อดีตทูตสหรัฐฯ จวกพฤติกรรม"แม้ว" ไม่มีใครในโลกเขาทำกัน!

“กษิต ภิรมย์” อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน กล่าวกับสภาท่าพระอาทิตย์ (12 ก.ค.49) โดยตำหนิกรณี “ทักษิณ”ส่งจดหมายแฉเรื่องภายในให้คนภายนอกอย่าง“บุช”รู้ ถือเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ชี้ ไม่มีประเทศไหนในโลกเขาทำกัน พร้อมระบุ ในฐานะนายกฯ ต่อให้เขียนเรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ถือเป็นจดหมายราชการ จะอ้างฐานะส่วนตัวไม่ได้

รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 12 กรกฎาคม 2549 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร คำนูณ สิทธิสมาน และปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

สำราญ – ตอนนี้เราไปกันสายด่วนนิดนึงนะครับ ไปสนทนาขอความรู้จากอดีตทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน คุณกษิต ภิรมย์ นะครับ ซึ่งก็เคยขึ้นเวทีพันธมิตรในรายการของอาจารย์เจิมศักดิ์ และท่านน่าจะให้คำตอบที่หนักแน่นยิ่งขึ้นนะครับ ในเชิงของความรู้ในเชิงของท่าทีต่างๆนะครับ ไปกันที่ท่านทูตกษิตครับ สวัสดีครับ ท่านทูตครับ

ปานเทพ – สวัสดีครับ

คำนูณ – สวัสดีครับ

กษิต – สวัสดีครับ

สำราญ – ไม่ทราบว่าท่านทูตกษิตได้อ่านหนังสือของคุณทักษิณกับคุณบุชหรือยังครับ

กษิต – ยังไม่ได้อ่านเลยครับ

สำราญ – ก็ได้ลงตีพิมพ์โดยละเอียดในมติชนหน้า 2 นะครับ หนังสือของคุณทักษิณลงวันที่ 23 มิถุนายน ของคุณบุชนั้นเพิ่งตอบมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมนี่เองครับ คำถามแรกกว้างๆก่อนก็คือว่า เหมาะสมประการใดหรือไม่ การที่นายกฯรักษาการทำหนังสือไปชี้แจงสถานการณ์ของประเทศไทย และก็ด้วยท่วงทำนองที่กล่าวหาคนอื่น ยกย่องตัวเองว่ารักษาประชาธิปไตย

ปานเทพ – คนอื่นทำลายประชาธิปไตย

สำราญ – คนอื่นเลวหมด ตัวเองดีคนเดียว ท่านทูตคิดยังไงครับ

กษิต – คืออย่างนี้ครับ ถ้าเป็นพวกสถานทูตสหรัฐ รัสเซีย เขาก็ต้องทำรายงานไปที่เมืองหลวงเขาอยู่แล้ว 2. พวกผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็รายงานอยู่แล้ว และผมก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่ากระทรวงต่างประเทศ ของประเทศเหล่านั้นเขาคงจะทราบเรื่องราวดี และก็นั่นประเด็นที่ 1 เป็นหน้าที่ของบรรดาสถานทูต ของกระทรวงต่างประเทศของประเทศเหล่านั้น ส่วนอันที่ 2 ก็คือว่าเขาไม่ได้ถามมา คือทางประธานาธิบดีบุช หรือจะปูติน หรือจะชีรักก็ไม่ได้ถามทูตของเรามา หรือถามรัฐบาลของเรามา เมื่อเขาไม่ได้ถามก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต้องไปชี้แจงหรือไปบอกกล่าว อันที่ 3 ตอนนี้มันเป็นรัฐบาลรักษาการ และก็เป็นนายกฯรักษาการใช่ไหมครับ การจะทำอะไรหรือจะไม่ทำอะไรก็ต้องระมัดระวังครับ และก็เพราะฉะนั้นโดยมารยาทก็ไม่น่าจะทำครับเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ 2. เขาไม่ได้ถามมา อันที่ 3 ถ้าจะเขียนไปมันก็ต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอาจจะเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริง หรือเป็นการให้การแต่ฝ่ายเดียว และเรื่องอะไรที่จะมันจะไปพูดอะไรที่มันจะทำนองกล่าวหาคนอื่นหรือประเทศไทย มันต้องให้ข้อมูลที่มีความสมดุล เพราะว่าการที่จะประท้วงก็ดี การจะไม่ลงเลือกตั้งก็ดี โดยพรรคการเมืองอะไรต่างๆ หรือการยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมทั้งหลาย ก็อยู่ในครรลองของรัฐธรรมนูญ และก็เป็นการที่ผ่านมาโดยหลักอหิงสาคือโดยสันติวิธี มันก็เป็นครรลองของประชาธิปไตย ของการใช้สิทธิเสรีภาพที่งดงาม และก็ทั้งหมดนี่ก็ต้องกลับไปดูว่าต้นเหตุมันคืออะไร ถ้ามันคงไม่ได้มาจากฝ่ายอื่นๆ มันก็มาจากความไม่พึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของรัฐบาลในหลายๆเรื่อง

สำราญ – ท่านทูตกษิต ถ้าให้ฟันธงหรือสรุปแล้วนี่ คุณทักษิณเขียนไปนี่เพราะอะไรครับสาเหตุหลักนี่

กษิต – ผมไม่คิดครับ ผมไม่ทราบว่าใครให้คำแนะนำต่อท่านน่ะครับ เขียนไปมันก็ไม่ดีไม่งามน่ะครับ เพราะว่าอยู่ดีๆนายกฯประเทศไทยหรือประเทศหนึ่งไปฟ้องประมุข หรือว่านายกฯ หรือว่าประธานาธิบดีของอีกประเทศหนึ่งเกี่ยวกับประเทศของตัวเองนี่ มันไม่มีใครเขาทำกันในโลกครับ

สำราญ – นั่นสิครับ แล้วแบบนี้คุณบุชจะรู้สึกยังไงครับ

กษิต – ก็คงรู้สึกแปลกน่ะสิครับ ก็คงรู้สึกแปลกว่าทำไมอยู่ดีๆทำไมยูมาเขียนฟ้องล่ะ และทำไมเขาอาจจะถามว่าเนื้อหามันเท็จจริง หรือมันเรื่องของฝ่ายเดียว เป็นมุมมองจากฝ่ายเดียว หรือว่ามันต้องมองมันต้องให้มีความสมดุล และก็ที่มาของปัญหามันคืออะไร มันไม่ได้อยู่ดีๆมีฝ่ายพันธมิตรไปประท้วง มันต้องมีต้นเหตุ อันนี้ได้มีการชี้แจงต้นเหตุหรือเปล่า

สำราญ – ไม่ครับ เขากล่าวหาอย่างเดียวครับ

กษิต – ก็ประท้วงอยู่ในขอบข่ายของรัฐธรรมนูญ โดยสันติวิธี และเป็นสิทธิของประชาชนที่ต้องแสดงออกมานี่นะครับ

ปานเทพ – แต่เขาอย่างนี้ครับ เขาบอกว่าคนที่มาชุมนุมนี่ต้องการอำนาจทางการเมือง เพราะไม่สามารถชนะการเลือกตั้ง

กษิต – นั่นก็เป็นเรื่องของการแกล้งหรือการกล่าวหาแต่ฝ่ายเดียวครับ อันนี้มันก็ทุกคนก็ไม่สามารถชุมนุมหรือแสดงความเห็นอะไรเลยได้ มันก็เหมาหมดว่าใครแสดงความเห็นที่ต่างออกไปก็อยากจะมาเป็นนายกฯแทน อย่างนี้มันพูดค่อนข้างจะไม่สมเหตุสมผลนะครับ

สำราญ – อาจารย์ครับ ทีนี้เรานอกจากมานั่งสัมภาษณ์กัน หรือว่ามานั่งบ่นกันแล้วนี่ คิดว่าคนไทยจะทำอะไรได้มากกว่านี้หรือเปล่าครับ

กษิต – ผมก็คิดว่าเราทุกคนก็มีสิทธิที่จะเขียนไปถึงบุชนะครับ จะถึงชีรักถึงใครเป็นจดหมายเปิดผนึกก็ได้ ก็ชี้แจงว่าข้อเท็จจริงในมุมมองของประชาชน ของฝ่ายอื่นๆ ของสถาบัน ขององค์กรอื่นๆ มันเป็นอย่างไร ก็สามารถจะบอกกล่าวกับเขาได้

คำนูณ – ท่านทูตคิดว่าประชาชนไทยในนามองค์กรใดองค์กรหนึ่งนี่ จะรวมตัวกันทำจดหมายชี้แจงถึงผู้นำนานาชาติต่างๆไม่เฉพาะบุชนี่จะมีไหมครับ

กษิต – ตอนนี้เราอยู่ในโลกาภิวัตน์ เป็นสังคมเปิด เป็นสังคมประชาธิปไตย เราก็มุ่งในเรื่องของประชาธิปไตย ทุกคนก็มีสิทธิที่จะให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ก็มีได้มีจดหมายเปิดผนึกก็ได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร จะจัดประชุมก็ได้ เชิญคณะทูตมาชี้แจงก็ได้ มันทำได้ทั้งนั้นครับ ทุกอย่างทำในขอบข่ายของกฎหมาย ของรัฐธรรมนูญด้วยสันติวิธี และก็เป็นการให้ข้อเท็จจริง

สำราญ – ท่านทูตครับ ฉบับนี้เราถือว่าเป็นหนังสือราชการใช่ไหมครับ

กษิต – ก็ต้องเป็นราชการครับ อะไรที่มันออกมาจากคนที่มีตำแหน่งทางการเมือง นายกฯหรือรัฐมนตรีมันก็เป็นทางการทั้งนั้นแหละครับ มันไม่ได้พูดเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องหมูเรื่องแมวนี่ครับ มันก็เป็นราชการน่ะครับ จะเป็นยังไงมันก็เป็นราชการ เพราะว่าตัวผู้ที่ลงนามคือใครล่ะ เป็นผู้ที่มีตำแหน่งไม่ใช่ตาสีตาสา และก็ในยามที่การเมืองคับขันอย่างนี้ มีการขัดแย้งกันในเรื่องของความคิดมุมมองอะไรต่างๆ และอยู่ดีๆก็มีบุคคลที่มีตำแหน่งสูงของประเทศไปเขียนเกี่ยวกับประเทศของตัวเอง ให้คนอื่นฟังในมุมมองของตัวเอง มันก็ดูไม่ค่อยจะงามครับ มันเป็นศักดิ์ศรีและก็หน้าตาของประเทศด้วย

สำราญ – ส่วนตัวของท่านทูตกษิตเอง ในฐานะที่เป็นอดีตทูตมาเก่านี่ คิดว่าจะทำอะไรต่อกรณีนี้บ้างหรือเปล่าครับ

กษิต – ก็เป็นประชาชนก็ห่วงใยก็มาตลอดครับ ก็โตขึ้นมาในระบอบเผด็จการทหารมาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากจะให้มันมีอะไรถอยหลังเข้าคลอง อยากจะให้สิทธิเสรีภาพ ความเป็นประชาธิปไตยของเรารุดหน้า แล้วก็การทำงานของประเทศไทยก็มีประเพณีทางการทูตที่ยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรักษาประเพณีอันนี้ ความเนี้ยบน่ะครับ ความนุ่มนวล ความเก่งกล้าอะไรต่างๆ และก็ต้องรักษาผลประโยชน์เกียรติภูมิของประเทศชาติ เราถึงไม่ทำอะไรที่มันจะทำให้เราขายหน้า หรือให้คนอื่นเขามองด้วยความสงสัยว่าอะไรเกิดขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

สำราญ – เอาล่ะครับ ก็คงขอบพระคุณท่านทูตกษิตนะครับที่ให้เวลานะครับ กราบขอบพระคุณครับ

กษิต – ครับ สวัสดีครับ