“หลวงปู่พุทธะอิสระ” ร่วมสนทนาธรรมในสภาท่าพระอาทิตย์ (19 พ.ค.49) ชี้เหตุของความงมงายในสังคมและค่านิยมที่ผิดๆ เป็นเพราะผู้คนกำลังอ่อนด้อยทางปัญญา และส่วนหนึ่งมาจากการขาดผู้นำที่จะช่วยส่งเสริม เตือนทุกคนควรจะคิดในทุกเรื่องก่อนที่จะรับและจำ เพราะถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ผิด ก็อาจจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นในสังคมได้
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร
สำราญ – สวัสดีครับ ต้อนรับเข้าสู่รายการสภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันนี้วันศุกร์ครับ ศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2549 นะครับ ศุกร์ก็จะเป็นรายการสนทนาธรรมกับหลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นศุกร์สนทนาธรรมนะครับ วันนี้ก็เป็นเช้าวันศุกร์อย่างที่เรียนไปแล้วนะครับ บรรยากาศฝนพรำในบางพื้นที่บางจุดของ กทม. แล้วก็หลายพื้นที่ภาคใต้ก็ฝนตก แต่ว่าบรรยากาศของบ้านของเมืองของสังคมมันดูจะอึมครึม มีอะไรเกิดขึ้นแปลกๆ มีอะไรที่น่าเวทนาใจ มีอะไรที่น่าจะมาตั้งคำถามปุจฉาวิสัชนากันเป็นอย่างยิ่งนะครับ รายการวันนี้นะครับมากันรวมแล้ว 3 ส. ก็แน่นอนผม ส.สำราญ รอดเพชร เป็นพิธีกร และก็ที่ขาดไม่ได้ก็อาจารย์สามารถ มังสัง ก็มาแล้วนะครับ และก็ที่ขาดไม่ได้ยิ่งกว่านั้นก็คือหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ ส่วน ส.สนธิ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลนั้นนี่พักนี้ต้องขออนุญาตท่านผู้ชมซักหนึ่ง คือมีภารกิจข้างเคียงอื่นๆอีกมากมาย และวันนี้ต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล มีคดีเยอะตอนนี้นะครับ ก็เหลือ 2 ส. ฆราวาสก่อนนะครับ อาจารย์สามารถและผมสำราญนะครับ กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
หลวงปู่ – เจริญธรรม ท่านสาธุชนผู้รับชมรายการสภาท่าพระอาทิตย์ที่รักทุกท่าน คุณสำราญ คุณสามารถ ผู้ดำเนินรายการ ฉันติดใจหน่อยคำว่าอะไรนะ คำว่าบ้านเมืองมันอึมครึม
สำราญ – ดูครึ้มๆทึมๆเทาๆยังไงไม่ทราบ
หลวงปู่ – รวมทั้งชุดที่แต่งด้วยหรือเปล่า
สามารถ – วันนี้จริงๆแล้วลืมสนิทเลยเอาเสื้อมาวางไว้ เสร็จแล้วขับรถออกมาถึงครึ่งทางก็เลยคิดว่าไม่กลับแล้ว ถ้ากลับมาเอาก็กลัวว่าไปไม่ทัน
สำราญ – ลืมว่าเป็นวันศุกร์หรือ
สามารถ – ไม่ใช่ คือไม่ได้ออกรายการติดต่อกันนานไง ก็เลยทิ้งไว้
สำราญ – สัปดาห์ที่แล้วก็ยังออกอยู่นี่
สามารถ – อันนั้นมันเตรียมไปวัด
หลวงปู่ – เตรียมไปวัดโดยเฉพาะ วันวิสาขะ นี่ วุ้นดักแด้นี่ถึงกระทั่งมีรายการกินวุ้นกันเลยหรือ เจลใสนั่นน่ะ ที่ลงหนังสือพิมพ์หลายวันนั่นน่ะ มีรายการเอาไปต้มกินกันแล้วนะ
สำราญ – จริงหรือเปล่าครับ
หลวงปู่ – จริง ก็ลงหนังสือพิมพ์มี 2-3 วันแล้ว
สำราญ – อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ ไหนๆหลวงปู่ก็ตั้งปุจฉาขึ้นมาเองนะ
หลวงปู่ – ไม่หรอก ฉันอาย ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมานี่เพราะฉันอาย พูดนี่อายนะ อายชาวบ้านชาวโลกเขาว่าเอ๊ะ ทำไมคนไทยนี่มันไม่มีพัฒนาการอะไรกับเขาเลยหรือ ปัญญาไม่มีบ้างเลยหรือ
สำราญ – ทำไมสังคมไทยชอบตื่นกันเรื่องแบบนี้ หรือคือเซ็งๆกันหรือเปล่า
หลวงปู่ – ไม่ใช่ ฉันมองดูก้นบึ้งของสภาพสังคมมันน่าจะมีปัญหา และอาจจะเป็นความอ่อนแอทางปัญญา ทางหากว่าแข็งแรงทางปัญญา ฉันเชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันน่าจะมีคำตอบในเร็ววัน และก็ไม่ทำให้เกิด นี่บางคนเอาขึ้นไปตั้งพานจุดธูปบูชา บางคนก็เรียกท่านเรียกเจ้าไปเลย
สำราญ – ที่ผู้สื่อข่าวเขาเล่าครับ หลวงปู่ ที่อุทัยธานีนะ อันนี้เท็จจริงยังไงไม่ทราบแต่ก็เล่ากันมาว่า ตอนวันแรกเลยนี่ตอนไปเจอตัวนี้นะ ก็เอาไปบูชาถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์
หลวงปู่ – นั่นน่ะสิ จุดธูปจุดเทียน มีของเซ่นไหว้
สำราญ – และก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งก็มาซื้อเป็นแสนเป็นล้าน ไม่ขาย
หลวงปู่ – เป็นฉันไม่ได้
สำราญ – เจ้าของที่เจอบอกไม่ขายนะครับ ป่านนี้คงเสียใจแย่แล้ว
หลวงปู่ – รู้งี้เอาเงินเสียก็ดีหรอก แผ่นนึงไม่กี่สตางค์ แล้วที่ปราจีนเขาบอกว่าถึงขนาดเอาวุ้นไปต้มกินกันเลย มันเป็นภาพอะไรที่ คือยิ่งสะท้อนออกไปข้างนอกนี่ สังคมโลกเขาจะมองเราอย่างไร
สำราญ – อาจจะมองเป็นสังคมน่ารักได้ไหม
สามารถ – ไม่ได้หรอก
สำราญ – สังคมที่มีอารมณ์ขันไม่ได้หรือ อาจารย์
สามารถ – มันมองว่าสังคมอ่อนด้อยทางปัญญา มองให้เห็นว่าการศึกษาที่เรามียาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นี่นะมันล้มเหลว ล้มเหลวที่สอนให้คนนี่ฉลาดไม่ได้ สอนให้คนนี่ใช้เหตุใช้ผลไม่ได้
หลวงปู่ – กระบวนการศึกษาของชาตินี่น่าจะไม่ถูกต้องแล้วล่ะ
สามารถ – มันล้มเหลวครับ หลวงปู่
หลวงปู่ – สอนให้คนไม่มีแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
สามารถ – สอนให้คนยึดติดวัตถุนะ เห็นสิ่งประหลาดเป็นตัวให้โชค เห็นสิ่งประหลาดเป็นตัวนำความโชคดีมาให้
หลวงปู่ – ก็หมา 5 ขา หนู 2 หัว ไก่ 8 ขานี่ยังมีคนไปไหว้เลยนะ ก็ถือว่าพวกนี้พิการนะ
สามารถ – ผมคิดอะไรขำขำนะ ไอ้ไก่ 3 ขานี่ก็ไก่พิการ วัว 5 ขานี่ก็พิการ ไอ้คนพิการนี่ไม่ยักกะมีคนไปขอหวยมั่งนะ
หลวงปู่ – เออ ฉันกำลังจะพูดนี่แหละ ว่าพิการนี่ทำไมไม่มี
สามารถ – ทำไมไม่มีนะ คนนี่มันสูงกว่าสัตว์อยู่แล้วนะครับ และพิการนี่มันน่าจะมีอะไรพิเศษนะ ทำไมคนไม่ไปไหว้ ไม่เข้าใจ
หลวงปู่ – ใช่ แต่ไปไหว้สัตว์พิการ กล้วยออกลูกกลางต้นอย่างนี้
สามารถ – ที่จริงแล้ววัว 4 ขานี่ใช้ไถนาได้นะ หลวงปู่ ใช้ลากเกวียนไว้ แต่วัว 5 ขานี่ทำอะไรไม่ได้เลย เป็นวัวพิการน่ะ
สำราญ – พูดถึงแล้วนี่ อาจารย์สามารถ หลวงปู่ครับ คือความอ่อนด้อยทางปัญญา ความไม่แข็งแรงที่ว่านี่นะครับ ส่วนหนึ่งนี่มันจะเกิดจากอย่างนี้หรือเปล่าว่า คือระบอบสังคมไทยนี่ก็เป็นระบอบที่สมัยก่อนนี่คือผู้ปกครองก็ดี หรือผู้มีอิทธิพลมีอำนาจเหนือกว่าก็ดี คือใช้ความงมงายในการมอมเมาไง
หลวงปู่ – เพื่อทำให้เชื่อหรือ
สามารถ – มันไม่ใช่สมัยก่อนหรอก สมัยนี้กำลังเป็นอยู่นี่แหละ อะไรรู้หรือเปล่า หวยไง นี่ทุกวันเลยมอมเมา ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้แหละ มอมเมาให้คนยึดติดกับวัตถุ มอมเมาให้คนคิดไม่เป็น
หลวงปู่ – ฉันไปธุดงค์ในที่ๆนึงไม่ต้องบอกหรอกว่าที่ไหนนะ แถวเมืองกาญจน์ก็แล้วกัน แล้วก็มีโอกาสได้เจอกับพวกมอญ พวกกระเหรี่ยงที่เขาเป็นอาชีพรับจ้างร่อนแร่ขาย พวกนายจ้างนี่ก็จะใจดีกับพวกนี้มาก ก็โดยวิธีการว่าทุกวันเขาจะมีน้ำเลี้ยงตลอด แล้วก็ผลปรากฏว่าน้ำที่เอามาเลี้ยงพวกมอญ พวกกระเหรี่ยงพวกนี้ พวกชาวบ้านที่รับจ้างร่อนแร่ ก็คือน้ำที่ผสมยาเสพติด
สามารถ – เป็นหลวงปู่ ไม่ใช่เป็นเฉพาะที่นั่นนะ เป็นเยอะ
หลวงปู่ – เสร็จเรียบร้อยแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ได้น้ำนี่วันข้างหน้าทำงานไม่ได้ ก็ต้องมาถามหาว่านาย วันนี้ไม่เลี้ยงน้ำหรือ น้ำไม่เลี้ยงแล้วมีแต่เนื้อแล้วทีนี้ ต้องการก็ซื้อ และไอ้เงินค่าจ้างที่คุณจะพึงได้นี่มันกลายเป็นไม่ได้ เพราะว่าต้องมาซื้อยาเสพติดนี่ ซื้อไอ้ยาบ้านี่
สามารถ – หลวงปู่ครับ ที่จริงแล้วมันวิวัฒนาการมาจากอะไร สมัยก่อนเขาเลี้ยงนกพิราบ เอาฝิ่นใส่กับน้ำให้มันกิน มันก็ชอบมากินเต็มเลย ไม่ไปไหนหรอกก็อยู่ที่นั่น
หลวงปู่ – มันทำให้นึกถึงชาดกเรื่องนึง เรื่องตัวแพะหรือตัวอะไรนี่เลียงผา เลียงผาลิ้มรสน้ำผึ้ง แล้วก็มีกระบวนการ พอเลียงผาได้ลิ้มรสน้ำผึ้งเข้าแล้วนี่ วันต่อไปก็ไม่ต้องไปไล่จับเลียงผาหรือไล่ดูเลียงผาที่ไหนแล้ว เพราะว่าถึงเวลามันก็จะมากินน้ำผึ้งที่วัง ก็เลยทำให้เห็นว่าคงเป็นแบบนี้หรือเปล่า ที่พวกผู้มีอำนาจ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองนี่ พยายามหลอกล่อมอมเมาผู้คน ให้หลงใหลอยู่ในเรื่องอะไรๆที่มันรอบๆตัว เพื่อจะได้ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องสังคม เรื่องปัญญา เรื่องการศึกษา เรื่องการเรียนรู้ เรื่องการรู้เท่าทันผู้นำ
สำราญ – ดังนั้นนี่คำว่าสังคมไทยปัญญาไม่แข็งแรงของหลวงปู่ หมายถึงอะไรครับ
หลวงปู่ – ก็สรุปก็คือมาจากคนใหญ่ในบ้านในเมือง
สำราญ – คือคำว่าปัญญาไม่แข็งแรงหมายถึงอะไรก่อน
หลวงปู่ – หมายถึงเราไม่มีวิถีคิดที่มันทำให้ชีวิตเราแข็งแรงไง
สำราญ – ไม่มีภูมิปัญญา
หลวงปู่ – รวมไปถึงกระบวนทุกเรื่อง ไม่ว่าจะการดำรงชีวิตอยู่ การเดินไป การตัดสินใจในอนาคต เราแทบจะไม่ค่อยได้แข็งแรง เรามองเหตุมองผลไม่ได้ ดูตัวอย่างเรื่องม็อบที่มาสนับสนุนท่าน กกต. ไปทะเลาะกับม็อบที่คัดค้าน กกต. ทั้งสองฝ่ายก็มีสิทธิที่จะขัดแย้งได้ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องมาถึงขนาดมาทำร้ายทำลาย แล้วก็ถ้ามีเหตุมีผลเสียหน่อยนะ ได้ฟังพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มากหน่อยนี่นะ แล้วเราเชื่อเรารักนี่ ทุกคนบอกว่าเราเชื่อเรารักในหลวงนี่นะ และพระองค์ก็ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้ 3 ศาลมาทำหน้าที่แก้ปัญหาของสังคมในเวลานี้นะ
สำราญ – คือแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว
หลวงปู่ – ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ ฉันถึงบอกว่าพวกเราไม่แข็งแรงทางปัญญากันหรือเปล่า นี่ฉันเป็นคนพาพวกคุณเข้ามาสู่วังวนทางการเมืองอยู่หรือเปล่า
สำราญ – ผมพยายามคุยเรื่องดักแด้เรื่องอะไรอยู่
สามารถ – ผมมองอย่างนี้นะ ผมมองว่าสังคมนี่ยึดติดอามิส ยึดติดเหยื่อ
หลวงปู่ – และก็ยึดติดพวก
สามารถ – เหมือนปลานี่นะครับ เวลาเขาจะกินปลาเขาก็เอาเหยื่อไปเกี่ยวเบ็ด ทีนี้สังคมมันพัฒนาจากตัวนี้มา ดูนะครับเวลาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะใช้คนทั้งหลายให้ทำตามนี่ก็เอาเหยื่อมาล่อ
หลวงปู่ – ที่จริงนี่การมีพวกมีพ้องเป็นเรื่องดี แต่ถ้าพวกเรามันเป็นโจรน่ะ สมมุตินะ ที่ฉันไม่ได้ว่าใครนะ ถ้าพวกเรามันเป็นโจรนี่ มันควรแล้วหรือที่จะยกพวกไปสนับสนุนโจรให้ได้ดี มันต้องแยกแยะออกบ้าง ถ้ามีปัญญาคิดนะ การมีเพื่อนฝูง เพื่อนพ้อง เผ่าพันธุ์ ภาคนี่มันเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ
สามารถ – อันนี้ก็กลับไปที่เดิม กลับไปตรงที่ว่าทุกคนนะติดเหยื่อ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ใครซักคนทำอะไรนะเขาเอาเหยื่อไปล่อ ทีนี้พวกนี้ก็ติดเหยื่อไงก็คือได้ผลตอบแทนก็เอา โดยที่ไม่ดูว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ผิดหรือถูกไง มองเฉพาะว่าเหยื่อคุ้มค่า ควรจะได้ ควรจะมีอะไรอย่างนี้
หลวงปู่ – คือฉันดูในหนังสือพิมพ์นี่นะ ขออนุญาตพูดถึงพี่น้องชาวจังหวัดจันทบุรี ชูป้ายหราว่าวีรบุรุษชาวจันท์นี่นะ หรือว่าคนดีที่จันท์ยกย่องอะไรก็แล้วแต่นี่นะ มีคนที่อยู่ในจังหวัดจันท์มาคุยกันฉันหลายคน บอกว่านั่นไม่ใช่คนจันท์ เหมือนกับที่พี่น้องชาวเชียงใหม่บางคนไปพังเวทีประชาธิปัตย์เขาเหมือนกันน่ะ พวกเชียงใหม่หลายคนเขามาบอกว่านั่นไม่ใช่คนเชียงใหม่ทั้งหมดอะไรอย่างนี้ เราก็เลยมองว่าเอ๊ะ ถ้าเราแข็งแรงทางปัญญามากกว่านี้ซักหน่อยนะ แต่ละคนบ้านเมืองพยายามสนับสนุนให้เกิดปัญญาเยอะขึ้นกว่านี้หน่อยนึง ฉันว่ามันคงไม่มีภาพอย่างนี้
สำราญ – เดี๋ยวผมขอเสริมหน่อยนะ คือจริงๆไม่พยายามคุยการเมืองในตอนนี้นะครับ แต่ว่าพอคุย กกต.แล้วเสริมหลวงปู่ให้มันชัดเจนเสียเลย ในเชิงข่าวนี่นะที่ กกต.นะ ที่มากัน 10 คันรถบัสนี่มันก็เป็นคนจันทบุรีจริงๆนะ ที่มาให้กำลังใจท่านวาสนา เพิ่มลาภ แต่ว่าทุกครั้งที่มีการมาให้กำลังใจ กกต. จะมีขาประจำอยู่จำนวนหนึ่ง สันนิษฐานว่าอยู่แถวคลองเตย แถวอะไร กทม.นี่แหละ จะมีกลุ่มอยู่หนึ่ง ขาประจำ หน้าประจำ ผู้สื่อข่าว ช่างภาพเขาถ่ายภาพ
หลวงปู่ – เป็นมือปืนรับจ้าง
สำราญ – คล้ายๆเป็นไม่รู้ใครเซ็ตอัพหรือจัดตั้งเอาไว้ เขาก็จะผสมโรงทุกงานไป นี่เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้
หลวงปู่ – ปัญหามันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ปัญหาฉันมองว่า
สำราญ – ไม่ใช่ครับ นี่คืออธิบายความว่า ที่ว่ามันยิ่งทำให้มีสีสันการป่วน
หลวงปู่ – มันทำให้เกิดมองดูเหมือนว่า เอ๊ะ ทำไมมันแตกร้าว มันแตกฉาน แต่ฉันมองว่าถ้าพี่น้องชาวจันท์รู้จักคิด หรือคิดมากหน่อย และก็ใช้ปัญญามากๆซักนิดนึงนี่ เราจะรู้ว่าคนนี่ถ้าไม่ใช่อรหันต์มันก็มีพลาดได้ผิดได้ และในขณะเดียวกันนี่สิ่งที่ 3 ศาลท่านทำอยู่นี่ ประมุขของ 3 ศาลท่านทำนี่ ท่านไม่ได้ทำโดยพลการ แต่ทำโดยรับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ท่านเป็นประมุขทั้ง 3 ศาลนี่ ใครจะมาอ้างว่าไม่ใช่เป็นมติของศาลนี่มันก็ไม่น่าใช่ เพราะก่อนหน้านื้ทำไมท่านไม่ออกมาแสดงตน ถูกไหม เรามองกันชัดๆนะ วันนี้ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ในรถมา รู้สึกหงุดหงิด ส.ส.พรรคไทยรักไทยออกมาโวยวายว่าไม่ใช่มติของศาล แต่เป็นบุคคล แต่ในฐานะที่ท่านเป็นประมุข และในขณะเดียวกันก่อนหน้าที่จะมีเรื่องมีราวกันนี่ ทำไมท่านไม่ออกมาแสดงตนอะไรเลย แต่ว่าหลังๆนี่เราจะเห็นท่านออกมาถี่มากนี่ หลังจากได้รับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ มันก็เป็นเครื่องแสดงออกแล้วว่าท่านไม่ได้ทำโดยพลการ แล้วทำไมถึงยังมีคนออกมาคัดค้าน ออกมาโวยวาย ออกมาอะไรอีก
สำราญ – ยิ่งไปกว่านั้นจริงๆโดยเนื้อหา โดยหลักการ โดยข้อกฎหมายนี่ สิ่งที่ประมุข 3 ศาลท่านพูด
หลวงปู่ – พูดก็พูดอยู่ในข้อกฎหมาย
สำราญ – ก็อยู่ในกรอบของกฎหมายนั่นแหละ
หลวงปู่ – แล้วทำไมไม่เข้าใจ ถึงได้บอกไงว่าเราไม่แข็งแรงทางปัญญาไง กินยันดักแด้
สำราญ – ทีนี้กลับไปเรื่องวุ้นดักแด้ หรือเรื่องงมงายต่างๆทั้งหลายทั้งปวง นี่คือความไม่แข็งแรงทางปัญญา
หลวงปู่ – จากผู้นำที่หล่อหลอมพวกเราให้เป็นอย่างนี้ ต้องบอกว่าผู้นำทุกยุค
สำราญ – กลายเป็นว่าเราไปโทษผู้นำหรือ
หลวงปู่ – สำหรับฉัน ฉันต้องโทษ เพราะว่าถ้าหากว่าผู้นำเป็นคนที่เอื้ออาทรจริงๆต่อคนในชาตินี่ ต้องให้ปัญญาเป็นพื้นฐาน นโยบายของการเมืองแต่ละพรรคนี่มันลำดับต้น มันต้องนำเอาปัญญาของชนในชาติมาเป็นตัวนำก่อน ไม่ใช่น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มาเป็นตัวนำ หรือว่าสนับสนุนให้คนในชาติมีปัญญามันไม่ได้เปอร์เซ็นต์ ฉันไม่แน่ใจ แต่ว่าสนับสนุนให้น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดีนี่มันเกิดเปอร์เซ็นต์หรือไง ถึงได้มีแต่เมื่อไหร่ๆก็มาทำให้เกิดน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี ตัวคนในชาตินี่โง่เอาๆ เมื่อวานซืนนี่ฉันไปแสดงธรรมที่ กทม.นะ ศาลาว่าการ กทม.นี่ ฉันบอกว่าปัญหาของสังคมเวลานี้ที่มันเกิด เพราะคนในชาติอ่อนแอทางปัญญา แล้วถ้าหากว่า กทม.อยากช่วยปัญหาตรงนี้นี่ ฉันเองนี่ 2 วันนี้เพิ่งจะเซ็นหนังสือ เซ็นชื่อจ่ายสตางค์ค่าเทอมของเด็กๆนักเรียนที่อยู่ในวัดนี่นะ ที่เขาออกไปเรียนข้างนอกนี่นะตั้งหลายหมื่นบาทนะ 10 กว่าคน 20 คนนี่นะ ทำให้เราคิดว่าไหนบอกว่าเรียนฟรีไง ไหนรัฐออกนโยบายว่าเรียนฟรี ทำไมยังมีค่าบำรุงการศึกษา ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าสารพัดค่า มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรียนเสียตังค์ แม้แต่พนักงาน กทม.ที่นั่งฟังฉันเขาก็พยักหน้าว่าใช่ ไม่ได้เรียนฟรีเพราะยังจ่ายตังค์อยู่
สำราญ – ต้องยอมรับว่าการศึกษายุคนี้แพงจริงๆ
หลวงปู่ – มันแพง และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนี่เราก็ต้องมาถามต่อไปว่า นโยบายที่บอกว่าเรียนฟรีนี่มันฟรีตรงไหน ใครเป็นคนฟรี ฉันก็เลยบอกเอาอย่างนี้ได้ไหม กทม.ทำให้คน กทม.ทั้งหมดเรียนฟรียันปริญญาตรีเลยได้ไหม ท่านผู้ว่าฯกล้าไหม พูดชัดๆไปเลย
สำราญ – ทีนี้อาจารย์สามารถกลับมานิดนึง คำว่าปัญญาในทางพุทธนี่ ทางคำสอนนี่มันหมายถึงยังไงจริงๆแล้วนี่
สามารถ – คือต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน ประเทศไทยนี่นับถือพุทธศาสนาปี 1800 พ่อขุนรามคำแหงนี่นะเอาสังฆราชจากศรีวิชัยขึ้นมาสอน 1800 ปีถึงปัจจุบันนี่กี่ร้อยปีลองคิดดูนะ และวันนี้คนไทยนะก็ยังไม่ได้เข้าถึงปัญญาที่คุณถามผมนี่แหละ ปัญญาโดยตัวมันเองแปลว่ารู้รอบหรือรู้รอบก็แล้วแต่ ก็คือรู้ในสิ่งที่ควรรู้ทุกอย่าง รู้ว่าอะไรดี รู้ว่าอะไรชั่ว รู้ความชั่วไม่ควรกระทำ ความดีควรกระทำนี่คือปัญญา นั่นคือปัญญาของพุทธนะครับ ไม่ใช่ว่ารู้ว่าชั่วทำเพราะได้ประโยชน์ ดีไม่ทำเพราะไม่เห็นประโยชน์ไม่ใช่นะ อันนี้ผิด อันนี้มิจฉาทิฐิ ปัญญาของพุทธต้องเป็นสัมมาทิฐิ ก็คือเห็นดีว่าดี เห็นไม่ดีว่าไม่ดี
หลวงปู่ – คือพึ่งตัวเองได้ และก็เป็นที่ปรึกษาของคนอื่นได้ นั่นแหละคือปัญญา
สามารถ – ทำตัวให้มีประโยชน์กับตัวเองและกับผู้อื่น นั่นแหละก็คือปัญญาของพุทธ ไม่ใช่ทำตัวให้เป็นภาระของตัวเองและสังคมไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ปัญญา
สำราญ – สมมุติแค่รู้ว่าที่น้ำมันเดือดเพราะมันโดนไฟ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสอะไรอย่างนี้นะ ใช่ปัญญาไหม
หลวงปู่ – ยังไม่ใช่ปัญญา
สามารถ – ใช่ แต่เป็นปัญญาระดับล่าง เป็นปัญญาที่เราเรียกว่าผูกพันเกี่ยวกับสมมุติสัจ
หลวงปู่ – สมมุติสัจเพราะว่ารู้จักเหตุรู้จักผล ไอ้คำแค่ว่ารู้จักเหตุรู้จักผลนี่ไม่ยังไม่เสมอ ยังไม่ถือว่าเป็นปัญญาของพระพุทธศาสนา
สามารถ – คือปัญญาขั้นสมมุตินี่ใช่ แต่ปัญญาขั้นปรมัตถ์นี่มันไม่ใช่ เอากันง่ายๆดีกว่า สมมุติว่าคุณรู้ว่าความดีคือความดี ความชั่วคือความชั่ว ความดีคือสิ่งที่ควรทำ ความชั่วคือสิ่งที่ควรละเว้นนี่นะโอเค นี่เรียกว่าขั้นศีล อันนี้ขั้นต้นนะ ลึกลงไปกว่านั้นอีกคุณรู้ว่าเมื่อคุณมีศีลแล้วนี่ ต้องพัฒนาไปสู่สมาธิคือให้จิตมันสงบ เมื่อจิตสงบแล้วคุณต้องพัฒนาไปถึงขั้นให้หลุดพ้นนั่นคือปัญญาสุดท้ายของพุทธนะ ที่คุณถามผมนี่คือปัญญาขั้นศีลนะ
สำราญ – แล้วสังคมที่เรากำลังวิพากษ์วิจารณ์นี่ต้องการปัญญาขั้นไหน แบบไหน
สามารถ – แค่ต้น แค่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี อะไรควรทำไม่ควรทำก็พอแล้ว
หลวงปู่ – ให้มีปัญญาขั้นศีล ขั้นปกติมาก ขั้นพื้นฐานนี่ยังไม่มี
สามารถ – คุณควรรู้ว่าอย่างศีลข้อ 1 นี่นะไม่ฆ่าสัตว์
หลวงปู่ – ก็ดูตัวอย่างเช่นวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์นี่ เด็กอายุ 12 แชดอินเตอร์เน็ตแล้วเข้าไปหาผู้ชายอยู่ ผู้ชายก็อายุ 20 กว่า และก็ไปอยู่รอเขายันเย็น ผู้ชายจะไปทำงานเช้าก็น้องรอพี่ไปจนเย็น และก็ผู้ชายจะข่มขืนนี่ อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาไหม
สามารถ – ทีนี้เรื่องดักแด้นี่ผมมอง 2 มุมนะ คือ 1. ทำไมมันไปทั่วประเทศ คนซื้อไปหรือว่ามีคนเจตนาทำให้ระบาดหรือเปล่า
หลวงปู่ – มีเหตุปัจจัยหรือไม่ก็อาจจะเป็นประมาณว่าบิดเบือนสถานการณ์ข่าวสาร
สามารถ – สุราษฎร์โผล่ก่อนเพื่อนนะ ตามมาที่จังหวัดอื่นๆ อุทัยเยอะเลย ถามว่าคนป่วยนะซื้อยาชนิดนี้ไปใช้ทั่วหรือยัง หรือว่าเป็นการโปรโมตอะไรซักอย่าง
สำราญ – อันนี้ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นนะ โดยบังเอิญก็เป็นไปได้ มีการวางแผนอย่างแยบยลก็เป็นไปได้ บังเอิญนี่ไม่ควรจะเกิดขึ้นทั่ว ถ้าวางแผนนี่เป็นไปได้
หลวงปู่ – ถ้าวางแผนแบบแยบยลนี่ต้องถือว่าเขาสำเร็จประโยชน์มาก ถึงขนาดลงมือกินและชิมเลยนี่
สำราญ – แล้ววางแผน 1. อาจจะเพื่อการพาณิชย์ก็ได้ หรือ 2. ถ้าคนที่ทำเป็นฝ่ายการเมืองก็กลบข่าวก็ได้
สามารถ – ก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ ทางการพาณิชย์ก็ได้ ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ได้รับการโฆษณาโดยไม่ต้องจ่ายตังค์ ก็ทุกคนรู้จักหมดน่ะถูกไหม หรือดูว่าเป็นการเบนความสนใจไปได้ช่วงระยะหนึ่งก็ได้อีก แต่ผมมองในแง่การพาณิชย์นะ เพราะว่าผมไม่เคยรู้จักผลิตภัณฑ์นี้มาก่อนเลย
สำราญ – ผมก็มีความรู้สึกคล้ายๆอาจารย์สามารถ อันนี้เป็นความรู้สึกโดยรวม
หลวงปู่ – แต่ฉันมองอีกแง่หนึ่ง ฉันมองในแง่ของว่าทำไมคนไทยไม่แข็งแรงเลย
สำราญ – หลวงปู่เลยมองในเชิงสมเพชเวทนา
หลวงปู่ – สมเพชด้วย และก็รู้สึกอายเขาด้วย
สามารถ – ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้รู้ไหม เพราะว่าถ้าคนเคยใช้ยาชนิดนี้มาก่อนนะ มันต้องมีใครซักคนเอาไปทิ้งแล้วก็เกิดฟองๆขึ้นมานี่
หลวงปู่ – ก็เด็กนักเรียนน่ะ เขาบอกเด็กนักเรียนที่อยุธยาอายุ 10 กว่าขวบนี่ พออ่านข่าวหนังสือพิมพ์แล้วเอาไปหัวเราะกันนี่ เขาบอกว่าแม่ซื้อมาให้เขาสมัยก่อน แล้วเขาเอามาแช่น้ำเล่นกันนี่ ตั้งแต่ก่อนหน้าเริ่มๆมีข่าวแล้ว
สามารถ – แล้วคุณสังเกตไหม มันเกิดขึ้นกับคนกลุ่มไหนบ้าง ไอ้ประเภทต้องไปไหว้ต้องไปบูชานี่กลุ่มไหนคุณรู้ไหม กลุ่มยากจนที่ต้องการผลตอบแทน
หลวงปู่ – แต่ฉันแปลกใจว่าสินค้าผลิตภัณฑ์เรื่องเกี่ยวกับสุขอนามัยของพวกเรานี่ มันต้องอยู่กับพวกพนักงาน อย.ใช่ไหม อย.ต้องอนุมัติใช่ไหม แล้ว อย.ต้องรู้คุณสมบัติแต่ละอย่างๆใช่ไหม แต่ทำไมมีข่าวนี่ อย. พอข่าวครั้งแรก อย.น่าจะเสนอหน้าออกมาบอกว่านี่มันไม่ใช่ดักแด้ มันเป็นเจลสำหรับลดไข้ ทำไมเงียบหายไปเลย หรือ อย.ก็ไม่รู้ว่าเจลลดไข้หน้าตาเป็นยังไง แล้วอนุมัติเข้าไปได้ยังไง
สำราญ – พอข่าวออกมาปั๊บนี่นะ กว่ากระทรวงวิทย์ กว่ากระทรวงสาธารณสุขจะออกมาตั้งหลักได้นะ ต้องผ่านไปครึ่งค่อนวันนะอาจารย์
หลวงปู่ – ไม่ใช่ครึ่งค่อนวัน หลายวันแล้ว เริ่มบูชากันแล้ว แล้วถามว่า อย.เป็นผู้อนุมัตินี่ อย.ไม่รู้ถึงคุณสมบัติของมันหรือ ว่าเมื่อมันโดนน้ำแล้วมันจะอาการพองลักษณะไหน หน้าตาเป็นยังไงนี่
สามารถ – คือเราต้องยอมรับนะว่า กลุ่มที่มีปัญหามากที่สุดในการนำไปกราบไหว้ขอหวยนี่ คือกลุ่มคนยากจน กลุ่มที่ไร้การศึกษา แล้วที่สำคัญคนกลุ่มนี้นะผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้
สำราญ – คือผมไม่อยากจะพูดว่าการขาดปัญญาของพี่น้องของเรานี่นะ ส่วนหนึ่งนะเป็นเพราะความจงใจของรัฐก็ดี ของผู้ใหญ่ก็ดี มีส่วนมาก ใช่ไหมครับ หลวงปู่
หลวงปู่ – เป็นผลผลิตของพวกผู้บริหาร เป็นผลผลิตของพวกผู้นำในแผ่นดินนี้ ประเทศไทยที่เป็นคนไทย ที่อ่อนแอทางความคิดอยู่นี่ ณ ปัจจุบันนี้มันเป็นผลผลิตของผู้บริหาร ผู้นำในแผ่นดินนี่ ตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน
สำราญ – เหมือนกับที่เขาบอกว่า ประชาชนโง่เพราะผู้ปกครองโง่นี่ จริงไหมครับอาจารย์
สามารถ – มันก็ต้องจริงสิ เพราะว่าผู้ปกครองมีหน้าที่ให้การศึกษา
หลวงปู่ – ไม่ใช่ ประเทศนี้บอกว่าประชาชนโง่เพราะผู้ปกครองฉลาดมากไป สรุปก็คือว่าทำไมเราพูดกันว่าผู้นำเป็นคนฉลาดมากไปเลยทำให้คนไทยโง่ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ท่านเป็นอัจฉริยะ และก็พยายามทำให้คนไทยเป็นอัจฉริยะ ทุกเรื่องเวลาท่านจะนำมาเสนอหรือมาสอนมาอบรมคนไทยนี่ ท่านจะต้องทดสอบด้วยตัวของท่านเองก่อน แต่ว่าเราไม่เคยเห็นลักษณะอย่างนี้ในผู้บริหารบ้านเมืองในระดับต่อๆมาเลย คือระดับล่างเลย ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯหรือใครๆ ก็แล้วแต่ รวมไปถึงแม้กระทั่งสภา อบต. เราไม่เคยมีเห็นกระบวนการที่ว่าจะนำเสนอให้เกิดปัญญาต่อชุมชน ต่อท้องถิ่น มีแต่อ้าปากก็โยนเหยื่อ อ้าปากก็โยนเหยื่อ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนไทยอ่อนแอทางความคิด
สำราญ – ทีนี้มาถึงเรื่องโคโยตี้ วันนี้เราจะวิพากษ์วิจารณ์สังคม ปรากฏการณ์นะครับ นั่นคือปรากฏการณ์ของโคโยตี้นะครับ อันนี้คุณบัณฑิตก็ได้สรุปข่าวให้ท่านผู้ชมรับทราบไปแล้ว ที่สุพรรณบุรีนะครับ ก็คือเด็กหนุ่มเป็นเจ้าของร้านแต่งรถเขาก็เสียชีวิต แต่เขาเป็นคนที่ชอบดูโคโยตี้เต้นมากนะครับ ไปตามผับตามร้านอาหารนี่ก็จะชอบ แล้วเขาเสียชีวิตไปนี่สวดศพคืนสุดท้ายนี่ ทางแฟนเขากับเพื่อนๆก็จัดโคโยตี้ 5-6 คนมาเต้นนะครับ จ้างมาคนละ 400-500 บาท
หลวงปู่ – เต้นที่ไหน
สำราญ – ที่วัดเลยครับ ตรงที่สวดศพน่ะครับ
สามารถ – หน้าเมรุเลย
สำราญ – ทีนี้คำถามของผมก็คือว่า อันนี้มันเป็นความเชื่อหรือความอ่อนด้อยทางปัญญาที่ว่าหรือเปล่า หรือเป็นความอะไร
หลวงปู่ – ไม่ใช่วิถีพุทธ
สามารถ – ผมจะพูดเรื่องนึงก่อนว่า จริงๆแล้วคนตายอยากดู หรือว่าคนที่ยังอยู่อยากดูและอ้างคนตาย อันที่ 1 นะ ผมตั้งข้อสังเกต
สำราญ – เขาเชื่ออย่างนี้จริงๆนะ อาจารย์ คือเขาเชื่อว่าคืออยากให้แฟนได้ไปสุคติน่ะ
สามารถ – ถ้าเป็นความเชื่อจริงๆนะ เป็นความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับพุทธ
หลวงปู่ – ไม่สอดคล้อง เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดว่า การดูการละเล่น การเล่นการพนันเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย อบายมุขคือเหตุแห่งความฉิบหาย
สามารถ – นั่นประเด็นหนึ่งของศีล ประเด็นหนึ่งก็คือว่าทันทีที่คนตายแล้วนี่ พุทธสอนว่าตายปุ๊บเกิดปั๊บนะ และคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ดู เขาไปแล้ว เขาไปเกิดที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
หลวงปู่ – อาจจะเป็นไส้เดือน หรือเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ก็ได้
สามารถ – เขาไม่ได้ดูเพราะเขาไปเกิดแล้ว
สำราญ – พุทธนี่คือพอตายปั๊บแล้วก็เกิดเลย
สามารถ – เกิดเลย แล้วถ้าเขาเกิดในภูมิที่ห่างจากความเป็นมนุษย์นี่ มันไม่ค่อยมีประสาทมนุษย์หรอก มันดูไม่ได้ครับ
หลวงปู่ – และที่จะแย่ก็คือ สิ่งที่ให้เขาไปนี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกนรกมากขึ้น เพราะมันหลงมากขึ้น สมมุติว่าได้ดูนะ
สำราญ – ดังนั้นนี่ก็คือ บางครั้งนี่คือการทำแบบนี้นะ คือจำเป็นต้องเป็นกรณีนี้หรอก จะกรณีอื่นก็ได้ที่คล้ายๆแบบนี้นะ
หลวงปู่ – มันไม่ตรงต่อคำสอน
สำราญ – บางทีก็ทำเพื่อให้คนที่อยู่สบายใจขึ้นมากกว่า
สามารถ – แค่นั้นแหละ ได้แค่นั้นแหละ คนอยู่อยากเห็น คนอยู่อยากดู หรือคนอยู่ได้หน้านี่ทำเพื่อแค่นั้นแหละ ไม่ได้ทำเพื่อคนตาย
สำราญ – อาจจะไม่อยากได้หน้า อยากสบายใจน่ะ
หลวงปู่ – สบายใจว่า
สำราญ – สบายใจได้ทำเพื่อพี่แล้วนะอะไรอย่างนี้
หลวงปู่ – ถ้าน้องจะทำเพื่อพี่จริงๆ น้องก็หาวิธีการที่จะส่งสิ่งที่มันดีกว่านี้ให้พี่หน่อย
สามารถ – คุณรู้หรือเปล่า เขาจ้างมาคนละ 500 ต่อวันนี่นะ 6 คนใช่ไหมครับ 3 พัน เอาเงิน 3 พันนี่นะไปทำการกุศลหรืออะไรก็ได้ยังดีเสียกว่า เป็นประโยชน์กับคนตาย เป็นประโยชน์กับคนอยู่ ดีกว่าไปเอาพวกนี้มาเป็นเหยื่ออารมณ์ และคนมาดูแล้วนะถ้าคิดน้อย อาจจะก่ออาชญากรรมทางเพศได้นะ
หลวงปู่ – แล้วก็เป็นผลพวงทำให้สมภารลำบากใจด้วย สมภารต้องมานั่งกำกับดูแลว่าไม่ให้เกินเลย เห็นตามข่าวนะ และในขณะเดียวกันไม่รู้หลังจากน้องหนูกลับไปแล้วนี่ สมภารจะคิดมากหรือเปล่า คิดมากนี่มันมี 2 ประเด็นนะ คิดมากประเด็นแรกก็คือโดนพระผู้ใหญ่ด่า คิดมากประเด็นที่ 2 ก็คือสมภารเองนั่นแหละ จะทำใจรับได้ไหม จะตามน้องหนูไปดูข้างนอกหรือเปล่ายังไม่รู้
สำราญ – อันนี้ก็ต้องถามสมภารวัดอุทุมพลาราม (วัดไผ่แขก) หมู่ 5 ต.ดอนโพธิ์ทอง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
หลวงปู่ – นี่อยากวิงวอนขอนำเรื่องนี้ไปเป็นอุทาหรณ์ว่า เรียนเจ้าคณะพระสังฆาธิการว่า บางทีบางครั้งนี่เราลืมเรื่องสมณสารูป เราลืมเรื่องวิถีทางแห่งวุฒิปัญญา และเราลืมเรื่องคำว่าวัด ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราพูดถึงเรื่องวัดใช่ไหมว่ามันเป็นสถานที่สงบ สะอาด และเต้นๆแบบนี้มันสงบสะอาดที่ไหน
สามารถ – ตัวแรกเลยนะครับ นำสิ่งที่มองแล้วเป็นศัตรูต่อกรรมฐานเข้ามาสู่วัด
หลวงปู่ – ศัตรูกับพรหมจรรย์ มันก็เลยผิดสมณสารูปไง ที่จริงปรับอาบัติท่านได้นะ สมภารนี่
สามารถ – อันนี้นะอโคจรอยู่นอกวัด นำเข้ามาในวัด อันนี้อโคจรนำเข้ามาในวัดนะ อันนี้ผิด
หลวงปู่ – ปรับอาบัติท่านได้ และก็เป็นเหตุปัจจัยทำให้ลงทัณฑ์ได้ด้วย มันไม่เหมาะสมน่ะคุณ สรุปแล้วมันไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมทั้งธรรมและทั้งวินัย และทางโลก
สำราญ – เอาล่ะครับ ก็เหลือ 3 นาทีสุดท้ายจริงๆนะครับ เราคงใช้โอกาสนี้นะครับ ตอกย้ำกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ ว่าวันนี้คือจริงๆต้องการให้สังคมบ้านเราเข้มแข็งด้วยปัญญา อย่างที่หลวงปู่ได้จุดประเด็น ผมได้ตั้งคำถามตอนต้นๆรายการนะครับ ก็ให้หลวงปู่ได้สรุปอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งให้ศีลให้พรกับผู้ชมรายการของเราครับ
หลวงปู่ – อยากบอกท่านผู้รับชมรายการที่รักทุกท่าน รวมทั้งท่านพิธีกรร่วมด้วยว่า วิถีทางแห่งพุทธิปัญญานี่ ในเรื่องวิถีจิตนี่ เราจะรู้ชัดเลยว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในซีกโลกไหนของจักรวาล หรือของโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในศาสนาไหน เป็นสาวกของพระศาสดาองค์ใดนี่ คุณก็สามารถที่จะกลายเป็นผู้ที่ถูกตรงต่อเป้าประสงค์และคำสอนของพระธรรมได้ ด้วยเหตุปัจจัยของการรักษาอาการของจิตให้ทำหน้าที่ให้ครบทั้ง 4 อย่าง คือ ธรรมชาติของจิตนี่มีหน้าที่จะรับอารมณ์ แล้วก็จำอารมณ์ คิดอารมณ์ และก็รู้อารมณ์ นั่นเขาเรียกว่าสามัญจิต เพราะเหตุปัจจัยที่เรารับโดยไม่รู้จักคิด แล้วก็รับแล้วแถมยังเก็บและก็จำไว้ด้วย แล้วไม่คิดแล้วก็ไม่รู้จริงนี่ แล้วก็นำไปเสนอหรือนำเอาไปพูดคุย หรือนำเอาไปแสดงออกนี่ มันก็เลยทำให้เกิดผลเสียของบ้านของเมือง ของสังคมในปัจจุบันเยอะแยะมากมาย
แต่ถ้าเราคิดจะปฏิบัติตามแนวทางวิถีจิตอย่างชัดแจ้ง ซึ่งจะอ้างว่าเป็นแนวทางของพุทธหรือไม่ก็ตามทีเถอะ แต่ในที่นี้ก็เป็นคำสอนของพุทธโดยตรงอยู่แล้ว แต่คำสอนพุทธก็คือคำสอนให้รู้ว่าสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติจริงแท้ ซึ่งใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ นั่นก็คือหน้าที่ของจิตมีหน้าที่รับ จำ คิด แล้วจึงจะรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้นี่เราเปลี่ยนใหม่เป็นรับก่อน หรือว่ารู้ก่อนแล้วค่อยรับ แล้วก็นำเอามาคิดแล้วจึงจะเก็บเรียกว่าจำ ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นวิเสทจิต ก็เราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงทางปัญญา คือรู้ก่อนจึงรับ เอามาคิดแล้วจึงจะเก็บ หรือไม่ก็รับมาแล้วก็รู้จักคิดบ้าง คิดแล้วก็ถึงคำว่าตัวรู้แล้วจึงจะเก็บ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นตัวนำชีวิต เมื่อปัญญานำชีวิต ชีวิตก็จะแข็งแรง สังคมก็จะยั่งยืน และก็ตัวเราเองก็จะปลอดภัยและก็มั่นคงในที่สุด ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญในปัญญา และก็มีความมั่นคงในชีวิต มีความเจริญรุ่งเรืองในสติ สมาธิ และธรรมะ เจริญธรรม.
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร
สำราญ – สวัสดีครับ ต้อนรับเข้าสู่รายการสภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันนี้วันศุกร์ครับ ศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2549 นะครับ ศุกร์ก็จะเป็นรายการสนทนาธรรมกับหลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นศุกร์สนทนาธรรมนะครับ วันนี้ก็เป็นเช้าวันศุกร์อย่างที่เรียนไปแล้วนะครับ บรรยากาศฝนพรำในบางพื้นที่บางจุดของ กทม. แล้วก็หลายพื้นที่ภาคใต้ก็ฝนตก แต่ว่าบรรยากาศของบ้านของเมืองของสังคมมันดูจะอึมครึม มีอะไรเกิดขึ้นแปลกๆ มีอะไรที่น่าเวทนาใจ มีอะไรที่น่าจะมาตั้งคำถามปุจฉาวิสัชนากันเป็นอย่างยิ่งนะครับ รายการวันนี้นะครับมากันรวมแล้ว 3 ส. ก็แน่นอนผม ส.สำราญ รอดเพชร เป็นพิธีกร และก็ที่ขาดไม่ได้ก็อาจารย์สามารถ มังสัง ก็มาแล้วนะครับ และก็ที่ขาดไม่ได้ยิ่งกว่านั้นก็คือหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ ส่วน ส.สนธิ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลนั้นนี่พักนี้ต้องขออนุญาตท่านผู้ชมซักหนึ่ง คือมีภารกิจข้างเคียงอื่นๆอีกมากมาย และวันนี้ต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาล มีคดีเยอะตอนนี้นะครับ ก็เหลือ 2 ส. ฆราวาสก่อนนะครับ อาจารย์สามารถและผมสำราญนะครับ กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
หลวงปู่ – เจริญธรรม ท่านสาธุชนผู้รับชมรายการสภาท่าพระอาทิตย์ที่รักทุกท่าน คุณสำราญ คุณสามารถ ผู้ดำเนินรายการ ฉันติดใจหน่อยคำว่าอะไรนะ คำว่าบ้านเมืองมันอึมครึม
สำราญ – ดูครึ้มๆทึมๆเทาๆยังไงไม่ทราบ
หลวงปู่ – รวมทั้งชุดที่แต่งด้วยหรือเปล่า
สามารถ – วันนี้จริงๆแล้วลืมสนิทเลยเอาเสื้อมาวางไว้ เสร็จแล้วขับรถออกมาถึงครึ่งทางก็เลยคิดว่าไม่กลับแล้ว ถ้ากลับมาเอาก็กลัวว่าไปไม่ทัน
สำราญ – ลืมว่าเป็นวันศุกร์หรือ
สามารถ – ไม่ใช่ คือไม่ได้ออกรายการติดต่อกันนานไง ก็เลยทิ้งไว้
สำราญ – สัปดาห์ที่แล้วก็ยังออกอยู่นี่
สามารถ – อันนั้นมันเตรียมไปวัด
หลวงปู่ – เตรียมไปวัดโดยเฉพาะ วันวิสาขะ นี่ วุ้นดักแด้นี่ถึงกระทั่งมีรายการกินวุ้นกันเลยหรือ เจลใสนั่นน่ะ ที่ลงหนังสือพิมพ์หลายวันนั่นน่ะ มีรายการเอาไปต้มกินกันแล้วนะ
สำราญ – จริงหรือเปล่าครับ
หลวงปู่ – จริง ก็ลงหนังสือพิมพ์มี 2-3 วันแล้ว
สำราญ – อันนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ ไหนๆหลวงปู่ก็ตั้งปุจฉาขึ้นมาเองนะ
หลวงปู่ – ไม่หรอก ฉันอาย ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมานี่เพราะฉันอาย พูดนี่อายนะ อายชาวบ้านชาวโลกเขาว่าเอ๊ะ ทำไมคนไทยนี่มันไม่มีพัฒนาการอะไรกับเขาเลยหรือ ปัญญาไม่มีบ้างเลยหรือ
สำราญ – ทำไมสังคมไทยชอบตื่นกันเรื่องแบบนี้ หรือคือเซ็งๆกันหรือเปล่า
หลวงปู่ – ไม่ใช่ ฉันมองดูก้นบึ้งของสภาพสังคมมันน่าจะมีปัญหา และอาจจะเป็นความอ่อนแอทางปัญญา ทางหากว่าแข็งแรงทางปัญญา ฉันเชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันน่าจะมีคำตอบในเร็ววัน และก็ไม่ทำให้เกิด นี่บางคนเอาขึ้นไปตั้งพานจุดธูปบูชา บางคนก็เรียกท่านเรียกเจ้าไปเลย
สำราญ – ที่ผู้สื่อข่าวเขาเล่าครับ หลวงปู่ ที่อุทัยธานีนะ อันนี้เท็จจริงยังไงไม่ทราบแต่ก็เล่ากันมาว่า ตอนวันแรกเลยนี่ตอนไปเจอตัวนี้นะ ก็เอาไปบูชาถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์
หลวงปู่ – นั่นน่ะสิ จุดธูปจุดเทียน มีของเซ่นไหว้
สำราญ – และก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งก็มาซื้อเป็นแสนเป็นล้าน ไม่ขาย
หลวงปู่ – เป็นฉันไม่ได้
สำราญ – เจ้าของที่เจอบอกไม่ขายนะครับ ป่านนี้คงเสียใจแย่แล้ว
หลวงปู่ – รู้งี้เอาเงินเสียก็ดีหรอก แผ่นนึงไม่กี่สตางค์ แล้วที่ปราจีนเขาบอกว่าถึงขนาดเอาวุ้นไปต้มกินกันเลย มันเป็นภาพอะไรที่ คือยิ่งสะท้อนออกไปข้างนอกนี่ สังคมโลกเขาจะมองเราอย่างไร
สำราญ – อาจจะมองเป็นสังคมน่ารักได้ไหม
สามารถ – ไม่ได้หรอก
สำราญ – สังคมที่มีอารมณ์ขันไม่ได้หรือ อาจารย์
สามารถ – มันมองว่าสังคมอ่อนด้อยทางปัญญา มองให้เห็นว่าการศึกษาที่เรามียาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นี่นะมันล้มเหลว ล้มเหลวที่สอนให้คนนี่ฉลาดไม่ได้ สอนให้คนนี่ใช้เหตุใช้ผลไม่ได้
หลวงปู่ – กระบวนการศึกษาของชาตินี่น่าจะไม่ถูกต้องแล้วล่ะ
สามารถ – มันล้มเหลวครับ หลวงปู่
หลวงปู่ – สอนให้คนไม่มีแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
สามารถ – สอนให้คนยึดติดวัตถุนะ เห็นสิ่งประหลาดเป็นตัวให้โชค เห็นสิ่งประหลาดเป็นตัวนำความโชคดีมาให้
หลวงปู่ – ก็หมา 5 ขา หนู 2 หัว ไก่ 8 ขานี่ยังมีคนไปไหว้เลยนะ ก็ถือว่าพวกนี้พิการนะ
สามารถ – ผมคิดอะไรขำขำนะ ไอ้ไก่ 3 ขานี่ก็ไก่พิการ วัว 5 ขานี่ก็พิการ ไอ้คนพิการนี่ไม่ยักกะมีคนไปขอหวยมั่งนะ
หลวงปู่ – เออ ฉันกำลังจะพูดนี่แหละ ว่าพิการนี่ทำไมไม่มี
สามารถ – ทำไมไม่มีนะ คนนี่มันสูงกว่าสัตว์อยู่แล้วนะครับ และพิการนี่มันน่าจะมีอะไรพิเศษนะ ทำไมคนไม่ไปไหว้ ไม่เข้าใจ
หลวงปู่ – ใช่ แต่ไปไหว้สัตว์พิการ กล้วยออกลูกกลางต้นอย่างนี้
สามารถ – ที่จริงแล้ววัว 4 ขานี่ใช้ไถนาได้นะ หลวงปู่ ใช้ลากเกวียนไว้ แต่วัว 5 ขานี่ทำอะไรไม่ได้เลย เป็นวัวพิการน่ะ
สำราญ – พูดถึงแล้วนี่ อาจารย์สามารถ หลวงปู่ครับ คือความอ่อนด้อยทางปัญญา ความไม่แข็งแรงที่ว่านี่นะครับ ส่วนหนึ่งนี่มันจะเกิดจากอย่างนี้หรือเปล่าว่า คือระบอบสังคมไทยนี่ก็เป็นระบอบที่สมัยก่อนนี่คือผู้ปกครองก็ดี หรือผู้มีอิทธิพลมีอำนาจเหนือกว่าก็ดี คือใช้ความงมงายในการมอมเมาไง
หลวงปู่ – เพื่อทำให้เชื่อหรือ
สามารถ – มันไม่ใช่สมัยก่อนหรอก สมัยนี้กำลังเป็นอยู่นี่แหละ อะไรรู้หรือเปล่า หวยไง นี่ทุกวันเลยมอมเมา ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้แหละ มอมเมาให้คนยึดติดกับวัตถุ มอมเมาให้คนคิดไม่เป็น
หลวงปู่ – ฉันไปธุดงค์ในที่ๆนึงไม่ต้องบอกหรอกว่าที่ไหนนะ แถวเมืองกาญจน์ก็แล้วกัน แล้วก็มีโอกาสได้เจอกับพวกมอญ พวกกระเหรี่ยงที่เขาเป็นอาชีพรับจ้างร่อนแร่ขาย พวกนายจ้างนี่ก็จะใจดีกับพวกนี้มาก ก็โดยวิธีการว่าทุกวันเขาจะมีน้ำเลี้ยงตลอด แล้วก็ผลปรากฏว่าน้ำที่เอามาเลี้ยงพวกมอญ พวกกระเหรี่ยงพวกนี้ พวกชาวบ้านที่รับจ้างร่อนแร่ ก็คือน้ำที่ผสมยาเสพติด
สามารถ – เป็นหลวงปู่ ไม่ใช่เป็นเฉพาะที่นั่นนะ เป็นเยอะ
หลวงปู่ – เสร็จเรียบร้อยแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ได้น้ำนี่วันข้างหน้าทำงานไม่ได้ ก็ต้องมาถามหาว่านาย วันนี้ไม่เลี้ยงน้ำหรือ น้ำไม่เลี้ยงแล้วมีแต่เนื้อแล้วทีนี้ ต้องการก็ซื้อ และไอ้เงินค่าจ้างที่คุณจะพึงได้นี่มันกลายเป็นไม่ได้ เพราะว่าต้องมาซื้อยาเสพติดนี่ ซื้อไอ้ยาบ้านี่
สามารถ – หลวงปู่ครับ ที่จริงแล้วมันวิวัฒนาการมาจากอะไร สมัยก่อนเขาเลี้ยงนกพิราบ เอาฝิ่นใส่กับน้ำให้มันกิน มันก็ชอบมากินเต็มเลย ไม่ไปไหนหรอกก็อยู่ที่นั่น
หลวงปู่ – มันทำให้นึกถึงชาดกเรื่องนึง เรื่องตัวแพะหรือตัวอะไรนี่เลียงผา เลียงผาลิ้มรสน้ำผึ้ง แล้วก็มีกระบวนการ พอเลียงผาได้ลิ้มรสน้ำผึ้งเข้าแล้วนี่ วันต่อไปก็ไม่ต้องไปไล่จับเลียงผาหรือไล่ดูเลียงผาที่ไหนแล้ว เพราะว่าถึงเวลามันก็จะมากินน้ำผึ้งที่วัง ก็เลยทำให้เห็นว่าคงเป็นแบบนี้หรือเปล่า ที่พวกผู้มีอำนาจ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองนี่ พยายามหลอกล่อมอมเมาผู้คน ให้หลงใหลอยู่ในเรื่องอะไรๆที่มันรอบๆตัว เพื่อจะได้ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องสังคม เรื่องปัญญา เรื่องการศึกษา เรื่องการเรียนรู้ เรื่องการรู้เท่าทันผู้นำ
สำราญ – ดังนั้นนี่คำว่าสังคมไทยปัญญาไม่แข็งแรงของหลวงปู่ หมายถึงอะไรครับ
หลวงปู่ – ก็สรุปก็คือมาจากคนใหญ่ในบ้านในเมือง
สำราญ – คือคำว่าปัญญาไม่แข็งแรงหมายถึงอะไรก่อน
หลวงปู่ – หมายถึงเราไม่มีวิถีคิดที่มันทำให้ชีวิตเราแข็งแรงไง
สำราญ – ไม่มีภูมิปัญญา
หลวงปู่ – รวมไปถึงกระบวนทุกเรื่อง ไม่ว่าจะการดำรงชีวิตอยู่ การเดินไป การตัดสินใจในอนาคต เราแทบจะไม่ค่อยได้แข็งแรง เรามองเหตุมองผลไม่ได้ ดูตัวอย่างเรื่องม็อบที่มาสนับสนุนท่าน กกต. ไปทะเลาะกับม็อบที่คัดค้าน กกต. ทั้งสองฝ่ายก็มีสิทธิที่จะขัดแย้งได้ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องมาถึงขนาดมาทำร้ายทำลาย แล้วก็ถ้ามีเหตุมีผลเสียหน่อยนะ ได้ฟังพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มากหน่อยนี่นะ แล้วเราเชื่อเรารักนี่ ทุกคนบอกว่าเราเชื่อเรารักในหลวงนี่นะ และพระองค์ก็ทรงมีพระราชกระแสตรัสให้ 3 ศาลมาทำหน้าที่แก้ปัญหาของสังคมในเวลานี้นะ
สำราญ – คือแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว
หลวงปู่ – ทำไมถึงไม่เข้าใจล่ะ ฉันถึงบอกว่าพวกเราไม่แข็งแรงทางปัญญากันหรือเปล่า นี่ฉันเป็นคนพาพวกคุณเข้ามาสู่วังวนทางการเมืองอยู่หรือเปล่า
สำราญ – ผมพยายามคุยเรื่องดักแด้เรื่องอะไรอยู่
สามารถ – ผมมองอย่างนี้นะ ผมมองว่าสังคมนี่ยึดติดอามิส ยึดติดเหยื่อ
หลวงปู่ – และก็ยึดติดพวก
สามารถ – เหมือนปลานี่นะครับ เวลาเขาจะกินปลาเขาก็เอาเหยื่อไปเกี่ยวเบ็ด ทีนี้สังคมมันพัฒนาจากตัวนี้มา ดูนะครับเวลาผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะใช้คนทั้งหลายให้ทำตามนี่ก็เอาเหยื่อมาล่อ
หลวงปู่ – ที่จริงนี่การมีพวกมีพ้องเป็นเรื่องดี แต่ถ้าพวกเรามันเป็นโจรน่ะ สมมุตินะ ที่ฉันไม่ได้ว่าใครนะ ถ้าพวกเรามันเป็นโจรนี่ มันควรแล้วหรือที่จะยกพวกไปสนับสนุนโจรให้ได้ดี มันต้องแยกแยะออกบ้าง ถ้ามีปัญญาคิดนะ การมีเพื่อนฝูง เพื่อนพ้อง เผ่าพันธุ์ ภาคนี่มันเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ
สามารถ – อันนี้ก็กลับไปที่เดิม กลับไปตรงที่ว่าทุกคนนะติดเหยื่อ เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ใครซักคนทำอะไรนะเขาเอาเหยื่อไปล่อ ทีนี้พวกนี้ก็ติดเหยื่อไงก็คือได้ผลตอบแทนก็เอา โดยที่ไม่ดูว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ผิดหรือถูกไง มองเฉพาะว่าเหยื่อคุ้มค่า ควรจะได้ ควรจะมีอะไรอย่างนี้
หลวงปู่ – คือฉันดูในหนังสือพิมพ์นี่นะ ขออนุญาตพูดถึงพี่น้องชาวจังหวัดจันทบุรี ชูป้ายหราว่าวีรบุรุษชาวจันท์นี่นะ หรือว่าคนดีที่จันท์ยกย่องอะไรก็แล้วแต่นี่นะ มีคนที่อยู่ในจังหวัดจันท์มาคุยกันฉันหลายคน บอกว่านั่นไม่ใช่คนจันท์ เหมือนกับที่พี่น้องชาวเชียงใหม่บางคนไปพังเวทีประชาธิปัตย์เขาเหมือนกันน่ะ พวกเชียงใหม่หลายคนเขามาบอกว่านั่นไม่ใช่คนเชียงใหม่ทั้งหมดอะไรอย่างนี้ เราก็เลยมองว่าเอ๊ะ ถ้าเราแข็งแรงทางปัญญามากกว่านี้ซักหน่อยนะ แต่ละคนบ้านเมืองพยายามสนับสนุนให้เกิดปัญญาเยอะขึ้นกว่านี้หน่อยนึง ฉันว่ามันคงไม่มีภาพอย่างนี้
สำราญ – เดี๋ยวผมขอเสริมหน่อยนะ คือจริงๆไม่พยายามคุยการเมืองในตอนนี้นะครับ แต่ว่าพอคุย กกต.แล้วเสริมหลวงปู่ให้มันชัดเจนเสียเลย ในเชิงข่าวนี่นะที่ กกต.นะ ที่มากัน 10 คันรถบัสนี่มันก็เป็นคนจันทบุรีจริงๆนะ ที่มาให้กำลังใจท่านวาสนา เพิ่มลาภ แต่ว่าทุกครั้งที่มีการมาให้กำลังใจ กกต. จะมีขาประจำอยู่จำนวนหนึ่ง สันนิษฐานว่าอยู่แถวคลองเตย แถวอะไร กทม.นี่แหละ จะมีกลุ่มอยู่หนึ่ง ขาประจำ หน้าประจำ ผู้สื่อข่าว ช่างภาพเขาถ่ายภาพ
หลวงปู่ – เป็นมือปืนรับจ้าง
สำราญ – คล้ายๆเป็นไม่รู้ใครเซ็ตอัพหรือจัดตั้งเอาไว้ เขาก็จะผสมโรงทุกงานไป นี่เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้
หลวงปู่ – ปัญหามันไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ปัญหาฉันมองว่า
สำราญ – ไม่ใช่ครับ นี่คืออธิบายความว่า ที่ว่ามันยิ่งทำให้มีสีสันการป่วน
หลวงปู่ – มันทำให้เกิดมองดูเหมือนว่า เอ๊ะ ทำไมมันแตกร้าว มันแตกฉาน แต่ฉันมองว่าถ้าพี่น้องชาวจันท์รู้จักคิด หรือคิดมากหน่อย และก็ใช้ปัญญามากๆซักนิดนึงนี่ เราจะรู้ว่าคนนี่ถ้าไม่ใช่อรหันต์มันก็มีพลาดได้ผิดได้ และในขณะเดียวกันนี่สิ่งที่ 3 ศาลท่านทำอยู่นี่ ประมุขของ 3 ศาลท่านทำนี่ ท่านไม่ได้ทำโดยพลการ แต่ทำโดยรับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ท่านเป็นประมุขทั้ง 3 ศาลนี่ ใครจะมาอ้างว่าไม่ใช่เป็นมติของศาลนี่มันก็ไม่น่าใช่ เพราะก่อนหน้านื้ทำไมท่านไม่ออกมาแสดงตน ถูกไหม เรามองกันชัดๆนะ วันนี้ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ในรถมา รู้สึกหงุดหงิด ส.ส.พรรคไทยรักไทยออกมาโวยวายว่าไม่ใช่มติของศาล แต่เป็นบุคคล แต่ในฐานะที่ท่านเป็นประมุข และในขณะเดียวกันก่อนหน้าที่จะมีเรื่องมีราวกันนี่ ทำไมท่านไม่ออกมาแสดงตนอะไรเลย แต่ว่าหลังๆนี่เราจะเห็นท่านออกมาถี่มากนี่ หลังจากได้รับพระราชกระแสจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ มันก็เป็นเครื่องแสดงออกแล้วว่าท่านไม่ได้ทำโดยพลการ แล้วทำไมถึงยังมีคนออกมาคัดค้าน ออกมาโวยวาย ออกมาอะไรอีก
สำราญ – ยิ่งไปกว่านั้นจริงๆโดยเนื้อหา โดยหลักการ โดยข้อกฎหมายนี่ สิ่งที่ประมุข 3 ศาลท่านพูด
หลวงปู่ – พูดก็พูดอยู่ในข้อกฎหมาย
สำราญ – ก็อยู่ในกรอบของกฎหมายนั่นแหละ
หลวงปู่ – แล้วทำไมไม่เข้าใจ ถึงได้บอกไงว่าเราไม่แข็งแรงทางปัญญาไง กินยันดักแด้
สำราญ – ทีนี้กลับไปเรื่องวุ้นดักแด้ หรือเรื่องงมงายต่างๆทั้งหลายทั้งปวง นี่คือความไม่แข็งแรงทางปัญญา
หลวงปู่ – จากผู้นำที่หล่อหลอมพวกเราให้เป็นอย่างนี้ ต้องบอกว่าผู้นำทุกยุค
สำราญ – กลายเป็นว่าเราไปโทษผู้นำหรือ
หลวงปู่ – สำหรับฉัน ฉันต้องโทษ เพราะว่าถ้าหากว่าผู้นำเป็นคนที่เอื้ออาทรจริงๆต่อคนในชาตินี่ ต้องให้ปัญญาเป็นพื้นฐาน นโยบายของการเมืองแต่ละพรรคนี่มันลำดับต้น มันต้องนำเอาปัญญาของชนในชาติมาเป็นตัวนำก่อน ไม่ใช่น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มาเป็นตัวนำ หรือว่าสนับสนุนให้คนในชาติมีปัญญามันไม่ได้เปอร์เซ็นต์ ฉันไม่แน่ใจ แต่ว่าสนับสนุนให้น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดีนี่มันเกิดเปอร์เซ็นต์หรือไง ถึงได้มีแต่เมื่อไหร่ๆก็มาทำให้เกิดน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี ตัวคนในชาตินี่โง่เอาๆ เมื่อวานซืนนี่ฉันไปแสดงธรรมที่ กทม.นะ ศาลาว่าการ กทม.นี่ ฉันบอกว่าปัญหาของสังคมเวลานี้ที่มันเกิด เพราะคนในชาติอ่อนแอทางปัญญา แล้วถ้าหากว่า กทม.อยากช่วยปัญหาตรงนี้นี่ ฉันเองนี่ 2 วันนี้เพิ่งจะเซ็นหนังสือ เซ็นชื่อจ่ายสตางค์ค่าเทอมของเด็กๆนักเรียนที่อยู่ในวัดนี่นะ ที่เขาออกไปเรียนข้างนอกนี่นะตั้งหลายหมื่นบาทนะ 10 กว่าคน 20 คนนี่นะ ทำให้เราคิดว่าไหนบอกว่าเรียนฟรีไง ไหนรัฐออกนโยบายว่าเรียนฟรี ทำไมยังมีค่าบำรุงการศึกษา ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าสารพัดค่า มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรียนเสียตังค์ แม้แต่พนักงาน กทม.ที่นั่งฟังฉันเขาก็พยักหน้าว่าใช่ ไม่ได้เรียนฟรีเพราะยังจ่ายตังค์อยู่
สำราญ – ต้องยอมรับว่าการศึกษายุคนี้แพงจริงๆ
หลวงปู่ – มันแพง และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนี่เราก็ต้องมาถามต่อไปว่า นโยบายที่บอกว่าเรียนฟรีนี่มันฟรีตรงไหน ใครเป็นคนฟรี ฉันก็เลยบอกเอาอย่างนี้ได้ไหม กทม.ทำให้คน กทม.ทั้งหมดเรียนฟรียันปริญญาตรีเลยได้ไหม ท่านผู้ว่าฯกล้าไหม พูดชัดๆไปเลย
สำราญ – ทีนี้อาจารย์สามารถกลับมานิดนึง คำว่าปัญญาในทางพุทธนี่ ทางคำสอนนี่มันหมายถึงยังไงจริงๆแล้วนี่
สามารถ – คือต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อน ประเทศไทยนี่นับถือพุทธศาสนาปี 1800 พ่อขุนรามคำแหงนี่นะเอาสังฆราชจากศรีวิชัยขึ้นมาสอน 1800 ปีถึงปัจจุบันนี่กี่ร้อยปีลองคิดดูนะ และวันนี้คนไทยนะก็ยังไม่ได้เข้าถึงปัญญาที่คุณถามผมนี่แหละ ปัญญาโดยตัวมันเองแปลว่ารู้รอบหรือรู้รอบก็แล้วแต่ ก็คือรู้ในสิ่งที่ควรรู้ทุกอย่าง รู้ว่าอะไรดี รู้ว่าอะไรชั่ว รู้ความชั่วไม่ควรกระทำ ความดีควรกระทำนี่คือปัญญา นั่นคือปัญญาของพุทธนะครับ ไม่ใช่ว่ารู้ว่าชั่วทำเพราะได้ประโยชน์ ดีไม่ทำเพราะไม่เห็นประโยชน์ไม่ใช่นะ อันนี้ผิด อันนี้มิจฉาทิฐิ ปัญญาของพุทธต้องเป็นสัมมาทิฐิ ก็คือเห็นดีว่าดี เห็นไม่ดีว่าไม่ดี
หลวงปู่ – คือพึ่งตัวเองได้ และก็เป็นที่ปรึกษาของคนอื่นได้ นั่นแหละคือปัญญา
สามารถ – ทำตัวให้มีประโยชน์กับตัวเองและกับผู้อื่น นั่นแหละก็คือปัญญาของพุทธ ไม่ใช่ทำตัวให้เป็นภาระของตัวเองและสังคมไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ปัญญา
สำราญ – สมมุติแค่รู้ว่าที่น้ำมันเดือดเพราะมันโดนไฟ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสอะไรอย่างนี้นะ ใช่ปัญญาไหม
หลวงปู่ – ยังไม่ใช่ปัญญา
สามารถ – ใช่ แต่เป็นปัญญาระดับล่าง เป็นปัญญาที่เราเรียกว่าผูกพันเกี่ยวกับสมมุติสัจ
หลวงปู่ – สมมุติสัจเพราะว่ารู้จักเหตุรู้จักผล ไอ้คำแค่ว่ารู้จักเหตุรู้จักผลนี่ไม่ยังไม่เสมอ ยังไม่ถือว่าเป็นปัญญาของพระพุทธศาสนา
สามารถ – คือปัญญาขั้นสมมุตินี่ใช่ แต่ปัญญาขั้นปรมัตถ์นี่มันไม่ใช่ เอากันง่ายๆดีกว่า สมมุติว่าคุณรู้ว่าความดีคือความดี ความชั่วคือความชั่ว ความดีคือสิ่งที่ควรทำ ความชั่วคือสิ่งที่ควรละเว้นนี่นะโอเค นี่เรียกว่าขั้นศีล อันนี้ขั้นต้นนะ ลึกลงไปกว่านั้นอีกคุณรู้ว่าเมื่อคุณมีศีลแล้วนี่ ต้องพัฒนาไปสู่สมาธิคือให้จิตมันสงบ เมื่อจิตสงบแล้วคุณต้องพัฒนาไปถึงขั้นให้หลุดพ้นนั่นคือปัญญาสุดท้ายของพุทธนะ ที่คุณถามผมนี่คือปัญญาขั้นศีลนะ
สำราญ – แล้วสังคมที่เรากำลังวิพากษ์วิจารณ์นี่ต้องการปัญญาขั้นไหน แบบไหน
สามารถ – แค่ต้น แค่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี อะไรควรทำไม่ควรทำก็พอแล้ว
หลวงปู่ – ให้มีปัญญาขั้นศีล ขั้นปกติมาก ขั้นพื้นฐานนี่ยังไม่มี
สามารถ – คุณควรรู้ว่าอย่างศีลข้อ 1 นี่นะไม่ฆ่าสัตว์
หลวงปู่ – ก็ดูตัวอย่างเช่นวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์นี่ เด็กอายุ 12 แชดอินเตอร์เน็ตแล้วเข้าไปหาผู้ชายอยู่ ผู้ชายก็อายุ 20 กว่า และก็ไปอยู่รอเขายันเย็น ผู้ชายจะไปทำงานเช้าก็น้องรอพี่ไปจนเย็น และก็ผู้ชายจะข่มขืนนี่ อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญาไหม
สามารถ – ทีนี้เรื่องดักแด้นี่ผมมอง 2 มุมนะ คือ 1. ทำไมมันไปทั่วประเทศ คนซื้อไปหรือว่ามีคนเจตนาทำให้ระบาดหรือเปล่า
หลวงปู่ – มีเหตุปัจจัยหรือไม่ก็อาจจะเป็นประมาณว่าบิดเบือนสถานการณ์ข่าวสาร
สามารถ – สุราษฎร์โผล่ก่อนเพื่อนนะ ตามมาที่จังหวัดอื่นๆ อุทัยเยอะเลย ถามว่าคนป่วยนะซื้อยาชนิดนี้ไปใช้ทั่วหรือยัง หรือว่าเป็นการโปรโมตอะไรซักอย่าง
สำราญ – อันนี้ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้นนะ โดยบังเอิญก็เป็นไปได้ มีการวางแผนอย่างแยบยลก็เป็นไปได้ บังเอิญนี่ไม่ควรจะเกิดขึ้นทั่ว ถ้าวางแผนนี่เป็นไปได้
หลวงปู่ – ถ้าวางแผนแบบแยบยลนี่ต้องถือว่าเขาสำเร็จประโยชน์มาก ถึงขนาดลงมือกินและชิมเลยนี่
สำราญ – แล้ววางแผน 1. อาจจะเพื่อการพาณิชย์ก็ได้ หรือ 2. ถ้าคนที่ทำเป็นฝ่ายการเมืองก็กลบข่าวก็ได้
สามารถ – ก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ ทางการพาณิชย์ก็ได้ ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ได้รับการโฆษณาโดยไม่ต้องจ่ายตังค์ ก็ทุกคนรู้จักหมดน่ะถูกไหม หรือดูว่าเป็นการเบนความสนใจไปได้ช่วงระยะหนึ่งก็ได้อีก แต่ผมมองในแง่การพาณิชย์นะ เพราะว่าผมไม่เคยรู้จักผลิตภัณฑ์นี้มาก่อนเลย
สำราญ – ผมก็มีความรู้สึกคล้ายๆอาจารย์สามารถ อันนี้เป็นความรู้สึกโดยรวม
หลวงปู่ – แต่ฉันมองอีกแง่หนึ่ง ฉันมองในแง่ของว่าทำไมคนไทยไม่แข็งแรงเลย
สำราญ – หลวงปู่เลยมองในเชิงสมเพชเวทนา
หลวงปู่ – สมเพชด้วย และก็รู้สึกอายเขาด้วย
สามารถ – ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้รู้ไหม เพราะว่าถ้าคนเคยใช้ยาชนิดนี้มาก่อนนะ มันต้องมีใครซักคนเอาไปทิ้งแล้วก็เกิดฟองๆขึ้นมานี่
หลวงปู่ – ก็เด็กนักเรียนน่ะ เขาบอกเด็กนักเรียนที่อยุธยาอายุ 10 กว่าขวบนี่ พออ่านข่าวหนังสือพิมพ์แล้วเอาไปหัวเราะกันนี่ เขาบอกว่าแม่ซื้อมาให้เขาสมัยก่อน แล้วเขาเอามาแช่น้ำเล่นกันนี่ ตั้งแต่ก่อนหน้าเริ่มๆมีข่าวแล้ว
สามารถ – แล้วคุณสังเกตไหม มันเกิดขึ้นกับคนกลุ่มไหนบ้าง ไอ้ประเภทต้องไปไหว้ต้องไปบูชานี่กลุ่มไหนคุณรู้ไหม กลุ่มยากจนที่ต้องการผลตอบแทน
หลวงปู่ – แต่ฉันแปลกใจว่าสินค้าผลิตภัณฑ์เรื่องเกี่ยวกับสุขอนามัยของพวกเรานี่ มันต้องอยู่กับพวกพนักงาน อย.ใช่ไหม อย.ต้องอนุมัติใช่ไหม แล้ว อย.ต้องรู้คุณสมบัติแต่ละอย่างๆใช่ไหม แต่ทำไมมีข่าวนี่ อย. พอข่าวครั้งแรก อย.น่าจะเสนอหน้าออกมาบอกว่านี่มันไม่ใช่ดักแด้ มันเป็นเจลสำหรับลดไข้ ทำไมเงียบหายไปเลย หรือ อย.ก็ไม่รู้ว่าเจลลดไข้หน้าตาเป็นยังไง แล้วอนุมัติเข้าไปได้ยังไง
สำราญ – พอข่าวออกมาปั๊บนี่นะ กว่ากระทรวงวิทย์ กว่ากระทรวงสาธารณสุขจะออกมาตั้งหลักได้นะ ต้องผ่านไปครึ่งค่อนวันนะอาจารย์
หลวงปู่ – ไม่ใช่ครึ่งค่อนวัน หลายวันแล้ว เริ่มบูชากันแล้ว แล้วถามว่า อย.เป็นผู้อนุมัตินี่ อย.ไม่รู้ถึงคุณสมบัติของมันหรือ ว่าเมื่อมันโดนน้ำแล้วมันจะอาการพองลักษณะไหน หน้าตาเป็นยังไงนี่
สามารถ – คือเราต้องยอมรับนะว่า กลุ่มที่มีปัญหามากที่สุดในการนำไปกราบไหว้ขอหวยนี่ คือกลุ่มคนยากจน กลุ่มที่ไร้การศึกษา แล้วที่สำคัญคนกลุ่มนี้นะผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้
สำราญ – คือผมไม่อยากจะพูดว่าการขาดปัญญาของพี่น้องของเรานี่นะ ส่วนหนึ่งนะเป็นเพราะความจงใจของรัฐก็ดี ของผู้ใหญ่ก็ดี มีส่วนมาก ใช่ไหมครับ หลวงปู่
หลวงปู่ – เป็นผลผลิตของพวกผู้บริหาร เป็นผลผลิตของพวกผู้นำในแผ่นดินนี้ ประเทศไทยที่เป็นคนไทย ที่อ่อนแอทางความคิดอยู่นี่ ณ ปัจจุบันนี้มันเป็นผลผลิตของผู้บริหาร ผู้นำในแผ่นดินนี่ ตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน
สำราญ – เหมือนกับที่เขาบอกว่า ประชาชนโง่เพราะผู้ปกครองโง่นี่ จริงไหมครับอาจารย์
สามารถ – มันก็ต้องจริงสิ เพราะว่าผู้ปกครองมีหน้าที่ให้การศึกษา
หลวงปู่ – ไม่ใช่ ประเทศนี้บอกว่าประชาชนโง่เพราะผู้ปกครองฉลาดมากไป สรุปก็คือว่าทำไมเราพูดกันว่าผู้นำเป็นคนฉลาดมากไปเลยทำให้คนไทยโง่ แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ท่านเป็นอัจฉริยะ และก็พยายามทำให้คนไทยเป็นอัจฉริยะ ทุกเรื่องเวลาท่านจะนำมาเสนอหรือมาสอนมาอบรมคนไทยนี่ ท่านจะต้องทดสอบด้วยตัวของท่านเองก่อน แต่ว่าเราไม่เคยเห็นลักษณะอย่างนี้ในผู้บริหารบ้านเมืองในระดับต่อๆมาเลย คือระดับล่างเลย ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกฯหรือใครๆ ก็แล้วแต่ รวมไปถึงแม้กระทั่งสภา อบต. เราไม่เคยมีเห็นกระบวนการที่ว่าจะนำเสนอให้เกิดปัญญาต่อชุมชน ต่อท้องถิ่น มีแต่อ้าปากก็โยนเหยื่อ อ้าปากก็โยนเหยื่อ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนไทยอ่อนแอทางความคิด
สำราญ – ทีนี้มาถึงเรื่องโคโยตี้ วันนี้เราจะวิพากษ์วิจารณ์สังคม ปรากฏการณ์นะครับ นั่นคือปรากฏการณ์ของโคโยตี้นะครับ อันนี้คุณบัณฑิตก็ได้สรุปข่าวให้ท่านผู้ชมรับทราบไปแล้ว ที่สุพรรณบุรีนะครับ ก็คือเด็กหนุ่มเป็นเจ้าของร้านแต่งรถเขาก็เสียชีวิต แต่เขาเป็นคนที่ชอบดูโคโยตี้เต้นมากนะครับ ไปตามผับตามร้านอาหารนี่ก็จะชอบ แล้วเขาเสียชีวิตไปนี่สวดศพคืนสุดท้ายนี่ ทางแฟนเขากับเพื่อนๆก็จัดโคโยตี้ 5-6 คนมาเต้นนะครับ จ้างมาคนละ 400-500 บาท
หลวงปู่ – เต้นที่ไหน
สำราญ – ที่วัดเลยครับ ตรงที่สวดศพน่ะครับ
สามารถ – หน้าเมรุเลย
สำราญ – ทีนี้คำถามของผมก็คือว่า อันนี้มันเป็นความเชื่อหรือความอ่อนด้อยทางปัญญาที่ว่าหรือเปล่า หรือเป็นความอะไร
หลวงปู่ – ไม่ใช่วิถีพุทธ
สามารถ – ผมจะพูดเรื่องนึงก่อนว่า จริงๆแล้วคนตายอยากดู หรือว่าคนที่ยังอยู่อยากดูและอ้างคนตาย อันที่ 1 นะ ผมตั้งข้อสังเกต
สำราญ – เขาเชื่ออย่างนี้จริงๆนะ อาจารย์ คือเขาเชื่อว่าคืออยากให้แฟนได้ไปสุคติน่ะ
สามารถ – ถ้าเป็นความเชื่อจริงๆนะ เป็นความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับพุทธ
หลวงปู่ – ไม่สอดคล้อง เพราะว่าพระพุทธเจ้าบอกไว้ชัดว่า การดูการละเล่น การเล่นการพนันเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย อบายมุขคือเหตุแห่งความฉิบหาย
สามารถ – นั่นประเด็นหนึ่งของศีล ประเด็นหนึ่งก็คือว่าทันทีที่คนตายแล้วนี่ พุทธสอนว่าตายปุ๊บเกิดปั๊บนะ และคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ดู เขาไปแล้ว เขาไปเกิดที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
หลวงปู่ – อาจจะเป็นไส้เดือน หรือเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ก็ได้
สามารถ – เขาไม่ได้ดูเพราะเขาไปเกิดแล้ว
สำราญ – พุทธนี่คือพอตายปั๊บแล้วก็เกิดเลย
สามารถ – เกิดเลย แล้วถ้าเขาเกิดในภูมิที่ห่างจากความเป็นมนุษย์นี่ มันไม่ค่อยมีประสาทมนุษย์หรอก มันดูไม่ได้ครับ
หลวงปู่ – และที่จะแย่ก็คือ สิ่งที่ให้เขาไปนี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตกนรกมากขึ้น เพราะมันหลงมากขึ้น สมมุติว่าได้ดูนะ
สำราญ – ดังนั้นนี่ก็คือ บางครั้งนี่คือการทำแบบนี้นะ คือจำเป็นต้องเป็นกรณีนี้หรอก จะกรณีอื่นก็ได้ที่คล้ายๆแบบนี้นะ
หลวงปู่ – มันไม่ตรงต่อคำสอน
สำราญ – บางทีก็ทำเพื่อให้คนที่อยู่สบายใจขึ้นมากกว่า
สามารถ – แค่นั้นแหละ ได้แค่นั้นแหละ คนอยู่อยากเห็น คนอยู่อยากดู หรือคนอยู่ได้หน้านี่ทำเพื่อแค่นั้นแหละ ไม่ได้ทำเพื่อคนตาย
สำราญ – อาจจะไม่อยากได้หน้า อยากสบายใจน่ะ
หลวงปู่ – สบายใจว่า
สำราญ – สบายใจได้ทำเพื่อพี่แล้วนะอะไรอย่างนี้
หลวงปู่ – ถ้าน้องจะทำเพื่อพี่จริงๆ น้องก็หาวิธีการที่จะส่งสิ่งที่มันดีกว่านี้ให้พี่หน่อย
สามารถ – คุณรู้หรือเปล่า เขาจ้างมาคนละ 500 ต่อวันนี่นะ 6 คนใช่ไหมครับ 3 พัน เอาเงิน 3 พันนี่นะไปทำการกุศลหรืออะไรก็ได้ยังดีเสียกว่า เป็นประโยชน์กับคนตาย เป็นประโยชน์กับคนอยู่ ดีกว่าไปเอาพวกนี้มาเป็นเหยื่ออารมณ์ และคนมาดูแล้วนะถ้าคิดน้อย อาจจะก่ออาชญากรรมทางเพศได้นะ
หลวงปู่ – แล้วก็เป็นผลพวงทำให้สมภารลำบากใจด้วย สมภารต้องมานั่งกำกับดูแลว่าไม่ให้เกินเลย เห็นตามข่าวนะ และในขณะเดียวกันไม่รู้หลังจากน้องหนูกลับไปแล้วนี่ สมภารจะคิดมากหรือเปล่า คิดมากนี่มันมี 2 ประเด็นนะ คิดมากประเด็นแรกก็คือโดนพระผู้ใหญ่ด่า คิดมากประเด็นที่ 2 ก็คือสมภารเองนั่นแหละ จะทำใจรับได้ไหม จะตามน้องหนูไปดูข้างนอกหรือเปล่ายังไม่รู้
สำราญ – อันนี้ก็ต้องถามสมภารวัดอุทุมพลาราม (วัดไผ่แขก) หมู่ 5 ต.ดอนโพธิ์ทอง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
หลวงปู่ – นี่อยากวิงวอนขอนำเรื่องนี้ไปเป็นอุทาหรณ์ว่า เรียนเจ้าคณะพระสังฆาธิการว่า บางทีบางครั้งนี่เราลืมเรื่องสมณสารูป เราลืมเรื่องวิถีทางแห่งวุฒิปัญญา และเราลืมเรื่องคำว่าวัด ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราพูดถึงเรื่องวัดใช่ไหมว่ามันเป็นสถานที่สงบ สะอาด และเต้นๆแบบนี้มันสงบสะอาดที่ไหน
สามารถ – ตัวแรกเลยนะครับ นำสิ่งที่มองแล้วเป็นศัตรูต่อกรรมฐานเข้ามาสู่วัด
หลวงปู่ – ศัตรูกับพรหมจรรย์ มันก็เลยผิดสมณสารูปไง ที่จริงปรับอาบัติท่านได้นะ สมภารนี่
สามารถ – อันนี้นะอโคจรอยู่นอกวัด นำเข้ามาในวัด อันนี้อโคจรนำเข้ามาในวัดนะ อันนี้ผิด
หลวงปู่ – ปรับอาบัติท่านได้ และก็เป็นเหตุปัจจัยทำให้ลงทัณฑ์ได้ด้วย มันไม่เหมาะสมน่ะคุณ สรุปแล้วมันไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมทั้งธรรมและทั้งวินัย และทางโลก
สำราญ – เอาล่ะครับ ก็เหลือ 3 นาทีสุดท้ายจริงๆนะครับ เราคงใช้โอกาสนี้นะครับ ตอกย้ำกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ ว่าวันนี้คือจริงๆต้องการให้สังคมบ้านเราเข้มแข็งด้วยปัญญา อย่างที่หลวงปู่ได้จุดประเด็น ผมได้ตั้งคำถามตอนต้นๆรายการนะครับ ก็ให้หลวงปู่ได้สรุปอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งให้ศีลให้พรกับผู้ชมรายการของเราครับ
หลวงปู่ – อยากบอกท่านผู้รับชมรายการที่รักทุกท่าน รวมทั้งท่านพิธีกรร่วมด้วยว่า วิถีทางแห่งพุทธิปัญญานี่ ในเรื่องวิถีจิตนี่ เราจะรู้ชัดเลยว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ในซีกโลกไหนของจักรวาล หรือของโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในศาสนาไหน เป็นสาวกของพระศาสดาองค์ใดนี่ คุณก็สามารถที่จะกลายเป็นผู้ที่ถูกตรงต่อเป้าประสงค์และคำสอนของพระธรรมได้ ด้วยเหตุปัจจัยของการรักษาอาการของจิตให้ทำหน้าที่ให้ครบทั้ง 4 อย่าง คือ ธรรมชาติของจิตนี่มีหน้าที่จะรับอารมณ์ แล้วก็จำอารมณ์ คิดอารมณ์ และก็รู้อารมณ์ นั่นเขาเรียกว่าสามัญจิต เพราะเหตุปัจจัยที่เรารับโดยไม่รู้จักคิด แล้วก็รับแล้วแถมยังเก็บและก็จำไว้ด้วย แล้วไม่คิดแล้วก็ไม่รู้จริงนี่ แล้วก็นำไปเสนอหรือนำเอาไปพูดคุย หรือนำเอาไปแสดงออกนี่ มันก็เลยทำให้เกิดผลเสียของบ้านของเมือง ของสังคมในปัจจุบันเยอะแยะมากมาย
แต่ถ้าเราคิดจะปฏิบัติตามแนวทางวิถีจิตอย่างชัดแจ้ง ซึ่งจะอ้างว่าเป็นแนวทางของพุทธหรือไม่ก็ตามทีเถอะ แต่ในที่นี้ก็เป็นคำสอนของพุทธโดยตรงอยู่แล้ว แต่คำสอนพุทธก็คือคำสอนให้รู้ว่าสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติจริงแท้ ซึ่งใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ นั่นก็คือหน้าที่ของจิตมีหน้าที่รับ จำ คิด แล้วจึงจะรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้นี่เราเปลี่ยนใหม่เป็นรับก่อน หรือว่ารู้ก่อนแล้วค่อยรับ แล้วก็นำเอามาคิดแล้วจึงจะเก็บเรียกว่าจำ ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นวิเสทจิต ก็เราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงทางปัญญา คือรู้ก่อนจึงรับ เอามาคิดแล้วจึงจะเก็บ หรือไม่ก็รับมาแล้วก็รู้จักคิดบ้าง คิดแล้วก็ถึงคำว่าตัวรู้แล้วจึงจะเก็บ อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นตัวนำชีวิต เมื่อปัญญานำชีวิต ชีวิตก็จะแข็งแรง สังคมก็จะยั่งยืน และก็ตัวเราเองก็จะปลอดภัยและก็มั่นคงในที่สุด ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญในปัญญา และก็มีความมั่นคงในชีวิต มีความเจริญรุ่งเรืองในสติ สมาธิ และธรรมะ เจริญธรรม.