อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ลำพังปัญหา 3 จว.ชายแดนภาคใต้ขาดแคลนครู ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงอยู่แล้ว ยิ่งมาเกิดเหตุกับครูสาวจากภาคเหนือที่มุ่งมั่นลงใต้เพื่อสอนนักเรียนที่นราธิวาส จนอาการเป็น-ตายเท่ากัน แม้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว ที่ร้ายกว่านั้น...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุทำนองนี้ในภาคใต้ แต่ใยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐ จึงยังไม่สามารถสรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นได้ ต้องให้ครูและผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่ออีกเท่าไหร่...จึงจะหามาตรการป้องกันที่ถูกทางได้
นับเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ที่ไม่คาดคิดว่าปฏิบัติการนำหมายเข้าตรวจค้นและจับกุม 2 ผู้ต้องหาในคดีใช้อาวุธสงครามบุกโจมตีกองกำลังทหารนาวิกโยธินภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ อ.เมือง จ.นราธิวาส ที่หมู่บ้านกูจิงลือปะเมื่อช่วงสายของวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา จะนำไปสู่ความไม่พอใจของชาวบ้านบางส่วน กระทั่งภรรยาของ 1 ผู้ต้องหา ได้ใช้เครื่องขยายเสียงของมัสยิดในหมู่บ้านปลุกระดมชาวบ้านให้มารวมตัวกันที่หน้าโรงเรียนกูจิงลือปะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะผู้ชายอยู่ระหว่างทำพิธีละหมาดตอนเที่ยงกว่า จากนั้นชาวบ้านที่มารวมตัวกันนับ 100 คนก็ได้บุกเข้าไปในโรงเรียน แล้วเลือกจับครูชาวไทยพุทธที่มีอยู่ 2 คน คือ น.ส.จูหลิง ปงกันมูล อายุ 26 ปี และ น.ส.ศิรินาถ ถาวรสุข อายุ 30 ปี ไปกักขังไว้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัว 2 ผู้ต้องหาที่ถูกจับไปในช่วงสาย คือ นายอับดุลการีม มาแต และนายมูหามะ สาแปอิง
รายงานแจ้งว่า เหตุการณ์จับครูเกิดตั้งแต่ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งประมาณ 13.30น. จึงได้มีการมอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านเจรจาล่วงหน้าไปก่อน ซึ่งกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะเข้าถึงพื้นที่ก็ประมาณ 15.30 น. ซึ่งเหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว แต่คลี่คลายในทางที่ไม่ดี เพราะครูจูหลิง และครูศิรินาถ ถูกชาวบ้านบางกลุ่มซึ่งอาจแฝงตัวเข้าไปทำร้ายจนอาการปางตาย โดยครูจูหลิงถูกผู้ก่อเหตุใช้ไม้ฟาดศีรษะและลำตัวจนน่วม ขณะที่ครูศิรินาถอาการเบากว่าเพราะแค่ถูกกระทืบ งานนี้ดูเหมือนผู้ที่ตัดสินใจเข้าช่วยเหลือ 2 ครูสาวเป็นคนแรก ก็คือ นายอารง ยูโซ๊ะ ผู้ใหญ่บ้านกูจิงลือปะ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาถึงที่เกิดเหตุล่าช้า มีรายงานว่า เป็นเพราะชาวบ้านได้โรยตะปูเรือใบไว้ตามทาง แถมตัดต้นไม้ขวางถนนด้วยอีกทาง
หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านต่างเก็บตัวและปิดปากเงียบ ไม่มีใครยอมพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าควบคุมตัว นางการีมะ มะสาและ ภรรยานายมูหามะ สาแปอิง 1 ในผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้า ซึ่งนางการีมะ เป็นผู้ที่ทำการปลุกระดมชาวบ้านให้จับครูเป็นตัวประกัน
สำหรับอาการของครูสาวทั้ง 2 ที่ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้ ครูศิรินาถโชคดีหน่อยเพราะอาการดีขึ้นแล้ว แต่ครูจูหลิง หมอบอกว่าโอกาสรอดชีวิตแทบไม่มี เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์เท่านั้น เพราะสมองบวม และเลือดออกมาก พ่อแม่ของครูจูหลิงรีบเดินทางจากเชียงรายไปดูอาการลูกสาวที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์หาดใหญ่ ทันทีที่รู้ข่าวด้วยหัวใจที่แทบสลาย
และสิ่งที่ทำให้คนไทยทุกคนที่รู้ข่าวนี้รู้สึกหดหู่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพ่อแม่ของครูเอง ก็คือ การที่ได้รู้ว่า ครูจูหลิงเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของพ่อแม่ มีความตั้งใจใฝ่ฝันที่จะเป็นครูมาก เพิ่งเรียนจบจากสถาบันราชภัฏลำปาง และเพิ่งสอบบรรจุครูได้เมื่อเดือน ต.ค.2548 นี้เอง ก่อนลงไปเป็นครูที่ใต้ พ่อแม่ก็เคยถามแล้วว่าไม่กลัวอันตรายหรือ? ครูจูหลิงรีบตอบอย่างมั่นใจว่าไม่กลัว ภาคใต้น่าอยู่ ซึ่งในเวลาต่อมา พ่อแม่ครูจูหลิงก็รู้สึกหายห่วง เพราะได้ประจักษ์แก่สายตาเวลาที่ไปเยี่ยมลูกสาวว่าครูจูหลิงเป็นที่รักของเพื่อนๆ และชาวบ้าน ไม่น่าจะมีอะไรน่ากังวล ใครเลยจะคาดคิดว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้จะเกิดกับลูกสาวของตนในวันนี้!
ความหวังของผู้เป็นพ่อและแม่ของครูจูหลิงวันนี้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าขอให้ลูกสาวมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นความภูมิใจของพ่อแม่ต่อไป ส่วนคนร้ายที่ทำร้ายลูกสาวนั้น พ่อแม่ครูจูหลิงพูดอย่างเต็มปากว่าให้อภัย ขณะนี้ไม่เพียงแรงใจและเสียงภาวนาจากพี่น้องประชาชนทั่วทุกสารทิศที่ต่างอ้อนวอนขอให้ปาฏิหาริย์ช่วยครูจูหลิงรอดชีวิต แม้แต่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทอดพระเนตรอยู่ด้วยเป็นห่วงครูจูหลิงเช่นกัน โดยพระองค์ได้พระราชทานเงินให้ทางโรงพยาบาลสงขลานครินทร์หาดใหญ่ เพื่อใช้รักษาครูจูหลิง พร้อมตรัสด้วยว่า “ให้ทางโรงพยาบาลดูแลรักษาครูจูหลิงอย่างเต็มที่ หากเงินที่มอบให้ยังเหลือก็ขอมอบให้ครอบครัวครูจูหลิงต่อไป” คงไม่เพียงพ่อแม่ของครูจูหลิงเท่านั้นที่จะรู้สึกปลาบปลื้มเป็นล้นพ้นในน้ำพระทัยของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หากตอนนี้ครูจูหลิงรู้ตัว คงยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้อย่างหาที่สุดมิได้
ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั้น คงได้มีการหามาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาเพื่อไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก ทั้งที่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่เคยเกิดแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2548 ชาวบ้านหมู่บ้านละหาน ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ได้ร่วมกันต่อต้านขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปในพื้นที่ หลังจากผู้นำทางศาสนาของพวกตน คือ โต๊ะอิหม่ามสะตอปา ยูโซะ ถูกลอบยิงเสียชีวิต ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่า เป็นฝีมือคนของทางการ และเหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอเมื่อวันที่ 20 ก.ย.2548 ที่ชาวบ้านจับ 2 นาวิกโยธินและทำร้ายจนเสียชีวิต เพราะเข้าใจว่า 2 นาวิกโยธินเป็นคนร้ายที่ใช้รถกระบะเป็นพาหนะและใช้อาวุธกราดยิงเข้าใส่ร้านน้ำชา จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิต 2 คน
หลายคนคิดว่าเมื่อมีบทเรียนแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐน่าจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ผศ.ดร.จรัล มะลูลีม แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รู้สึกสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน และว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องให้ความคุ้มครองครูให้มากกว่าที่เป็นอยู่
“ถือว่าเป็นเรื่องที่เศร้าสลด โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะมาทำงานในภูมิภาคที่มีความขัดแย้งสูง ซึ่งแสดงว่าเป็นครูที่มีน้ำใจ เป็นครูที่รักเด็ก และต้องมาจบลงอย่างน่าอนาถใจ เหตุการณ์นี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่ตันหยงลิมอ ซึ่งรัฐจะต้องให้ความคุ้มครองครูให้มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสังเกตการรวมตัว ซึ่งถ้ามีคนมากกว่าจำนวน 2 คนขึ้นไป หรือนับ 10 ขึ้นไป ไม่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย รัฐจะต้องให้การอารักขาหรือคุ้มครองให้เข้มงวด เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้ภาพพจน์ของคนโดยรวมถูกเข้าใจผิดไปด้วย เพราะบางทีการมองก็ไม่มีการแยกแยะ ในความเป็นจริง ผมก็เพิ่งกลับมาจากภาคใต้ ผมจะเห็นว่า คนจำนวนมากประณามวิธีการแบบนี้ และไม่มีใครเห็นด้วยกับความโหดร้ายที่กระทำต่อคนบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นมนุษย์เหมือนกัน และการที่ไปเจาะจงที่จะเลือกทำร้ายร่างกายครูซึ่งเป็นชาวพุทธ ทำให้มีภาพลักษณ์ที่เสียหายแก่ชุมชน เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสมานฉันท์ ระหว่างพี่น้องมุสลิมกับพี่น้องชาวพุทธมาช้านาน”
บางคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถอนกำลังออกจากพื้นที่ทันที หลังจับกุม 2 ผู้ต้องหาเพราะหากยังคงเจ้าหน้าที่ไว้ส่วนหนึ่ง อาจไม่เกิดเหตุการณ์จับครูเป็นตัวประกันก็ได้ ซึ่ง อ.จรัล มองว่า ปัญหาที่คาใจคนจำนวนมาก ก็คือ เหตุใดการจับกุมคนร้ายในภาคใต้ จึงไม่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที เพราะยิ่งจับได้ล่าช้าเท่าไหร่ ชาวบ้านก็จะยิ่งสงสัยมากขึ้นเท่านั้นว่าจับถูกตัวแน่หรือไม่?
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ก็คือว่า เรามักจะจับคนที่กระทำการได้หรือจับกุมหรือสงสัยในตอนหลังที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่คดีอาชญากรรมอื่นนั้น สามารถจับได้ในที่เกิดเหตุ หรืออย่างน้อยก็มีร่องรอยได้ แต่ปัญหาที่คนสงสัยกันมากคือ ทำไมกรณีของภาคใต้ เราไม่สามารถจับกุมได้ทันท่วงที อันเนื่องมาจากความเป็นป่าเขา อันเนื่องมาจากความไม่คุ้นเคยพื้นที่ อันเนื่องมาจากการใช้กำลังที่มาจากที่ไม่คุ้นเคยกับภาคใต้ ก็มีส่วนผสมอยู่มาก ฉะนั้นเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว การที่จะบอกว่าคนนี้ใช่แน่ ไม่ใช่แน่ มันก็ต้องใช้กระบวนการด้านการสืบสวนสอบสวน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา ความรู้สึกของประชาชนที่ไม่รู้จริงหรือมีความสงสัยการกระทำของรัฐ ก็เลยทำให้การจับกุมแต่ละครั้ง มีผู้ประท้วง และยากสำหรับประชาชนที่จะบอกว่า คนนี้ใช่ ไม่ใช่ ยกเว้นที่มีหลักฐานมัดแน่นเท่านั้นเอง ฉะนั้นมาตรการด้านนี้ จะต้องทำอย่างไร 1.ความทันท่วงที 2.ประสิทธิภาพ มิฉะนั้นอย่างที่พูด มันก็คล้ายๆ ว่า เกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีวันจบสิ้น จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แล้วต่างฝ่ายต่างก็จะมีเหตุผลมาอ้าง เช่น กรณีมนุษย์น้ำมัน และอีกหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้น นาวิกโยธินหรือการสูญเสียชีวิตของผู้คนทั่วๆ ไป”
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกฯ และรัฐมนตรียุติธรรม บอกว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหา พบว่า เป็นเรื่องความขัดแย้งทางศาสนานั้น อ.จรัล ยืนยันว่า ไม่น่าใช่เรื่องศาสนา
“ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องของศาสนา เพราะคนจำนวนมากเขาไม่ได้มีความคิดแบบนี้ มุสลิมส่วนใหญ่ ผมว่าพูดได้เลยร้อยละ 99 ไม่มีความคิดที่จะต่อต้านพี่น้องชาวพุทธ และไม่คิดจะนำเอาศาสนามาเป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม การดูแลภาคใต้ก็ต้องให้ความยุติธรรมมากๆ ในการสอบสวนคดี ในการติดตามหรือในการพิจารณาใคร่ครวญ ซึ่งกระบวนการยุติธรรม ในอดีตที่ผ่านมา มีภาพลักษณ์ที่ไม่สวยงาม เช่น การอุ้มฆ่าอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งปัจจุบันนี้ลดน้อยลงไป ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องศาสนา เพราะบทสรุปทั่วๆ ไปก็แสดงให้เห็นแล้วว่า คนจำนวนมากที่เป็นชาวมุสลิมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเหล่านี้ หรือถ้าเป็นการกระทำของผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมทารุณ อาจจะเป็นคนของศาสนาอิสลามก็จริง แต่ก็จะยืนยันว่าคนมุสลิมส่วนใหญ่ยึดถือหลักการอิสลามที่ถูกต้อง กรณีที่เกิดเหตุขึ้นในระยะหลังๆ ที่ภาคใต้ เห็นว่าจุดมุ่งหมายของผู้กระทำเนี่ย เป็นใครก็ได้ ถ้าอยู่กับรัฐ ก็โดนหมด รวมทั้งชาวมุสลิมด้วย ซึ่งแน่นอนวิธีคิดเหล่านี้ การกระทำเหล่านี้ล้วนขัดแย้งกับคำสอนของอิสลามทั้งสิ้น ฉะนั้นจะเหมารวมว่าเป็นเรื่องของอิสลามหรือมองว่าเป็นอคติร่วม หรือมองแบบไม่แยกแยะ มันจะก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น”
เหตุการณ์จับครูเป็นตัวประกันและทำร้ายอย่างเหี้ยมโหดนี้ หลายฝ่ายชี้ว่าสะท้อนถึงความล้มเหลวด้านจิตวิทยามวลชนของเจ้าหน้าที่รัฐ ขณะที่ อ.จรัล มองว่า ปัญหาของภาคใต้มีความสลับซับซ้อน ดังนั้น ระหว่างรัฐกับประชาชน น่าจะใช้วิธี “พบกันครึ่งทาง” เพราะต้องเข้าใจชาวบ้านในพื้นที่ด้วยที่ต้องตกอยู่ในสภาพ “หนีเสือปะจระเข้”
“ผมว่าถ้าพูดด้วยความจริง ต้องให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย เพราะใครถ้าเคยทำงานภาคใต้จะรู้เลยว่า งานของภาคใต้สลับซับซ้อน เพราะมีปัจจัยซ้อนหลายเรื่องด้วยกัน เช่น ทหารระยะหลังๆ หรือตำรวจระยะหลังๆ จะเข้าไปกู้ระเบิดเนี่ย ก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจถูกระเบิดซ้ำอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง เพราะฉะนั้นการตามเรื่องนี่ก็ช้า ผู้ก่อความไม่สงบเขาหนีไปได้แล้ว ครั้น (ตำรวจ-ทหาร) จะผลีผลามเข้าไปก็อาจจะโดนระเบิด ซึ่งหมายถึงชีวิต ซึ่งผมมองว่าชีวิตของคนทุกคนมีค่า อย่างไรก็ตาม ผมว่าระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มันน่าจะมีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่น่าจะประมวลได้บ้างแล้วว่า จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ส่วนจิตวิทยามวลชนที่ผ่านมา ในส่วนที่ประสบความสำเร็จก็มี หลายคนก็ไปร่วมโครงการกับรัฐ มีความสุขอยู่กับการทำงาน และได้มีรายได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกขู่จากอีกฝ่ายหนึ่งว่า ถ้ารับรายได้จากรัฐ เช่น เงินเดือน 4,500 บาท ซึ่งในที่นั้นมีความหมายมากนะ ก็จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งต่อต้าน ดังนั้นสภาวะของคนในภาคใต้อยู่ในภาวะที่เรียกว่า “หนีเสือปะจระเข้”มากๆ ผมว่า ระหว่างรัฐกับประชาชนต้องมาพบกันครึ่งทาง และคนที่เขาจะมาอยู่กับรัฐ ต้องให้ความคุ้มครองเขาด้วย เช่น ชรบ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะคนเหล่านี้ระยะหลังก็กลายเป็นเหยื่อเยอะมาก”
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ แนะว่า ควรย้ายโรงเรียนและนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่มีความรุนแรง เช่น พื้นที่ อ.ระแงะ, เจาะไอร้อง และบันนังสตานั้น อ.จรัล แนะว่า การจะแก้ปัญหาครูและนักเรียนในภาคใต้ ควรนึกถึงชีวิตของผู้คนเหล่านั้นด้วย เพราะทุกคนก็อยากมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าด้วยกันทั้งนั้น
“ต้องนึกถึงชีวิตของผู้คนด้วย 1.นักเรียนนักศึกษาก็อยากมีชีวิตที่เจริญก้าวหน้า ทุกวันนี้ก็ต้องเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างเวลาไปเรียน ดังนั้นควรให้กำลังใจ และควรแก้ปัญหาในสิ่งที่เรียกว่า ระยะยาวมากกว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะว่าพื้นที่สีแดงหรือไม่สีแดง ความรู้สึกของคนเขารู้สึกว่า เขาต้องการความเจริญก้าวหน้าเหมือนกัน และคนในพื้นที่สีแดงจำนวนมากก็ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนั้น ฉะนั้นผมก็คิดว่า เราไม่ควรจะสรุปอะไรอย่างรวดเร็วเกินไป ควรเปิดโอกาสให้มีการ เปิดกว้างทางความคิด และหามาตรการสนับสนุนครูบาอาจารย์ที่นั่น ให้ขวัญกำลังใจ เรียกว่าต้องให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลหมู่บ้านของเขาเองด้วย พื้นที่สีแดงเป็นข้อที่ใครๆ ชอบเอามาพูดว่า ปราบปรามได้ยาก แต่ขณะเดียวกันก็จะละทิ้งพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ โดยภาพรวมควรจะดูแลพื้นที่สีแดงให้มากกว่าพื้นที่ทั่วไปด้วย”
คงต้องจับตากันต่อไปว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร หวังว่าการแก้ปัญหาคงไม่ได้อยู่แค่ว่า ต้องย้ายโรงเรียนหนี, ต้องย้ายนักเรียนหนี, ต้องเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัด หรือต้องเปลี่ยนแม่ทัพภาคที่ 4 แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องมองให้ลึกถึงปัญหาว่าแท้จริงแล้ว เกิดจากอะไร? อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะขจัดความไม่สงบภาคใต้ให้หมดไปโดยสิ้นเชิง แต่บทเรียนที่เกิดซ้ำซากหลายครั้งที่ผ่านมา น่าจะพอเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายได้ว่า น่าจะแก้ปัญหาอย่างไร? ส่วนตัว อ.จรัล ที่เดินทางไปสังเกตการณ์ภาคใต้อยู่บ่อยครั้ง ค่อนข้างจับสังเกตได้ว่า พื้นที่ไหนที่ไม่ค่อยมีด่านของเจ้าหน้าที่ มักไม่ค่อยเกิดเหตุรุนแรง แต่พื้นที่ไหนเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ ชนิดที่เรียกว่า แทบจะเป็น “หมู่บ้านทหาร” นั้น มักจะเกิดเหตุอยู่บ่อยครั้ง อ.จรัล บอกว่า ข้อสังเกตของตนอาจจะไม่ถูกก็ได้ แต่อยากฝากให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐนำไปคิดประกอบการตัดสินใจด้วยเช่นกัน!!


