“ผาสุก พงษ์ไพจิตร” ชี้ “ธุรกิจการเมือง” ทำประเทศเสี่ยงหายนะ ระบุ ตั้งแต่ปี 44 เป็นต้นมา เป็นปีแห่งการเริ่มต้นคอร์รัปชันเชิงนโยบาย เชื่อมโยงมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์-กลุ่มทุนผูกขาดยักษ์ใหญ่ พยายามครอบงำทุกองค์กรในสังคม แนะทางรอดต้องผลักดันสื่อเสรีให้ได้ วันนี้ ( 7 ธ.ค.) ที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดสัมมนาประจำปี 2548 เรื่อง “ธนกิจการเมือง” โดย นางผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ธนกิจการเมือง” (Money Politics) ว่า ธนาคารโลกได้นำข้อมูลประเทศต่างๆ มาวิเคราะห์ พบว่า ประเทศที่ระดับการคอร์รัปชัน หรือการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจสูง มักจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำ โดยยกตัวอย่างทวีปแอฟริกาและเอเชีย
อย่างไรก็ดี นางผาสุก ระบุว่า มีงานศึกษาที่โต้แย้งบทวิเคราะห์ดังกล่าว โดยยกตัวอย่างกรณี อินโดนีเซีย ที่มีการคอร์รัปชันสูง แต่มิได้ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นต่ำลง เนื่องจากในสมัยรัฐบาลทหารภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี ซูฮาร์โต กดค่าแรงคนงานระดับล่าง จึงหลีกเลี่ยงปัญหาเงินเฟ้อได้ แต่ปัญหาที่พบ คือ การกระจายรายได้เลวลง ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น หรือในประเทศเกาหลีใต้ที่มีการคอร์รัปชันสูง แต่เศรษฐกิจเจริญเติบโตในอัตราที่น่าทึ่งมาก เกิดจากเกาหลีใต้มีรัฐพัฒนาการ ใช้นโยบายพัฒนาอุตสาหกรรม กำกับให้เกิดค่าเช่าที่มีประโยชน์ แต่ต้องไม่ลืมว่าในเกาหลีใต้สภาวะแวดล้อมและการกระจายรายได้เลวลงอย่างมาก
“บางคนอาจจะแย้งว่า แม้จะมีคอร์รัปชันมากมายแต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโตก็ไม่เดือดร้อน ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น หากว่ามีการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์ธุรกิจบางกลุ่มเช่น โทรคมนาคม บันเทิง อสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล สายการบิน และอื่นๆ หมายความว่านักธุรกิจอื่นที่อยู่นอกวง อาจจะมีความสามารถสูงกว่าก็จะถูกกีดกัน เข้าตลาดไม่ได้ โอกาสเติบโตไม่เท่านักธุรกิจวงในซึ่งมีโอกาสเพิ่มการผูกขาดในตลาดสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นผู้รับผลลบ ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน” นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ผู้นี้ ระบุ
นางผาสุก กล่าวอีกว่า รูปแบบของการทำธุรกิจการเมืองของนักการเมืองจากอดีตกับปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก เพราะนักการเมืองต้องปรับตัวตามสถานการณ์เมื่อระบอบการเมืองเปลี่ยนไป เช่น ปี 1960 นายพลตั้งตนเป็นรัฐบาล แหล่งรายได้การคอร์รัปชัน คือ เก็บส่วยจากเอกชน เก็บค่าคอมมิชชั่นจากการซื้ออาวุธ คุ้มครองธุรกิจผิดกฎหมาย แต่หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 เป็นจุดเริ่มต้นยุคที่ไทคูน คือ รัฐ นักการเมืองกับนักธุรกิจไม่ใช่คนละกลุ่มอีกต่อไปแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน นักธุรกิจขนาดใหญ่ที่รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมตัวกันก่อตั้งพรรคการเมือง ชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยม และเข้าควบคุมรัฐสภา ด้วยการควบรวมพรรคเล็กๆ
นางผาสุก ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ตั้งแต่ปี 2544 ถือเป็นการเริ่มต้นของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ถึงแม้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสร้างชื่อให้ตัวเองว่าชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยมที่ให้ประโยชน์กับประชาชนจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ก็ได้ดำเนินนโยบายที่ให้ประโยชน์กับคณะรัฐมนตรี และพรรคพวกโดยตรง และยังมีความพัวพันระหว่างการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย กับมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่เพิ่มอำนาจการผูกขาดตลาดที่มากขึ้น ของบริษัทมหาชนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง รัฐมนตรี ส.ส.
นักวิชาการผู้นี้ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า จากการค้นคว้าพบว่า บริษัทที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมือง โดยเฉพาะหากมีสมาชิกของครอบครัวคนใดคนหนึ่งมีตำแหน่งในรัฐบาล มูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าบริษัทที่ไม่มีสายสัมพันธ์ เพราะตลาดคาดว่าจะมีการดำเนินนโยบายใหม่ๆ ที่ส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทต่างๆ และว่า ในวงวิชาการได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากปี 2544 มีหลายนโยบายทางเศรษฐกิจที่ส่งผลบวกโดยตรงกับบริษัทในตลาดที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองในรัฐบาล เช่น การให้สิทธิพิเศษลดหย่อนภาษี ลดหย่อนค่าสัมปทาน จำกัดคู่แข่ง หรือ หลีกเลี่ยงใช้ พ.ร.บ.ต่อต้านการผูกขาดตลาด
นางผาสุก กล่าวอีกว่า นักรัฐศาสตร์ อเมริกา พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองสูงมาก เป็นรองแต่ประเทศรัสเซีย เท่านั้น และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าครอบครัวของนักการเมืองฟากรัฐบาลที่ทำธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นนับจากปี 2544 มีความเป็นไปได้สูงว่าความมั่งคั่งเหล่านี้จะนำมาถูกลงทุนทางการเมืองเพื่อเพิ่มอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิขของทุกคนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นักวิชาการผู้นี้ กล่าวว่า ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการเมืองใหม่ คือ เรื่องการที่นักการเมืองพยายามลดต้นทุนของการคอร์รัปชัน ซึ่งความพยายามดังกล่าวจะส่งสะท้อนผลทางลบกลับสู่สังคมและการเมืองไทยคือการทับซ้อนผลประโยชน์ ในต่างประเทศแม้จะมีปัญหาเช่นเดียวกันแต่มีกฎหมายควบคุมแน่นหนา และกลไกตลาดเข้มแข็ง เมื่อมีการจับได้ว่าผู้บริหารบริษัท เอนรอน ตบแต่งบัญชี ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐลงโทษทำให้มูลค่าหุ้นเอนรอนเหลือศูนย์ แต่ในเรื่องเดียวกันเกิดขึ้นกับบริษัทปิกนิกในประเทศไทย ผู้เกี่ยวข้องยังคงมีปิกนิกกันต่อไป ลูกหนี้ก็มีปัญหาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า นักธุรกิจทุกแห่งพยายามพัวพันกับการเมือง เพราะนักธุรกิจต้องการนโยบายเอื้อธุรกิจของตน แต่หากนักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนละกลุ่มกัน นักธุรกิจก็ทำได้เพียงส่งแรงผลักดันไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ นักการเมืองมีโอกาสเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายได้บ้าง แต่เมื่อนักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนกลุ่มเดียวกัน การแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผลประโยชน์สาธารณะอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะให้ความสนใจผลประโยชน์ครอบครัวก่อนสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน
นางผาสุก กล่าวว่า เมืองไทยกฎหมายควบคุมการทับซ้อนของผลประโยชน์ ยังมีไม่เพียงพอ แต่ในระยะยาวกระบวนการโลกาภิวัตน์จะลดปัญหาการทับซ้อนของผลประโยชน์ และรัฐบาลไทยจะถูกต่างชาติกดดันให้ก่อตั้งสถาบันป้องกันการทับซ้อนของผลประโยชน์ เช่นเดียวกับสหรัฐที่มีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้มาแล้ว 20 ปี ดังนั้น สังคมไทยจึงมีเพียงสื่อ และภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แต่ปัญหาของสื่อ วิทยุและโทรทัศน์ไม่มีรายการวิจารณ์การเมือง ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์อยู่ในภาวะลำบาก ถูกบีบคั้น แจ้งความ หากรัฐบาลควบคุม ปิดกั้น ข้อมูลประชาชน ก็เอาเปรียบประชาชนได้ง่ายๆ
นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ผู้นี้ ระบุว่า ธนกิจการเมืองอาจจะเป็นผลดีหรือไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจแต่ที่แน่ๆ คือ ส่งผลกระทบทางลบต่อการกระจายรายได้ และสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ และยังมีผลกระทบด้านลบต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อ พัฒนาการระบบประชาธิปไ ตย และความเท่าเทียมกันในกฎหมาย การมีค่าเช่าที่สมบูรณ์ การเมืองไทยตั้งแต่ 2544 ไทคูนเข้ามากำหนดนโยบาย หารายได้จากการใช้อำนาจรัฐด้วยวิธีการต่างๆ หลากหลาย แต่ยังไม่มีวิธีการเหมาะสมที่จะกำกับควบคุมกิจกรรมแสวงหาค่าเช่า เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีค่าเช่าที่มีประโยชน์และลดทอนค่าเช่าที่ไม่มีประโยชน์
“ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 5 ปี แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลกระทบทางลบยังคงมองไม่เห็น แต่ระยะยาวกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความสุ่มเสี่ยงอย่างสูงขึ้นแน่นอนไม่ใช่แต่เพียงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้จะเลวลง แต่ลู่ทางสู่ประชาธิปไตยจะมืดมัวลงไปเมื่อนักการเมืองคงพยายามลดต้นทุนการคอร์รัปชัน โดยพยายามควบคุมกำกับสื่อ ศาลสถิตยุติธรรม ฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ และองค์กรประชาชน ทางออกสถานเดียว คือ ต้องให้สื่อมีเสรีภาพและรับผิดชอบอย่างแท้จริง พร้อมทั้งสนับสนุนให้องค์กรประชาชนที่ส่งเสริมประชาธิปไตยให้สามารถดำเนินการต่อไปได้” นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวทิ้งท้าย
อย่างไรก็ดี นางผาสุก ระบุว่า มีงานศึกษาที่โต้แย้งบทวิเคราะห์ดังกล่าว โดยยกตัวอย่างกรณี อินโดนีเซีย ที่มีการคอร์รัปชันสูง แต่มิได้ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นต่ำลง เนื่องจากในสมัยรัฐบาลทหารภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี ซูฮาร์โต กดค่าแรงคนงานระดับล่าง จึงหลีกเลี่ยงปัญหาเงินเฟ้อได้ แต่ปัญหาที่พบ คือ การกระจายรายได้เลวลง ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น หรือในประเทศเกาหลีใต้ที่มีการคอร์รัปชันสูง แต่เศรษฐกิจเจริญเติบโตในอัตราที่น่าทึ่งมาก เกิดจากเกาหลีใต้มีรัฐพัฒนาการ ใช้นโยบายพัฒนาอุตสาหกรรม กำกับให้เกิดค่าเช่าที่มีประโยชน์ แต่ต้องไม่ลืมว่าในเกาหลีใต้สภาวะแวดล้อมและการกระจายรายได้เลวลงอย่างมาก
“บางคนอาจจะแย้งว่า แม้จะมีคอร์รัปชันมากมายแต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโตก็ไม่เดือดร้อน ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น หากว่ามีการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์ธุรกิจบางกลุ่มเช่น โทรคมนาคม บันเทิง อสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล สายการบิน และอื่นๆ หมายความว่านักธุรกิจอื่นที่อยู่นอกวง อาจจะมีความสามารถสูงกว่าก็จะถูกกีดกัน เข้าตลาดไม่ได้ โอกาสเติบโตไม่เท่านักธุรกิจวงในซึ่งมีโอกาสเพิ่มการผูกขาดในตลาดสุดท้ายผู้บริโภคจะเป็นผู้รับผลลบ ราคาสินค้าสูงขึ้น แต่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน” นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ผู้นี้ ระบุ
นางผาสุก กล่าวอีกว่า รูปแบบของการทำธุรกิจการเมืองของนักการเมืองจากอดีตกับปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมาก เพราะนักการเมืองต้องปรับตัวตามสถานการณ์เมื่อระบอบการเมืองเปลี่ยนไป เช่น ปี 1960 นายพลตั้งตนเป็นรัฐบาล แหล่งรายได้การคอร์รัปชัน คือ เก็บส่วยจากเอกชน เก็บค่าคอมมิชชั่นจากการซื้ออาวุธ คุ้มครองธุรกิจผิดกฎหมาย แต่หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 เป็นจุดเริ่มต้นยุคที่ไทคูน คือ รัฐ นักการเมืองกับนักธุรกิจไม่ใช่คนละกลุ่มอีกต่อไปแต่เป็นกลุ่มเดียวกัน นักธุรกิจขนาดใหญ่ที่รอดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมตัวกันก่อตั้งพรรคการเมือง ชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยม และเข้าควบคุมรัฐสภา ด้วยการควบรวมพรรคเล็กๆ
นางผาสุก ยังชี้ให้เห็นอีกว่า ตั้งแต่ปี 2544 ถือเป็นการเริ่มต้นของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ถึงแม้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสร้างชื่อให้ตัวเองว่าชนะการเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยมที่ให้ประโยชน์กับประชาชนจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ก็ได้ดำเนินนโยบายที่ให้ประโยชน์กับคณะรัฐมนตรี และพรรคพวกโดยตรง และยังมีความพัวพันระหว่างการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย กับมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่เพิ่มอำนาจการผูกขาดตลาดที่มากขึ้น ของบริษัทมหาชนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง รัฐมนตรี ส.ส.
นักวิชาการผู้นี้ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า จากการค้นคว้าพบว่า บริษัทที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมือง โดยเฉพาะหากมีสมาชิกของครอบครัวคนใดคนหนึ่งมีตำแหน่งในรัฐบาล มูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าบริษัทที่ไม่มีสายสัมพันธ์ เพราะตลาดคาดว่าจะมีการดำเนินนโยบายใหม่ๆ ที่ส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทต่างๆ และว่า ในวงวิชาการได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากปี 2544 มีหลายนโยบายทางเศรษฐกิจที่ส่งผลบวกโดยตรงกับบริษัทในตลาดที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองในรัฐบาล เช่น การให้สิทธิพิเศษลดหย่อนภาษี ลดหย่อนค่าสัมปทาน จำกัดคู่แข่ง หรือ หลีกเลี่ยงใช้ พ.ร.บ.ต่อต้านการผูกขาดตลาด
นางผาสุก กล่าวอีกว่า นักรัฐศาสตร์ อเมริกา พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองสูงมาก เป็นรองแต่ประเทศรัสเซีย เท่านั้น และเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าครอบครัวของนักการเมืองฟากรัฐบาลที่ทำธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นนับจากปี 2544 มีความเป็นไปได้สูงว่าความมั่งคั่งเหล่านี้จะนำมาถูกลงทุนทางการเมืองเพื่อเพิ่มอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิขของทุกคนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นักวิชาการผู้นี้ กล่าวว่า ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการเมืองใหม่ คือ เรื่องการที่นักการเมืองพยายามลดต้นทุนของการคอร์รัปชัน ซึ่งความพยายามดังกล่าวจะส่งสะท้อนผลทางลบกลับสู่สังคมและการเมืองไทยคือการทับซ้อนผลประโยชน์ ในต่างประเทศแม้จะมีปัญหาเช่นเดียวกันแต่มีกฎหมายควบคุมแน่นหนา และกลไกตลาดเข้มแข็ง เมื่อมีการจับได้ว่าผู้บริหารบริษัท เอนรอน ตบแต่งบัญชี ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐลงโทษทำให้มูลค่าหุ้นเอนรอนเหลือศูนย์ แต่ในเรื่องเดียวกันเกิดขึ้นกับบริษัทปิกนิกในประเทศไทย ผู้เกี่ยวข้องยังคงมีปิกนิกกันต่อไป ลูกหนี้ก็มีปัญหาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า นักธุรกิจทุกแห่งพยายามพัวพันกับการเมือง เพราะนักธุรกิจต้องการนโยบายเอื้อธุรกิจของตน แต่หากนักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนละกลุ่มกัน นักธุรกิจก็ทำได้เพียงส่งแรงผลักดันไม่สามารถกำหนดนโยบายได้ นักการเมืองมีโอกาสเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายได้บ้าง แต่เมื่อนักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนกลุ่มเดียวกัน การแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากผลประโยชน์สาธารณะอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะให้ความสนใจผลประโยชน์ครอบครัวก่อนสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่ผลประโยชน์ขัดแย้งกัน
นางผาสุก กล่าวว่า เมืองไทยกฎหมายควบคุมการทับซ้อนของผลประโยชน์ ยังมีไม่เพียงพอ แต่ในระยะยาวกระบวนการโลกาภิวัตน์จะลดปัญหาการทับซ้อนของผลประโยชน์ และรัฐบาลไทยจะถูกต่างชาติกดดันให้ก่อตั้งสถาบันป้องกันการทับซ้อนของผลประโยชน์ เช่นเดียวกับสหรัฐที่มีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้มาแล้ว 20 ปี ดังนั้น สังคมไทยจึงมีเพียงสื่อ และภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แต่ปัญหาของสื่อ วิทยุและโทรทัศน์ไม่มีรายการวิจารณ์การเมือง ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์อยู่ในภาวะลำบาก ถูกบีบคั้น แจ้งความ หากรัฐบาลควบคุม ปิดกั้น ข้อมูลประชาชน ก็เอาเปรียบประชาชนได้ง่ายๆ
นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์ ผู้นี้ ระบุว่า ธนกิจการเมืองอาจจะเป็นผลดีหรือไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจแต่ที่แน่ๆ คือ ส่งผลกระทบทางลบต่อการกระจายรายได้ และสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ และยังมีผลกระทบด้านลบต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อ พัฒนาการระบบประชาธิปไ ตย และความเท่าเทียมกันในกฎหมาย การมีค่าเช่าที่สมบูรณ์ การเมืองไทยตั้งแต่ 2544 ไทคูนเข้ามากำหนดนโยบาย หารายได้จากการใช้อำนาจรัฐด้วยวิธีการต่างๆ หลากหลาย แต่ยังไม่มีวิธีการเหมาะสมที่จะกำกับควบคุมกิจกรรมแสวงหาค่าเช่า เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีค่าเช่าที่มีประโยชน์และลดทอนค่าเช่าที่ไม่มีประโยชน์
“ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 5 ปี แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลกระทบทางลบยังคงมองไม่เห็น แต่ระยะยาวกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความสุ่มเสี่ยงอย่างสูงขึ้นแน่นอนไม่ใช่แต่เพียงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้จะเลวลง แต่ลู่ทางสู่ประชาธิปไตยจะมืดมัวลงไปเมื่อนักการเมืองคงพยายามลดต้นทุนการคอร์รัปชัน โดยพยายามควบคุมกำกับสื่อ ศาลสถิตยุติธรรม ฝ่ายค้าน องค์กรอิสระ และองค์กรประชาชน ทางออกสถานเดียว คือ ต้องให้สื่อมีเสรีภาพและรับผิดชอบอย่างแท้จริง พร้อมทั้งสนับสนุนให้องค์กรประชาชนที่ส่งเสริมประชาธิปไตยให้สามารถดำเนินการต่อไปได้” นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวทิ้งท้าย