะกรรมการคงต้องวางหลักเกณฑ์การเป็นนอมินีให้แน่ชัด ว่าแบบไหนถึงเป็นนอมินี โดยอ้างว่า กรณีแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้น ต้องสร้างบรรทัดฐานเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับกรณีต่อๆ ไป โดย นายยรรยง ได้นัดประชุมคณะกรรมการนัดแรกในวันที่ 23 ส.ค.นี้ ท่ามกลางข่าวว่า แต่ละหน่วยงานยังไม่ได้ส่งตัวแทนมาร่วมเป็นกรรมการ
ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเคยร่วมร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว มองความพยายามตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องกุหลาบแก้วเพิ่มเติมของนายปรีชา และนายยรรยง ว่า เป็นการเตะถ่วงผลสอบ ทั้งที่ทั้งสองไม่ได้มีอำนาจในเรื่องนี้ตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพราะอำนาจอยู่ที่กรมพัฒนาธุกิจการค้า จึงอยากเตือนนายปรีชาและนายยรรยง ว่า ระวังจะเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“ที่มีความพยายามจะตั้งคณะอะไรขึ้นมา และจะตั้งกฎเกณฑ์เพิ่มเติมด้วยในเรื่องของการเป็นนอมินี ผมว่า อันนี้มันผิดทิศผิดทางเลย เพราะกฎหมายลักษณะนี้ ทั่วโลกไม่มีทำอย่างนี้ ไม่มีเลย เพราะผมเป็นคนที่มีส่วนในการแก้ กฎหมาย ปว.281 ซึ่งมันเป็นกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดเป็นปีๆ นะ และเราก็ศึกษา กม.ทั่วโลกเลย แล้วก็ดูในกรอบขององค์การการค้าโลก (WTO) ด้วย ทั้งหมดนี่เห็นได้ชัดเลย มันไม่ควรทำ เพราะอะไร เพราะถ้าทำแล้ว ก็จะเท่ากับเราล็อกตัวเราเองในกฎอันนั้นเลย และถ้าเขาใช้วิธีอื่นที่นอกกรอบที่เขียนไว้ ก็ไม่อยู่ในข่าย เห็นมั้ย ของ WTO มันมีแค่บรรทัดเดียว ในเรื่องกฎอย่างนี้ ตรงนี้ชัดเจน ทีนี้มันก็มีประเด็นเรียกว่า เอกสารใหม่ยื่นเข้ามา (ดะโต๊ะสุรินทร์ยื่นมา) สมควรที่จะมีการตรวจสอบหรือไม่ เอาเอกสารมาชี้แจงให้ประชาชนเห็นนะ ผมเชื่อว่า เขาจะต้องอาย เพราะเอกสารที่ยื่นเข้ามา มันก็คือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายงานการดำเนินการของบริษัทๆ หนึ่งเท่านั้นเอง มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้เลย ดะโต๊ะสุรินทร์เอง ก็เป็นผู้ถือหุ้นที่เข้ามา เป็นการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นครั้งที่ 3 ครั้งแรกเนี่ย ไม่ใช่ดะโต๊ะสุรินทร์นะ เงื่อนไขทุกอย่างเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ก็น่าจะมีการแถลงได้แล้ว และประการสุดท้ายที่ผมคิดว่า น่าจะชัดเจนก็คือ กระทรวงเองโดยรัฐมนตรีช่วยและคุณรองปลัดฯ (ยรรยง) เอง มีอำนาจอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการตามกฎหมายฉบับนี้ กฎหมายฉบับนี้ระบุชัดเจนเลยว่า พนักงานที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตาม กม.เป็นใคร ไม่เกี่ยวกับระดับกระทรวง ไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรีนะ เพราะตอนนั้นที่เราทำกฎหมายฉบับนี้ เราไม่ต้องการให้การเมืองแทรกแซง อำนาจทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยมีฝ่ายอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจฯ และเจ้าหน้าที่ของกรมนั้นเป็นฝ่ายเลขาฯ เพราะฉะนั้นอยู่ดีๆ รัฐมนตรีช่วยฯ รองปลัดฯ จะเข้ามาวุ่นวายเกี่ยวข้อง ถามว่า เอาอำนาจอะไรมาเกี่ยว? อันนี้ก็เห็นได้ชัดว่า เป็นกระบวนการที่จะเตะถ่วง การที่จะเปิดเผยให้สังคมรับทราบเรื่องผลการศึกษาการเป็นนอมินี ซึ่งสิ่งนี้ก็ต้องระวังนะ ต้องขอเตือนเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในเรื่องเช่นนี้ ท่านเองอาจจะเข้าข่ายการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
นายเกียรติ ย้ำอีกครั้งว่า เกณฑ์การเป็นนอมินีมีอยู่แล้วชัดเจนในมาตรา 36 ของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ที่เป็นการร่วมกันเขียนระหว่างหอการค้าไทยกับหอการค้าต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2540 โดยตนมีส่วนในกระบวนการเขียนนั้นด้วย จึงทราบดีว่า เกณฑ์ดังกล่าวทำกันมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดีพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกเกณฑ์อะไรใหม่เพื่อเป็นการเตะถ่วง ทั้งนี้ ล่าสุด มีรายงานว่า กำลังมีความพยายามจากฝ่ายการเมืองที่จะดึงหอการค้าต่างประเทศมาช่วยบิดพลิ้วผลสอบให้กุหลาบแก้วไม่ใช่นอมินี โดยอ้างว่าหากบอกว่ากุหลาบแก้วและซีดาร์โฮลดิ้งส์เป็นนอมินี จะส่งผลเสียหายต่อการลงทุนและระบบเศรษฐกิจของไทย กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ จะเกิดการถอนหุ้น เปลี่ยนแปลงการถือหุ้น และเกิดการฟ้องร้องในบริษัทข้ามชาติกันอีกจำนวนมาก!?!
ความพยายามบิดพลิ้วผลสอบการเป็นนอมินีของกุหลาบแก้ว-ซีดาร์ฯ ดังกล่าว คงไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของสังคมไทยแต่อย่างใด ตราบใดที่เรายังมีคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตเจ้าของหุ้นชินคอร์ป เป็นรักษาการนายกฯ อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมไม่ปล่อยให้ความเป็นนอมินีมาบั่นทอนฐานเสียงของไทยรักไทยก่อนการเลือกตั้งแน่ และที่สำคัญ...พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมไม่ปล่อยให้ดีลชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านพังครืนลงต่อหน้าต่อตาง่ายๆ
สุดท้าย ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ต้องจบลงด้วยการทำใจหรือไม่ แต่อย่างน้อย นาทีนี้ อยากปรบมือให้กำลังใจข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่าง น.ส.อรจิต สิงคาลวณิช และนายการุณ กิตติสถาพร ที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง ไม่เหมือนข้าราชการบางคน ที่ยอมก้มหัวรับใช้ระบอบทักษิณ โดยลืมนึกไปว่า การปล่อยให้คนผิด-สิ่งผิดดำรงอยู่ หรือพยายามบิดพลิ้วให้สิ่งผิด กลายเป็นสิ่งถูกขึ้นมา มันก็คือ การมีส่วนร่วม “ทำลายชาติของตัวเอง” นั่นเอง!!