ศาล รธน.มีมติรับคำร้อง 35 ส.ว.ยื่นฟ้อง กกต.ทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง ก่อนที่ประชุมจะตัดสินวินิจฉัยหรือไม่ 20 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้เตรียมตรวจสอบสถานะ ส.ว.มีอำนาจยื่นถอดถอนตาม ม.137 หรือไม่ ด้าน “อภัย จันทนจุลกะ” ถอนตัวจากองค์คณะตุลาการ หวั่นไม่เป็นกลางเหตุเคยทำงานร่วม “วีระชัย” มาก่อน
วันนี้(15 มิ.ย.)นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้รับคำร้องที่ประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 142 และมาตรา 266 กรณีรักษาการสมาชิกวุฒิสภา 35 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เหลืออยู่ 3 คนขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งกกต.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 137 , 139 และต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ไว้ดำเนินการเพื่อพิจารณาว่าจะรับไว้วินิจฉัยหรือไม่
นายไพบูลย์ กล่าวว่า คำร้องดังกล่าวประธานวุฒิสภาระบุว่าสมาชิกวุฒิสภาที่พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ขณะนี้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตารา 131 วรรค 2 และมาตรา 168 ของรัฐธรรมนูญ แต่มีการตีความเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาโดยมีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกเห็นว่ารักษาการส.ว.ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะกิจการที่กำหนดไว้ในมาตรา 168 ของรัฐธรรมนูญเท่านั้น การจะเข้าชื่อกันจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกสภาที่มีอยู่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 142 เพื่อร้องต่อประธานรัฐสภาว่ากกต.ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 137 หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 139 นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของส.ว.ตามมาตรา 168 จึงไม่อาจยื่นเรื่องให้ประธานรัฐสภาเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
ส่วนฝ่ายที่สองเห็นว่า กกต.เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กกต.ย่อมต้องถูกตรวจสอบได้ ประกอบกับปัญหาการแต่งตั้งถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระถือเป็นหน้าที่ของส.ว.ที่รักษาการอยู่ต้องดูแล โดยมีการรับรองไว้ชัดเจนในมาตรา 168(3) ที่บัญญัติให้ส.ว.ที่พ้นจากสมาชิกภาพและรักษาการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 131 วรรค 2 ยังคงมีหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญได้ การยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้กกต.พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุขาดคุณสมบัติจึงถือเป็นหน้าที่ที่สามารถกระทำได้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขณะที่ประธานวุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่ประธานรัฐสภาเห็นว่าปัญหาดังกล่าวถือเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรจึงไม่สามารถใช้ดุลยพินิจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ดังนั้นองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงได้กำหนดให้มีการอภิปรายต่อเนื่องในประเด็นดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การพิจารณาว่าจะรับคำร้องดังกล่าวไว้วินิจฉัยหรือไม่ในการประชุมวันที่ 20 มิ.ย.นี้
อย่างไรก็ตามคำร้องดังกล่าวนายอภัย จันทนะจุลกะ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ขอถอนตัวจากการเป็นองค์คณะร่วมพิจารณา โดยนายอภัย แถลงเหตุผลว่าเนื่องจากก่อนได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เคยเป็นที่ปรึกษาของนายวีระชัย แนวบุญเนียร กกต. มาตั้งแต่ปี 44 จนถึงปี 47 ดังนั้นเมื่อมีคำร้องที่ขอให้พิจารณาคุณสมบัติของกกต. โดยมารยาทและตามข้อกำหนดวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนญ ถ้ามีการคัดค้านว่าตนถือว่าเคยเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วยก็จะไม่ดี
“ผมอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ รวมทั้งปกป้ององค์กรศาลไม่ให้ถูกครหาในภายหลังว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เคยมีส่วนได้เสียกับกกต.ร่วมพิจารณาคำร้องด้วย ประกอบกับเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของคณะตุลาการที่เหลือก็เห็นว่าแม้ถอนตัวการพิจารณาคำร้องนี้ก็ไม่มีปัญหาเรื่องขององค์ประชุม จึงขอถอนตัว”
นายอภัย ยังปฏิเสธว่าเหตุที่ขอถอนตัวไม่ใช่เพราะลำบากใจที่ต้องพิจารณาคำร้องที่ประชาชนจับจ้อง รวมทั้งไม่มีใครขอร้อง เพราะตอนแรกที่ได้รับคำร้องก็มีการค้นคว้าข้อกฎหมาย ระเบียบต่างๆ เพื่อจะร่วมวินิจฉัย แต่ก็นึกได้ภายหลังว่าอาจจะถูกร้องว่าเคยเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับกกกต.มาก่อนจึงตัดสินใจขอถอนตัวดีกว่า อย่างไรก็ตามในขณะที่ทำหน้าที่ปรึกษาให้นายวีระชัยนั้นก็มีการให้คำปรึกษาไปบ้าง แต่หลังจากที่มาดำรงตำแหน่งตุลาการฯแล้ว นายวีระชัยก็ไม่เคยติดต่อพูดคุยหรือขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติงานเลย ที่โทรศัพท์คุยกันก็เป็นเรื่องสมัย เก่า ๆ ทั้งนั้น
/0102/0111