xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “สนธิ” ชำแหละระบอบทักษิณ-ทุนสามานย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 8 ก.ค. เมื่อเวลา 14.30 น. ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้บรรยาสาธารณะเรื่อง "ระบอบทักษิณห่วงโซ่ข้อสุดท้ายของทุนนิยมโลก" โดยมีผู้สนใจเข้ารับฟังเป็นจำนวนมากจนล้นห้องประชุม

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล บรรยายพิเศษ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล บรรยายพิเศษ ช่วงที่ 2

คลิกที่นี่เพื่อชมวิดีโอคลิป คำต่อคำ"สนธิ"ชำแหละระบอบทักษิณ ช่วงที่ 2(56k) | (256K)

สวัสดีครับ วันนี้ขอต้อนรับผู้ที่ไม่มีอาชีพอะไรนอกจากไล่ทักษิณอย่างเดียว วันนี้เราจะไม่ร้องทักษิณ ออกไป วันนี้เราจะมาพูดกันเรื่ององค์ความรู้ เพราะฉะนั้นแล้วผมโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องให้คนฟัง แล้วอายุอานามขนาดนี้ ประสบการณ์เยอะขนาดนี้ ผมยังเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่มีคนอย่างทักษิณ หรือว่าระบอบทักษิณเกิดขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีคนอีกมากยังขาดปัญญา เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อคืนนี้สถานการณ์ให้เราติดดาบปลายปืน ไม่ได้หมายความว่าเราจะมานั่งตะโกนไล่ทักษิณเพียงอย่างเดียว เราต้องติดอาวุธทางปัญญาด้วย ที่สำคัญคือว่า ผมหวังว่าจะมีโอกาสไปนั่งบนลานนวดข้าวในหมู่บ้านสักแห่งหนึ่งเป็นประจำ ที่จะเล่าให้ชาวบ้าน หรือว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารได้รับรู้ว่า ข้อเท็จจริงควรจะเป็นอย่างไรบ้าง พ่อแม่พี่น้องที่นั่งอยู่ในนี้เป็นคนที่โชคดี เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สามารถจะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้

แต่นึกถึงคนอีกมากมายมหาศาลที่ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการปั่นภาพพจน์ของระบอบทักษิณ ที่ถูกปั่นแล้วถูกทำให้เข้าใจผิดอะไรต่ออะไรหลายอย่างจนกระทั่งตัวเองนั้นกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ผมไม่อยากจะใช้คำว่ารากหญ้า ประเดี๋ยวจะเป็นการดูถูกกันจนเกินไป ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นในลักษณะที่ผมเรียกว่า เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร พ่อแม่พี่น้อง วันนี้ เมื่อกี้คุณปุ้ยกับคุณปานเทพบอกว่า เป็นการบรรยายทางวิชาการ จริงๆ แล้วผมไม่อยากให้มันเป็นวิชาการ ผมอยากจะมาเล่าเรื่องให้ฟังดีกว่า เพราะว่าความสามารถทางการรับรู้ข่าวสารและข้อมูลของแต่ละคนมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน บางคนมีพื้นฐานการศึกษาอยู่แล้วสูง บางคนเป็นนักวิชาการเข้ามานั่งฟังผมพูด ก็อาจจะผิดหวังเล็กน้อย หรือผิดหวังมาก เพราะว่าผมคงไม่ได้นำหลักทฤษฎีทางวิชาการมานั่งโต้เถียงกัน บางคนมีความรู้ การศึกษา แฟนประจำผมอาเจ๊ อาซ้อก็เยอะ แต่ว่านั่นไม่ได้แปลว่าการเป็นอาเจ๊ อาซ้อแล้วจะไปจำกัดความสามารถในการสร้างปัญญาได้ เพราะว่าใครก็ตามที่ฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์แล้วตัดสินใจไล่ทักษิณนั้น เป็นคนมีปัญญาทั้งสิ้น

ก็จะขออนุญาตใช้ภาษาที่ธรรมดานะครับ เนื่องจากว่าเรื่องที่จะพูดนี้จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของการสอนวิชาปริญญาเอกของผมที่นี่ ธรรมศาสตร์นะฮะ ในหัวข้อที่ชื่อว่า "การบริหารข้อมูลข่าวสาร" ซึ่งในการสอนวิชาปริญญาเอกและปริญญาโท ก็เป็นการใช้เวลา ถ้าเป็นปริญญาโทก็ประมาณ 18 อาทิตย์ อาทิตย์ละประมาณ 4 ชั่วโมงนะฮะ ก็หมายถึง 72 ชั่วโมง ที่ต้องสอนวิชานี้ ผมพยายามจะมาเล่าให้ฟังให้สิ้นสุดภายในประมาณชั่วครึ่ง หรือ 2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นแล้วมีอะไรหลายอย่างอาจจะต้องพูดข้ามไปบ้าง หรือว่าไม่ลงลึกในรายละเอียด ก็อาจจะทำให้ท่านนักวิชาการบางท่านที่ตั้งใจจะมาฟังนั้นอาจจะผิดหวัง แต่ว่าก็ต้องขอเรียนให้ทราบว่า พูดเป็นภาพรวมให้ทราบนิดหนึ่ง เราจะได้รู้

มันเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์นะฮะ ยิ่งผมศึกษาเรื่องนี้มากเท่าไร พอถึงตอนจบแล้ว ผมมีบทสรุปแล้ว ผมพูดได้คำเดียว ผมพูดได้คำเดียวว่า พระเจ้าอยู่หัวฯเราเนี่ย ทรงพระอัจฉริยภาพจริงๆ เพราะว่าในการศึกษาของผมแล้วก็เอาเหตุผลต่างๆ มาว่า ตลอดจนไล่เลียงเคียงคู่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มาจนกระทั่งปัจจุบันแล้ว สรุปง่ายๆ ผมเห็นด้วยเลยว่า ทางรอดทางเดียวของประเทศไทยก็คือเศรษฐกิจพอเพียง นี่เป็นสัจจธรรมจริงๆ มหัศจรรย์มากจริงๆ แล้วพระองค์ท่านพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ 23 ปีที่แล้ว พระองค์ท่านมีฌาน หรือว่าพระองค์ท่าน ผมคิดว่าพระองค์ท่านใช้ความสมถะ ความสันโดษ แล้วในที่สุดแล้วผมก็ได้ข้อบทเรียน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษานักเศรษฐศาสตร์ของฝรั่งที่เป็นต้นคิดระบบทุนนิยม คือ นายอดัม สมิธ ซึ่งนายทักษิณก็บอกว่าล้าสมัยไปแล้ว นะฮะ ซึ่งเขา นายอดัม สมิธ นี่เป็นคน ช่วงยุคท้ายของกรุงศรีอยุธยา อยู่ประมาณพุทธศักราช 2266 ก็ประมาณสักท้ายๆ กรุงศรีอยุธยา

นายอดัม สมิธ คนนี้ ก็ต้องพูดกันนิดหนึ่ง เป็นคนซึ่งคิดค้นระบบทุนนิยมขึ้นมา เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น อันนี้คือบิดาของระบบทุนนิยมของโลกเลย เขาเป็นคนมีความเชื่อมั่น เขาเชื่อมั่นว่าอย่างไร เขาเชื่อมั่นว่า ที่ใดก็ตามที่มีกำไรที่นั้นจะมีคนลงทุนค้าขาย เพราะฉะนั้นเขาเชื่อมั่นโดยหลักๆ แล้วก็คือว่า ถ้าคนจะค้าจะขายนั้นไม่ควรที่จะให้รัฐบาลหรือว่าใครเข้าไปยุ่ง คือปล่อยให้เขาค้าขายให้เต็มที่ เขาจะกำไรเขาจะขาดทุนเรื่องของเขา แล้วเขาบอกว่า ถ้ามีการค้าขายอย่างเสรีแล้วมันจะเป็นตัวกำหนดราคา ราคาของสินค้า ถ้ามีกำไรเขาจะขายถ้าไม่มีกำไรเขาจะหยุดผลิต นี่คือหลักกว้างๆ ของนายอดัม สมิธ ก็คือว่า อย่าไปแทรกแซงเขา ทำให้เต็มที่

ทีนี้ทำไมนายอดัม สมิธ ถึงมีหลักออกมาแบบนี้ คือโดยพื้นฐานผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ผมมักจะมองเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง มองในมิติของประวัติศาสตร์ ผมจะชอบมองแบบนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง ทางตะวันตกซึ่งเราต้องยอมรับพื้นฐานทางศาสนาเขาก็คือ คริสต์เตียน กับทางตะวันออก คือพื้นฐานทางศาสนาเราคือ พุทธศาสนา หรือว่า ขงจื๊อ เพื่อเป็นการเล่าให้ทราบนิดหนึ่ง ขงจื๊อเกิดมาก่อนพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแล้วหลักจะต่างกัน ทางคริสต์เตียนเขาจะถือว่า ถ้าคุณมีที่อยู่ 1 ไร่ คุณปลูกอะไรก็ตามลงไป ทุกอย่างในที่ 1 ไร่เป็นของคุณหมด เสร็จแล้วคุณเอาเงินไปซื้อที่อีก 10 ไร่ แล้วปลูกกออกมาอีก ทุกอย่างก็เป็นของคุณหมดไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคุณ ซื้อเพิ่มอีกร้อยไร่ ซื้อไปเรื่อยๆ คุณขยันทำงาน คุณตื่นตั้งแต่ตี 4 ตอนเช้าคุณพาลูกพาเมียไป ไปไถนา คุณปลูกต้นไม้ คุณเก็บผลไม้ คุณร่ำรวยแค่ไหนก็ตามไม่มีใครไปยุ่งกับคุณได้ ทีนี้ในหลักพระพุทธศาสนา พุทธศาสนา บอกว่า คุณจะมีเท่าไหร่ทำไป แต่ว่าขอให้คุณแบ่งปัน ขอให้คุณแบ่งปันให้มีความเอื้ออาทร คือในหลักพระพุทธศาสนาคือว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไม่ให้คนรวย พระพุทธเจ้าส่งเสริมให้คนมีเงิน แต่อยากให้มีเงินอย่างมีจริยธรรม เมื่อพูดถึงคำว่า จริยธรรม เราสามารถจะโยงกลับมาในที่สุดของระบอบทักษิณในอนาคตว่า จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้หวงห้ามเลยถ้าคุณทักษิณจะร่ำรวย แต่ว่าถ้าร่ำรวยโดยวิธีฉ้อฉลนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ถูกต้อง นี่คือหลักธรรมขั้นสูง

ที่นี้นายอดัม สมิธ เดิมทีเป็นชาวสกอตแลนด์ พ่อเป็นศุลกากร เรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยกลาสโกลว์ ที่สกอตแลนด์ เป็นคนซึ่งคิดค้นระบบทุนนิยมขึ้นมา ระบบทุนนิยมอันนี้เลยถูกยึดเข้ามาเป็นสรณะในการดำเนินชีวิต อย่าลืมว่าสมัยนั้นกษัตริย์ เจ้าผู้ครองแคว้น ตลอดจนศักดินา ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ยังคงเป็นคนที่กำหนดชะตาชีวิตต่างๆ ต่อจากนายอดัม สมิธ ก็จะมีนักปรัชญาเรื่อยๆ แต่ยังยึดถือเรื่องทุนอยู่ นายจอห์น สจ๊วต มิลล์ ผมจะพยายามพูดภาษาอังกฤษเฉพาะฝรั่งคนที่มีชื่อภาษาอังกฤษ อันอื่นผมจะพยายามพูดภาษาไทย นอกเสียจากว่า ภาษาอังกฤษบางตัวนั้นศัพท์ภาษาไทยไม่มีให้ผมอาจจะพูดทับศัพท์ แต่ผมจะอธิบายความภาษาอังกฤษ ไม่เป็นไรไม่ต้องห่วงครับ สำเนียงผมดีกว่าแซมฮิวส์ตัน สบายใจได้ ทีนี้ผมอยากจะตัดตอนแล้วกัน มาถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดอะไรขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อให้เกิดการล่มสลายของความเชื่อหลายๆ อย่าง ก่อให้เกิดการล่มสลายของระบบกษัตริย์ ก่อให้เกิดการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งเป็นราชวงศ์ของรัสเซีย รัสเซียนั้นก็ปกครองโดยระบบกษัตริย์ นะฮะ ราชวงศ์โรมานอฟก็คือว่า ล้มล่มสลายไป แล้วก็ ถ้าใครเคยติดตามอ่านนิยายหรือดูภาพยนตร์ ก็จะรู้ว่าเจ้าหญิง พระธิดาองค์เล็กของราชวงศ์โรมานอฟ ชื่ออนัสเตเซีย ซึ่งพวกเราบางคนเคยสนใจเพลงฝรั่ง ก็จะได้ยินเพลงฝรั่งที่ชื่ออนัสเตเซีย หรือว่าเคยดูภาพยนตร์ก็จะรู้

ราชวงศ์โรมานอฟล่มสลายเพราะว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์นี่ปลูกฝังและก่อรากสร้างตัวมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว ซึ่งทั้งมาร์กซ์ และแองเกล ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เป็นคนคิดขึ้นมา ในช่วงนั้นเนื่องจากระบบทุนนิยม กับระบบการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 การปฏิวัติอุตสาหกรรมคืออะไร คือการคิดค้นเครื่องจักรขึ้นมาเป็นครั้งแรก เครื่องจักรไอน้ำ ก็เลยอาการของโรงงานทอผ้าที่ใช้เครื่องจักร แล้วก็ใช้แรงงานเด็ก ใช้แรงงานเด็กอย่างโหดร้ายทารุณที่สุด ก็คือว่าเด็กเข้ามาทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะได้นอนต้อง 3 ทุ่ม ได้กินข้าววันละ 2 มื้อ ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่อที่จะเข้าไปสู่ทฤษฎีของนายอดัม สมิธ ก็คือว่าต้นทุนต่ำที่สุด ให้กำไรมากที่สุด ทีนี้การกดขี่ในเชิงการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นระบาดไปเรื่อยๆ

ผมขอทักทายท่านผู้ชมที่ดู ASTV สักนิดนะฮะ ที่อยู่ในต่างประเทศ และที่อยู่ในประเทศไทย และทักทายบรรดาลิ่วล้อคุณทักษิณที่กำลังจับตาดูอยู่ วันนี้ไม่ด่านายคุณครับ ไม่เป็นไรฮะ รอ ยังมีเวลารอวันที่ 14 กรกฎาคม เรายังมีเวลาเจอกันนะฮะ ไม่ต้องกังวลครับ

ทีนี้ ปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 มันก็เลยเกิดการกดขี่ข่มเหงในการใช้แรงงานคน มันก็เลยมีคน มามีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมเนี่ย สังคมมันรวยขึ้นมาเนี่ย ทำความร่ำรวยให้กับ ที่เขาเรียกว่านายทุน ขุนศึก ศักดินา แต่ว่าชนชั้นกรรมาชีพ ก็คือประชาชนเนี่ย ถึงลำบาก เพราะฉะนั้นแล้วนั่นคือที่มาของสัญลักษณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ที่เป็นค้อนกับเคียว นะฮะ ผมจะเอาง่ายๆ นะฮะ จะได้ไม่ต้องสับสน ถ้าใคร อาซ้อ หรืออาแปะคนไหนไม่เข้าใจ ยกมือเลย ผมจะอธิบายให้ฟังนะฮะ ที่มาของตราของคอมมิวนิสต์ก็คือค้อนกับเคียว ค้อนกับเคียวเนี่ย หมายถึงชาวไร่ ชาวนา และกรรมกรที่อยู่ในเมือง ทีนี้ทฤษฎีอันนี้มันแพร่กระจายไปเร็วมาก มันก็เป็นเรื่องของธรรมดา เมื่อคนซึ่งเป็นเจ้าของเงิน เจ้าของทุน แล้วก็ไปรังแกลูกจ้าง อย่างชนิดที่ว่าไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ให้ข้าวกินมื้อหนึ่ง ไม่สบายก็บังคับให้มาทำงาน ทฤษฎีของการที่จะลุกขึ้นมาแล้วก็พลิกฟ้าคว่ำดิน แล้วก็ยึดทุกอย่างให้เป็นของประชาชน ก็คือชนชั้นกรรมาชีพนั้น ก็ย่อมเป็นขนมอันหอมหวานที่ใครๆ ก็อยากจะรับประทาน ก็เลยมีกระบวนการที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซีย ที่เขาเรียกว่า กระบวนการบอลเชวิก หรือว่าพรรคคอมมิวนิสต์ในอิตาลี พรรคคอมมิวนิสต์ในฝรั่งเศส ในยุโรปเกิดขึ้นมาหมด ทีนี้พอสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น

สถานภาพทางเศรษฐกิจมันอ่อนแอลงมาก มันอ่อนแอลงจนกระทั่งเกิดมีความวิตกขึ้น วิตกขึ้นมาว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ ถ้าทุกคนยังใช้ทฤษฎีของนายอดัม สมิธ อยู่ อีกหน่อยจะต้องมีตราฆ้อน ตราเคียวโผล่ขึ้นในทุกประเทศ ก็เลยมีนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเรียนและสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ชื่อนายจอห์น เมนาร์ด เคนส์ นายจอห์น เมนาร์ด เคนส์ เชื่อว่า จริงๆ แล้วทางออกของคอมมิวนิสต์ และทางออกของทุนนิยมที่นายอดัม สมิธคิดมันอยู่ตรงที่ว่า รัฐ ควรมีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงในเรื่องเศรษฐกิจ หมายความว่า ถ้าไม่มีงานให้ทำรัฐต้องเอาเงินไปจ้างคนไปขุดบ่อ เมื่อขุดแล้วเศรษฐกิจยังไม่ลุก ก็จ้างคนเอาดินไปถม ถมแล้วถ้ายังไม่ฟื้นก็ไปขุดต่อ ขุดแล้วไม่ฟื้นก็ถม นั่นคือที่มาของการที่ใช้งบประมาณของรัฐมาทำงานแล้วสร้างงานขึ้นมา ด้วยวิธีการเช่นนี้

นั่นคือที่มาของการ เขาเรียกว่า งบประมาณขาดดุล งบประมาณขาดดุลที่พูด หมายความว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ฟื้นสักที เพราะฉะนั้นแล้วตั้งงบประมาณขาดดุลไว้ คือ รัฐไปขอยืมเงินมา ออกพันธบัตรกู้เงิน แล้วเอาเงินที่ได้มาเอาไปลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อสร้างงานให้คนทำ เพื่อที่จะให้บริษัทก่อสร้างมีงานทำ จ้างพนักงานมา เพื่อให้ร้านขายวัสดุก่อสร้างจะได้ขายวัสดุก่อสร้างได้ เพื่อให้คนมีงานทำมีเงินเดือน ก็จะได้เอาเงินไปซื้อของ โรงงานจะได้ผลิตของออก คือเป็นคนจุดประกายของการลงทุน นั่นคือการตั้งงบประมาณขาดดุล ทีนี้งบประมาณขาดดุล ถามว่าการให้กองทุนหมู่บ้าน การให้อะไรพวกนี้เป็นการที่รัฐเข้าไปแทรกแซง เราบอกใช่ แต่ว่า ของเราใช้งบประมาณศรีธนญชัย ศรีธนญชัย คือว่า แทนที่จะตั้งเป็นงบประมาณขาดดุลให้เห็นแล้วก็กู้มา ไม่ กลับผ่องส่วนที่กู้นั้นไปให้ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นคนปล่อยกู้ไป โดยที่ตัวเลขการปล่อยกู้นี้เขาถือว่าเป็นเงินลงทุนเงินกู้นอกงบประมาณ ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในงบประมาณ เพื่ออะไร เพื่อสร้างภาพ คุณอย่าลืมว่านี้คือกระบวนการปั่นภาพ ซึ่งประเดี๋ยวผมจะอธิบายว่า กระบวนการปั่นภาพมันติดเชื้อดีเอ็นเอ หรือติดสันดานมาจากกระบวนการทางตะวันตกอย่างไรบ้าง เราจะได้เข้าใจทั้งกระบวนการ

ทีนี้นายจอห์น เมนาร์ด เคนส์บอกว่า นอกจากรัฐจะต้องลงทุนในกระบวนการเศรษฐกิจมหภาค สำหรับท่านผู้ฟังที่ไม่เข้าใจเศรษฐกิจมหภาค ก็คือ ภาษาอังกฤษเขาเรียก Macro Economics เศรษฐกิจมหภาค คือ งบลงทุนที่รัฐบาลตั้งเอาไว้ งบก่อสร้าง งบประมาณสร้างเมกะโปรเจกต์ อันนี้เขาเรียกเศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจจุลภาค ที่เขาเรียก Micro Economics คือว่า เศรษฐกิจที่ลงไปสู่จุดย่อย เช่น อุตสาหกรรมร้านก๋วยเตี๋ยว หรือว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ อย่างนี้เขาเรียกว่า จุลภาค มหภาค ก็คือ จุลภาคหลายๆ ตัวมารวมกันกลายเป็นมหภาค เศรษฐกิจมหภาคอันนี้เมื่อเอาเงินรัฐไปลงทุนแล้วยังต้องมีมากกว่านั้นอีก จอห์น เมนาร์ด เคนส์ บอก ตรงกันข้ามกับนายอดัม สมิธ นายอดัม สมิธ บอกว่า เศรษฐกิจนั้นงบประมาณ งบดุลนั้นมันต้องสมดุลกัน ก็คือว่า รายจ่ายกับรายได้มันต้องเท่ากัน นั้นเป็นสิ่งที่ เป็นความฝันของทุกๆ คน เป็นความฝันของพวกเราด้วย เป็นความฝันของคนที่มีลูกมีหลาน เฮ้ยมึงเงินเดือนตั้ง 20,000 แล้วทำไมมึงยังมาขอเงินกูอีกทุกเดือนวะ ทำไมมึงไม่พอใจ บาทนึงก็ไม่ให้กู ทุกเดือนยังมาขอ 5,000 มั่ง 7,000 มั่ง ทำไมไม่มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น นั่นคืองบดุลที่ให้มันพอดีกัน จอห์น เมนาร์ด เคนส์ บอกว่า เดี๋ยวก่อนนายอดัม สมิธ การเป็นรัฐบาลนั้นไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณสมดุลเสมอไป การมีงบประมาณขาดดุลไม่ได้เสียหาย เพราะว่ารัฐบาลนั้นสามารถจะกู้ได้ เมื่อกู้แล้วเอาเงินมาลงทุน เมื่อลงทุนแล้วคนมีงานทำก็จ่ายภาษีมากขึ้น เงินภาษีก็คืนมาให้รัฐบาล รัฐบาลก็เอาเงินภาษีก้อนนี้ไปให้เจ้าหนี้ซึ่งกู้มา นายอดัม สมิธ บอกว่า ไม่ใช่ มันต้องสมดุล เพราะว่าเศรษฐกิจถ้ามันไปไม่ได้ ถ้ามันไม่ฟื้น ก็ให้มันเจ๊งไป นัยของอดัม สมิธ ก็บอกแบบนี้ เขาก็บอกว่าราคานี่จะเป็นตัวกำหนด กำหนดค่าแรง สมมุติเขาบอกว่าวันนี้เศรษฐกิจล่ม ค่าแรงก็จะตกลง จากคนที่มีเงินเดือนเดือนละ 300,000 อ้าว 50,000 ก็รับ พอตกมา 50,000 หาไม่ได้ 20,000 ก็เอา นายอดัม สมิธ ก็บอกว่า ถึงจุดสุดท้ายเพื่อแลกข้าวมื้อหนึ่งเขาก็เอากัน ซึ่งอันนี้ในข้อเท็จจริงนายอดัม สมิธ ก็ผิด แต่ว่ามันเป็นความฝันของคนที่เชื่อในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว อดัม สมิธ ทุนนิยมก็เชื่อในตลาดเสรี ก็คือว่า อยากจะค้าขายอะไร ค้า เป็นการเปิดเสรี งบประมาณที่สมดุล และรัฐบาลไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรเลย ส่วนนายเคน ก็บอกว่าไม่ได้ ถ้ามันไม่ไหว รัฐบาลต้องเข้ามาลงทุน เมื่อลงทุนแล้วถ้ารัฐบาลต้องเป็นหนี้ ไม่เสียหาย ยังมีอีกหลายข้อ เอาเป็นว่านายเคนส์ เนี่ย เขาตั้งเป้าแล้วก็เสนอทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ขึ้นมา ซึ่งตอนหลังเขาก็เรียกทฤษฎีนี้ว่า เคนเซียนทฤษฎีเคนเซียนนี้ก็เลยกลายเป็นคำตอบให้กับประเทศหลายประเทศที่กำลังกลัวภัยคอมมิวนิสต์ กำลังกลัวภัยคอมมิวนิสต์ว่า เฮ้ยตายแล้ว ถ้าหากไม่หาทางที่จะให้ประชาชนมีงานทำ และไม่ดูแลประชาชนให้ดีๆ เนี่ย ทฤษฎีมาร์กซิสต์ หรือคอมมิวนิสต์นี่ก็จะเข้ามายึดครองไปหมด นั่นคือหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นะครับ

ทีนี้ รัฐบาลในทางยุโรป ส่วนใหญ่ก็จะเริ่มใช้นโยบายเคนเซียนกันมากขึ้นๆ เรื่องทุนก็เลยน้อยลงๆ ของนายอดัม สมิธ ก็น้อยลง จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติกัน ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะว่า ฮิตเลอร์ต้องการจะเป็นเจ้าโลก หรือว่าญี่ปุ่นต้องการจะเป็นเจ้าโลกทั้งฝั่งตะวันออก เอเชีย แล้วให้ฮิตเลอร์เป็นฝั่งยุโรป ปัญหาก็คือว่า เมื่อเทคโนโลยีทางด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรมจากก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ไล่มาจนปัจจุบันเนี่ย เครื่องจักรมันถูกพัฒนามากเลย ถูกพัฒนามาก ก็เลยทำให้คนแข่งกันค้าขาย ก็มีความรู้สึกว่า เฮ้ย แล้วถ้าจะค้าขายต่อไปเนี่ย ทรัพยากรจะเอาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ไม่ว่าจะเป็นดีบุก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรืออะไรก็ตาม เหมือนอย่างวันนี้ทุกคนไปตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจต้องโต ถ้าโตแล้ว คำถามทุกคนก็ถาม แล้วกูจะเอาน้ำมันมาจากไหนวะ นี่คือที่มาของ ทำไมจีนกับอินเดียที่ต้องการให้เศรษฐกิจโต ต้องวิ่งทั่วโลก ไปทำไม ไปเซ็นสัญญากับแอฟริกา ขอซื้อน้ำมันแอฟริกา 20 ปี ทำไมอเมริกาต้องบุกอิรัก ก็เพื่อไปยึดบ่อน้ำมันที่นั่น แล้วจะหาเรื่องทะเลากับอิหร่าน เพื่อจะยึดครอง เพื่ออะไร เพื่อที่จะมีการรับประกันแหล่งน้ำมัน แหล่งพลังงาน ประกันไปเพื่ออะไร ประกันไปเพื่อให้มีความมั่นคงของเศรษฐกิจที่โตไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจะอธิบายประวัติศาสตร์กระโดดไปกระโดดมา แต่จะเป็นเรื่องเดียวกันที่เกี่ยวพันกัน

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อประเทศอย่างจีน อย่างอินเดีย วิ่งไปไล่เพื่อขอแหล่งน้ำมัน อเมริกาไปยึดอิรัก นะฮะ วันดีคืนดีเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธมา พวกทุนนิยมกลัวอะไร กลัวว่าขีปนาวุธมันจะไปตกที่ญี่ปุ่น ถ้าตกแล้วญี่ปุ่นมันเจ๊ง ก็หมายความว่าทุนนิยมประเทศในโลกนี้เจ๊งหมด ถูก ไม่ถูก ก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมา ก็เลยทำให้พ่อแม่พี่น้องเมื่อเช้านี้เติมน้ำมันลิตรละ 30 กว่าบาท อีกไม่นานก็เป็น 3 ลิตรร้อย ตรงนี้ไงที่ชี้ให้เห็น ตรงนี้ที่ชี้ให้เห็นถึงความหลงผิด การไม่เข้าใจปัญหาต่างๆ เช่น เราบอกว่า รัฐบาลบอกว่า เราต้องโต 7 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลนายทักษิณเก่งนัก คือ ชอบเอาตัวเลขจีดีพีมาวัด ปีนี้ต้องโต 7 ปีที่แล้วโต 5 เพราะฉะนั้นปีนี้โตมากกว่าปีที่แล้ว 2 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลไม่เคยอธิบายว่า ปีที่แล้วน้ำมันมัน 20 บาท ปีนี้น้ำมันมัน 30 บาท เพราะฉะนั้นที่นายโตมาอีก 2 เปอร์เซ็นต์ 2 เปอร์เซ็นต์ที่โตมาเพื่ออะไร จ่ายค่าน้ำมันที่เพิ่มใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้อะไรเลยเห็นหรือยัง ตรงนี้สะท้อนกลับมาหาเศรษฐกิจพอเพียงอีก เข้าใจหรือยังตอนนี้ โตแล้วอย่างไร โตแล้วต้องมาจ่ายค่าน้ำมันเพิ่ม กลับไม่ต้องโต ลดลง แต่ลดต้นทุนทางพลังงานแล้วไปเพิ่มคุณภาพทางอื่น ทีนี้พอนายเคนส์มาใช้นโยบายอย่างนี้แล้วเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะว่าทุกคนแย่งชิงทรัพยากรกันหมด เมื่อแย่งชิงทรัพยากรกันหมดก็เลยเกิดสงครามโลก

ผมจะไม่เล่าถึงกระบวนการเกิดสงครามโลกว่า จริงๆ แล้วเมื่อเกิดสงครามโลกแล้วตอนสงครามโลกสิ้นสุดลง สิ้นสุดลงเพราะว่าทางฝ่ายพันธมิตรเข้าไปยึดเยอรมนีได้ แล้วทำไมรัสเซียจะต้องรีบบุก ทุกคนเข้าไปแจ้งกรุงเบอร์ลิน แล้วในที่สุดกรุงเบอร์ลินก็เลยเป็นเมืองเดียวที่อยู่ในเยอรมนีตะวันออก ที่ถูกปกครองโดยทั้งพันธมิตร ผมจะเพิ่มเติมให้นิดหนึ่ง อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ พวกเรารู้กันว่า ที่ญี่ปุ่นยุติสงครามเพราะอเมริกาเอาระเบิดปรมาณูไปทิ้งที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ พวกเรารู้ตรงนี้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และนางาซากิแล้ว ญี่ปุ่นยังไม่ยอมแพ้ นี่คือประวัติศาสตร์ทั่วไป ผมเรียนประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มี 2 โรงเรียน โรงเรียนหนึ่งเขาเรียก ประวัติศาสตร์เรียนตามประเพณี ขอประทานโทษใช้ภาษานิดนึง Traditionalist History หมายความว่า เขาว่ามาอย่างไรมึงก็ต้องว่าไปอย่างนั้น แต่ของผมเขาเรียกว่า Revisionalist History คือ ประวัติศาสตร์ทบทวนใหม่ ทบทวนใหม่ที่พวกผมเรียน เรียนในลักษณะที่บอกว่า ที่มันทำกันในอดีตมันต้องมีผลประโยชน์ขัดแย้งมันถึงทำกัน ถ้าไม่เพราะผลประโยชน์มันไม่ทะเลาะกันหรอก ปรากฏว่า พวกประวัติศาสตร์ตามประเพณี บอกว่า อเมริกาต้องทิ้งระเบิดเพื่อให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ พวกผม อาจารย์ผม ที่ผมเรียนปริญญาตรีมา ซึ่งอยู่ในโรงเรียนอันนี้ สมัยโน้น 30 40 ปีที่แล้วมันเป็นแกะดำ พวกผมแกะดำจริงๆ เลย เหมือนอย่างพวกเราที่สู้เพื่อในหลวงตอนแรกๆ ก็แกะดำ ใช่ไม่ใช่ ฉันใดฉันนั้น แต่ขอให้มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่เราทำ ว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องเราไม่ต้องหวั่นไหว แล้วชัยชนะจะเป็นของเรา ไหนผมบอกผมจะไม่พูดการเมืองไง ปรากฏว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คืออเมริกามีข้อดีอย่าง ข้อดีของเขา เอกสารลับทุกอันที่บอกว่า ลับ ลับเฉพาะ ลับสุดยอด พอผ่านพ้นระยะเวลาไป 40 ปี ต้องเปิดหมด 40 หรือ 50 ปีจำไม่ได้ ต้องเปิดหมดนะปิดไม่ได้เลยนะไม่มีสิทธิ์ ปรากฏว่า พวกนักประวัติศาสตร์รุ่นอาจารย์ผมที่ถูกหาว่าแกะดำ ไปค้นเอกสารที่ถูกเปิดมาตอนหลัง เพิ่งจะรู้ว่าญี่ปุ่นมันส่งสัญญาณมาขอยอมแพ้แล้วแต่อเมริกาไม่ยอม อเมริกาต้องการทดลองระเบิดปรมาณูว่ามันใช้ได้จริงหรือเปล่า

นี่ไงที่มา ผมถึงบอกว่า ที่จะเป็นจะต้องมาบรรยายพวกนี้และจะต้องทำต่อไปในอนาคต คือ การสร้างปัญญา สร้างองค์ความรู้ให้พวกเรารู้ทัน รู้เท่า นี่เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นข้อหนึ่ง พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุทธศาสตร์ของทุนนิยมโลก ซึ่งตอนนั้นศูนย์กลายเป็นที่อเมริกาไปแล้ว เพราะอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่ไม่ได้รับความเสียหายจากสงคราม ยุโรปหลายประเทศได้รับความเสียหายหมด เหลือเฉพาะอเมริกาเท่านั้นเอง ก็เลยวางแผนกันว่า จะใช้ญี่ปุ่นเป็นตัวแทนทางตะวันออก เป็นตัวแทนทุนนิยม ไหนๆ ญี่ปุ่นแพ้ไปหมดแล้วก็เลยต้องใช้ญี่ปุ่น โดยที่เขียนรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นใหม่หมดเลย รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นเขียนโดยนายพลดั๊กลาส แมคอาร์เธอร์ แม่ทัพอเมริกาในภาคพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก เขียนว่า ห้ามมีกองทหาร ห้ามไม่ให้มีอาวุธอย่างโน้นอย่างนี้ ให้ยึดถือระบบทุนนิยม แล้วจะต้องค้าขายเปิดเสรี นั่นคือญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังเป็นตัวแทนทุนนิยมทางฝ่ายตะวันตกอย่างเต็มตัว ทีนี้ยุโรปพังทลายไปหมดแล้ว เยอรมันพัง อังกฤษพัง ฝรั่งเศสพัง จะทำอย่างไรถึงจะเอามาแก้ได้ อเมริกาเลยคิดวิธีใหม่ขึ้นมา คิดที่จะให้เงินกู้ เขาเรียกว่าแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของนายพลมาร์แชล ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า มาร์แชล แพลน นายพลมาร์แชล จอร์จ มาร์แชล นี่คือนายพลภาคพื้นยุโรปที่รบอยู่ตอนนั้น เขาก็เอาแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยที่เขาจะเอาเงินเนี่ย เงินกู้เนี่ย ยัดใส่ยุโรปเข้าไป เป็นหมื่นๆ ล้านเหรียญ ระยะยาว 20 ปี ดอกเบี้ย 1 เปอร์เซ็นต์ หรือดอกเบี้ยไม่มี ก็เท่ากับให้ฟรีนั่นเอง และนั่นคือที่มาของธนาคารโลก ธนาคารโลกก็เลยเกิดตอนนั้น เวิลด์แบงก์ เพราะว่าจู่ๆ จะเอามาให้ โดยอเมริกาเอาไปให้ไม่ได้ มันต้องผ่านองค์กรกลาง เขาก็เลยตั้งเวิลด์แบงก์ขึ้นมา แล้วก็ส่งผ่านไป เมื่อส่งผ่านไปแล้ว เขาก็กลัวว่า เฮ้ย ถ้าส่งผ่านไปแล้วเนี่ย ถ้าไม่มีการตกลงกันระหว่างประเทศต่อประเทศ เดี๋ยวไอ้เงินดอยช์มันก็บอกว่า เฮ้ย มึงต้องเอาขนมปังฝรั่งเศสมา 5 ก้อน ถึงจะแลกกับกูได้ 1 ดอยช์ หรือว่า อิตาลีก็บอกว่า ไม่ได้ เอ็งต้องเอาเงินฟรังก์มา 1 ฟรังก์ เพื่อจะแลกพิซซ่าไป 3 อัน ก็เลยต้องตั้งไอเอ็มเอฟขึ้น ไอเอ็มเอฟก็คือหน่วยงานกลางที่จะมาจัดบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน ควบคุมการไหลเวียนของเงินตรา เข้าใจหรือยังฮะ เวิลด์แบงก์ ไอเอ็มเอฟ ซ้อจำไว้แค่นี้แล้วไปเล่าให้ลูกฟัง รับรองว่าลูกตาเหลือกเลย บอก มะ ไปรู้มายังไง บอก เอ็งมันโง่ เพราะเอ็งไม่ได้มาเมืองไทยรายสัปดาห์

ทีนี้ จากการซึ่งเอาเงินทุ่มเข้าไปในยุโรป มันก็เลยเกิดอุตสาหกรรมที่ล่มสลายได้ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ อุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนฮิตเลอร์ อย่างเช่น อุตสาหกรรมครุป เค-อาร์-ยู-พี-พี (KRUPP) ครุป ครุปนี่คืออุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมเครื่องบิน หรือว่าอุตสาหกรรมเบนซ์ รถเบนซ์ อุตสาหกรรมรถโฟล์ก พวกนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว เกิดขึ้นมาใหม่นะ ฝรั่งเศสก็เกิด อังกฤษก็เกิด ยุโรปก็เริ่มโตขึ้นมา แต่ระหว่างที่ยุโรปโตขึ้นมานั้นก็ยังใช้นโยบาย เคนเซียน อยู่ เพราะนโยบายเคนเซียนกำลังเหมาะ เพราะว่าเศรษฐกิจมันเจ๊งหมดใช่ไหม รัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียวก็คือใส่เงินเข้าไปเพื่อลงทุนตลอดเวลา ให้คนมีงานทำ มีงานทำ เพราะฉะนั้นแล้วช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ๆ นี่ เคนเซียน เจริญเติบโตมาก ทุกคนยอมรับว่าเคนเซียน ดี ทุกคนเคนเซียนดี ปรากฏว่าคนที่เชื่อมั่นในระบบทุนนิยมของอดัม สมิธ ก็ต้องหลบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง บอก เฮ้ย รอก่อน ตอนนี้เนี่ยประชาชนยังไม่มีงานทำ ให้ประชาชนมีงานทำก่อน แล้วเราค่อยเข้าไปขายความรู้ความคิดว่า เฮ้ย ไม่ได้นะ ใครใคร่ค้า ค้า อย่ามายุ่งนะ กูจะตั้งราคาเท่าไร ถ้าเอ็งมีปัญญาซื้อ เอ็งไม่มีปัญญาซื้อกูก็ขายไม่ออก กูก็ต้องลดราคาลง คือใช้กลไกการตลาดเข้ามาว่า ทีนี้ พวกอดัม สมิธ นี่เป็นพวกคนรวย คือพวกเจ้าของ นายทุน เจ้าของกิจการ เจ้าของเงิน พวกนี้ก็มีเงินเยอะสิ ก็เลยตั้งสถาบันขึ้นมา สถาบันขึ้นมาก็คือสถาบันส่งเสริมระบบทุนนิยม แล้วก็ใช้สำนักงานใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ ก็คือมหาวิทยาลัยชิคาโก นะฮะ มหาวิทยาลัยชิคาโก คนพวกนี้ก็จะจ้างนักเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์ วิจัย เงินพวกนี้เยอะนี่ ก็ทำได้ จนในที่สุด จนในที่สุดเกิดมาวันหนึ่งภาวะการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ ตกต่ำ รัฐบาลช่วยยังไงก็ช่วยไม่ได้ เหตุผลที่ตกต่ำก็เพราะวา เคนเซียน นั้นได้ส่งเสริมให้เกิดรัฐสวัสดิการขึ้นมา รัฐสวัสดิการแปลว่าอะไร แปลว่าทุกคนต้องเป็นสมาชิกสหภาพหมด ถ้าสหภาพบอกสไตรค์ ก็สไตรค์ ถ้าสหภาพบอกให้หยุดงานก็ต้องหยุดงาน เพราะฉะนั้นแล้วในยุโรปนั้น ก็เลยมีคน ประชาชนซึ่งใช้บริการ เบื่อหน่ายกับพวกสหภาพ ซึ่งพวกอดัม สมิธ ก็บอก อันนี้คือผลพวงของเคนเซียน ภาพที่เห็นนี่เป็นเศรษฐกิจตกต่ำในอเมริกา ปี 1930 นั่นคือที่มาของเศรษฐกิจของอเมริกาและทั่วโลกล้ม 1930 นั่นก็คือ 2543 พ่อแม่พี่น้องจำไว้ดีๆ นะ เศรษฐกิจพังหมด พังหมดเพราะว่าทฤษฎีของอดัม สมิธ ไง นั่นคือที่มาว่าทำไมคนถึงต้องใช้เคนเซียน

1930 + 543 = 2473 พ่อแม่พี่น้องดูดีๆ นะ เศรษฐกิจพัง 2473 ในอเมริกา มันใช้เวลา 2 ปี ใช่ไหม กว่าจะเดินทางมาถึงประเทศไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 จำได้เปล่า เพราะอะไร เพราะเทคโนโลยี ต้มยำกุ้งของเมืองไทยเกิดกรกฎาคม 2540 ไม่เกิน 24 ชั่วโมง หลายประเทศในเอเซียเจ๊งพร้อมกันหมด เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อเวลามันบีบเข้ามามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเร็ว ขอนอกเรื่องนิดนึงทุกท่านจะได้เข้าใจ 20 ปีที่แล้วเราจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปอเมริกา เอกสารไป เราส่งไปทางไปรษณีย์ กี่วันไป 7 วัน ตีซะว่าเขาได้รับจดหมายภายในวันที่ 7 เขาขยันเขาไม่กินไม่นอน เขาตอบจดหมายเรา เขาส่งกลับมาอีกกี่วัน ใครมีเครื่องคิดเลขช่วยคิดหน่อย เอา 14 คูณ 24 ชั่วโมง คูณ 60 นาที เป็นกี่นาที ใครมีเครื่องคิดเลขคิดให้หน่อยครับ 28,800 รึเปล่า ใช่ไหม เดี๋ยวค่อยบอกก็ได้ไม่เป็นไร พอผ่านไปสักพักหนึ่ง มีเครื่องแฟกซ์ คุณส่งเอกสารแฟ็กซ์ 1 แผ่นไปอเมริกา สอดปุ๊บกดปุ๊บรอมันตื๊ด ตื๊ดไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าเพื่อความยุติธรรมประมาณ 3 นาทีได้ไหม ได้หรือยังครับ 28,800 รึเปล่า เท่าไหร่นะครับ 21,000 20,160 วันนี้เรา จดหมายฉบับนั้นเราส่งเป็นอีเมล์ พอเรากดเซ็นด์คลิ๊ก 1 นาที เอา 1 นาทีของวันนี้มาเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แปลว่าอะไร แปลว่า 20 ปีที่แล้ว ธุรกรรมที่ทำวันนี้ 1 รอบ 20 ปีที่แล้วทำได้ 20,160 รอบ นั่นรวมไปถึงอะไร รวมไปถึงสมัยก่อนผมไปเรียนสหรัฐอเมริกา ผมไปตั้งแต่ผมอายุ 19 ปีนี้ 59 40 ปีที่แล้ว ไอ้นี่ไม่มีหรอก โทรศัพท์กลับบ้านยังไม่สามารถจะหมุนตรงจากห้องเลย ต้องหมุน 0 เข้าไปต่อชุมสาย แล้วบอกเขาว่าผมต้องการโทรกลับไปประเทศไทย เขาบอกว่าเบอร์อะไร พอบอกเบอร์เสร็จเขาบอกวางหูก่อน วางหูเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาค่อยต่อกลับมา สมัยผมไม่มี สมัยนี้ใครก็ตามมีลูกหลานอยู่เมืองนอกสักพักหนึ่ง เฮียเช็คหน่อยซิมันไปเที่ยวหรือเปล่า เฮ้ยอาตี๋มึงอยู่ไหนวะ ผมดูหนังสือ ดูหนังสือห่าอะไรเสียงทำไมมันดัง มีเพลงมีเพลิง มึงทำอะไรอยู่ หรือไม่ก็ แม่ แม่หนูหนาว ทำไมล่ะ ไม่มีเงินซื้อเสื้อหนาว ขอเงินแม่ ปรากฏว่าแม่แสบ ส่งผ้าห่มไปให้ ไม่ส่งเงินแต่ส่งเสื้อหนาวไปให้

เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า เทคโนโลยีมันบีบให้คนต้องหมุน ใครที่เคยฟังผมพูดจะจำได้ โทรศัพท์ผมไม่เคยเปิดเสียงเลยนะ เพราะทำไมรู้ไหม ผมไม่ต้องการให้มันเป็นเจ้านายผม ผมต้องการเป็นเจ้านายมัน ผมใส่ในกระเป๋า ผมอยากจะดูว่ามีใครโทรมาบ้าง ผมจะดูเมื่อผมมีอารมณ์อยากจะดู เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราก็เลยตกเป็นทาสของเทคโนโลยี มันเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ทีนี้มันเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันเกิดอะไรขึ้น มันเท่ากับเรื่องที่ไร้สาระพวกเราไปทำให้มันมีสาระ เท่ากับเราไปเร่งความเร็วของมัน ทำให้เราต้องไปเผาผลาญทรัพยากรที่ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญ แทนที่เราจะประหยัดได้เราไม่ นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เห็นได้ชัดๆ ชัดจริงๆ เลย เพราะฉะนั้นแล้วคิดดูก็แล้วกัน ทำไมเราถึง คนเฒ่าคนแก่ถึงบอกว่า สมัยก่อนลุง ป้ามีความสุขเหลือเกิน ต้องมีซิ เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความสงบ เรามีเทคโนโลยีแล้วเราไปเชื่อบอกว่า เราก้าวหน้า แต่เราทุกข์ฉิบหายเลย เห็นหรือยัง นั่นก็โยงกลับมาที่เศรษฐกิจพอเพียงอีก เห็นหรือยัง ความสุขอยู่ที่ไหน นี่ไง เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด ว่าเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้วเนี่ย อเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของทุน และเป็นต้นๆ ของการกระจายระบบทุนนิยม ก็เอาญี่ปุ่น เอายุโรปมา ทีนี้พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร มันเกิดสิ่งที่เขาเรียกว่าสงครามเย็น นะฮะ สำหรับพ่อแม่พี่น้องที่ไม่เข้าใจคำว่าสงครามเย็น ผมจะเล่าให้ฟัง

เนื่องจากว่าในโลกในยุคนั้น มันมีแบ่งออกเป็น 2 ค่าย ค่ายหนึ่งเนี่ย ก็คือค่ายที่เขาอ้างว่าโลกเสรี เสรีก็คือเสรีในการขูดรีด ไม่ใช่เสรีแบบเสรีจริงๆ ไม่ใช่เสรีแบบเสรีจริงๆ นะฮะ คือคำจำกัดความบางอย่างนี่เราต้องตีความให้ถูก สมมุติว่าเราเรียกไอ้นี่ว่าผู้ก่อการร้ายที่อิรัก ก็ถามต่อ ไอ้หมอนี่เป็นผู้ก่อการร้ายที่อิรัก แต่คนอิรักเรียกมันว่ามันเป็นวีรชน อ่ะ เห็นหรือยัง ขึ้นอยู่กับมิติของแต่ละคน ใครจะมองแบบไหน ใช่ ไม่ใช่ เหมือนอย่างคุณบอกว่า คุณเนี่ยติดคุก คุณนอนในห้องขัง คุณติดคุก แต่ว่าคนบางคนได้ผัวไม่ดี ได้เมียไม่ดี ติดคุกตลอดชีวิตหรือเปล่า ก็เหมือนกัน ใช่ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปเอาอะไรก็ตามที่มันเป็นวัตถุ แล้วมากำหนดกรอบของจิตวิญญาณ เห็นหรือยัง ทุนนิยมเนี่ยจะเอาวัตถุมาเป็นตัวกำหนดกรอบของจิตวิญญาณ ทีนี้พอมันมีเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ในช่วงนั้นยุโรปก็ใช้ระบบเคนเซียน เอ่อ เดี๋ยวยังไม่จบ อีกค่ายหนึ่งก็คือค่ายคอมมิวนิสต์ ค่ายคอมมิวนิสต์ก็คือรัสเซีย นะฮะ เป็นพี่เอื้อย ทางตะวันออกก็มีจีน มีเวียดนาม แล้วในที่สุดก็ลงมายังเขมรและก็ลาว ณ วันนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ ปรากฏว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นการต่อสู้ระบบทุนเสรี กับระบบผูกขาดวางแผนทุน ต่างกันตรงไหน ต่างกันตรงที่ทางตะวันตกนั้นต้องการให้ทุกคนเปิดประเทศ เอาทุนยัดเข้าไปเพื่อให้ตัวเองค้าขายได้ แต่ว่าทางคอมมิวนิสต์บอกว่าไม่ได้ เศรษฐกิจต้องวางแผนจากตรงกลาง ตรงกลางก็คือว่า ตรงกลางจะสั่งว่าปีนี้ถนนเส้นนี้ถึงจะสร้างได้ ปีหน้าโรงเรียนตรงนั้นจะสร้างได้ ปีนี้จะมีรองเท้าผลิตออกมาล้านคู่ เพราะฉะนั้นแล้วใครจะซื้อรองเท้าไปจองเอาไว้ก่อน นี่คือเขาเรียกว่าเศรษฐกิจวางแผน นะฮะ ซึ่งภาษาอังกฤษ ขออนุญาต เขาเรียกว่า Plan Economy ส่วนของทางตะวันตกเขาเรียกว่า เศรษฐกิจทางตลาด Market Economy คือให้ตลาดเป็นตัวกำหนด

ปรากฏว่าสงครามเย็นที่ทะเลาะกัน ก็ทะเลาะกันเรื่องนี้ ทะเลาะกันเรื่องนี้ จนในที่สุด นี่ผมพยายามตัดตอนให้มันสั้นลงๆ จนในที่สุดทางยุโรป ซึ่งมีสหภาพที่ใช้นโยบายเคนเซียน คนเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา คนเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมา ก็เลยมีผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ที่อังกฤษ เซ็งพวกสหภาพ เพราะว่าถ้าคนที่มีอายุมาก แล้วเคยเดินทางไปทางยุโรปตอนนั้นจะจำได้ วันดีคืนดี พอเครื่องบินลงที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล เนี่ย แอร์บอกว่า ขอแสดงความเสียใจหน่อยนะคะ วันนี้สนามบินสไตรค์ เดี๋ยวเจ้าพนักงานที่ขายตั๋วเราและเช็กอินเรา เขาจะมาเปิดเครื่องที่ใต้ท้อง เอากระเป๋าลง แล้วก็ลากกระเป๋ากันเองนะคะ ก็มีคนลากกระเป๋าจากลานบินเข้าไปข้างใน เสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่า รถแท็กซี่สไตรค์อีก นี่ มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา มันก็เลยเกิดความเบื่อหน่าย และงบประมาณส่วนหนึ่งก็ถูกเอาไปใช้ในแง่ของสวัสดิการอย่างมากจนเกินไป คือจริงๆ แล้วในที่สุดเนี่ย ทุกอย่างมันสุดโต่งหมด นายทักษิณก็สุดโต่ง ไอ้นี่ก็สุดโต่ง ไม่มีใครเข้าใจคำว่าสายกลางจริงๆ เข้าใจอยู่อย่างเดียว เข้าใจอยู่อย่างเดียว พอผมบอกให้เลือกข้าง เขาบอกว่า ผมไม่เลือก ผมอยู่กลางๆ มึงอยู่กลางได้ยังไง ไม่มี โลกนี้ไม่มีคำว่ากลาง มีแต่ผิดกับถูก ใช่ ไม่ใช่

เอาล่ะ ก็ปรากฏว่า นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ก็เลยทำลายระบบสหภาพลงไปเลย พอทำลายระบบสหภาพ เผอิ๊ญ เผอิญ เป็นความโชคร้ายของระบบเคนเซียน เพราะว่าอะไร เพราะว่าเกิดวิกฤติน้ำมันขึ้นมาในปี ค.ศ. ประมาณ 1970 กว่า น้ำมันมันเกิดขึ้นราคาแพงขึ้นมาเลย เอ้า ตายห่า มันสวนทฤษฎีเคนเซียนหมดเลย มันสวนยังไงล่ะ มันสวนบอกว่า เงินก็ไม่เฟ้อ แต่ของแพง เงินไม่มีออกมา คนก็ตกงาน แล้วจะทำยังไง ตกตรงกันข้ามทฤษฎีเคนเซียนหมด ก็ถึงเวลาที่ลูกน้องนายอดัม สมิธ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ แล้วเผอิญนายอดัม สมิธ เขามีลูกศิษย์ลูกหารุ่นหลัง รุ่นเหลนๆ ก็คือ เขาตายไปแล้ว 200 กว่าปี ชื่อ ศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) มิลตัน ฟรีดแมน ก็เลยเขียนทฤษฎีเรื่องเกี่ยวกับ เศรษฐกิจทุนนิยมเสรียุคใหม่ ซึ่งภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Neo Liberalism เศรษฐกิจทุนนิยมเสรียุคใหม่ ได้รับรางวัล Nobel Prize ไป พอได้รับรางวัล Nobel Prize แล้ว คนเขาก็เริ่มขายความคิดนี้ออกไป บอกว่า ไอ้ที่มันลำบากกันมาช่วงหลังๆ นี่ สหภาพมีปัญหานี่ ทำให้ต้นทุนแพง ทำให้พวกคุณต้องลากกระเป๋ากันเอง ก็เพราะว่าตลาดมันไม่เสรีจริง

เพราะฉะนั้นต้องทำให้ตลาดมันเสรี ประกอบกับช่วงนั้นประธานาธิบดีรอนัลด์ รีแกน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นายรอนัลด์ รีแกน ตอนนั้นเศรษฐกิจอเมริกาฟุบมากเลย ฟุบก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร ก็เลยใช้นโยบายเศรษฐกิจเสรี คือว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน รัฐบาลเงินก็ไม่มีลดภาษีให้อีก ลดภาษีให้คนรวย ลดภาษีให้อุตสาหกรรม เพื่อให้คนรวยนั้นเมื่อลดภาษีแล้วเอาเงินส่วนลดไปลงทุนเพิ่มเพื่อที่จะสร้างงานขึ้นมาเรื่อยๆ เศรษฐกิจอเมริกาเลยฟื้นขึ้นมา ทุกคนเลยเทไปหาทฤษฎีเศรษฐกิจทุนนิยมเสรียุคใหม่ เห็นว่าอันนี้คือหลักการของพระผู้เป็นเจ้าแล้วที่จะต้องบุกเข้าไปได้ จุดเปลี่ยนแปลงของโลก เปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณ ปี ค.ศ.1989 2522 ใช่เปล่า ไม่เป็นไรอย่าไปถือสา คิดซะว่าเป็นการคุยกันระหว่างพี่น้อง ไม่มีฟอร์ม 2532 ใช่มั้ย จุดเปลี่ยนแปลงตรงนั้น จริงๆ แล้วก่อนที่จะมีจุดเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มาก ก็คือ การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศรัสเซีย ที่เขาเรียกว่า กำแพงเบอร์ลินล่มสลาย ขออธิบายให้ท่านที่ไม่เข้าใจทางนี้หน่อย ท่านที่ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ ตอนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จบวันนั้น รัสเซียยกกำลังทหารมายึดเยอรมัน พันธมิตรยกกำลังทหารเข้าไปยึดเยอรมัน ประจันหน้ากันก็เลยต้องแบ่งเป็นตะวันออกและตะวันตก แต่เผอิญมีเมืองเมืองหนึ่งซึ่งมีฐานพันธมิตรอยู่แล้ว ยึดอยู่แล้วเมืองนั้นแต่อยู่ในเขตตะวันออก เขาเรียกว่า กรุงเบอร์ลิน เพราะฉะนั้นกรุงเบอร์ลินก็เลยเป็นเมืองเดียวในเยอรมันตะวันออกที่ใช้นโยบายของตะวันตก แต่วิธีไปที่นั่น ส่งของต้องใช้เครื่องบินตลอด ติดต่ออะไรกันไม่ได้ ก็จะมีกำแพงล้อมรอบเมืองเบอร์ลิน จะมีพวกคนที่อยู่ในเยอรมันตะวันออกหนีเข้ากรุงเบอร์ลินตลอดเวลา แต่มีกำแพงกั้น เขาเลยเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน

เพราะฉะนั้นกำแพงเบอร์ลินมันเป็นสัญลักษณ์ที่อเมริกาชอบเอามาใช้ว่า คอมมิวนิสต์รัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์เผด็จการ นี่คือกำแพงเผด็จการ นั่นคือที่มาของ ก่อนหน้านั้นใช้คำว่า หลังม่านเหล็ก แล้วพอมาจีน จีนมันมีต้นไผ่เยอะ เลยเรียกว่า หลังม่านไม้ไผ่ ถ้าเป็นไทยไม่รู้จะเรียกหลังม่านอะไร แต่ว่าช่างมัน ก็เล่าให้ฟัง วันนั้นเป็นวันล่มสลายของคอมมิวนิสต์ ทำไมคอมมิวนิสต์ถึงล่มสลาย เพราะว่าคอมมิวนิสต์นั้น รัสเซียถูกอเมริกายุยงส่งเสริมให้แข่งขันกันสร้างอาวุธ เพราะสมัยก่อนมีการใช้อาวุธขู่กัน รัสเซียมีปืนกระบอกนึงอเมริกามีกระบอกนึง รัสเซียบอก มึงปืนน้อยกว่ากูกูเท่ามึงกูเพิ่มอีกกระบอกอเมริกาก็เพิ่มอีกกระบอก ใครเพิ่มอะไรตรงนี้อีกฝ่ายก็เพิ่มทันที เพิ่มกันไปเรื่อยๆ นั่นคืออาวุธนิวเคลียร์ เฮ้ยข้ามีอาวุธนิวเคลียร์ ข้ายิงจากมอสโกมาถล่มนิวยอร์กได้ อเมริกาบอกว่า ข้าผลิตจรวดนำวิถีข้ามทวีป ข้ายิงจากเท็กซัสไปถล่มที่ยูเครนได้ เอาข้ามี 5 ลูก ข้าก็ผลิตได้อีก 5 ลูกแข่งกันตลอดเวลา ทีนี้การแข่งขันในลักษณะลงทุนทำพวกอาวุธมันไม่ได้มีการเอาเงินไปลงทุนในเรื่องผลผลิต รัสเซียจะโชคร้ายกว่าอเมริกาตรงว่า เนื่องจากรัสเซียมีเครือข่ายคอมมิวนิสต์อยู่เยอะ ต้องส่งเงินไปสนับสนุนช่วยเหลือตลอดเวลา เช่น คิวบา คิวบา รัสเซียต้องให้เงินสนับสนุนทุกปี เพื่อแลกกับสินค้าอะไร ซิการ์ รัสเซียจะเอาซิการ์ไปทำอะไร แต่อเมริกาไม่ได้ให้เงินสนับสนุนแต่ให้นักลงทุนมาลงทุนในประเทศ อย่าง ประเทศไทย ญี่ปุ่น แล้วนักลงทุนก็ขนเงิน ขนทรัพยากรกลับไปอเมริกา เพราะฉะนั้นอเมริกา สถานภาพทางการเงินจะแข็งกว่ารัสเซีย เลยทำให้รัสเซียล่มสลายเร็ว ทีนี้พอล่มปังปั๊บ กำแพงเบอร์ลินแตก คือช่วงยุคนายเบสที่เป็นนายกรัฐมนตรีรัสเซียคนสุดท้ายที่กำแพงเบอร์ลินตะวันออกพัง พอกำแพงเบอร์ลินตะวันออกพังก็เลยมีคนมีความคิดใหม่ เป็นคนญี่ปุ่นเกิดที่อเมริกา ชื่อนายฟรานซิส ฟูกูยามา นายฟรานซิส ฟูกูยามา เลยเขียนหนังสือขึ้นมา 1 เล่ม ชื่อว่า จุดจบของประวัติศาสตร์และมนุษยชาติ ภาษาอังกฤษเรียกว่า The End of History and Mankind. นัยเขาบอกอย่างนี้ ให้จบแล้วตอนนี้ จากนี้ไป โลกก็คือตลาดเสรี ทั้งโลก ตลาดเป็นหนึ่งเดียวกันหมดแล้วตอนนี้ เพราะฉะนั้นแล้วไม่มีแบ่ง ไม่มีคอมมิวนิสต์ ไม่มีอะไรอีกแล้ว มีอยู่อย่างเดียวคือตลาดเสรี นะฮะ เขาเรียกว่า Free Market, World Market ทีนี้ เมื่อนายคนนี้เขียนจบเล่มนี้ ก็มีอีกคนหนึ่งเขียนขึ้นมา

อาม่าจำไว้ดีๆ นะ เอาให้ลูกตกเก้าอี้จริงๆ เลยนะ คนๆ นี้ ชื่อนายซามวล ฮันติงตัน เขียนหนังสือว่า The Crash of Civilization การปะทะกันระหว่างอารยธรรม คนๆ นี้เขาบอกปฏิเสธกับนายฟรานซิส ฟูกูยามา เขาบอกว่า เฮ้ย ที่เอ็งพูดเนี่ยไม่ใช่หรอก ที่จริงแล้วเนี่ย เมื่อโลกนี้จบแล้ว มันจะเป็นการปะทะกันระหว่างอารยธรรมตะวันตก ซึ่งตัวแทนก็คือศาสนาคริสต์ และอารยธรรมมุสลิม มุสลิมกับคริสต์จะปะทะกันหนัก จริงๆ แล้วไม่มีใครผิดจะถูกด้วยกันทั้งคู่ ถูกด้วยกันทั้งคู่ พอนายซามวล ฮันติงตัน นายฟรานซิส ฟูกูยามา มีทฤษฎีนี้ขึ้นมา ก็ปรากฏว่ามีนักเศรษฐศาสตร์ของอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อนายจอห์น วิลเลียมสัน

ในปี 2532 เขาได้คิดทฤษฎีใหม่ขึ้นมาทฤษฎีหนึ่ง ทฤษฎีนั้นชื่อว่า ฉันทามติกรุงวอชิงตัน ฉันทามติวอชิงตันนี่ เนื่องจากว่าประชุมที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แล้วนายคนนี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ คิดออกมาเลยว่า เฮ้ย ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว นโยบายที่ทางตะวันตก คืออเมริกา ต้องมีต่อโลกนี้ จะต้องเป็นไปดังต่อไปนี้

ฉันทามติกรุงวอชิงตัน โดยหลักๆ แล้ว หลักๆ เลยจะมีอยู่ 4 ข้อ ข้อแรกก็คือว่า เปิดเสรี ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Liberalization เปิดเสรีให้หมด ห้ามปิด ถ้ามันไม่เปิดบีบให้มันเปิด ถ้ามันมีปัญหาอะไรก็เอาขนมหวานไปล่อมัน แล้วตีกระบาลมันทีหลัง ข้อที่ 2 คือ เสถียรภาพ Stabalization แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าเปิดเสรีแล้ว พวกมันจะเข้า จะต้องมีเสถียรภาพทางการเมือง เสถียรภาพทางการเมืองคืออะไรบ้างล่ะ ก็คือว่า รัฐบาลต้องมีการเลือกตั้ง ต้องมีรัฐสภา แต่จะซื้อเสียงยังไงเข้ามา จะโกง จะซื้อ ส.ว. จะทำองค์กรต่างๆ มันไม่สน ขออย่างเดียวให้มีแล้วกัน ให้มีองค์กรที่ถูกกฎหมายที่กูจะคุยกับมึงได้ในทางสากล นั่นคือที่มาของ Stabalization อันที่ 3 ก็คือการแปรรูป Privatization ก็คือว่า อะไรก็ตามที่เป็นสมบัติของแต่ละประเทศ ที่มันกอดไว้กับอกเนี่ย แกะมันออกซะ แปรรูปซะ แล้วก็ให้เอกชนเข้าไปซื้อ เอกชนก็คือพวกเขา หรือตัวแทนพวกเขา อันสุดท้ายก็คือ ให้ลดกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่มีอยู่ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Deregulation นี่ก็คือฉันทามติกรุงวอชิงตัน น่าสนใจ น่าสนใจตรงไหนรู้ไหม น่าสนใจตรงที่ว่า ฉันทามติกรุงวอชิงตันออกมาตอนนั้นเนี่ย เป็นช่วงของการที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา มีการแข่งขันกัน คนที่เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ชื่อนายบิล คลินตัน

ผมจะเล่าตำนาน ไม่ใช่ตำนาน เป็นเรื่องจริงของการเลือกคนที่จะสมัครประธานาธิบดีของอเมริกาให้ฟัง ก่อนที่นายบิล คลินตัน จะเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเข้ามาชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์ ใครเป็นคนสอบสัมภาษณ์เขา เขาถูกเชิญให้ไปทานข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารที่เรียกว่า Club 21 ภาษาอังกฤษเขาเรียก Club Twenty-One ที่เกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก ใครบ้างนั่งในนั้น นายทุนอเมริกาทั้งนั้นเลย นายทุน นักวานิชธนกิจ นายโรเบิร์ต รูบิน นายโรเบิร์ต รูบิน ในตอนหลังก็มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตอนนั้นเป็นประธานกรรมการบริษัท โกลเมน แซกส์ คือล้วนแล้วแต่พวกประเภทอู้ฟู่ คุมเงินถุงเงินถัง คุมตลาดหลักทรัพย์อเมริกา คุมตลาดพันธบัตรอเมริกา เขาก็ถามนายบิล คลินตัน ว่า ปรัชญาของคุณในการที่คุณจะต้องเข้าไปบริหารอเมริกานั้น คุณมีต่อการค้าเสรียังไง นายบิล คลินตัน ก็ท่องฉันทามติกรุงวอชิงตันให้ฟัง ก็ผ่าน ไฟเขียว ก็เลยได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต แล้วในที่สุดก็ได้มาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ตอนนั้น เพราะฉะนั้นแล้วนายบิล คลินตัน คือตัวแทนของทุนที่แท้จริง แต่มาในรูปแบบของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จำให้ดีๆ นะ จำได้ไหมในช่วงนายบิล คลินตัน ที่เป็นประธานาธิบดีอยู่ 2 สมัย 8 ปี เขาทำอะไรบ้าง เขาจะพูดตลอดเวลาเลยว่าขอให้เปิดเสรี ขอให้เปิดเสรี มันดีกับประเทศไทย มันดีกับจีน มันดีกับอินเดีย มันดีกับทุกคน เปิดเสรี ผมก็เปิดเสรีของผมให้คุณบ้าง นั่นคือที่มาของในการเริ่มที่จะพิจารณาในการค้าเสรีอยู่ ที่อยู่ในกรอบของดับบลิวทีโอ

คือพวกทุนทั้งหลาย ทุนทั้งหลายคือบริษัททั้งหลายเนี่ย รวมหัวกัน แล้วก็บอกอเมริกา บอกว่า เฮัย เอ็งเป็นหัวหอกหน่อยได้ไหม เพราะว่าสมัยก่อนนั้นมีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยองค์กรอันหนึ่งที่เขาเรียกว่า แก็ต

แก็ต เนี่ยมันคุยกันแล้วยังไม่จบ มันรอบสุดท้ายแล้ว พอหมดจากแก็ต ให้เกิดดับบลิวทีโอได้ไหม วิธีการก็คือว่า เอาโลกทั้งโลกมารวมกัน แล้วบอกว่า เฮ้ย ทุกคนเปิดเสรีหมดนะ เอ็งอยากได้อะไร เดี๋ยวข้าจะให้ ส่วนข้าอยากได้อะไร เอ็งก็ให้ข้า เอ็งไม่เต็มใจให้ เอ็งบอกมาทำไมไม่เต็มใจ มาต่อรองกัน ตลอดเวลานะฮะ มันเป็นเวรเป็นกรรมของชาติบ้านเมือง ทุกครั้งที่มีการเจรจาระดับโลกที่ต้องเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ คนไทยที่ไปเจรจา จะกลายเป็นคนสมองหมาปัญญาควายไปทุกคน วันนี้เขาบอกให้ผมพูดจบประมาณ อีก 15 นาที อยากฟังต่อหรือเปล่า ถ้าอยากฟังต่อขออนุญาตผู้พูดลุกขึ้นไปเยี่ยวซะหน่อยได้ไหม ขอเวลา 10 นาทีแล้วกลับมาเจอกัน

(จบช่วงแรก)

(ช่วงสอง)
ขอประทานโทษครับท่านผู้ชมที่อยู่ทางบ้านและท่านผู้ชมที่อยู่ที่นี้ เมื่อกี้มีคนแจ้งมาบอกว่า คุณสนธิใช้คำพูดไม่เพราะว่าเยี่ยว ผมต้องขอโทษครับจากนี้ไปจะไม่ใช้คำว่าเยี่ยวอีกแล้ว ถ้าผมจะเยี่ยวผมจะไปปัสสาวะ ขอโทษที่ย้ำคำว่าเยี่ยว จะไม่พูดคำว่าเยี่ยวอีกแล้วครับ เอาละครับต่อครับ ทีนี้องค์กรการค้าระหว่างโลก เวิล์ดเทรดออร์เกไนเซชั่น (ดับเบิ้ลยูทีโอ) จุดสำคัญที่สุดคือตอนเกิด ที่ตอนเกิด คือการร่างโครงสร้างต่างๆ จะเป็นใครไมได้จะต้องเป็นตัวแทนทุนนิยมตะวันตก นั่นคือที่มาว่าทำไม คนที่ติดตามข่าวจะเข้าใจว่า ทำไมนายไมเคิล มัวร์ ถึงได้เป็นผู้อำนวยการคนแรก นายไมเคิล มัวร์ คืออดีตนายกรัฐมนตรีประเทศนิวซีแลนด์ ศุภชัย พานิชภักดิ์ ก็เข้าไปชิงด้วย ประเทศด้อยพัฒนาก็สนับสนุนศุภชัย ประเทศทุนสนับสนุนไมเคิล มัวร์ ทำไมต้องไมเคิล มัวร์ เพราะไมเคิล มัวร์ นั้นตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศนิวซีแลนด์เปิดเสรีประเทศนิวซีแลนด์ทุกอย่าง ตรงตามปรัชญาของฉันทามติกรุงวอชิงตัน อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สนับสนุนไมเคิล มัวร์หมดเลย ไมเคิล มัวร์ ก็เลยประนีประนอมประเทศด้อยพัฒนา ก็เลยตกลงว่าจะเป็น 2 ปี อีก 2 ปีจะให้คุณศุภชัยเป็น ปรากฏว่านายไมเคิล มัวร์ เข้าไป 2 ปี ไปทำโครงสร้างตามที่ทุนนิยมตะวันตกต้องการทำ เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดร.ศุภชัยเข้าไปทีหลังก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามโครงสร้างอันนั้นไป แต่เผอิญในช่วงที่เจรจารอบแก็ตตรงนี้ ประเทศด้อยพัฒนามีความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบมากทุกคนเลยรวมตัวกันเพื่อต่อรอง ต่อรองให้เข้มแข็งเข้มงวดขึ้นเพื่อให้แต่ละประเทศได้ผลประโยชน์มากขึ้น ถ้าจำไม่ผิด หัวหอกในการต่อรองนั้นก็คือ รัฐมนตรีการค้าของมาเลเซีย ชื่อนางราฟิดา ไม่ใช่คนไทย กลายเป็นมาเลเซียต่อรองหนัก ในที่สุดการเจรจาก็เลยหยุดชะงัก พอหยุดชะงัก ไม่เดินหน้าไปไหน ไอ้ทุนที่อยู่ทางตะวันตกมันก็เริ่มหงุดหงิดแล้วสิ เฮ้ย จะเอายังไงวะ มันก็เลยใช้วิธีเข้ามาเจาะไข่แดงข้างในด้วยตัวเอง เอ้า ดับบลิวทีโอ องค์การค้าระหว่างโลกของโลก มึงจะไม่ให้คุยก็ช่างมึง กูคุยตัว-ตัวแทน นั่นคือที่มาของเอฟทีเอ เข้าใจหรือยังพ่อแม่พี่น้อง นั่นล่ะทำไมถึงเป็นเอฟทีเอ เพราะว่าเอฟทีเอนั้นมันเกิดขึ้นเพราะว่าทางตะวันตกมันบอกว่า มันคุยกับไอ้รัฐบาลแต่ละรัฐบาล แล้วไอ้รัฐบาลแต่ละรัฐบาลนั้น ไอ้ผู้บริหารรัฐบาลนั้นมันเป็นพวกเวรตะไลทั้งนั้น เพราะมันมีผลประโยชน์ของมันอยู่ เข้าใจหรือยัง

นั่นเป็นคำตอบว่าทำไมออสเตรเลียมันถึงสามารถขายนม ขายไวน์ มาที่ประเทศไทยได้ แล้วทำให้สหกรณ์โคนมหนองโพ ที่พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนตั้งขึ้นมา เจ๊งฉิบหายไปหมด แล้วทำให้เหล้าพื้นบ้านเจ๊งฉิบหายไปหมด เพราะว่าไอ้ไอพีสตาร์ของโคตรใครก็ไม่รู้ สามารถที่จะไปขายบริการที่ออสเตรเลียได้ เห็นหรือยัง ใช่ไหม ใจเย็นๆ พี่ พี่ใจเย็นๆ วันนี้เป็นเรื่องวิชาการ ไม่มีคำหยาบ ห้ามเด็ดขาดนะฮะ เอี้ยๆ เนี่ย ห้ามพูดเด็ดขาดนะ

เมื่ออเมริกามาเจรจาเอฟทีเอ อังกฤษก็ต้องการเอฟทีเอ ญี่ปุ่นก็ต้องการเอฟทีเอ มันก็เลือกประเทศสิ ผมไม่เห็นแต่ละคนมีคนมีความกระสันจะไปเอฟทีเอกับเขมรเลยสักคนหนึ่ง เห็นหรือยัง มันก็เจาะไข่แดงไงล่ะ ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน มีระบบกฎหมายที่ดี มีประชากรที่มีกำลังซื้อ ประเทศไทยเนี่ยเป็นเป้าแรก ปรากฏว่า มันมีการเชือด มันมีการผสมพันธุ์ให้ดูในเรื่องเอฟทีเอเป็นประเทศแรก เป็นตัวอย่างในเอเชีย เพื่อให้แต่ละคนเนี่ยจะได้ตามอย่างได้ เพื่อมันจะได้อ้างว่าดูสิ นี่เขาก็ทำแล้ว พ่อแม่พี่น้องรู้เปล่านั่นคือประเทศอะไร สิงคโปร์ เห็นหรือยัง ไอ้สิงคโปร์มันก็พร้อมจะทำเอฟทีเอสิ มันทำได้นี่ เพราะว่ามันเดิน 3 ก้าว มันก็ตกทะเลแล้ว ใช่ไหม รวมจำนวนส้วมในบ้านเรายังมากกว่าตึกในบ้านมันเลย เพราะฉะนั้นแล้วมันไม่มีอะไรเสียหาย มันมีแต่ได้ มันก็เลยมีการอ้างว่าสิงคโปร์ทำแล้ว จำได้ไหม แล้วไอ้ผู้นำไทยก็ทะลึ่งมาพูดว่าสิงคโปร์เขาก็ทำแล้ว ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบ ไม่ว่าเสียเปรียบบิดา-มารดาใครกันแน่

เอาล่ะ ในที่สุดแล้ว ดับบลิวทีโอก็เลยหยุดชะงัก ไม่ไปไหนเลย แต่ละคนก็มุ่งเจาะตลาดเอฟทีเอไปหมด นี่คือระบบทุนที่รุกเข้ามา ทุนเนี่ยรุกเข้ามาโดยฉันทามติกรุงวอชิงตัน ฉันทามติกรุงวอชิงตันกลายเป็นเงื่อนไข กลายเป็นเงื่อนไขของประเทศที่ต้องการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะว่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเพราะว่าทุกคนไม่ได้ยึดถือพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง หนึ่งของคนที่ลุ่มหลงมัวเมากับความทิศทางที่จะไปสู่ความฉิบหาย ก็นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ก็คือผม ผมก็เป็นเหยื่ออีกคนหนึ่ง ผมยอมรับผิด ลูกผู้ชายกล้าทำ กล้ารับ ใช่ ไม่ใช่ ลูกผู้ชายเมื่อกล้าพูด ต้องกล้ารับ ใช่มั้ย นี่ไม่ได้หมายถึงใครนะ เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว พอประเทศไหนก็ตามโดนไอเอ็มเอฟเข้ามายึด เพื่อจะให้ความช่วยเหลือทางการเงิน พ่อแม่พี่น้องจำได้ใช่ไหมไอเอ็มเอฟเกิดขึ้นตอนไหน จำได้ใช่ไหมฮะ อ่ะ ใช้ได้ แสดงว่า ทุกคนต้องการเงิน ไอเอ็มเอฟต้องใช้นโยบายฉันทามติกรุงวอชิงตัน ทีนี้ วิธีการก็ง่ายสิ ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็โดนบีบบังคับให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ แต่อาจจะเป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเสียงไม่มากเท่าพรรคไทยรักไทย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ในพรรคนั้นมีต้นยางมาก มันก็เลยเกิดยางอายขึ้นมา ไม่กล้าที่จะทำ ก็เลยไม่กล้าที่จะทำ ทำได้อย่างเดียวคือการเร่ขายทรัพย์สินออกไป เท่านั้นก็โดนด่าไปไม่รู้กี่สิบปีแล้ว จนกระทั่งคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ วันนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน หาตัวไม่เจอ

เอาล่ะ ต่อไป นี่คือนโยบายอเมริกา ทางตะวันตกนั้นต้องการให้เปิดเสรี เขาไม่ใช่มีเงื่อนไขอย่างเดียว เขายังมีกลไกที่เมื่อเปิดเสรีแล้ว เขาสามารถใช้กลไกนั้นมาเอื้อประโยชน์ทุนของเขาได้ กลไกนั้นคืออะไรบ้าง ตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ในเมืองไทย ก.ล.ต.ในเมืองไทย ได้รับเงินสนับสนุนอุดหนุนจากตลาดหลักทรัพย์ องค์กร และองค์กรต่างๆ ในอเมริกา ให้ไปดูงาน ให้จัดตั้ง สอนวิธีการทุกอย่าง ว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ ตะวันตกใช้นโยบายการเงินรุกบ้านเรา วิธีรุกก็คือว่า เฮ้ย เปิดเสรีการเงินไหม ถ้าเปิดเสรีการเงิน คุณกู้เงินดอลลาร์ได้ราคาถูกนะ เจ้าหน้าที่ธนาคารชาติระดับสูงตอนนั้น มีความกระสันอยากจะได้ชื่อ ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็เป็นธนาคารหนึ่งซึ่งก้าวสู่ความเป็นสากลแล้ว โดยที่ไม่ได้ดูว่าเมืองไทยพร้อม ไม่พร้อม ก็ตัดสินใจเปิดเสรีทางการเงิน ก็เลยมีเกิดกระบวนการ บีไอบีเอฟ (BIBF) ขึ้น จำได้เปล่า ก็คือว่าแบงก์ต่างชาติมาตั้งสาขาได้ บริษัทตั้งตัวแทนได้ บริษัทห้างร้านในเมืองไทยไม่ต้องกู้ที่อื่น ก็ไปกู้กับบีไอบีเอฟ ตรงนี้ ตัวแทนสาขา เขาก็ให้เงินกู้มา ถ้าสถานภาพไม่ดีก็กู้ผ่านธนาคารในเมืองไทย ธนาคารในเมืองไทยก็บวกค่าต๋งเข้าไป ดอกเบี้ยที่เคยกู้ 2 เปอร์เซ็นต์ ก็บวกอีก 2 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็น 4 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ สมัยนั้นดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศไทย 12 เปอร์เซ็นต์ แต่กู้บีไอบีเอฟ บวกค่าต๋งแล้ว เบ็ดเสร็จไม่เกิน 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนต่างตั้ง 6 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นหลายคนก็เลยกู้ ธนาคารหลายแห่งก็เลยกู้บีไอบีเอฟมา กู้มา 4 เปอร์เซ็นต์ แล้วมาปล่อย 12 กินส่วนต่างตั้ง 8 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือที่มาของความพินาศฉิบหายของเศรษฐกิจในปี 2540 การเปิดเสรีโดยที่ใช้ฉันทามติกรุงวอชิงตัน กระจายไปทั่วโลก หนึ่งในประเทศนั้นที่พ่อแม่พี่น้องหลายคนรู้จากวีซีดีของคุณนิติภูมิ นวรัตน์ คือ อาร์เจนตินา

นั่นก็คือการล่มสลายของประเทศทั้งประเทศ ทำไมมันเป็นอย่างนี้เพราะว่าโลกยุคใหม่มันก้าวไปสู่ ผมเรียกยุค โลกานุวัตร โลกยุคโลกานุวัตร นั้น ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Globalization มีองค์ประกอบอยู่ 4 ประการ องค์ประกอบประการแรกของโลกยุคโลกานุวัตร เขาเรียกว่า เชื่อมประสานทางวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cross Cultural แปลว่าอะไร แปลว่าโลกยุคใหม่ยุคนี้เราสามารถจะรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในหลายรูปแบบ วัฒนธรรมเราก็ไปทางโน้นได้ในหลายรูปแบบ เอาที่เป็นรูปธรรม สิบยี่สิบปีที่แล้วเราเดินไปแถวถนนคอนแวนต์เราจะหาฝรั่งซักคนก็อาจจะหายากแต่เดี๋ยวนี้ถนนคอนแวนต์ ถนนทั้งสายมีแต่ฝรั่งเดินทั้งนั้น แถวย่านรัชดา อพาร์ตเมนท์ไปดู จีนไต้หวัน จีนแผ่นดินใหญ่ จีนฮ่องกง มีเมียเป็นคนไทย มีกิ๊กเป็นคนไทยมาค้าขายถูกกฎหมายบ้างผิดกฎหมายบ้าง แม้กระทั่งยุทธตู้เย็นยังมีกะเหรี่ยงกับพม่ามาทำงานด้วยเลย คำว่าการเชื่อมประสานวัฒนธรรมนั้นมันมีมากกว่าการซึ่งเราเห็นฝรั่งเราเห็นคนต่างชาติ มีมาทางไหน มีมาทางสื่อมวลชน มีมาทางรายการทีวี อะคาเดมีแฟนตาเซียเอามาจากไหนถ้าไม่ใช่เอามาจากวัฒนธรรมต่างชาติ นั่นก็คือการเชื่อมประสานวัฒนธรรม แล้วที่อายุ 17 18 ไปกินอยู่คู่ผัวตัวเมียกันตามต่างจังหวัดเวลาพ่อแม่ให้มาเรียนหนังสือ ให้มาเช่าหออยู่ แล้วมาเช่าห้องอยู่อยู่กันอย่างผัวเมีย ผู้หญิง 17 หรือผู้หญิง 18 ผู้ชาย 19 เอามาจากไหน เอามาจากภาพยนตร์ นี่คือการเชื่อมประสานทางวัฒนธรรม เพราะฉะนั้นแล้วการเชื่อมประสานทางวัฒนธรรมนั้นคือการ รุกคืบทางวัฒนธรรม ฟังดูแล้วดี เฮ้ยดีมึงจะได้เอาวัฒนธรรมไทยไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วการเชื่อมประสานทางวัฒนธรรมนั้นมันต้องมีเครื่องมือการเชื่อมประสาน

นอกจากการเดินทาง นอกจากการมาปักหลักแล้ว เครื่องมือที่เราจะส่งการเชื่อมประสานของเราไปหาเขาไม่มี มีแต่ของเขาโถมเข้ามาในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นยูบีซี หรือไม่ว่าจะเป็นวีซีดี หรือไม่ว่าจะเป็นสตรีมมิ่งจากอินเตอร์เน็ต ได้หมด เพราะว่าของเราไม่มีเครื่องมือจะป้องกัน เพราะว่าเราไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและวัฒนธรรมให้เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 5 ปีที่ผ่านมานี้ภายในระบอบทักษิณเราไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันเลย ทำไมถึงไม่สร้าง ที่ไม่สร้างเพราะว่า จะได้ให้สังคมไทยถูกกลืนทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมทางตะวันตกเป็นวัฒนธรรมการบริโภคนิยม วัฒนธรรมตะวันตกคือการใช้เงินใช้ทอง วัฒนธรรมตะวันตกคือการสำส่อนในการสมสู่ วัฒนธรรมตะวันตกคือวัฒนธรรมที่ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ วัฒนธรรมตะวันตกคือ วัฒนธรรมการกู้หนี้ยืมสิน เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด นั่นก็คือ ข้อ 1 ข้อที่ 2 ของกระบวนการโลกานุวัตร คือ ความหลากหลาย ความหลากหลายหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Diversity ยกตัวอย่างให้ฟังง่าย ความหลากหลายเป็นอย่างไร ใครที่อายุมากๆ ใกล้ๆ ผม จำได้ไหมสมัยหนุ่มๆ เด็กๆ เวลาแม่ใช้ไปซื้อสบู่ สบู่ในร้านโชห่วยมี 3-4 อย่าง มีนกแก้ว มีลักษ์ มีคาเมล เผลอๆ มีซันไลต์ วันนี้ใช้ลูกไปซื้อสบู่ มันจะหันมาตะหวาดแว้ดเลย แม่เอาสบู่อะไรล่ะ สบู่ดับกลิ่นเต่า สบู่ถอนขน สบู่ผิวเนียน สบู่ผิวแห้ง นี่คือความหลากหลาย รถยนต์สมัยก่อน สมัยที่พวกเราหนุ่มๆ โตโยต้ามีอยู่กี่รุ่น มีโคโลน่า โคโรลล่า โตโยต้าคราวน์ เดี๋ยวนี้มันมีวีออส มันมีอแวนซา มันมีอัลติส มันมีแคมรี มันมีปราดา วู้ มันมีเยอะไปหมดเลย

นี่คือความหลากหลาย แต่ว่าความหลากหลายกลายเป็นกติกาของโลกไปแล้วตอนนี้ ความหลากหลายในการใส่เสื้อผ้า ความหลากหลายในการเรียนหนังสือ ความหลากหลายในการท่องเที่ยว ความหลากหลายในการเดินทาง ความหลากหลาย คือเป็นที่ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วัฒนธรรมแต่ละจุดนั้นจะไม่เหมือนกัน ต้องมีความหลากหลาย และตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งรัฐบาลทุกรัฐบาลไม่เคยเข้าใจว่า เนื่องจากสังคมมันมีความหลากหลาย เราจะไปใช้กติกา กติกาเดียว เพื่อให้ทุกๆ ส่วนของสังคมให้เหมือนกันหมด ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทำไม คนที่ทำธุรกิจทางด้านสื่อมวลชน ที่ให้องค์ความรู้ประชาชน จะต้องเสียภาษีระดับเดียวกับโทรทัศน์ช่อง 3 ที่ขายแต่ความบันเทิงและมอมเมา นี่คือความหลากหลาย ถูก ไม่ถูก ถ้าเราจะกำหนดถึงคุณภาพของคน คุณภาพขององค์กร ทำไมคนที่เปิดอาบอบนวดจะต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันกับคนที่เปิดโรงเรียนสอนกวดวิชา เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อความหลากหลายตรงนี้ไม่มี ไม่เข้าใจ ไอ้คนก็ไปเปิดอาบอบนวดกันหมด ใช่ ไม่ใช่ หรือว่า ถ้าคนที่เปิดทำธุรกิจอะไร ที่เป็นการสร้างปัญญาให้คน นอกจากไม่ต้องให้เสียภาษีแล้ว ยังให้เงินกู้ที่ได้มาง่ายๆ คนมันก็จะมาทำธุรกิจทางด้านนี้กันหมด ใช่ ไม่ใช่ เมื่อคนมาทำธุรกิจทางด้านนี้กันเยอะขึ้น ดี ไม่ดี เพราะว่าคนมีปัญญา เห็นไหม นี่คือความหลากหลายไง

ทำไมต้องเอากฎหมายป่าชุมชน 1 ฉบับ แล้วใช้ให้เหมือนกันระหว่างป่าชุมชนทางเชียงใหม่ เชียงราย เมื่อเทียบกับป่าชุมชนทางยะลา และสงขลา ลักษณะป่าชุมชนก็ไม่เหมือนกัน เห็นหรือยัง นี่คือคำว่า Diversity ทำไมไม่ยอมรับ ทำไมเพิ่งจะมายอมรับว่าความหลากหลายของภาษา ทำไมเพิ่งจะมายอมรับให้มีการสอนภาษาจีนในโรงเรียน หลังจากเลิกไปนานแล้ว ความหลากหลาย นั่นคือข้อที่ 2

ข้อที่ 3 คือเครือข่าย สังคมโลกยุคโลกานุวัตรนั้น อยู่ไมได้ถ้าไม่มีเครือข่าย นั่นคือที่มาว่าทำไมทุกวันนี้เรายังเหนื่อย ก็เพราะว่าระบอบทักษิณมีเครือข่ายที่กว้างขวาง เห็นไหม เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราก็ต้องสร้างเครือข่ายเหมือนกัน ใช่ ไม่ใช่ เห็นไหม

อันสุดท้ายก็คือการพึ่งซึ่งกันและกัน ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน นี่คือองค์ประกอบของโลกานุวัตรในยุคนี้ พ่อแม่พี่น้องต้องเข้าใจตรงนี้เสียก่อน เมื่อเข้าใจตรงนี้แล้วเราก็จะเริ่มเห็นว่าระบบทุนนั้นใช้ความหลากหลายในการที่จะบุกเจาะ เห็นไหมเมื่อเขาจัดการเรื่องดับบลิวทีโอไม่ได้ เขาก็ใช้ความหลากหลายเจาะไปทีละประเทศ เขาสร้างเครือข่ายของเขา ถ้าคุณส่งของเข้ามาในประเทศผม แล้วถ้าหากคุณยอมตามที่ผมบอก ผมจะเปิดกำแพงภาษีให้คุณเท่านี้ๆๆ เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าระบบทุนเนี่ยมันรุกเข้ามาอย่างที่ผมบอก

ทีนี้ ก่อนที่ผมจะไปในเรื่องของใกล้ตัว คนยังไม่เข้าใจว่าระบบทุนนั้น ที่มันพัฒนาและเจริญเติบโตและน่ากลัวที่สุด ก็เพราะว่ามันพึ่งเทคโนโลยียุคใหม่ สมัยก่อน มาร์โคโปโล เอาอย่างนี้ ไม่ต้องเอามาร์โคโปโลก็ได้ มาร์โคโปโลเดินทางจากอิตาลี มาประเทศจีน ต้องเดินข้ามน้ำข้ามทะเลจากอิตาลี ข้ามไปทางฝั่งโมร็อกโก จากโมร็อกโกตัดไปทางตะวันออกกลาง เข้าไปทางอัฟกานิสถาน แล้วก็เจาะเข้าไปในประเทศจีน ใช้เวลาเดินทาง 1 ปี พอเข้าไปถึงจีน อยู่ที่จีน เดินทางกลับ ขนใบชา ขนผ้าไหม และขนบะหมี่ไป นั่นคือที่มาของสปาเก็ตตี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วไปถึง ปรากฏว่าที่อิตาลีตื่นเต้นมาก เพราะว่าผ้าไหมสวยมาก ทุกคนก็พร้อมที่จะจ่ายเงินให้มาร์โคโปโล เหมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส แล่นเรือข้ามโลก มาถึงอเมริกา มาเจอต้นโคโค่ มาเจอทรัพยากรของทางโลกซีกนี้ ก็ขนของใส่เรือกลับไปที่สเปน พอจอดท่าเรือที่สเปน ก็มีแต่ผู้ลากมากดี เชื้อพระวงศ์ เข้ามาแล้วก็สั่งซื้อของหมดเลย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่ออีกครั้งหนึ่งเหมือนกับมาร์โคโปโล ที่ต้องการจะเดินทางอีก คนก็บอกว่า ผมลงทุนด้วยนะ ผมช่วยสร้างเรือให้นะ เอาของมาแล้วมาแบ่งกำไรกัน เห็นไหม ถามว่ามันต่างกันตรงไหน ระหว่างนายคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่มันขนของจากที่นี่ไปขายที่สเปน แล้วมีคนเอาเงินมาให้มันสร้างเรือ เพื่อเดินทางแล่นเรือกลับมาเพื่อซื้อของที่นี่อีก เอากลับไปขายอีก มันต่างกว่านายธนาคารคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่มหานครนิวยอร์ก แล้วมานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วมันเคาะซื้อหุ้นที่เมืองไทย เหมือนกันใช่ไหม ต่างกันตรงที่เวลา เห็นหรือยัง มันต่างกันแค่เวลาเท่านั้น

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเข้าใจว่าทำไมการรุกของทุนมันถึงดูแล้วน่ากลัว ถ้าเราไม่สามารถที่จะป้องกันตัวได้ เหมือนที่ผมบอกว่า การล่มสลายทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ในช่วง 2473 มันใช้เวลาเดินทางตั้ง 2 ปีกว่าจะมาถึงเมืองไทย ทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยตกต่ำมากในปี 2475 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่วันนี้เศรษฐกิจมันตกได้เพียงจุดเคาะของคอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง เทคโนโลยีตรงนี้มันไม่ได้ทำให้การเดินทางของทุนเร็วเพียงอย่างเดียว การเดินทางของทุนจะไม่มีความหมายถ้าหากขาดซึ่งการเดินทางของการโฆษณาชวนเชื่อ นั่นก็คือ บรอดคาสติ้งและโทรทัศน์ การออกอากาศวิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ภาพยนตร์ วันนี้สื่อมวลชนในตะวันตกเป็นเจ้าของสื่อมวลชนทั่วโลก ซีเอ็นเอ็นเป็นเจ้าของโดยบริษัท ไทม์วอร์เนอร์ บีบีซี เป็นเจ้าของโดยอังกฤษ ซีเอ็นบีซีเป็นเจ้าของบริษัท จีอี แคปปิตอล จีอีที่อเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของจีอีแคปปิตอล โทรทัศน์ที่ออกไปทั่วโลก เข้าไปร้อยสองร้อยกว่าประเทศ ทุกๆ เมือง ทุกๆ โรงแรม ทุกๆ บ้าน เขาไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทย แต่เขาเป็นตัวแทนของทุน เพราะฉะนั้นแล้วข่าวคราวอะไรที่เป็นอันตรายต่อทุน ต่อระบบที่เขาสร้างขึ้นมา เขาจะไม่ทำเด็ดขาด ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำปี พ.ศ.2540 เดือนกรกฎาคม ถ้าเราจำได้ มีอยู่ประเทศเดียวที่แข็งขืนกับไอเอ็มเอฟ นั่นคือมาเลเซีย มหาเธร์สั่งปิดประเทศไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินตราริงกิตกับดอลลาร์ เพื่อกันไม่ให้มีการเก็งกำไร แล้วประกาศยึดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างริงกิตกับดอลลาร์ตายตัว จำได้ไหมอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น ซีเอ็นเอ็นออกมาด่าแม่มหาเธร์ ซีเอ็นบีซีออกมาด่าแม่มหาเธร์ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเอเชียนวอสตรีทเจอร์นอล ออกมาด่าแม่มหาเธร์ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ภาษาไทยที่โง่ๆ หลายฉบับในนี้ก็ยังออกมาด่าแม่มหาเธร์ ยกเว้นผู้จัดการ ปรากฏว่าในที่สุดทุกคนเจ๊งหมด มาเลเซียรอดตัว เพราะมาเลเซียต่อสู้เพื่อป้องกันสิทธิของเขา เขาไม่สนใจว่าตะวันตกจะว่าอะไรเขาเขาไม่แคร์ เขาแคร์ให้ชาติบ้านเมืองเขาไปได้ก่อน ต่างกับนายทนง ลำไย มันประสาทเสียวันนั้น มันออกมาให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ มันบอกว่า "รัฐบาลจะรับประกันหนี้ทุกก้อนทั้งภาครัฐและเอกชนกับเจ้าหนี้ต่างประเทศ" ใครให้สิทธิ์คุณมารับประกันหนี้เอกชน หนี้เอกชนเอกชนต้องรับไป ผมต้องรับไป ไม่ใช่ประเทศรับ นี่แหละคือทนง ลำไย แล้วมาสะเออะเสนอหน้า ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง นางราฟิด้า ออกมาด่าแม่ฝรั่ง บอกว่าการเจรจาดับเบิ้ลยูทีโอนั้นประเทศโลกที่ 3 เสียเปรียบ มาเลเซียเสียเปรียบ แต่พอเศรษฐกิจพัง คนของเรา "ผมจะรับผิดชอบหนี้ของทุกๆ ให้ คุณสบายใจได้ ประเทศไทยจะใช้คืนให้หมด" เห็นหรือยัง ความแตกต่างกันที่สมอง สมอง แล้วความแตกต่างอยู่ที่เจตนาของการทำงาน เอาละทั้งหมดนี้จะเห็นได้ชัดว่า อิทธิพลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราเป็นของเราอย่างนี้ แล้วทำให้เขารุกคืบเข้ามาได้ ก็คือ อิทธิพลทางด้านข่าวสารข้อมูล สำคัญมาก ข่าวสารข้อมูลมีการพัฒนากันแบบไหน

ข่าวสารข้อมูลมันพัฒนาอย่างนี้ครับ มันเริ่มแรกจากข้อมูลก่อน Data ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน นั่นคือข้อมูล รถยนต์ในกรุงเทพฯ มี 4 ล้านคน นี่คือข้อมูล พัฒนากลายเป็นข่าวสาร ประชากร 65 ล้านคน แบ่งออกเป็นผู้หญิง 35 ล้านคน ผู้ชาย 30 ล้านคน แล้วมีเด็กอยู่ประมาณ ถ้าเป็นผู้หญิงเด็กก็จะมีอยู่ 15 ล้านคน เด็กผู้ชายจะมี 15 ล้านคน ว่าไปเรื่อยๆ นี่คือข่าวสารข้อมูล ความรู้ก็คือ จากฐานข้อมูลดังกล่าวสามารถที่จะแถลงหรือชี้แจงออกไปได้ ว่า เนื่องจากประชากรของประเทศไทยนั้น ในวัยที่เกินกว่า 50 ปีนั้น มีเกินกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแล้ว ฐานของอายุของประเทศไทยนั้นประชากรจะแก่เร็ว และฐานประชากรที่มีอายุน้อย จะเจริญเติบโตไม่ทัน จะทำให้ประเทศไทยขาดแรงงานในปีเท่านั้นๆ เท่านี้ และการศึกษาก็จะขาด Wisdom ปัญญา เมื่อได้ข้อมูลอันนี้ ได้ความรู้อันนี้ ก็ต้องไปสร้างปัญญา หาวิธีแก้ เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าข้อมูลถูกพัฒนามาเป็นข่าวสาร มาเป็นความรู้ แล้วในที่สุดความรู้ต้องกลายเป็นปัญญา หลายต่อหลายสถานที่ในประเทศไทย อย่าว่าแต่ตรงนี้เลย แค่ตรงนี้ก็ยังไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วประเทศไทยเป็นประเทศที่น่ากลัวมาก แค่ตรงนี้ก็ไม่มีแล้ว

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ทางตะวันตกได้พัฒนากระบวนการอันนี้ขึ้นมาอย่างเต็มที่ เมื่อเขาพัฒนากระบวนการอันนี้เข้ามา เขาก็เอากระบวนการอันนี้ใส่ท่อ ส่งออกไปทางโทรทัศน์ ส่งออกไปทางอินเตอร์เน็ต ส่งออกไปทางวิทยุ ส่งออกไปทางภาพยนตร์ ผมไม่เข้าใจ ว่าไอ้เด็กไทย หรือแม้กระทั่งคนแก่บางคน ผมเจอพลตำรวจโทบางคน อย่าให้ผมพูดเลย รู้สึกจะเป็นโฆษกกรมตำรวจ เอ๊ย อย่าพูดเลย คุณรู้ไหม เจอผม สนธิ Five..Five.. ผมนึกในใจ Five บิดามึงคืออะไร อ๋อ จะยื่นมือมาให้ตบกันอย่างนี้ เหมือนที่ในหนังฝรั่งมันทำกัน ขนาดนั้นแล้วนะ ขนาดนั้นแล้วนะ ผมจะบอกให้รู้ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าสังคมไหนความรู้อ่อนแอ ก็จะถูกความรู้อีกสังคมหนึ่งที่เขามีท่อส่งเจาะเข้ามาหาเรา แล้วเราก็จะถูกความรู้ต่างๆ เหล่านี้ถั่งโถมใส่เข้ามาในตัวเรา เห็นหรือยังตอนนี้ ว่าความน่ากลัวของโลกานุวัตร กับความไม่พร้อมของพวกเราเนี่ย ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของทุน สายใยไฟเบอร์ออพติก สมัยก่อน สายใย สายส่งมันจะเป็นอย่างนี้ ท่อส่งมันจะแคบ เพราะท่อส่งทำด้วยทองแดง ท่อส่งวิทยุทำด้วยเส้นทองแดงเส้นหนึ่ง เมื่อท่อส่งแคบ ข่าวสารที่ใส่ไปก็แคบ น้อย ทางออกทางผู้รับก็น้อย โทรทัศน์มีอยู่ 2 ช่อง วิทยุมีอยู่ 3 สถานี พอเทคโนโลยีมันพัฒนามากขึ้น เหมือนอย่างที่เมื่อกี้เห็น สายไฟเบอร์ออพติกที่เห็นนั้นเป็นสายไฟเบอร์ออพติกที่ส่งได้ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งข้อความ มันก็อุปมาอุปไมยเหมือนอันนี้ จากท่อเล็กพัฒนาเป็นท่อใหญ่ แล้วก็ไร้ขีดจำกัด ที่ผมเขียนยังมีขีดจำกัด จริงๆ แล้วไร้ขีดจำกัด มันก็เลยมีข่าวสารมาเยอะแยะไปหมด มาเยอะแยะไปหมด มาจนกระทั่งทางออกก็เยอะแยะไปหมด ออกทางอินเตอร์เน็ต ออกหนังสือพิมพ์ ออกวิทยุ วิทยุชุมชน ออกโทรทัศน์ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ออกอันโน้นออกอันนี้ ออกไปหมดเลย พอมันมาอย่างนี้แล้วเนี่ย ถ้าไม่รู้จักที่จะพัฒนาตัวนี้ ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ สังคมก็จะตกเป็นเหยื่อของไอ้คนที่มันปั่นภาพพจน์ตลอดเวลา เห็นหรือยัง แล้วผมต้องเหนื่อยตั้ง 11 เดือน กว่าผมจะได้พ่อแม่พี่น้องจำนวนเท่านี้ แล้วอีกหลายคนที่ดู ASTV อยู่ เห็นหรือยัง

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราไม่มีตรงนี้ เราจะโดน เราจะโดนหลอกตรงนี้ เพราะมันจะเหมือนขยะ ข้อมูลข่าวสารที่เป็นขยะ ถ้าเรากรองไม่เป็น "วันนี้ผมมาพบกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนทางวิทยุ ผมมีความจงรักภักดีกับพระเจ้าอยู่หัว ผมได้เตรียมโครงการให้พระเจ้าอยู่หัว..." เข้าใจหรือยัง มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็ทางตะวันตก ก็ใช้จุดอ่อนของเราตรงนี้ ในการที่มาทำร้ายทำลายเราในเรื่องทุน ตะวันตกใช้ญี่ปุ่นเป็นตัวแทน แต่ใช้สิงคโปร์เป็นนายหน้า ใช้สิงคโปร์เป็นนายหน้า การที่ใช้สิงคโปร์เป็นนายหน้าก็เพราะว่าสิงคโปร์นั้นเป็นประเทศที่ไม่มีรากเหง้า นี่คือผลพวงของ ผลพวงของโลกานุวัตรที่ถั่งโถมเข้ามาหาเรา โคเคน ยาอี แฟชั่น ไม่มีอะไรผิดปกติในเรื่องแฟชั่น แต่ทว่า เราไม่เคยมีภูมิคุ้มกันที่จะส่งเสริมของเราขึ้นมา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า ทางตะวันตกเนี่ย ระบบทุนก็เลยใช้ญี่ปุ่นเป็นตัวแทน ใช้สิงคโปร์เป็นนายหน้า ญี่ปุ่นเป็นตัวแทนยังไง เป็นตัวแทนการลงทุน เป็นตัวแทนของทุนเลย แต่สิงคโปร์นี่เป็นนายหน้าของทุน นายหน้าทุนทั้งทางยุโรป ทางอเมริกา มาผสมผสานกับทุนทางสิงคโปร์ เมื่อผสมผสานกับทุนทางสิงคโปร์แล้ว ก็เจาะเข้าไปแต่ละประเทศเพื่อที่จะเข้าไปยึดประเทศนั้น เขาเรียกว่ายึดโดยไม่ต้องครอง ไม่ต้องส่งกองทัพมา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วนายธนาคารผู้ยิ่งใหญ่ของเราแต่ละคน เวลาจะประชุมผู้ถือหุ้นทำไมต้องบินไปขอฉันทามติจากสิงคโปร์ เพราะเขาเป็นเจ้าของธนาคาร ถ้าเราเอา กฟผ.เข้าตลาด เขาก็เป็นเจ้าของสายส่งไฟฟ้า ทุกวันนี้เขาก็เป็นเจ้าของ ปตท.อยู่แล้ว โดยที่ร่วมมือกับนักการเมืองขายชาติ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเห็นได้ชัดๆ ง่ายๆ ว่ากระบวนการมันเป็นอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อแปลงให้เป็นทุนเข้ามาครอบ เสร็จแล้วที่นั่งอยู่ข้างในนี้เป็นทาสในเรือนเบี้ยทุกคน ที่ต้องทำมาหากิน ที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันให้แพง จ่ายค่าเช่าบ้านให้แพง จ่ายค่าผ่อนบ้านให้แพง จ่ายค่าผ่อนรถให้แพง จ่ายอะไรให้แพงหมดทุกอย่างแล้วเหลือแต่กระดูกกลับไปแทะที่บ้าน

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า นี้คือระบบทุนที่ครอบเข้ามาในโลกนี้ ทักษิณเป็นนายทุนชาติที่ได้ประโยชน์จากการล่มสลายของเศรษฐกิจปี 2540 ด้วยความร่วมมือของนายทนง ลำไย เสร็จแล้วใช้เงินใช้ทองมาเพื่อเล่นการเมือง เพื่อเอาการเมืองนั้นเป็นเครื่องมือในการซึ่งสามารถที่จะจัด ปรับสร้างนโยบายเพื่อให้ทุนเข้ามา แล้วเอาทุนของตัวเองเข้าไปร่วมด้วย ได้กำไรหลายต่อ กำไรต่อแรกกำไรจากค่ากินหัวคิว กำไรต่อที่สอง กำไรจากผลประโยชน์จากธุรกิจอันนั้น กำไรต่อที่สามคือ กำไรจากบริการหลังการขายหลายอย่าง ไอทีวี ก็ต้องถือว่าเป็นบริการหลังการขาย เมื่อไอทีวีมีปัญหาก็ต้องส่งคนเข้าไปแก้ นี่คือบริการหลังการขาย เพราะฉะนั้นเราต้องมีอันนี้พ่อแม่พี่น้อง เราต้องมีอันนี้ให้ได้ เราต้องสร้างให้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นการเล่าประวัติเศรษฐกิจสั้นๆ สั้นมากเลย เพราะว่าสิ่งที่พ่อแม่พี่น้องฟังอยู่นั้นเป็นวิชาที่ผมใช้เวลาสอน 72 ชั่วโมง มันยังมีรายละเอียดอีกเยอะ เหมือนอย่างสื่อมวลชน สื่อมวลชนเดี๋ยวนี้กลายเป็นสื่อมวลชนขององค์กร ของบริษัท เมื่อใดก็ตามสื่อมวลชนมีเจ้าของเป็นผู้ถือหุ้นที่หวังการปันผลทางกำไร สื่อมวลชนจะไม่มีวันออกมาปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ไม่มีทาง ถามว่า วันนี้ยูบีซีกล้าที่จะพูดถึงสินค้าจีเอ็มโอของซีพีไหม ไม่กล้า เคยกล้าที่จะพูดถึงการทำผิดพลาดของซีพีไหม ข่าวนายวัฒนา เมืองสุข โดนเล่นงานโดยดีเอสไอ เรื่องเกี่ยวกับขายไก่ซีพีเพื่อแลกกับรถดับเพลิง ข่าวยูบีซีเคยออกไหม ไม่ออก อะไรก็ตามที่กระทบกระเทือนรัฐบาลชุดนี้ช่อง 3 ออกไหม ไม่ออก เพราะว่านายประชา มาลีนนท์ ถือหุ้นอยู่ในช่อง 3 อันนี้เห็นชัด ไม่ได้ เหมือนกับกรณีที่อเมริกา สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ไมอามี เป็นสถานีโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายของฟอกซ์ สถานีฟอกซ์ สถานีโทรทัศน์อันนี้เจ้าของเครือข่ายคือ นายรูเพิร์ต เมอร์ดอก ปรากฏว่ามีสองคนผัวเมียทำข่าวเจาะ ไปเจาะว่า วัวที่เลี้ยงอยู่ที่ฟาร์มตรงนี้ทำไมน้ำนมมันเยอะจริงๆ ไปเจาะปรากฏว่ามันใช้สารกระตุ้นของบริษัทบริษัทหนึ่ง มันไปเจาะต่อปรากฏว่า สารกระตุ้นนี้ที่แคนาดาห้ามใช้ บริษัทนี้คือบริษัท มอนซานโต ทำไมแคนาดาห้ามใช้ มันไปเจาะต่อ ปรากฏว่า นักวิทยาศาสตร์แคนาดาพิสูจน์แล้วว่า สารนี้มีโอกาสทำให้คนเป็นมะเร็งได้ มันก็ทำเรื่องทำราวจะออกอากาศ ความที่มันทำข่าวแล้วสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทมอนซานโตด้วย ผู้บริหารมอนซานโตเลยโทรศัพท์ไปหานายสถานี ขอร้องคุณอย่าออก ปรากฏว่าผู้บริหารสถานีบอกว่า มันต้องออกเพราะว่ามันเป็นข่าว แล้วสัมภาษณ์มาทั้งหมดทุกคนให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว ไอ้นี่ไม่พอใจโทรศัพท์ไปหานายรูเพิร์ต เมอร์ดอก บอกว่า ปีที่แล้วบริษัทมอนซานโตลงโฆษณากับมึงทั่วอเมริกา 120 ล้านเหรียญ มึงจะออกไหมข่าวนี้ เมอร์ดอกเลยโทรไปหาผู้อำนวยการสถานี บอกว่าถ้ามึงออกมึงตกงาน ไอ้นี่ก็บอก ไม่ออกครับไม่ออกครับ ก็เลยไปบอกสองคนผัวเมียไม่ให้ออก สองคนผัวเมียไม่ยอมจะออก ในที่สุดเลยโดนไล่ออก

เมื่อใดก็ตามธุรกิจเป็นเจ้าของสื่อมวลชน เมื่อนั้นสังคมไทยจะไม่มีโอกาสที่ได้เห็นความจริง ใครล่ะจะไปต่อสู้ปกป้องกับผลประโยชน์กับประชาชนตาดำๆ ที่ไม่มีอำนาจวาสนาอะไรที่ทุกเดือนต้องผ่อนรถ ทุกเดือนต้องส่งเงินค่าส่งบ้าน พอเส้นเทอมต้องวิ่งของเงินชาวบ้านเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับลูก แล้วก็ซื้อของที่ไม่มีคุณภาพมา กินอาหารที่เป็นอันตราย ใครจะปกป้องให้ ถ้าคนที่จะทำหน้าที่ปกป้องแต่ถูกบังคับด้วยทุน มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะที่เกิดมาเป็นคนไทยวันนี้ เห็นไหม เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็คือลักษณะที่มันเกิดขึ้นทั่วโลก ลักษณะที่มันเกิดขึ้นกับทุนนิยม ลักษณะที่มันเกิดขึ้นแล้วก็ถูกใช้สื่อตรงนี้ ทะลุทะลวง ใช้ความรู้ของเขา ใช้การปั่นภาพพจน์ของเขา ส่งมา ทำไมโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ถึงชอบเรื่องดารามีกิ๊ก เรื่องผู้หญิงทำหน้าอก เรื่องผู้ชายผ่าตัดเพศ เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว ข่าวมีอยู่ 2 ลักษณะ หนึ่ง ข่าวที่ควรรู้ กับข่าวที่อยากรู้ โดยธรรมชาติมนุษย์ต้องการข่าวที่อยากรู้มากกว่าข่าวที่ควรรู้ นี่มันก็เลยตรงเข้าไปในจุดของการตลาดเสรี มีคนชอบพูดอยู่เรื่อง ให้ตลาดเป็นคนตัดสิน เอ้า ก็แน่ล่ะสิ ถ้ามึงไปถามเด็ก ลูกจะกินไอติม หรือจะกินผัก เด็กก็ต้องกินไอติม เพราะฉะนั้นจุดบางจุดเป็นจุดที่จะต้องถูกควบคุม แต่ควบคุมในเรื่องการให้สาระ ไม่ใช่ควบคุมในเรื่องเสรีภาพแห่งความคิดเห็น ใช่ ไม่ใช่ ตรงนี้ต่างหากคือความหลากหลายที่เรายังขาด เรายังไม่มี สื่อทุกสื่อ ยกเว้น ASTV อยู่ภาย..ไม่ต้องตบมือ มันจะเจ๊งแล้วล่ะพ่อแม่พี่น้อง มันใกล้จะเจ๊งแล้ว เพราะสู้มาเนี่ยเลือดออกทุกวัน แต่สู้เพราะใจมันสู้ เพราะฉะนั้นแล้วพ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัดว่าสื่อและเครือข่ายของสื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทุนเอามาใช้ ทุกวันนี้ระบอบทักษิณอยู่ได้ จนกระทั่งมาเจอพวกเรา 4 ปีกว่าเนี่ย เพราะอะไร เพราะว่าสื่อสร้างภาพให้เขา ตลอดเวลา เพิ่งจะมีครั้งนี้เองที่เขามาเจอของจริง แต่เราก็ไม่ได้แข็งแรงมากเท่าที่เราคิด เราถึงบอกว่า ในที่สุดแล้วเนี่ย ประชาชนทุกคนต้องมีตรงนี้ ต้องมีให้ได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าระบอบทักษิณก็เป็นห่วงโซ่อีกอันหนึ่งของระบอบทุนนิยมเสรี เป็นทุนที่สามานย์

ทำไมถึงบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงเป็นสิ่งที่อัจฉริยภาพมาก พระองค์ท่านเชื่อ สอนพวกเรา และถ้าเราดำเนินรอยตามรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ประการแรก เราสามารถที่จะบอกกับทุกคนได้เลยว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์มือถือคนละ 2-3 เครื่อง ลำพังเอง ทักษิณไปเมื่อไหร่ ผมก็ประหยัดค่าโทรศัพท์ไปเยอะ เพราะผมไม่ต้องใช้ทีละ 3-4 เครื่อง กันมันดักฟัง จะได้กลับไปใช้เครื่องเดียว

ผมคิดว่าคำว่าสันโดษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นคำพูดในทางธรรมที่ลึกซึ้งแต่เราไม่เข้าใจ สันโดษเนี่ย พระองค์ท่านไม่ได้ให้พวกเราไปแยกอยู่ต่างหากคนเดียว สันโดษพระองค์ท่านบอกว่า ให้กิน ให้อยู่ ภายในขอบเขตที่เรามีพอมีพอใช้ นั่นก็คือ มี 100 ใช้อย่าให้เกินร้อย ไม่ใช่มี 100 ใช้ 120 แล้วไปขอยืมเขามา 20 นั่นคือสันโดษ พระองค์ท่านสอนให้คนแก้ที่ทุกข์ก่อน ไม่ใช่เพิ่มความสุข เพราะถ้าสุข ถ้าทุกข์กับสุขมันเป็นอย่างนี้ พระองค์ท่านสอนให้ลดทุกข์ แต่ทักษิณสอนว่าทุกข์ให้อยู่เหมือนเดิม เพิ่มความสุขไปซะ เข้าใจหรือยัง แล้วไอ้ส่วนที่เพิ่มนี่ ใครได้ เขาได้ เห็นไหม เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ย ทำไมพวกเราถึงลุกขึ้นมาสู้ เพราะพวกเราเข้าใจตรงนี้ แต่ประชาชนไม่เข้าใจ ประชาชนไม่เข้าใจว่าความสุขที่เขามีอยู่ในการมีโทรศัพท์มือถือ มีมอเตอร์ไซค์ขี่ มีอันโน้น อันนี้ เป็นความสุขที่ไม่ถาวร เป็นเรื่องสมมุติ แต่การลดทุกข์ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกมา นั่นเป็นความสุขที่ถาวร มันถึงเวลาที่เราต้องให้จิตวิญญาณกับประชาชนเหมือนเดิม ระบอบทักษิณทำให้คนไทยเป็นผีดิบกันไปหมด ไม่มีจิตวิญญาณ เราต้องถามตัวเราเองว่า เฮ้ย ความสุขเนี่ยมันอยู่ที่ไหน เราต้องมาคุยกันก่อนว่าความสุขอยู่ยังไง ความสุขไม่ใช่วัตถุ บางครั้งการมานั่งฟังการบรรยายก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แทนที่ความสุขจะเกิดจากการซึ่งจะเอาเรือนจำบางขวางมาเป็นศูนย์การค้าในสายตาของเขา เป็นความสุขทางวัตถุ ถ้าเปลี่ยนแปลงเป็นสวนสาธารณะ อย่างน้อยคนแถวบางเขนก็มีความสุขเพิ่มเติมใช่ไหม เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้ว เพิ่มแต่ทุกข์ แล้วการให้ความรู้โดยเพิ่มทุกข์ ก็เป็นการให้ความรู้ที่ผิด อะไรบ้างล่ะการให้ความรู้ที่เพิ่มทุกข์ การศึกษาไง ทำไมคนไทยทุกคนไม่มีสิทธิที่จะเรียนมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องเสียเงิน ต้องมีสิทธิสิ คุณกำลังไปบอกว่า ทุกคนเรียนได้ก็กู้มาเรียน เท่ากับว่าคนไปเพิ่มต้นทุนของการเรียนให้คน แล้วพอเรียนจบก็ต้องไปใช้หนี้ต่อไป ใช่ ไม่ใช่ เท่ากับคุณกำลังส่งเสริมทุนทางด้านการศึกษา การศึกษาเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทยทุกคนรึเปล่าเมื่อเกิดขึ้นมา

เพราะฉะนั้นแล้วแค่กระบวนทัศน์ของความคิดมันก็ผิดแล้ว ทำไมเราสร้างแต่ถนนทำไมเราไม่สร้างทางรถไฟล่ะ มีแต่ถนนเพิ่มตลอดเวลา แต่ผมไม่เห็นมีรถไฟเพิ่ม ทำไมรถไฟรางคู่ไม่สร้าง ตั้ง 5 ปีแล้วยังอยู่เฉยๆ ทำไมคนไทยไม่มีสิทธิ์นั่งรถใต้ดินโดยที่เสียค่ารถทุกเส้นทางไม่เกิน 15 บาท ไม่มีทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าทุนเป็นตัวกำกับว่าต้องมีการลงทุนโดยเอกชน เมื่อลงทุนโดยเอกชนแล้วก็คิดค่ารถไฟใต้ดินแพง แล้วคนจ่ายคือใคร ประชาชน ก็จะกลายเป็นว่า จบลงด้วยคำพูดที่ผมบอก ในที่สุดประชาชนเมื่อกลับบ้านแล้วมีแต่กระดูกกลับไปแทะเท่านั้นเอง แล้วชีวิตทั้งชีวิตต้องทำอย่างนี้ตลอดไป ลูกก็ต้องทำอย่างนี้ หลานก็ต้องทำอย่างนี้ เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นนี้คือระบอบที่ผิด ระบอบที่ผิดอย่างร้ายกาจ วันนี้มาตั้งหน่วยงานขึ้นมาตามระบบทุน เพื่อที่จะบริหารกิจการสถานที่ท่องเที่ยว มีอำนาจเด็ดขาด ในที่สุดทำงานเป็นตัวแทนของใคร ของทุนต่างชาติ รับเงินต่างชาติมา รับเงินสิงคโปร์มาสร้าง เหมือนภูเก็ตวันนี้ เจ้าของภูเก็ตคือสิงคโปร์ ถนนสาทรทั้งถนนสิงคโปร์หมด เพราะฉะนั้นทักษิณเลยใช้ความเป็นทุนชาติที่ไม่ได้บาดเจ็บจาก 2540 เพื่อมากอบโกยสร้างนโยบายเพื่อให้ทุนตัวเองเพิ่ม เสร็จแล้วเพื่อเอาทุนตัวเองไปเชื่อต่อทุนต่างประเทศ ทุนสากล เพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุนของตัวเองขึ้นมา

นั่นคือวิธีการของเขา จะเห็นได้ชัดเลย วันนี้ที่มาพูดให้ฟังเป็นการให้องค์ความรู้ ไม่ได้ปลุกระดมอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าการที่ได้ความรู้เข้าไปแล้ว แต่ละคนทราบด้วยตัวเองว่าจะเอาความรู้นี้ไปทำอะไร วันนี้ผมมั่นใจว่าผมพูด คนที่การศึกษาอาจจะไม่สูง หรือว่าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้น่าจะเข้าใจได้มากพอสมควรเพราะว่าผมใช้ภาษาที่ธรรมดามากในการพูด เอาไว้วันหลังถ้ามีเวลา ถ้ายังอยากฟังการบรรยายลักษณะนี้อีกในหลายๆ เรื่อง ยังอยากอยู่ไหมครับ ค่อยนัดกันเป็นครั้งเป็นคราวไป เผอิญภารกิจที่เร่งด่วน เร่งร้อนคือไล่ทักษิณ เมื่อจบแล้วค่อยมากำหนดกันว่า คือ ทุกๆ วันศุกร์ก็จะมีเมืองไทยรายสัปดาห์ต่อไป แต่ทุกวันเสาร์จะมีการสร้างองค์ความรู้แบบนี้เรื่อยๆ พ่อแม่พี่น้องที่ยังมีลูกหลานที่ยังเรียนหนังสืออยู่ก็พามาฟัง อาจจะหงุดหงิดบ้างในตอนต้น แต่ผมเชื่อว่าหลังจากที่เขาได้องค์ความรู้นี้ไปแล้วเขาก็น่าจะได้อะไรดีๆ ขึ้นมาหลายอย่าง 2 ชั่วโมงในการพูดเต็ม ๆ โดยที่เบรค 10 นาที เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพนะครับ แล้วอย่างลืมเรามีนัดกันวันที่เท่าไหร่ 08.00 น.อย่าลืมนะครับ ขอบคุณมากครับ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น