“ชูวิทย์” โชว์บทนักการเมืองพูดจริงทำจริง เปิดสวนสาธารณะมูลค่ากว่าพันล้านบาทกลางกรุง ระบุแม้ไม่ใช่คนดีนักแต่ดูออกว่านักการเมืองคนไหนดี-ไม่ดี เหน็บเศรษฐีแสนล้านบางคนให้บริจาคที่ดินเพื่อส่วนรวมบ้าง วอนให้ปลง-ตายไปแม้แต่เงินปากผีสัปเหร่อยังเอาไปเลย
วันนี้ (24 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย แถลงข่าวเปิดตัว “สวนชูวิทย์” ที่ตั้งอยู่เลขที่ 188 ถนนสุขุมวิท ซอย 10 ซึ่งเดิมเคยเป็นแหล่งสถานบันเทิงและใช้กำลังชายฉกรรจ์พร้อมเครื่องมือหนักรื้อทำลายโดยไม่แจ้งเจ้าของสถานบันเทิงดังกล่าวจนตกเป็นคดีดังในอดีตว่า โบราณว่าเรื่องดีมาก่อนเรื่องร้าย วันนี้ไม่ขอพูดเรื่องการเมืองการมุ้ง ขอพูดแต่เรื่องสวนชูวิทย์ที่เคยพูดไว้ว่าจะสร้างภายใน 1 ปี และวันนี้การก่อสร้างเสร็จแล้ว จึงถือช่วงเทศกาลคริสต์มาส อีฟ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้บริการตั้งแต่เวลา 06.00-19.00 น. และต้องการให้สวนชูวิทย์เป็นโครงการนำร่องให้กับคนที่มีพื้นที่ว่างได้ปลูกต้นไม้ โดยให้ กทม.เป็นตัวกลาง เฉพาะพื้นที่ของสวนมีขนาดกว่า 6 ไร่ ขณะนี้มูลค่าปัจจุบัน 1,250 ล้านบาท และลงทุนในการก่อสร้างปลูกต้นไม้ สาธารณูปโภค เกือบ 100 ล้านบาท
“ผมไม่ใช่นักการเมืองพันธุ์เก่า แม้ไม่ใช่คนดี แต่ก็มองออกว่าใครดีใครเลว ผมเคยบอกว่าจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอดของ กทม. และต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาทว่าตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาทเงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนไว้ว่าจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว และได้จ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป และสวนชูวิทย์จะให้บริการกิจกรรมเชิงบวก งานศิลปะ งานเปิดตัวหนังสือก็สามารถมาใช้ได้โดยไม่คิดสตางค์ เพียงขอค่าบำรุง ค่าน้ำ ค่าไฟเท่านั้น” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ประชาชนทุกคนใช้บริการได้ทั้งคนที่ไม่เลือกตนและเกลียดตน เพราะตนไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่ขอยืนยันว่าที่ดินตรงนี้เป็นของตนและตระกูลกมลวิศิษฏ์ แต่ขอเสียสละให้เป็นสวนของ กทม. แม้มีคนด่าว่าตนหากินกับผู้หญิง อบายมุข แต่ตนก็ทำตามที่เคยประกาศไว้ และขอร้องให้เลิกสร้างภาพว่าต้องลงพื้นที่ไปถามปัญหาจากประชาชน ทั้งที่รู้ปัญหาอยู่เต็มตา แต่ไม่แก้ จึงขอเรียกร้องให้แก้ปัญหาของ กทม.เสียที
“บริเวณข้างหลังยังมีศาลาประชาคมเอาไว้ให้พรรคการเมืองที่จะตั้งใหม่ หรือพรรคไหนจะถึงกาลเวลาชะตาขาดจะได้มาคุยกัน หรือชาวบ้านจะคุยเรื่องการเมืองก็ได้ ด้านข้างจะจัดสร้างเป็นเรือนรับรองไว้ต้อนรับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน นายเสนาะ เทียนทอง และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ให้มาประชุมกันที่นี่ก็ได้ เพราะการเมืองเป็นเรื่องธรรมชาติ มีขึ้นมีลง แต่ตั้งพรรคใหม่อย่างน้อยๆ ต้องมี 1,000 ล้านบาท ใครจะมาก็ลงขันกัน สำหรับผมศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติสังกัดพรรคไม่ถึง 90 วัน กลางเดือนหน้า ผมเชื่อมั่นในศาล ถ้าศาลตัดสินว่าสังกัดพรรคไม่ครบตามกำหนดก็พร้อมเป็นประชาชนคนธรรมดา” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ ยังให้ความเห็นกรณี ร.ต.อ.เฉลิม จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยว่าพรรคการเมืองไม่ควรผูกขาด ประเทศควรมีหลายทางเลือก การตั้งพรรคใหม่เป็นสิ่งที่ดี เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าได้รับการติดต่อทาบทามจาก ร.ต.อ.เฉลิม นายชูวิทย์กล่าวว่า วันนี้ไม่ขอพูด แต่ขอแสดงความยินดีที่จะมีพรรคการเมืองใหม่เป็นทางเลือกใหม่ให้ประชาชน เพราะอาจพูดคุยกันแล้ว โดยอาจชวนนาย ส.ที่อยู่พรรค ท.ที่มีอยู่ 60-70 คน ก็เป็นไปได้ ให้คนบางคนรู้สึกตัวบ้าง ขณะนี้ตนอยู่พรรคชาติไทยก็สบายใจดี เพราะไม่มีแก๊งไม่มีก๊วน ไม่คิดหาประโยชน์
อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเมื่อถูกถามว่าในสมัยหน้าจะยังอยู่พรรคชาติไทยหรือไม่ โดยกล่าวว่านักการเมืองเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน กาลเวลาเปลี่ยน อุดมการณ์ก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่เห็นนักการเมืองไทยจะแน่วแน่ แต่ขณะนี้ส่วนตนแล้วยังไม่ทราบว่าจะย้ายหรือไม่เพราะสถานการณ์ยังไม่สุกงอม
“สุดท้าย ผมอยากฝากบทกลอนพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงแต่งขึ้น ซึ่งผมได้สลักไว้ที่อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะจำลองที่ตั้งอยู่กลางสวน คือ “พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา” ฝากคำกลอนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาอย่างลึกซึ้ง” นายชูวิทย์ กล่าว