ซัดพฤติกรรมข่มขู่ศาลของไทยรักไทยไม่สนองพระราชดำรัส ซ้ำส่ออาการติดเชื้อโรคบ้าอำนาจใช้ทุกวิถีทางแทรกแซงอำนาจตุลาการ เชื่อผู้ใหญ่ในพรรคหนุนให้ ส.ส.โยนหินถามทางก่อนลอยแพทิ้งหลังเจอกระแสต้าน
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีพฤติกรรมขู่ศาลของพรรคไทยรักไทยครั้งนี้ว่า นอกจากเป็นการไม่สนองพระราชดำรัสแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงอาการติดเชื้อโรคบ้าอำนาจที่มีต้นแบบจากหัวหน้าพรรค ซึ่งมักใช้อำนาจบริหารแทรกแซง ล็อบบี้ฝ่ายตุลาการ และศาลในหลายกรณี เช่น คดีซุกหุ้นเมื่อปี 45 ก็พบว่ามีการล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2-3 คน หรือการแทรกแซงการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และล่าสุดก็มีข่าวว่ากำลังล็อบบี๊ศาลเพื่อขอเปิดสภาให้ได้และไม่ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
โรคบ้าอำนาจแพร่เชื้อคงลามไปทั้งพรรคแล้ว วันนี้สังคมทุกภาคส่วนต่างก็เฝ้ารอการทำหน้าที่ของทั้ง 3 ศาลซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่เพื่อสนองพระราชดำรัส พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศยุติการชุมนุมไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลท่านจะหาข้อยุติเป็นที่สุดถึงจะกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวใหม่ แต่พรรคไทยรักไทยกลับตะแบงและเปลือยธาตุแท้ให้สังคมเห็นว่าบริหารประเทศด้วยการข่มขู่และล็อบบี้เป็นหลัก
“ผมคิดว่าพฤติกรรมของ ส.ส.ไทยรักไทย เข้าข่ายข่มขู่ และหมิ่นอำนาจศาลสมควรอย่างยิ่งที่ศาลปกครองจะตรวจสอบพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคไทยรักไทยกลุ่มดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่าตุลาการศาลปกครองบางส่วนใกล้ชิดฝ่ายค้านนั้น ถือเป็นการเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ศาลปกครองต้องวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการเท่านั้น ต่างจากศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถวิจารณ์ได้เป็นการทั่วไป
“ผู้ใหญ่ในไทยรักไทยต้องมีมาตรการที่ชัดเจนถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่มติพรรคต้องมีบทลงโทษที่เป็นรูปธรรมเพราะสังคมอาจเข้าใจได้ว่าเป็นการโยนหินถามทางของแกนนำพรรคเมื่อกระแสสังคมต้านแรงก็อาจลอยแพ ส.ส.เหล่านั้น” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีพฤติกรรมขู่ศาลของพรรคไทยรักไทยครั้งนี้ว่า นอกจากเป็นการไม่สนองพระราชดำรัสแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงอาการติดเชื้อโรคบ้าอำนาจที่มีต้นแบบจากหัวหน้าพรรค ซึ่งมักใช้อำนาจบริหารแทรกแซง ล็อบบี้ฝ่ายตุลาการ และศาลในหลายกรณี เช่น คดีซุกหุ้นเมื่อปี 45 ก็พบว่ามีการล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2-3 คน หรือการแทรกแซงการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และล่าสุดก็มีข่าวว่ากำลังล็อบบี๊ศาลเพื่อขอเปิดสภาให้ได้และไม่ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
โรคบ้าอำนาจแพร่เชื้อคงลามไปทั้งพรรคแล้ว วันนี้สังคมทุกภาคส่วนต่างก็เฝ้ารอการทำหน้าที่ของทั้ง 3 ศาลซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่เพื่อสนองพระราชดำรัส พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศยุติการชุมนุมไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลท่านจะหาข้อยุติเป็นที่สุดถึงจะกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวใหม่ แต่พรรคไทยรักไทยกลับตะแบงและเปลือยธาตุแท้ให้สังคมเห็นว่าบริหารประเทศด้วยการข่มขู่และล็อบบี้เป็นหลัก
“ผมคิดว่าพฤติกรรมของ ส.ส.ไทยรักไทย เข้าข่ายข่มขู่ และหมิ่นอำนาจศาลสมควรอย่างยิ่งที่ศาลปกครองจะตรวจสอบพฤติกรรมของ ส.ส.พรรคไทยรักไทยกลุ่มดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี โดยเฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่าตุลาการศาลปกครองบางส่วนใกล้ชิดฝ่ายค้านนั้น ถือเป็นการเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ศาลปกครองต้องวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการเท่านั้น ต่างจากศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถวิจารณ์ได้เป็นการทั่วไป
“ผู้ใหญ่ในไทยรักไทยต้องมีมาตรการที่ชัดเจนถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่มติพรรคต้องมีบทลงโทษที่เป็นรูปธรรมเพราะสังคมอาจเข้าใจได้ว่าเป็นการโยนหินถามทางของแกนนำพรรคเมื่อกระแสสังคมต้านแรงก็อาจลอยแพ ส.ส.เหล่านั้น” นายสุริยะใส กล่าว