“ป๋าเปรม” พูดชัด เจ้าของทหาร คือ “ในหลวง” และชาติ ย้ำต้องไม่เกี่ยวกับการเมือง เปรียบรัฐบาลเป็นแค่จ๊อกกี้ มีหน้าที่แค่ออกนโยบายเท่านั้น พร้อมสอนรุ่นน้องยึดแบบอย่างนายทหารอาชีพ ขณะเดียวกัน ยังคงปฏิเสธให้ความเห็นกรณีผู้มีบารมี แนะสื่อดูเอาเองรัฐบาลเป็นอย่างไร
วันนี้ (14 ก.ค.) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวบรรยายพิเศษให้กับ นักเรียนนายร้อย ฯ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ที่หอประชุม จปร. ต.เขาชะโงก อ.เมือง จ.นครนายก จำนวนประมาณ 950 คน จาก 4 ชั้นปี ทั้งนี้การบรรยายดังกล่าว ทาง จปร.จะจัดวิทยากรที่เป็นอดีตผู้บังคับบัญชามาบรรยายและเล่าประสบการณ์ในอดีตให้นักเรียนได้รับฟังเป็นประจำ
พล.อ.เปรม กล่าวว่า ขอขอบคุณ ผบ.ทบ.(พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน) และ ผบ. ร.ร.จปร.(พลโท กมล แสนอิสระ) ที่ให้โอกาสผมมาพูดกับทหารและนักเรียนนายร้อยในวันนี้ ผมเองมีความสำนึกอยู่เสมอว่าผมมีหน้าที่ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณสถาบันหลายๆ สถาบันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผม และ การทำหน้าที่ราชการของผม ร.ร.จปร.เป็นสถาบันหนึ่งที่ไม่มีวันลืมว่ามีบุญคุณกับผม และทำให้ผมเป็นผมอยู่จนทุกวันนี้
"ร.ร.จปร.ได้ให้อนาคตที่ดีกับผม สอนให้รู้จักความรู้รักสามัคคี สอนให้รู้จักคำว่า "เพื่อนตาย" คือเราจะตายรวมกันทั้งในยามปกติ ทั้งในยามสงคราม และ ในยามฉุกเฉิน สอนให้รู้จักว่า "เกิดมาต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน" การที่มาวันนี้มาด้วยความภูมิใจ และ ยินดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะที่ได้พบกับ นร.นายร้อย ซึ่งพวกเราถือเป็นหน้าที่ทพวกเราที่เราต้องดูแล นักเรียนนายร้อยทุกรุ่น ทุกคน เพราะนักเรียนนายร้อยเหมือนลูกเหมือนหลานที่พวกเราต้องดูแลให้เขาเติบโตขึ้นมา ให้เป็นนายทหารที่ดี เป็นคนดีให้ได้"ประธานองคมนตรีกล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวว่า ถ้าเรามองกลับไปในอดีตเราจะพบว่ากองทัพบกของเราได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนมาตลอดเวลา เป็นที่พึ่งของประชาชนมาโดยตลอด กองทัพบกมาจากไหน ส่วนหนึ่งก็คือมาจาก ร.ร.นายร้อยฯ ของเรา ที่เติบโตออกไปเป็นนายทหารและไปทำหน้าที่ต่างๆ ให้กับชาติบ้านเมือง แม้แต่ในทางการเมืองก็ไปทำ และเป็นหน้าที่กองทัพบกต้องทำต่อไป กองทัพบกจะทำต่อไปได้ก็โดยที่มีก็โดยมีสายเลือดใหม่ ๆ อย่างพวกเธอทั้งหลาย เติบโตขึ้นไปดูแลกองทัพบก และทำตัวให้เป็นความหวังของชาติบ้านเมือง ทำกองทัพบกให้เป็นที่พึ่งพาของชาติบ้านเมือง ทำกองทัพบกของเราให้เป็นเสาหลักในการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติเราให้ได้
ประธานองคมนตรี กล่าวต่อว่า วันนี้ที่จะมาพูดโดยเฉพาะกับนักเรียนนายร้อยฯ เรื่องวิทยาการสมัยใหม่นั้น คนนี้รู้น้อยมาก เพราะว่าอายุมาก โบราณแล้ว การเป็นนักเรียนนายร้อยก็ไม่ได้เรียนมากอย่างที่นักเรียนนายร้อยฯ สมัยนี้เรียนกัน เดี๋ยวนี้มีการเปลี่ยนแปลงวิทยาการสมัยใหม่ มากมาย ซึ่งตามไม่ทัน เพราะฉะนั้นวันนี้จะไม่พูดเรื่องวิทยาการ แต่จะพูดเรื่องความสำคัญของนักเรียนนายร้อยฯ และความสำคัญของร.ร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ
รัฐบุรุษ กล่าวว่า เมื่อกี้พูดว่ามีสิ่งเปลี่ยนแปลงซึ่งตามไม่ค่อยทัน แต่ขอบอกว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทั้งกาย วาจา ใจของเราก็คือ “ความเป็นลูกพ่อเดียวกัน” รัชกาลที่ 5 ได้กำเนิดพวกเรามา ทุกคนเป็นลูกของท่าน เพราะฉะนั้นเราคือคนที่มีพ่อคนเดียวกัน ชื่อนี้ต้องไม่เปลี่ยนแปลง และ ต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราปฏิญาณคำสัตย์ปฏิญาณคำเดียวกันมาตลอด ประโยคเดียวกันมาโดยตลอด สิ่งนี้จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง เราจะต้องยึดมั่น ทั้งโดยเลือดเนื้อวิญญาณของความเป็นนักเรียนนายร้อย ฯ ในสิ่งเหล่านี้ว่าเราได้ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เราได้ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ประโยคเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็น “เพื่อนตาย” ด้วยกัน ทำหน้าที่ของเรา เพราะเราเป็นลูกของรัชกาลที่ 5 ด้วยกัน
"ที่พูดว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ความจริงวลีประโยคนี้ คนนี้เป็นคนคิด และ พยายามพูดให้คนไทยเข้าใจว่าเราเกิดมาในแผ่นดินนี้ หน้าที่เรามีหลายอย่าง หน้าที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ถ้าเราเปิดรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้ในปัจจุบันนี้ จะกำหนดหน้าที่ของคนไทยไว้ แต่ไม่มีคำนี้หรอก ไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน แต่เราต้องมี ถึงไม่มีรัฐธรรมนูญแต่เราต้องทำ เราจะต้องรู้ว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนอย่างไรเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย แต่ก็จะพูดสรุปได้ว่า เราต้องเป็นคนดี คนดีถึงจะคิดเรื่องดี พูดเรื่องดี ทำเรื่องดี การตอบแทนบุญคุณแผ่นดินนั้น คนดีเท่านั้นถึงจะทำ ถ้าคนไม่ดี เขาไม่คิดถึงหรอกถ้าจะถามว่าคนดีคืออย่างไรอีก ก็ยากที่จะตอบอีกว่าคนดีมีคุณสมบัติอย่างไร แต่ว่าโดยสามัญสำนึกถ้าเราบอกว่า ผบ.รร.จปร.เป็นคนดี เราก็พอจะนึกออกมาคนดี กับคนไม่ดีแตกต่างกันอย่างไรมีเรื่องสำคัญเรื่องนี้ที่อยากให้พวกเราได้ยิน และเข้าใจว่าเราเป็น "ทหาร" ก็ต้องพูดต่อว่าเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่ไปพูดที่อื่นก็พูดทำนองนี้ว่าเราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็มีคนเถียงว่าถ้าอย่างนั้นรัฐบาลก็สั่งทหารไม่ได้ คนที่เถียงนั้นเขาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องทหารเลย หรือเขาไม่ชอบหน้าพวกเราก็ได้"พล.อ.เปรมกล่าว
ประธานองคมนตรี กล่าวต่อว่า อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่าทำไมเราถึงพูดว่าเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักเรียนฯ สมัยใหม่คงเล่นม้าไม่เป็น อาจจะเป็นการพนันอย่างอื่นที่ใช้คอมพิวเตอร์ใช้เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย อยากจะเล่าให้ฟังตรงนี้ เปรียบเทียบให้ฟัง คนนี้เป็นทหารม้าถึงรู้เรื่องม้าดี รู้เรื่องการแข่งม้า ถ้าจะแข่งม้าก็ เจ้าของม้าจะเริ่มมีคอกม้าก่อน คอกก็มีม้าหลายตัว ห้าตัว สิบตัว ยี่สิบตัวก็ได้ เจ้าของคอก ก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่ง เขาก็เอาไปเด็กที่เราเรียกว่า jockey คือเด็กขี่ม้า ไปจ้าง ให้เขามาขี่ม้า เขาจะขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้าเขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น วันนี้เขาขี่ม้าคอกนี้ วันพรุ่งนี้เขาก็ไปขี่ม้าอีกคอกหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้าหรอก เขาเป็นคนขี่
"รัฐบาลก็เหมือนกับ jockey คือเข้ามาดูแลทหาร ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับบาลเข้ามาดูแล แต่กำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดี ขี่เก่ง บางคนก็ขี่ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน บางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลทำงานไม่ดี ไม่เก่ง ก็มี นี่เป็นเรื่องจริง ที่พูดนี่เพื่อให้นักเรียนเข้าใจว่า เราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่รัฐบาลเข้ามาดูแลในเรื่องอื่นๆ ของพวกเรา เรื่องใหญ่ๆ ที่ทหารกำลังทำอยู่ เช่น นโยบายป้องกันประเทศก็ตาม นโยบายความมั่นคงก็ตาม มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องวางนโยบายกันเป็นเวลา สิบปี ยี่สิบปี ฉะนั้นรัฐบาลที่จะเข้ามาอยู่ 4 ปีนี้ก็ต้องดำเนินการตามที่นโยบายของกระทรวงกลาโหม หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้กำหนดขึ้น ยากที่จะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ว่า “ทหารอยู่ตรงไหน รัฐบาลอยู่ตรงไหน เจ้าของทหารอยู่ตรงไหน” "ประธานองคมนตรีกล่าว
พล.อ.เปรม กล่าวว่าที่นำเรื่องนี้มาพูดไม่ได้ต้องการให้เราเข้าใจไขว้เขว หรือรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาล คนนี้ก็เคยเป็นคนที่เคยเป็นรัฐบาลมา แต่อยากให้เข้าใจ และ แยกแยะให้ออก และไม่ใช่การมาโต้เถียง หรือไม่ใช่ดื้อดึง เพียงแต่ให้เข้าใจว่าเราอยู่ตรงไหน เข้าใจว่าเราอยู่ตรงนี้ เราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เราต้องมีระเบียบวินัย แบบแผน แต่ที่พูดอยากให้เข้าใจชัดเจน ไม่ใช่แค่เพียงเข้าใจว่า เราต้องถือว่าเราเป็นทหารของชาติ รัฐบาลเข้ามาแล้วก็ไป รัฐบาลเข้ามาแล้วก็ไป นั่นไม่ใช่เรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ ก่อนที่จะผ่านเรื่องนี้ไปขอย้ำอีกทีว่า ที่นำมาพูดในที่นี้เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อให้ต่อต้าน หรือดื้อดึง หรือให้ทำตัวไม่ดีต่อรัฐบาล ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องทำตัวดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ตาม แต่ต้องเข้าใจว่าเราเป็นทหารของชาติ เพลงก็มีพวกเราก็คงจะร้องกันได้ เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะเป็นไปอย่างนั้นตลอดชีวิต
พล.อ.เปรม ยังกล่าวว่า มีที่พูดกันว่า The old soldier never dies เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่เข้าใจกันง่าย ๆ แปลได้ คนไทยพวกเราที่เป็นทหารก็คล้ายๆ กับฝรั่งที่พูด เราพูดกันอยู่เสมอแต่เราอาจจะยังไม่ได้ยินมาบ้าง แต่พี่น้องที่เป็นทหารจะมีความรู้สึกที่เหมือนกันตามที่จะพูดต่อไปนี้ว่า พวกเราลองได้เป็นทหารครั้งหนึ่งแล้ว ก็ต้องเป็นทหารไปตลอดชีวิต ไม่ใช่เกษียณแล้วก็เลิกเป็น ไม่ใช่ลาออกแล้วก็เลิกเป็น ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะคนที่มาเป้นทหารต้องเป็นด้วยเลือด เนื้อ วิญญาณ จิตใจ ทุกอย่าง อยู่ในสายเลือด เพราะฉะนั้นเราเป็นทหารครั้งหนึ่ง เราต้องเป็นทหารไปจนตาย ทุกคนออกไปจากการรับราชการแล้ว เกษียณแล้ว ทุกคนจะมีความรู้สึกว่าแม้จะเป็นนายทหารนอกราชการ แต่ในนี้คือทหารแท้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณทหารได้ แม้จะรวยเป็นเศรษฐี จนเป็นยาจก จะอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร ในนี้(ตัว) ยังมีเลือดเนื้อ วิญญาณของทหารอยู่ตลอดเวลา
"ถ้าใคร(ย้ำเสียงหนักแน่น) ไม่รู้สึกอย่างนั้น ก็ไม่ควรมาเป็นทหาร ถ้านักเรียนนายร้อยฯ ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น ก็ควรไปคิดให้ดีว่าจะรับราชการทหารต่อไปหรือไม่ ถ้าเป็นทหารแล้วไม่มีเลือดเนื้อ จิตวิญญาณของทหาร ความรักชาติก็จะไม่มี ความเสียสละก็จะไม่มี การที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสถาบันทหารของเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นขอกล่าวซ้ำอีกที ถ้าใครเป็นทหาร แล้วไม่มีเลือดเนื้อ ชีวิตแบบทหาร ขออย่าให้เป็นดีกว่า” พล.อ.เปรมกล่าว
พล.อ.เปรมกล่าวว่า ทหารมีคำนิยาม เราเรียกตัวเราว่า “ทหารอาชีพ”และเมื่อเป็น “ทหารอาชีพ”แล้วก็ต้องเป็น “ทหารมืออาชีพ”ด้วย คำว่าทหารอาชีพ ขออ่านให้ฟังว่า ทหารอาชีพ คือทหารที่มีทั้งเลือดเนื้อจิตวิญญาณแห่งความเป็นทหารอยู่ในตน ครบถ้วนสมบูรณ์ กล่าวคือ รักและเชิดชู สถบันทหาร เทิดทูนและจงรักภักดี ต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ดำรงความซื่อสัตย์สุจริต ต่อตน ต่อครอบครัว ต่อสถาบัน และ ต่อชาติบ้านเมืองอย่างมั่นคง เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง นักการเมือง ภูมิใจในเกียรติศักดิ์ทหาร ความเป็นทหาร รักและดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นทหารและสถาบันทหาร ด้วยชีวิต รู้และเข้าใจว่าเกิดมาต้องทบทวนแผ่นดิน ส่วน “ทหารมืออาชีพ” นั้นเพื่อเตือนว่าเมื่อเป็นทหารแล้วต้องเป็นทหารมืออาชีพจริง ซึ่งทหารมืออาชีพก็คือทหารที่รอบรู้อย่างละเอียด ถูกต้องและลึกซึ้ง ในวิชาการ ตามตำแหน่ง และหน้าที่ของตน เป็นนักเรียนนายร้อน ก็ต้องรู้ลึกซึ้งในหน้าที่ของนักเรียนนายร้อย ฯ เป็นผู้บังคับบัญชาที่ประพฤติปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกมิติ รูปร่างดี สง่า ผ่าเผย มีวินัย เฉียบขาด ทุกกาลเทศะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เข้มแข็งและเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ อย่างมีเหตุผล เป็นที่พึ่งของเพื่อนทหาร และ ประชาชนได้เป็นอย่างดี ทหารมืออาชีพต้องเป็นอย่างนั้น
"ถ้าโรงเรียนนายร้อยของคุณกลม (ผบ.รร.จปร. )มีหน้าที่เพาะบ่มนักเรียนนายร้อยฯ ให้เป็นทหารอาชีพ และทหารมืออาชีพ ก็ต้องทำให้ได้ ถ้าเชื่อในสิ่งที่ผมพูด อย่างที่พูดเมื่อกี้ว่าถ้าเพาะบามนักเรียนนายร้อยฯ ให้มีเลือดเนื้อ จิตวิญญาณไม่ได้ ก็เสียเวลาและเสียเงินหลวงเปล่าผมขอพูดเรื่องที่เกี่ยวกับ รร.จปร. ชาติบ้านเมืองของเรา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของเรา เป็นประเทศของเรา มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษา มีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีหน้าทำตามบรรพบุรุษของเราที่ดำรงไว้ซึ่งความเป็นไทยให้กับพวกเราจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นต้องหลอม นร.จปร.ให้เป็นคนดีให้ได้ นร.จปร.ก็จะต้องยอมให้ รร.จปร.หลอมให้เป็นนักเรียนที่ดี จบไปเป็นนายทหารที่ดีให้ได้ ทหารที่ดี หรือ คนทั่วไป ต้องคุณธรรม จริยธรรม แต่ทหารที่มีความเหมาะสมเฉพาะออกไปอีก เพราะว่า เมื่อเราแต่งเครื่องแบบมีสิทธิ์ถืออาวุธได้ มีเครื่องแบบที่ภาคภูมิใจ แต่คนอื่นสวมไม่ได้ มีคนพูดสมัยก่อน"รัฐบุรุษกล่าว
ประธานองคมนตรี กล่าวว่า แต่สมัยนี้ไม่พูดแล้ว แต่ก็เคยมีคนพูดว่า รร.จปร.สอนแค่ให้ยิงปืนเป็น รบเป็นเท่านั้นเอง ไม่สอนอะไรเลย แต่ที่จริงไม่ใช่ เพราะ รร.จปร.สอนเท่ากับสถาบันอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย และยิ่งไปกว่านั้น รร.จปร. สอนให้เป็นคนซึ่งความเป็นคนก็เป็นอยู่แล้ว แต่เป็นคนที่แตกต่างไปจากนักเรียนสถาบันอื่น รร.จปร.เป็นเบ้าหลอมให้รู้จักชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ รู้จักความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ ความจงรักภักดี และมีหน้าที่เตรียมคนไปสู่กองทัพต่าง ๆ และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ รร.จปร.ชอบสอนให้นักเรียนสำนึกในเกียรติยศ และในเกียรติศักดิ์ของ รร.จปร. จำเป็นต้องสอนให้ นร.จปร.มีความหยิ่งผยองในสถาบันทหาร
พล.อ.เปรมกล่าวด้วยว่า แต่มีประโยคหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ผู้บังคับบัญชาจะต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่าง ที่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งต่อไป นร.จปร.เมื่อจบออกไปจะต้องไปเป็นผู้บังคับบัญชาประพฤติเป็นแบบอย่างไม่ใช่ง่าย ๆ เป็นเรื่องยาก แต่เราจะต้องทำ ไม่ใช่ทำเพราะเรามีหน้าที่มีกฎระเบียบที่ต้องทำ แต่ทำเพราะเรามีใจที่จะต้องทำ เราต้องมีความรักผู้ใต้บังคับบัญชา ความปรารถนาดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และใจของเราต้องมุ่งมั่นว่าเราจะประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา โดยไม่ต้องสั่งสอนเลย
"นร.จปร. มี 4 ชั้นปี จะต้องวางแผนว่า เมื่อจบจาก รร.จปร.จะไปที่ไหน จะไปให้ถึงไหน จะไปเส้นทางไหน เพื่อให้ไปถึงที่ไหน หมายความว่า ชีวิตของเราเมื่อจบเป็น ร้อยตรีแล้ว เราจะไปอย่างไร ไปให้ถึงไหน อย่างนี้ นร.จปร.จะต้องมีอยู่ในใจ และคิดตั้งแต่เป็นนักเรียนเตรียมทหารจะไปให้ถึงไหนไปอย่างไร นอกจากคิดเองแล้ว ก็จะต้องดูตัวอย่างที่มีในกองทัพของเรา วันนี้มีตัวอย่างมาให้ดู คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ. ผบ.ทหารสูงสุด และ องคมนตรี พล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็น อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป อดีตเสนาธิการทหารบก ซึ่งมีแบบอย่างให้ดูเยอะ เป็นตัวอย่างที่เราจะต้องปฏิบัติตามได้ทั้งนั้น สิ่งนี้ นร.จปร.จะต้องคิดเป็น และมีมาตรฐาน หมายความว่า มีมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ มีมาตรฐานในการดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต นร.จปร.จะมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี จะต้องยึดมั่นในเกียรติศักดิ์ภูมิใจในเครื่องแบบ"พล.อ.เปรมกล่าว
ประธานองคมนตรี กล่าวด้วยว่า ตนพูดหลายครั้งแล้ว เราต้องภูมิใจในเครื่องแบบของเรา นร.จปร. จะต้องเป็นคนดี ต้องไม่ยอมเป็นคนเลวเป็นอันขาด คนที่เป็นคนเลว คนไม่ดี ก็เพราะมีกิเลส ถ้าตราบใดเรามีกิเลสก็จะเป็นคนไม่ดี ถ้าตราบใดเราละกิเลสได้เราก็จะเป็นคนดี นร.จปร.จะต้องเป็นคนบริสุทธิ์ เหมือนแก้วไม่มีด้างพร้อย ต้องสง่างาม นร.จปร.ต้องกล้าหาญ ทั้งกาย และ ใจ กล้าจะเผชิญ กล้ายอมรับความจริง และไม่หวั่นกลัว ในสิ่งที่จะทำความดี
"ตั้งแต่เรามีทูลกระหม่อมอาจารย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ได้มาดูแล รร.จปร. นับว่าเป็นบุญมหาศาลของพวกเรา เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ที่สมเด็จพระเทพฯ มาดูแลพวกเรา ทำให้พวกได้รับความรู้ ได้ใกล้ชิด เบื้องพระบาท ได้รับการยกย่องจากสังคม เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า เจ้านายอย่างสมเด็จพระเทพฯ จะมีพระเมตตาต่อ รร.จปร.ของเรา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเราจะจดจำไม่ลืม และจะต้องตอบแทบบุญคุณ"พล.อ.เปรมกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศที่รร.นายร้อยจปร.ว่า เมื่อ พล.อ.เปรม เดินทางมาถึงโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ได้ไปวางพานพุ่มสักการะอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) บริเวณอาคารหน้าโรงเรียน โดย พล.อ.เปรม ก้มกราบและอธิฐานประมาณ 30 วินาที ก่อนจะลุกขึ้นมายืนนิ่งมองไปที่พระรูปของ ร.5 จากนั้นจึงเดินเข้ามายังห้องประชุมเพื่อบรรยายพิเศษต่อไป
หลังจากบรรยายพิเศษเสร็จ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม เปรียบรัฐบาลเป็นเหมือนจ๊อกกี้ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นจ๊อกกี้ที่ดีหรือไม่ พล.อ.เปรม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยกล่าวเพียงสั้นๆว่า “พวกคุณตอบสิ”
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พล.อ.เปรม ปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยยิ้มมุมปากและยกนิ้วชี้ขึ้นมาไว้ที่ปากแล้วยืนนิ่งๆ ผู้สื่อข่าวถามย้ำรู้สึกอึดอัดหรือไม่ที่ถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ พล.อ.เปรม ไม่ตอบพร้อมหัวเราะก่อนจะเดินต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า การบรรยายต้องการสื่อถึงใครหรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า “ต้องการสื่อถึงนักเรียนนายร้อย จปร.ไง” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ช่วงนี้ทหารควรจะวางตัวอย่างไร เพราะสถานการณ์การเมืองอึมครึม พล.อ.เปรม ยืนนิ่งๆและปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวพยายามจะถามต่อว่า พล.อ.เปรม รู้สึกอย่างไรอึดอัดหรือไม่ พล.อ.เปรม ยิ้มแล้วเดินขึ้นรถที่มารับทันที
ส่วน พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวถึงการที่พล.อ.เปรม พูดถึงเรื่องรัฐบาลจ๊อกกี้ว่า ท่านไม่ได้หมายความถึงรัฐบาลชุดนี้ ที่ท่านพูดก็พูดโดยภาพรวมทั่วไป ว่าที่ผ่านมามีรัฐบาลที่ทำงานดีและบางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดี อย่าไปจำเพาะเจาะจงว่าเป็นรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แล้วที่พล.อ.เปรมพูดน่าจะหมายถึงรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ที่ทำงานไม่ดี พล.อ.พงษ์เทพ กล่าวว่า เราอย่าไปตีความอย่างนั้น ท่านไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านพูดโดยรวมมากกว่า
ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมือง และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันนี้ด้วย
ทั้งนี้มีรายงานว่า ในวันที่ 28 ก.ค. โรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือ ได้ทำหนังสือเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้มาบรรยายพิเศษเช่นกัน