xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ตร. ยุค “ทักษิณ”...อย่าเหลิงอำนาจ จนลืมประชาชน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. หลานเขย พ.ต.ท.ทักษิณ
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

ไม่เพียงการประกาศเว้นวรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น ที่ถูกมองว่า เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเจตนาแอบแฝง เพราะไม่ใช่แค่กลเม็ดการรักษาอำนาจผ่านนายกนอมินี แต่ยังหมายถึงการนำเวลาว่างที่ไม่ต้องเป็นนายกฯ ไปขยายฐานเสียงในชนบท ให้นโยบายประชานิยมหยั่งรากลึกมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มุ่งทำลายล้างให้พรรคฝ่ายค้าน”สูญพันธุ์”ไปจากเมืองไทย ก่อนที่ตัวเองจะกลับมาเป็นนายกฯ ใหม่ภายใน 1 ปี เช่นเดียวกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่ต้องถูกเช็คบิลให้สูญพันธุ์ไปเช่นกัน โดยอาศัยตำรวจในระบบอุปถัมภ์ ที่ตนจัดไว้ในตำแหน่งสำคัญๆ ฤาวันนี้...ตำรวจไทยในยุค”ทักษิณ”ครองเมือง จะเลิกเป็นที่พึ่งของประชาชน เพียงเพราะความหอมหวานของ ”อำนาจ” ที่นายประเคนให้
พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผช.ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯ จำต้องประกาศเว้นวรรคไม่ขอเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะการชุมนุมเคลื่อนไหวแบบสงบ-สันติ-อหิงสาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องยาวนาน บวกการปราศรัยเปิดโปงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ รวมทั้งพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เข้าข่ายซุกหุ้น-ขายหุ้นพ่วงขายสมบัติชาติให้เถ้าแก่เทมาเส็กของสิงคโปร์ ที่นับวันจะรุกคืบฮุบกิจการในเมืองไทยมากขึ้นทุกที เมล็ดพันธุ์แห่งความจริงที่โปรยผ่านการปราศรัย แม้ไม่ทั่วถึงครอบคลุมทั่วประเทศ แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีโอกาสติดตาม รู้สึกได้ว่า หู-ตาสว่างขึ้น รู้ทันทักษิณมากขึ้น และนั่นจึงเป็นที่มาของเสียง”โนโหวตหรือโหวตโน” เพื่อไม่เอาทักษิณ ไม่เอาพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. มากมายล้นหลามอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไทย

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำใจดีสู้เสือและยังคุยโวว่า เสียงโนโหวตแค่ 10 ล้านเสียง ขณะที่เสียงหนุนตนมีมากถึง 16 ล้านเสียง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้แก่ใจดีว่า 16 ล้านเสียงจากคนระดับรากหญ้าที่ยังคงยึดติดและผูกโยงตัวเองไว้กับประชานิยมที่ตนหว่านให้ ไม่สามารถฟอกตัวเองหรือสร้างความชอบธรรมให้ตนสามารถบริหารประเทศต่อไปได้อย่างสง่างาม ในเมื่อเสียงโนโหวตของคน กทม. และพี่น้องประชาชนภาคใต้ ต่างสะท้อนให้เห็นอยู่ตำตาว่า ไม่ต้องการทักษิณ หากดึงดันเป็นนายกฯ ต่อไป มิต้องแบ่งภาค-แบ่งการปกครองออกเป็นส่วนๆ หรือ? หากถึงขั้นนั้น คงยิ่งเป็นการตอกย้ำข้อครหาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชอบ ”แบ่งแยกแล้วปกครอง” และคงเป็นโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้นโยบายที่เคยประกาศไว้ที่ จ.นครสวรรค์อย่างเปิดเผยอีกครั้ง นั่นก็คือ “จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย ต้องได้รับการดูแลก่อน”

คิดไปคิดมาชั่งน้ำหนักแล้ว หากยังดันทุรังเป็นนายกฯ ต่อไป นอกจากจะต้องทนเสียงก่นด่าที่ดังทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว บ้านเมืองคงยิ่งวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น สู้หลบฉากไปก่อนด้วยการเว้นวรรค แล้วตั้งนอมินีมาเป็นนายกฯ แทน งานนี้...เหมือนได้ประโยชน์ 3 เด้ง 1.ได้ภาพว่า ตัวเองถอยแล้ว เพื่อความสมานฉันท์ถวายแด่ในหลวง 2. ตัวเองยังเป็นนายกฯ ตัวจริงที่คอยชักใย-สั่งการอยู่เบื้องหลัง ถือว่ายังรักษาอำนาจตัวเองไว้ได้ไม่สูญหายไปไหน และ 3. เอาเวลาที่ว่างจากตำแหน่งนายกฯ ลงพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานเสียงและยึดกุมประชาชนรากหญ้าให้ฝังแน่นกับประชานิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะทำลายล้างพรรคฝ่ายค้านให้”สูญพันธุ์” ไปให้หมด ก่อนที่ตัวเองจะกลับมาเป็นนายกฯ ใหม่ภายใน 1 ปี แม้ประเด็นหลังนี้จะสะท้อนถึงความน่ากลัวในแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นี่คือสิ่งที่ออกจากปากชายชื่อ ทักษิณ และสื่อต่างประเทศอย่างสำนักข่าวเอเอฟพีได้ตีแผ่ โดยได้แหล่งข่าววงในช่วยเปิดเผย

และอีก 1 ความต้องการสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อาจจะลืมและต้องทำอย่างขมักเขม้น ก็คือ การเช็กบิลแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้สูญพันธุ์ไปเช่นเดียวกับฝ่ายค้าน ช่วงนี้ อาจเลือกใช้วิธี”บนดิน”ไปก่อน หากไม่สำเร็จ คงไม่มีใครการันตีได้ว่า วิธี”ใต้ดิน”ของเหล่าลิ่วล้อหรือสมุนจะไม่ตามมา นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกโรงส่งทนายฟ้องดำเนินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ฐานหมิ่นประมาทโดยงัดหลักฐานการปราศรัยของนายสนธิแทบทุกเวทีที่ผ่านมาแล้ว บรรดาผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะด้วยใจหรือถูกจ้างมาอย่างกลุ่มคาราวานคน ก็ช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทาง ด้วยการแจ้งความว่า นายสนธิ พูดหมิ่นสถาบัน แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็รับลูกด้วยการตั้งให้ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อนร่วมรุ่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าคณะดูแลคดีนี้ ซึ่งก็ได้บทสรุปอย่างทันท่วงทีว่า คดีมีมูล แล้วก็รีบออกหมายเรียกให้นายสนธิมาพบในวันที่ 17 เม.ย. แม้นายสนธิ จะขอเลื่อนการเข้าพบออกไปเป็นวันที่ 17 พ.ค. (เพราะระหว่างนี้ต้องเดินสายปราศรัยในจังหวัดต่างๆ ร่วมกับแกนนำพันธมิตรฯ ขณะที่ช่วงต้นเดือนหน้าก็อาจมีการชุมนุมใหญ่ หากสภาไม่ครบ 500 แล้วยังมีการดันทุรังเพื่อจะเปิดสภาให้ได้) แต่ตำรวจเพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ฟัง และรีบออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้นายสนธิมาพบภายในวันที่ 25 เม.ย.นี้ หากไม่มา จะออกหมายจับ เช่นเดียวกับผู้บังคับการกองปราบปราม พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ที่ปฏิเสธคำขอของนายสนธิอย่างไม่ใยดีเช่นกัน แม้นักข่าวจะถามว่า ตำรวจเลือกปฏิบัติหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยพูดพาดพิงเบื้องสูง พล.ต.ต.วินัย ที่มีศักดิ์เป็น”หลานเขย” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รีบออกปากด้วยความเดือดร้อนแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า “พูดหมิ่นตรงไหน ให้บอกรายละเอียดมา หมิ่นตรงไหน ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดหมิ่นชัดเจนเท่ากับนายสนธิอีกแล้ว” สรุปแล้ว ชวนให้สงสัยว่า คำพูดที่หลุดจากปากของ ท่านพล.ต.ต.วินัย ทองสอง เป็นการพูดในฐานะผู้การกองปราบฯ ที่ควรสงวนท่าทีและดำรงความเป็นกลาง หรือพูดในฐานะหลานเขยที่ต้องปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณกันแน่!! แล้วที่ท่านท้าให้นักข่าวบอกมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดหมิ่นสถาบันตรงไหน เรื่องอะไร ถามจริงๆ เถอะว่า ท่านไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่เคยติดตามข่าวสาร ไม่เคยได้ฟัง พ.ต.ท.ทักษิณพูดจาอะไรที่ไหนเลย หรือว่า...ท่านจำเป็นต้องหูหนวก-ตาบอด เพราะสถานภาพที่บังคับท่านอยู่กันแน่?

ไม่ใช่แค่ข้อหาหมิ่นสถาบันที่ถูกอำนาจรัฐบาลทักษิณงัดมาใช้อีกครั้ง หลังลืมพระราชดำรัสที่เคยตรัสเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2548 ที่ทรงไม่ต้องการเห็นการฟ้องร้องใครในข้อหาหมิ่นสถาบัน และไม่ทรงต้องการให้มีการเอาใครเข้าคุก เพราะผู้ที่จะเดือดร้อน คือพระมหากษัตริย์ คือ พระองค์ที่จะต้องทรงบอกให้ปล่อยตัว แต่ผู้ที่อ้างตัวว่าไม่ได้หนุน พ.ต.ท.ทักษิณ แค่ต้องการรักษากติกาประชาธิปไตยอย่าง ร.ต.ฉลาด วรฉัตร ยังอาจหาญแจ้งความดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 5 ด้วยข้อหาเคลื่อนไหวล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอีกสารพัดข้อหา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็รีบรับลูกด้วยการตั้ง พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เคยออกมาเชิญชวนประชาชนให้แจ้งความดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ ที่จัดชุมนุมที่สยามพารากอน เป็นหัวหน้าคณะในคดีนี้ และผลสรุปก็เป็นไปตามคาด คือ สรุปว่าคดีมีมูล พร้อมออกหมายเรียกให้แกนนำทั้ง 5 เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 20 เม.ย.

สำหรับข้อกล่าวหา เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว ก็คือ ความผิดฐานปราศรัยบนเวที เพื่อยุยงให้บุคคลกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ,215 และ 216 โดย มาตรา 116 ระบุว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด มิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนหรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) การกระทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี”

มาตรา 215 ระบุว่า “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 216 ระบุว่า “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ซึ่งข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งมวลที่กล่าวมา โดยเฉพาะการล้มล้างการปกครองหรือล้มล้างรัฐบาลนั้น อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย 1 ในกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มองว่า ตำรวจไม่ควรดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ เพราะไม่ถือว่าเข้าข่ายข้อกล่าวหาดังกล่าว และว่า การแสดงความคิดเห็น การชุมนุมเดินขบวนโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตาม รธน.มาตรา 39 และ 44 แถมยังเป็นการชุมนุมที่ได้รับคำชมไปทั่วโลก เพราะไม่เกิดเหตุรุนแรงแต่อย่างใด

“มันยังอยู่ในขอบข่ายการใช้เสรีภาพตาม รธน. ที่จะชุมนุมเดินขบวน เสรีภาพทางความคิดในทางการเมือง การเคลื่อนไหวทางการเมืองว่า นายกฯ ทักษิณคล้ายๆ ว่า จะต้องออกไป บริหารประเทศต่อไปไม่ได้แล้ว จะก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ชุมนุมยังไม่ได้ไปรื้อ ไปทำลาย ยังไม่ได้มีการกระทำที่เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง คือ ยังไม่มีการกระทำ แล้วจะไปตีความว่า มีเจตนา เจตนาคือ ดูจากเวลาปราศรัย มันคิดจากเจตนาไม่ได้ ต้องดูการกระทำ เพราะการกระทำความผิด มันต้องมีการกระทำ องค์ประกอบการกระทำความผิด ต้องมีการกระทำ ถ้าไม่มีการกระทำ คือมันยังไม่ถึงขั้นกระทำ มันคือการใช้เสรีภาพตาม รธน. มาตรา 39 คือ ความคิดเห็น การพูด การเขียน มาตรา 44 การชุมนุม การเดินขบวนโดยสงบ ปราศจากอาวุธ และไม่ได้เกิดความรุนแรง คนก็ชมกันทั่วโลก เพราะฉะนั้นทางตำรวจไม่ควรจะดำเนินคดี”

อ.จรัล ยังยืนยันด้วยว่า ในอดีตแม้จะเคยมีการจับแกนนำการเดินขบวนในยุคสมัยต่างๆ แต่สุดท้ายก็ปล่อยตัว จะมีบ้างบางกรณีที่ติดคุก แต่ก็เป็นกรณีที่มีการทำลายทรัพย์สินราชการ เช่น เผาจวนผู้ว่าฯ หรือเผาอำเภอ แต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังไม่มีการทำผิดทางอาญาแต่อย่างใด

“ยกตัวอย่าง เริ่มตั้งแต่เมื่อปี 2511 เดือน มิ.ย. ประกาศใช้ รธน.ฉบับ 2511 วันที่ 20 มิ.ย. วันที่ 21 นักศึกษาเดินขบวนประท้วงการขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ 50 สตางค์ 5 สตางค์ ผมก็เดินด้วยนะ ปรากฏว่า มีการจับพวกนักการเมือง ที่สมัยนั้นเขาเรียกพวกขบวนการไฮปาร์ก จับตั้งหลายคน ปรากฏว่า ในที่สุดก็ปล่อย สมัยนั้นสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร จับไป อีก 3-4 วันเขาก็ปล่อย จับเพื่อจะขู่ไง ขู่ว่านักศึกษาอย่าเดินขบวนอีกนะ ก็จับเฉพาะนักการเมือง แต่เนื่องจากตอนนั้นมันไม่มีสภามาตั้ง 10 กว่าปี ไม่มีพรรคการเมือง แต่พวกเขาเคยเป็นนักการเมือง นี่ก็ปล่อย แล้วต่อมาก็หลัง 14 ตุลา ก็มีการจับผู้นำในการชุมนุมเดินขบวน ส่วนใหญ่ก็ปล่อย ยกเว้นมีอยู่คดีเดียวที่เขาลงโทษ คดีชุมนุมเดินขบวนและเผาจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นั่นมีความผิดทางอาญา หรือคดีที่เขาประท้วงเลือกตั้งที่ อ.กันตัง และมีการเผาอำเภอ ก็ถูกจับ ผู้นำก็ติดคุกตลอดชีวิต พวกแกนนำอื่นๆ ก็คนละ 5 ปี 6 ปี 7 ปี แต่นั่นมีการกระทำความผิดทางอาญาที่ชัดเจน ทีนี้อย่างกรณีนี้มันยังไม่มีการกระทำความผิดทางอาญา ส่วนขัดขวางกีดขวางทางจราจรนี่เป็นกฎหมายย่อย เป็นกฎหมายเล็กที่ทางรัฐบาลมักจะเอามาอ้างและทำให้เหนือกว่า รธน. เช่น การใช้เสียง กีดขวางการจราจร หรือ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด”

ด้าน อ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจพยายามดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในคดีอาญาหลายมาตราว่า หากมองในแง่นักรัฐศาสตร์แล้ว แม้การดำเนินคดีจะอยู่ที่วิจารณญาณในการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ควรจะพิจารณาสภาพแวดล้อมทั่วไปที่เกิดขึ้นด้วยว่า เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือไม่ อย่างไร เพราะการต่อสู้หรือการประท้วงอย่างสงบ เป็นสิทธิที่ประชาชนทำได้ หากตำรวจจะยึดกฎหมายโดยเคร่งครัด แล้วบอกว่า การชุมนุมประท้วงทำไม่ได้ ก็ต้องห้ามไม่ให้ชุมนุมตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้ทำ แล้วมาตามจับภายหลัง อ.อัษฎางค์ ยังชี้ด้วยว่า การใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นสิ่งที่อันตรายมากต่อสังคม เพราะเป็นการใช้ตามที่ตำรวจคิด ดังนั้นกรณีที่ตำรวจกำลังดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯ คงต้องหวังพึ่งอัยการ และศาลเท่านั้น

“เขาใช้ตามที่เขาคิด คำว่าวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อันตรายมากกับสังคมทั่วไป ตำรวจเรา ถามว่า เรียนหนังสือ สมมติว่า พลตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไปก็ดี เรียนแค่ไหนที่จะต้องรู้กฎหมายพันกว่าฉบับ โดยใช้วิจารณญาณ ทีนี้ผู้ใช้กฎหมายเป็นระดับสารวัตรแล้วนะ อย่างน้อยๆ สารวัตร ผู้กำกับ รองผู้กำกับ ต้องมาดูว่า กฎหมายอันนี้ใช้เพื่ออะไร ใช้เพื่อให้สังคมสงบสุข ใช้เพื่อไม่ให้มีเหตุร้าวฉาน ใช้เพื่อความยุติธรรม มันมีหลายอย่างที่จะต้องพิจารณา เพราะฉะนั้นองค์ประกอบพวกนี้มันต้องอยู่ที่ศาล ผมกลัวว่า เขาทำคดีส่งอัยการ อัยการก็ต้องส่งศาล อยู่ที่อัยการจะฟ้องไม่ฟ้อง ตรงนี้แหละที่จะเป็นที่พึ่งที่ดีหน่อย คือ อัยการไม่ฟ้อง ถ้าอัยการมองภาพของสังคมเหมือนศาลปกครอง ขณะนี้ศาลปกครองจะยึดระบบที่ว่า ภาคสังคมก่อน เพราะว่าเขามีสิทธิ(ที่จะชุมนุมอย่างสงบ) เพราะศาลปกครองเขาใช้ระบบไต่สวน เหมือนลูกขุนของสหรัฐฯ เอาข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นจุดสำคัญ”

อ.อัษฎางค์ ยังตั้งข้อสังเกตตำรวจในยุค พ.ต.ท.ทักษิณด้วยว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ คนเดียวที่ใช้ระบบอุปถัมภ์มากที่สุด” โดยเอาเพื่อนและญาติพี่น้องไปอยู่ในตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ให้ตำรวจดูแล ,สภาความมั่นคงแห่งชาติก็ให้ตำรวจดูแลเช่นกัน ฯลฯ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตำแหน่งสำคัญที่ตนวางไว้ก็สามารถดำเนินการตอบแทนได้ จึงถือได้ว่า “ระบบอุปถัมภ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณร้ายแรงที่สุด” ดังนั้น หากถามว่า ตำรวจขณะนี้ยังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่ อ.อัษฎางค์ ตอบทันทีว่า พึ่งไม่ได้มาตั้งนานแล้ว โดยยกตัวอย่างว่า ตนมีลูกศิษย์หลายคนที่ขณะนี้เติบโตเป็นรองผู้กำกับฯ บ้าง และ ผู้กำกับฯ บ้าง และแม้ว่าตนจะพยายามสอนลูกศิษย์เหล่านี้ว่า ไม่ให้โกง และให้เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่จนถึงขณะนี้ตนก็ยังไม่มั่นใจว่า ลูกศิษย์เหล่านี้ จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เนื่องจากระบบและสภาพแวดล้อมได้ลากตำรวจเหล่านี้ไปหมดแล้ว เพราะ”อำนาจมันหอมหวาน มีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้”!!
พล.ต.ท.ชัยยันต์ มะกล่ำทอง  ผช.ผบ.ตร.
พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
อ.จรัล  ดิษฐาอภิชัย กก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
อ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง
กำลังโหลดความคิดเห็น