สำนักพิมพ์ “ขอคิดด้วยฅน” ได้จัดพิมพ์หนังสือ “รู้ทันทักษิณ 4 ฅนวงใน The Insiders” โดยผู้เขียนหลายคนที่เคยร่วมทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาทิ นายเสนาะ เทียนทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น พรรคไทยรักไทย นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดและอดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และนายกร ทัพพะรังสี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา แต่ในหนังสือเล่มดังกล่าวนายกรได้แจ้งกองบรรณาธิการว่าขอให้ถอดต้นฉบับออกไป ทั้งๆ ที่ตีพิมพ์ปกหน้าแล้ว แต่กองบรรณาธิการแจ้งว่าเผยแพร่ข้อมูลไปให้สื่อมวลชนแล้ว นายกรก็ไม่ได้กล่าวอะไร
เสนาะ เทียนทอง : “จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย”
นายเสนาะ ได้เขียนในหัวข้อ “จะเอาทักษิณ หรือประเทศไทย” มีเนื้อหาสาระที่สำคัญว่า รู้จักพ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ปี 2529 แบบผิวเผิน ตั้งแต่เป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณพยายามสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าพรรคคือทำธุรกิจกับการเมือง วิ่งเต้นเข้าทางผู้ใหญ่สูงสุดของพรรค ต่อมาตนย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนปัจจัยการเมืองผ่านไปทาง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ในขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงได้เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อก่อนเกิดวิกฤตค่าเงินบาท นายอำนวย วีรวรรณ รมว.คลังในขณะนั้นลาออก มีการคิดกันว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับพ.ต.ท.ทักษิณด้วยซ้ำ ตนได้ไปทาบทามคนที่น่าเชื่อถือในสังคม โดย นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รับปากว่าจะเข้ามาช่วยเป็นรมว.คลัง ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทักษิณไปนำนายทนง พิทยะ ผู้บริหารธนาคารทหารไทยมารับตำแหน่งนี้แทน โดยที่ตนไม่รู้เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ไปซุบซิบกับพล.อ.ชวลิต และนายโภคิน พลกุล อดีต รมต.สำนักนายกฯ แล้วจึงมีคำสั่งแต่งตั้งนายทนง
“ก่อนเงินบาทลอยตัว ผมไม่รู้เรื่องด้วย เพราะอยู่นอกวงของพวกเขา คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้นมี 4 คือ พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ นายทนง และนายโภคิน ส่วนจะรู้เห็นกันขนาดไหนผมไม่รู้เขาบอกว่าเขาไม่รู้อันนี้ไม่มีใบเสร็จ แต่ถ้าถามผมว่าผลที่เกิดหลังค่าเงินบาทลอยตัวออกมาอย่างไร มันส่อชัดว่าทักษิณและบริษัทรอดวิกฤตคนเดียวคือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มาก ๆ หรือไปซื้อดอลลาร์เอาไว้มากๆ ก่อนประกาศลอยค่าเงินบาท ก็เหมือนจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤตเพราะได้ประกัน” นายเสนาะกล่าว
นายเสนาะ กล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของทักษิณทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน พ.ต.ท. ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ ไม่มีสภาวะผู้นำโดยเฉพาะในระดับประเทศ เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหาราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ ก็อยู่ไม่นาน และใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ
“การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่าโธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็ของเรา คนก็บอกเรา ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน แต่ กกต.กลับเฉย” นายเสนาะกล่าว
นายเสนาะ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ หากรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ “เยส” อย่างเดียว เช่น นายพินิจ เคยพูดว่า “ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย” หรือ นายเนวิน ก็มักพูดว่า “ดีนายๆ” ด้วยเหตุนี้รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง
นายเสนาะ กล่าวว่า ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเอง ไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องของใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา
นายเสนาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุด คือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิดไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10 เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง
นายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง. ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่า ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว สิ่งสำคัญนายกฯก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และตนยังพูดอีกว่า ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่าอย่าให้พี่เป็นหมาเลย
นายเสนาะ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้ ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง ภายหลังก็อยู่ไม่ได้ ความขัดแย้งในปัจจุบันมาสาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ พ.ต.ท.ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ
“ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพร้อมแล้ว สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน” คำพูดนั้นๆ ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ ไม่ใช่หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน” นายเสนาะกล่าว และว่า ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า “น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม” เขาพากันตอบว่า “ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ” เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า “ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ” เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย”
อุทัย พิมพ์ใจชน : “ทักษิณไม่ใช่ผู้นำสำหรับระบอบประชาธิปไตย”
ส่วน นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา เขียนบทความที่ชื่อว่า “ทักษิณไม่ใช่ผู้นำสำหรับระบอบประชาธิปไตย” โดยมีสาระสำคัญว่า จุดเริ่มต้นของตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตรงช่วงรอยต่อของการเริ่มต้นใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน บังเอิญว่ามีคนมาหาตนและชวนให้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อตนนำมาเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ซึ่งขณะนั้นมีเพียง 4 คน คือ นายชวน หลีกภัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายบรรหาร ศิลปอาชา และพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อลองชั่งดูพบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ หนุ่มที่สุด สดที่สุด เหมือนเครื่องยนต์ใหม่ ขนาดซีซีสูง เป็นทั้งอดีตข้าราชการ นายตำรวจ และนักธุรกิจ ขณะนั้นบ้านเมืองกำลังวิกฤต มีการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ พ.ต.ท.ทักษิณ ดูพร้อมเป็นอินเตอร์และจบจากเมืองนอก น่าจะนำพาประเทศไทยให้ก้าวออกไปได้ ตนจึงสนับสนุน และหลังรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองในอนาคตจะมีแต่พรรคการเมืองขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะอยู่ได้ เพราะประชาชนจะเริ่มให้ความสำคัญกับนโยบาย คณะกรรมการการเลือกตั้งก็จะส่งเสริมพรรคการเมืองตามขนาดตามจำนวนสมาชิก ที่สำคัญหากไม่มีเงินตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาก็ไปไม่รอด
นายอุทัย กล่าวว่า ตนเคยพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกๆ ครั้ง ทุกๆ เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีท่าทีรับฟังอย่างดี ไม่แย้งไม่เถียง แต่จะนำไปทำหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ
“ผมเคยตั้งคำถามตอนที่คุณทักษิณเคยประกาศว่าจะเป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่แต่ไปดึงเอากลุ่มการเมืองเก่าๆ เข้ามาสู่พรรค สงสัยว่าทำไม่ไม่เอาคนที่มีความคิดอ่านใหม่ๆ บริสุทธิ์ทางการเมือง แต่ไปเอากลุ่มการเมืองเข้ามาเป็นมุ้งโน้นมุ้งนี้เดี๋ยวก็มีปัญหาอีก คนสนิทของคุณทักษิณที่เป็นคนใกล้ชิดมากบอกผมว่า ถ้าเอาอย่างที่ผมว่าไม่ได้เป็นนายกฯ แน่ คิดว่ายังไงก็ให้ได้คะแนนมาก่อน เพราะความสำเร็จอยู่ที่จำนวน ส.ส. ผมจึงคิดว่าเมื่อถือเหตุผลเรื่องเสียงข้างมาก็ไม่ว่ากัน บทบาทของเราแค่ให้คำแนะนำ”
นายอุทัย กล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบประเด็นทุจริตของรัฐมนตรี สำหรับการอภิปรายนายกฯ เขาไม่ใช่ผู้วิเศษมาจากไหนแต่การกำหนดให้ใช้เสียงอภิปรายนายกฯถึง 200 เสียง เพราะผู้นำประเทศจำเป็นต้องประจักษ์ชัดเจนว่าแย่จริงๆ จนกระทั่งฝ่ายรัฐบาลเองก็อยู่ด้วยไม่ได้ รัฐธรรมนูญพยายามพยายามป้องกันความเป็นผู้นำแต่ไม่ได้เป็นเกราะป้องกันนายกฯ ถ้านายกฯเลวจริงๆ ใครก็ช่วยไม่ได้ รัฐบาลจะมีการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ เพื่อผ่านกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เมื่อมีการอภิปรายในสภาหลายกรณีส.ส.ทักท้วงนำเสนอข้อเท็จจริงใหม่ๆ แต่วิปรัฐบาลก็มักดึงดันว่าพรรคส่งมาอย่างนี้ก็จะเอาอย่างนี้ให้ได้หลายเรื่องที่งานมันเสียแทนที่จะปรับเปลี่ยนแต่ก็ไม่ทำไม่ปรับแก้ เมื่อใช้มติพรรคเป็นตัวกำหนดกฎหมายในที่สุดก็เป็นคนไม่กี่คนที่กำหนดกฎหมาย ระบบสภาก็ไม่มีความหมาย ตนเริ่มมองเห็นถึงความไม่เป็นดังหวังมองว่าไม่จริงใจ เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ผู้นำที่จะมาปูพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยของประเทศผ่านท่าทีและแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายประการ
นายอุทัยกล่าวว่า มี 3 ประการที่สะท้อนชัด
1.ไม่พยายามทำพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริง มีเงินมีโอกาสแต่ไม่มีการตั้งสาขาพรรค ตนเคยถามตรงๆ ว่าทำไมไม่จัดการตั้งสาขาพรรค ซึ่งคนในพรรคบอกว่าหัวหน้าพรรคไม่เห็นด้วย
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภา งานสำคัญอย่างงบประมาณแผ่นดินบางครั้งก็ไม่อยู่ จะขอบใจสภาสักคำก็ไม่มี ยังไม่ต้องพูดถึงการไม่มาตอบกระทู้หรือชี้แจ้งข้อสงสัยของ ส.ส. ยิ่งกว่านั้นบางทีวันประชุมสภาแท้ๆ พ.ต.ท.ทักษิณหาเรื่องออกไปพบราษฎร ไม่เข้าใจว่าไปทำไมเพราะตัวแทนราษฎรอยู่ที่สภาเต็มไปหมด แต่เลือกไปพบชาวบ้าน 200-300 คน ที่ตัวเองต้องการพบ เพียงเพราะชาวบ้านเหล่านั้น เอาลูกยอกับลูกยุมาให้ ถ้าอย่างนี้จะมีสภาไปทำไม ตนเสียความรู้สึกมากเพราะทำให้ระบบสภาไม่มีความหมายสะท้อนสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือของเขา
3. การให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแบบซีอีโอ ตนเคยบอกกับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ว่ามันไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยของเราจะไปกันใหญ่ ดีไม่ดีจะหลงทางแล้วมันก็ไปไม่รอด ปัจจุบันมี อบจ.แล้วยังให้มีคนมีอำนาจเต็มไปสั่งการเหมือนเสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันมันจะเกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะไปรอดได้เฉพาะ 2 กรณีแรก คือ 1.เสือ 2 ตัวนั้นเป็นตัวผู้และตัวเมีย หรือ 2. เสือ 2 ตัวเป็นตัวผู้ทั้งคู่ แต่มึงมั่งกูมั่งผลัดกันคนละที
ทั้ง 3 ประการตนเคยคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่านายกฯ ดูแลฝ่ายบริหารเข้าที่แล้วเหลือแต่ฝ่ายนิติบัญญัติทำไม่ไม่เข้าไปบ้างจะทำให้คนมองว่าเราไม่เคารพสภา เคยพูดถึงขนาดว่านายกฯมีข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่มากมายมาชี้แจงได้อยู่แล้วอย่าไปมองว่าพวกลูกพรรคโง่กว่าเราขอตังค์เราใช้ ให้มองว่าเป็นตัวแทนประชาชนแล้วจะสบายใจเวลาสบตา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็บอกเหมือนเดิมว่า “เออ พี่ผมเห็นด้วย” หลังจากนั้นก็มาสภาครั้งเดียวและไม่เคยมาอีกเลย เมื่อตัดสินใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่แล้ว ตนได้บอกเองว่าตั้งแต่สมัยช่วงขาขึ้นว่าสมัยหน้าตนจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว จะไปสมัยเป็น ส.ว.
“ผมเคยคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อหน้าคุณหญิงอ้อว่าเป็นนายกฯ ถ้ามีคนมาชม หนีได้ให้หนีอย่าไปคุยด้วย ถ้าหนีไม่ได้ก็ให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อย่าเก็บมันไว้เพราะเรามีอำนาจมีเงิน เมื่อมีคนมาคุยด้วยต้องระวัง เขาอาจจะเยินยอ จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ทำให้เราลืมตัว แต่ถ้าใครมาต่อว่าหรือด่าเรายังไงก็ให้ยิ้มไว้ก่อนเพราะว่าเรามีอำนาจ หากเราโมโหแผ่นดินมันร้อน ช่วงนั้นเขาเรียกผมว่าพี่ ผมเคยเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นนายกฯก่อน เหมือนคนจะบวช สิ่งเตรียมอะไรไว้ก็ให้คนมาที่หลังหมด แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเขาฟังใคร วันนี้คุณทักษิณ กินยาผิดล้างท้องก็ไม่หายเพราะฤทธิ์ยามันถึงสมองแล้ว อาการที่ชี้ชัดคือการมองว่าคนรักตัวเองทั้งประเทศ คนเกลียดไม่กี่คน การตัดสินใจยุบสภาเป็นการทำผิดมหันต์ แค่ประธานรัฐสภาเรียกประชุมร่วม 2 สภา นายกฯก็ได้เปรียบแล้ว สภาล่างก็มีพวกทักษิณเยอะ สภาบนก็พวกทักษิณแยะ มันธุระอะไรต้องไปยุบสภา ที่แย่กว่านั้น รัฐธรรมนูญบอกว่าหากยุบสภากะทันหันต้องให้เวลาพรรคการเมืองอื่น 60 วันแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เร่งรัดให้มีการเลือกตั้ง แค่ 30 กว่าวัน ทำอย่างนี้หากไม่ใช่คิดเอาเปรียบเขา ก็แกล้งเขา มีทางออกคือคุณทักษิณเริ่มพิจารณาตัวเองออกไป แต่อย่าไปทำลายระบบ”
นายอุทัย กล่าวว่า ทางออกนั้นมีไม่ใช่ไม่มี คนใกล้ชิดที่เคยป้อนลูกยอ ลูกยุก็ต้องเปลี่ยนเป็นลูกแย้งบ้าง บอกกันและเตือนกันบ้าง พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะรับฟังเพราะคนอื่นพูดจะไม่ฟังเพราะพิษยาทำให้คิดว่าคนอื่นเป็นศัตรู ดีที่สุดขอให้คนรอบข้างพูดแล้วยอมรับว่ายาที่กินอยู่มันเป็นยาผิด อันที่จริงสมาชิกพรรคหากไม่ได้รับความเอื้ออาทรจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพิเศษอย่างนี้ จะยังทำตัวแบบนี้หรือเปล่า อย่าอ้างเรื่อง 90 วันเพราะนายเสนาะ เทียนทองยังกล้าออกมาโวยวายได้ การทำตัวเป็นผ้าพับไว้มันผิดกับสัญชาติญาณของความเป็นผู้แทน ต้องยอมรับว่าสังคมปัจจุบัน คนพวกหนึ่งยอมรับคนโกง มีพวกที่เป็นคนไม่ดีแต่ดีกับเขา เขาก็ยอมให้เข้ามาอยู่ในบ้านได้และอีกพวกที่มองว่าแม้บ้านเมืองจะมีรัฐบาลโกงกินหาประโยชน์ให้พวกพ้องบ้างแต่ก็ยังดีที่ยังมีเงินกองทุนกู้ยืม มี 30 บาทรักษาทุกโรค ตรงนี้คือคนที่หนุนทักษิณ ส่วนคนที่ต่อต้านทักษิณ จะมองว่าหากเป็นคนโกง เป็นผู้นำ แต่ไม่รักษาคำพูด คนไม่ดี ถึงจะเก่งหรือรวย ใครจะคบ ใครจะนับถือยกย่อง ก็ยกย่องกันไปเถอะฉันไม่ว่า แต่อย่าให้มาปกครองบ้านเมืองฉันไม่ยอม 2 ฝ่ายจึงตั้งขบวนเผชิญหน้ากันอย่างที่เห็น
เปิดใจ “คณิต ณ นคร” ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค
ด้านนายคณิต ณ นคร เขียนบทความเรื่อง “เปิดใจ ศ.ดร.คณิต ณ นคร ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย” โดยมีรายละเอียดว่า ในช่วงที่เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ได้รู้จักกับคุณชานนท์ สุวสิน ซึ่งเป็น ส.ส.ร.จังหวัดลำปาง และเป็นคนใกล้ชิดคุณทักษิณ และเมื่อผมเกษียณอายุราชการ ปี 2540 ได้เป็นอาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณชานนท์ ก็ได้ติดต่อผ่านอาจารย์พนัส ทัศนียานนท์ มาบอกว่าคุณทักษิณ อยากจะตั้งพรรคการเมืองและชวนผมเข้าร่วม แต่ภรรยาผมไม่ต้องการให้เล่นการเมือง และเมื่อ อ.พนัส ก็มาบอกกับผมอีกว่า คุณทักษิณ ต้องการตัวผมนะ และสุดท้ายภรรยาก็แล้วแต่ผม ซึ่งสาเหตุที่ตัดสินใจเข้าร่วมพรรคกับคุณทักษิณ เพราะท่านบอกว่าจะเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เกิดขึ้นหลังจากปฏิรูปทางการเมือง และในการทำงานพรรคการเมืองจะตั้งคณะหรือกลุ่มคนทางวิชาการ และเรื่องไหนที่สำคัญจะจัดให้มหาวิทยาลัยทำวิจัย นอกจากนี้เรื่องเอ็นจีโอ ที่ผมมองว่าเขาทำงานด้วยใจ คุณทักษิณ ก็บอกกับผมว่า อยู่ในใจอยู่แล้ว
นายคณิต เล่าถึงสาเหตุที่ออกจากพรรคไทยรักไทยว่า “สาเหตุที่ผมตัดสินใจเข้าร่วมทางการเมือง เพราะต้องการเห็นการปฏิรูปทางการเมืองดังที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ รวมถึงความสนใจในงานวิชาการ การเมืองที่ดีต้องมีกลุ่มวิชาการที่ดีและให้ความสำคัญกับเอ็นจีโอ แต่หลังจากการประชุมในวันนั้น ผมก็ได้เป็นรองประธานพรรคแบบไม่รู้ตัว ตอนที่ผมคุยกับคุณทักษิณ คิดว่าพอจะช่วยเหลือสังคมได้บ้าง แต่ไม่คาดหวังว่าจะเป็นนั่นเป็นนี่
ช่วงแรกที่เข้าไป ตอนที่ตั้งพรรคใหม่ๆ ก็มีการเชิญคนมาพูดคุยให้ความรู้ ซึ่งดีมากเกี่ยวกับการสรรหานักการเมือง เนื่องจากผมอยู่ในระบบราชการมานาน ทำอะไรต้องวางหลัก จะหานักการเมืองตามกรอบที่วางไว้ ไม่ใช่ทำอะไรตามความชอบในระบบอุปถัมภ์ แต่ต่อมามันไม่เป็นจริงอย่างที่ผมคิดไว้ หลักที่เราวางไว้เริ่มมีข้อยกเว้นมากขึ้น ผมรู้สึกไม่สบายใจกับข้อยกเว้นในการสรรหาคนเข้าพรรค แม้ว่าข้อยกเว้นเหล่านี้จะไม่ได้มาจากคุณทักษิณ โดยตรง หรือท่านอาจจะไม่กล้าพูดกับผม เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ ผมจึงลาออกจากรองหัวหน้าพรรค 2 วัน ก่อนจะมีการประชุมพรรคเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรค ก่อนจะออก ผมได้เรียนกับอาจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ว่า ปัญหาหลักที่ผมประสบคือการสรรหานักการเมือง ตอนนั้นท่านปุระชัยไม่ได้รั้งผม
นายคณิต ยังสะท้อนถึงการยุบสภา ของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า “ ผมมองว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นการเอาเงินของผมไปใช้อย่างไม่สมควร การยุบสภากับการไม่ไว้วางใจเป็นคนละเรื่องกัน ฝ่ายบริหารไปจัดการกับรัฐสภาได้อย่างไร เท่าที่ผมฟังมา รัฐสภาก็ไม่ได้เสียหายตรงไหน ไม่ถูกต้องที่คุณทักษิณจะยุบสภา ถือว่าเอาเงินประชาชนไปใช้ในการเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้อง แล้วประชาชนจะฟ้องไหม ผมมองว่าสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือ เขาเบียดเบียนทุกคน ภาษีควรจะไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น แต่กลับมาทำในสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ เหมือนกับเอาเงินมาฟอกตัว ใช้ภาษีผมทำทุกอย่าง”
นายคณิต มองว่า “สาเหตุที่คุณทักษิณต้องเสื่อมหรือมีปัญหาเพราะความเชื่อมั่นตัวเองมากเกินไป และการฟังคนรอบข้างที่อยู่ในสถานะลูกน้องกับเจ้านาย ไม่ฟังคนนอกที่อยู่ในระบอบรัฐสภา แม้กระทั่งสื่อมวลชน ประชาชน นักวิชาการ ซึ่งจำเป็นมากที่ต้องฟัง”
กร ทัพพะรังสี : “คลุกวงในรัฐบาลทักษิณ”
นายกร ทัพพะรังสี ทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่มการเมืองซอยราชครู เข้าคลุกวงในรัฐบาล ในฐานะรองนายกฯ แต่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา นายกรได้เปิดบ้านให้สัมภาษณ์แก่กองบรรณาธิการหนังสือดังกล่าว เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกรได้เปิดใจตอบคำถามทุกประเด็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.นายกรแจ้งด่วนว่า ติดขัดด้วยเรื่องราวบางประการ จึงไม่ต้องการให้เผยแพร่ข้อมูลในหนังสือเล่มดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทางกองบรรณาธิการแจ้งว่า ได้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปทางสื่อมวลชนแล้ว นายกรจึงยินยอมให้เผยแพร่ได้
เนื้อหาที่นายกร ทัพพะรังสี เขียนบทความที่ชื่อว่า “คลุกวงในรัฐบาลทักษิณ” มีสาระสำคัญว่า นายกฯ ทักษิณ จะอ่านวาระการประชุมก่อนทุกเรื่องแล้วก็จะทำบันทึกของตัวเองสำหรับแต่ละเรื่องเอาไว้หมด อยู่ในแฟ้มของตัวเอง พอถึงเรื่องไหนก็จะดูแฟ้มส่วนตัว ตนได้นั่งสังเกตดูใกล้ๆ เพราะเป็นรองนายกฯ เข้าใจว่า อาจจะเป็นเพราะบุคลิกภาพของนายกฯ คนนี้ที่ชอบอ่านหนังสือ อ่านทุกเรื่อง รายละเอียดยุบยิบ อ่านหมด แต่บางครั้งเราก็สงสัยว่า ท่านเอาเวลาไปอ่านในทุกๆ เรื่องได้อย่างไรโดยปกติ แฟ้มการประชุมของคณะรัฐมนตรี จะมีอยู่ 3 แฟ้ม คือ แฟ้มเพื่อทราบ แฟ้มเพื่อพิจารณา และแฟ้มทักท้วง “แฟ้มเพื่อพิจารณา” นั้นนายกฯ ทักษิณ ค่อนข้าง sensitive มากๆ กับสิ่งแวดล้อมทางการเมืองนอกห้อง ครม. ไม่ว่าจะเป็นกระแสสังคม หรือปฏิกิริยาสังคม ว่าปัญหานี้ ถ้ามีมติอย่างนี้ สังคมจะมีปฏิกิริยาอย่างไร การพิจารณานั้นนายกฯ ทักษิณจะดู timing ด้วยเช่น จังหวะการเมืองแบบนี้ ถ้ามีมติเรื่องนี้ออกไปก็ตายแน่ เป็นต้น นายกฯ ทักษิณ เป็นคนอ่านทุกเรื่องและยังเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ทำให้ทุกคนในคณะรัฐมนตรีต้องอ่านด้วย เพราะถ้าไม่อ่านเดี๋ยวนายกฯ ถาม เกิดตอบไม่ได้คงจะแย่ สำคัญที่สุด นายกฯ ทักษิณ จะตามงาน ถามจี้งาน บังคับให้ผู้เกี่ยวข้องต้องมีวินัย
นายกรกล่าวว่าเรื่อง “นอกแฟ้ม” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เหมือนใคร และดูจะโดดเด่นกว่าใครทั้งสิ้น เรื่องนอกแฟ้ม คือ เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในระเบียบวาระการประชุม ครม. เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีมีมาเอง อาจจะมีคนมาแจ้งเรื่องนั้นเรื่องนี้ รวมไปถึงเรื่องที่นายกฯทักษิณต้องการจะนำเข้ามาในคณะรัฐมนตรี อยากจะให้กระทรวงไหนเอาเรื่องไหนไปทำ นายกฯ ทักษิณจะมีบัญชีเรื่องของตัวเองยาวเหยียดที่สุด สารพัดเรื่อง “นอกแฟ้ม” ที่กลายมาเป็นเหมือน “ใบสั่งงาน” การหยิบเรื่องนอกแฟ้มขึ้นมาหารือสั่งการบ่อยๆ ในทุกๆ เรื่อง นายกฯ ทักษิณ จะมีมุมมองของตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งก็จะไม่ตรงกับรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงและจะบอก “เรื่องนี้ไม่ใช่ เอากลับไปใหม่” รัฐมนตรีทุกคนจึงต้องพร้อมที่จะตอบข้อกังขาของนายกฯ ต้องไปทำการบ้าน หาข้อมูลตัวเลขมายืนยัน ต้องทำเพื่อให้นายกฯ เห็นด้วยก่อน เรื่องจึงจะจบ ตนเห็นว่า นายกฯ ทักษิณ จะมีนโยบายของตนเอง มีนโยบายของตนเองในเรื่องต่างๆ ที่ไม่อยู่ในแฟ้มวาระ แต่ในที่สุดแล้วนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการฯ ครม. ก็จะสรุปเรื่องออกมาว่า ถือเป็นมติของของคณะรัฐมนตรี เมื่อออกจากที่ประชุมครม. ก็ถือว่าคณะรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว ก็ต้องนำไปปฏิบัติ คือ มันเป็นนโยบาย แต่เริ่มต้นออกจากตัวนายกฯ ทักษิณ ซึ่งลงรายละเอียดสูงมาก
นายกรกล่าวว่า นายกฯ ทักษิณไม่ได้ดูความถนัดของรัฐมนตรีเป็นตัวตั้งว่า จะให้เขาอยู่ที่ไหน อยู่กระทรวงไหน เพราะยังไง นายกฯ ทักษิณก็จะเป็นผู้มอบนโยบายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ฉันจะเอาเธอไปนั่งอยู่ที่ไหน เธอก็อยู่แล้วกัน พูดง่ายๆ ว่า เอาคนที่สามารถจะทำตามที่ตนเองมอบนโยบายได้เป็นหลัก นายกฯทักษิณรู้จักทุกคนว่าถนัดตรงไหน-ไม่ได้ถนัดตรงนี้ เช่นการนำคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ไปอยู่กระทรวงเกษตรฯ ตนก็ถามว่าทำไมเอาไปอยู่กระทรวงเกษตรฯ ดูไม่ค่อยตรงเลย แต่เหตุผลที่ได้รับก็คือว่า “มันเป็นเรื่องของการเมือง” อย่างนี้ก็ต้องหยุดถาม และในความเป็นนักการเมือง นายกฯ ทักษิณก็มีคนที่ไว้ใจ คนที่สบตาแล้วสนิทใจ แล้วคนพวกนี้ก็เป็นคณะรัฐมนตรีอยู่รอบๆ ตลอด แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่กระทรวงไหน เพราะการไปอยู่กระทรวงตามความถนัดของคนพวกนี้ไม่ใช่ประเด็น คนที่นายกฯทักษิณสนิทด้วยมากๆ เคยบอกตนว่า “อันนี้ผมก็ไม่ถนัดนะ นายให้มาอยู่นี้ผมก็อยู่” พูดง่ายๆ ว่า นายกฯ ทักษิณสนิทใจใคร ก็จะให้อยู่รับใช้ อยู่ในแวดวงของคณะรัฐมนตรีตลอด โดยไม่เกี่ยวกับว่าคนนี้ถนัดกระทรวงไหน
นายกรกล่าวว่า คนที่เคยทำงานอยู่กับกลุ่มชินคอร์ปฯ มาก่อนเข้าการเมือง เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องสนิทมากกว่าคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ เช่น นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช จะสนิทที่สุด เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ทำธุรกิจ ก่อนเข้าการเมือง คุณหญิงสุดารัตน์ ก็อยู่ด้วยกันตอนเข้าการเมืองแรกๆ อยู่พรรคพลังธรรม นายเนวิน ชิดชอบ เพิ่งมาตีสนิทตอนหลัง ด้วย “ความพร้อมที่จะรับใช้ทักษิณ” นั้นนายเนวินมีความพร้อมสูงมาก นายกฯทักษิณก็ถนัดมือที่จะให้นายเนวินทำหน้าที่นั้น มีงานแบบที่เหมาะจะให้นายเนวินทำมาก แต่ไม่ได้เปิดต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบ เป็นไปทางรับใช้นายกฯ ทักษิณโดยตรง ส่วนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั้น นายกฯทักษิณก็คงไม่ถึงกับไว้ใจ เพราะนายสุริยะเข้ามาก็เพราะนายสมศักดิ์ คนพวกนี้อยู่ในการเมืองมาก่อน แต่ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่า คนที่สนิทกับนายกฯทักษิณที่สุด แน่นแฟ้นที่สุด ไว้ใจที่สุด คือ น.พ.พรหมินทร์ !
นายกรกล่าวว่าตนอยู่การเมืองมานานด้วยเหตุนี้ ตนจึงดีใจที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนแรกที่ทำให้มี “รัฐบาลพรรคเดียว” แต่พอเคลื่อนไปเรื่อยๆ ก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า รัฐบาลพรรคเดียวแบบนี้ นายกรัฐมนตรีแบบนี้ เป็นคนที่ครอบครัวรวยที่สุดในประเทศไทยด้วย แต่ทำไมถึงอยู่ไม่ได้ ทำไมปัญหาจึงเยอะมากอย่างนี้ ตนคิดว่า เป็นเพราะปัญหาหลายอย่างมันสะสม สังคมมีคำถามแล้วไม่ได้รับคำตอบ สะสม พอกพูนมากขึ้นทุกวันๆ การที่ระบบไปยึดมั่นหรือเชื่อมั่นว่าองค์กรนิติบัญญัติ หรือรัฐสภาจะช่วยหาคำตอบที่สังคมยอมรับร่วมกันได้ ก็ปรากฏว่า “เสียงข้างมาก” กลายมาเป็นความถูกต้องของทุกเรื่อง ตนยังคิดว่า รัฐบาลพรรคเดียว ที่มีพรรคฝ่ายค้านอยู่ในรัฐสภาด้วย เป็นระบบที่เหมาะสมที่สุด ครั้งสุดท้ายในที่ประชุมพรรคไทยรักไทย ตนพูดกลางที่ประชุมพรรค ทุกคนปรบมือกัน แม้แต่คุณหญิงอ้อก็ยังปรบมือดังที่สุด แต่พอออกมา ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรทิ้งเสียแล้ว !
นายกรกล่าวว่า นายกฯทักษิณเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เชื่อว่าตนบริหารประเทศชาติได้เอง ดูจากการที่ท่านไปประชุมกับปลัดกระทรวงเอง คุมงบเอง สั่งการกระทรวงเอง ฯลฯ ทั้งหมดนั้น ท่านให้น้ำหนักกับความเป็นมนุษย์ของรัฐมนตรีคนอื่นๆ น้อยเกินไป ผมสังเกตเห็นความโดดเด่นมากๆ ของคุณปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ บางช่วงเรตติ้งดีกว่าคุณทักษิณ แต่แล้วก็เกิดอะไรขึ้นกับเขา !
นายกรกล่าวว่าตนดีใจที่ประเทศไทยมี “รัฐบาลพรรคเดียว” และมีพรรคฝ่ายค้าน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากวัฒนธรรมของนักการเมืองรุ่นเก่า กับนักการเมืองรุ่นใหม่ วิธีการบริหารการเมืองทั้งสองแบบไม่เหมือนกัน ถูกทั้งคู่ แต่ทำยังไงจึงจะผสมผสานกันลงตัว ในช่วงหลัง นายกฯ ทักษิณเข้ามาเป็นรัฐบาลพรรคเดียว มีอำนาจเข้มข้นมากขึ้น ความเป็นนายกรัฐมนตรีเข้มแข็งขึ้น ใช้บทบาทของการเป็นซีอีโอ วัฒนธรรมของการบริหารธุรกิจเข้มข้นขึ้น โครงสร้างที่ต้องการกระจายอำนาจในการบริหารประเทศไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ทุกสิ่งไปขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี เมื่อมาเจอปัญหาสะสม พอกพูน แล้วการตัดสินใจทางการเมืองผิด เลือกเดินผิดทาง สิ่งที่เคยมีจึงต้องแตกสลายอย่างน่าเสียดาย ถ้าประเทศไทยมีนักธุรกิจแบบทักษิณ ชินวัตร สักหมื่นคนแสนคน ผมเชื่อว่า จะทำให้ประเทศชาติสามารถก้าวไปสู่การแข่งขัน ก้าวทันโลก ทันสมัย กลายเป็นชาติมหาอำนาจได้แน่นอน แต่ขออย่าได้เดินเข้ามาสู่การเมือง เพราะสังคมการเมืองมีกติกา มีวัฒนธรรม มีจรรยาบรรณ ที่ต้องคำนึงถึงมากกว่านั้น