•• ต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานว่า ธง ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ว่า ถวายคืนพระราชอำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรการเมือง ในครั้งนี้ก็เพราะมองเห็นโดยองค์รวมว่า ณ ขณะนี้ รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้มีจุดพร่องที่จะ ต้องแก้ไข เพียงเฉพาะประเด็นใดประเด็นหนึ่ง สนธิ ลิ้มทองกุล มองเห็นว่าบ้านเมืองกำลัง มืดมิด เพราะตกอยู่ภายใต้ ระบอบเผด็จการของพรรคการเมือง – ในทางปฏิบัติ การแก้ไขเพียงประเด็นเดียวจริง ๆ ที่จะประเสริฐสุดจึงคือแก้ไขเพิ่มเติมที่ มาตรา 313 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดกระบวนการ “...ยึดอำนาจฯ มาจากกลุ่มทุนผูกขาดที่ครองอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน ถวายคืนแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชนตามหลักราชประชาสมาศัย.” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า “...ขอพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง.” ซึ่งก็คือ จัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านช่องทาง ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทั้งนี้โดย ความยินยอมพร้อมใจของสมาชิกรัฐสภา – ผ่านการโหวตแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 313 ภายใต้สถานการณ์พิเศษลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่แม้ ไม่เต็มใจ แต่ก็ จำใจ, ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่าให้เลือก แล้วนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นที่อย่างน้อยจะต้องมีสารัตถะ ไม่บังคับผู้สมัคร ส.ส. สังกัดพรรคการเมือง, ไม่มีมาตรการทำลายพรรคขนาดเล็ก, นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง และ จัดระบบที่มาของวุฒิสภาเสียใหม่ – ไม่ให้เป็นช่องทางแทรกแซงของพรรคการเมืองทั้งหมด รวมทั้งอาจมี มาตรการพิเศษเฉพาะหน้าเพื่อการขจัดคอร์รัปชั่นในโครงการใหญ่ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมทันตา มาให้ประชาชนทั้งประเทศ ออกเสียงเป็นประชามติ พูดง่าย ๆ ว่าคือ การปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ – ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยสันติภายในระบบ นั่นเอง
•• ทุกวันนี้ อำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรการเมือง ตาม มาตรา 313 ที่ว่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ส.ส., ส.ว. หรือ ส.ส. + ส.ว. หากแต่ขึ้นอยู่กับ มติพรรคการเมือง หรือนัยหนึ่งขึ้นอยู่กับ กลุ่มทุนเจ้าของพรรคการเมือง จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะ ยินยอมแก้ไข มาตรการใดก็ตามที่ เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง อย่างแน่นอน
•• ข้อเสนอนี้ไม่ใช่แค่จะไม่ต้องตาต้องใจ พรรคไทยรักไทย เท่านั้น พรรคประชาธิปัตย์ ก็ ไม่เห็นด้วย เพราะทั้งคู่ต่างเป็น พรรคใหญ่ ที่ ได้ประโยชน์จากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เพียงแต่วันนี้พรรคหลังยัง ไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์เต็มที่ แต่ก็หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสสลับขึ้นมาเป็น รัฐบาล แทนที่
•• กี่ปีกี่ชาติกี่ครั้งกี่หนมาแล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พูดถึง จุดอ่อนของระบบการเมืองปัจจุบัน เหมือนเดิมมาอย่างต่อเนื่องว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในอย่างน้อยที่สุด 3 ประเด็น บังคับส.ส.สังกัดพรรค, บังคับให้เกิดแต่พรรคขนาดใหญ่ และ บังคับส.ส.ต้องจบปริญญาตรี เขียนรัฐธรรมนูญมาเกือบจะสมบูรณ์แบบแต่มา พลาดเพียง 2 – 3 ประเด็น แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้รัฐธรรมนูญเสียไปหมดทั้งฉบับ เพราะถึงที่สุดแล้ว อำนาจอธิปไตยของประชาชน ต้องมา ขึ้นต่อ สิ่งที่เรียกว่า มติพรรคการเมือง จริงอยู่นี่ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2540 เพราะมีเค้ามาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2517 และลงหลักปักฐานแน่นหนาในรัฐธรรมนูญ 2521, 2534 แต่ต้องเข้าใจว่าบทบัญญัติใหม่ กฎ 90 วัน ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีมานี้ไป เติมความเข้มข้นถึงขีดสุดให้กับบทบัญญัติเดิม อย่างชัดเจนที่สุด
•• ก่อนหน้า รัฐธรรมนูญ 2521 เอาเป็นว่าย้อนไปถึง รัฐธรรมนูญ 2475 เลยก็แล้วกันบัญญัติถึงสถานภาพของ ส.ส. ไว้ว่า “...สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทนของปวงชนชาวสยาม มิใช่แทนแต่เฉพาะผู้ที่เลือกตั้งตนขึ้นมา ... ต้องปฏิบัติหน้าที่ ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ มิใช่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ.” ขอได้โปรดพิจารณาข้อความส่วนที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จงใจขีดเส้นใต้ไว้อีกครั้ง
•• เพราะพอถึง รัฐธรรมนูญ 2521 ข้อความเดิมที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จงใจขีดเส้นใต้ไว้ในย่อหน้าก่อน ถูกตัดทิ้ง ทั้ง 2 ข้อความ ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ และ มิใช่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ ไม่ปรากฏเป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศนี้มาจนทุกวันนี้
•• นวัตกรรม กฎ 90 วัน ที่เกิดขึ้นใน รัฐธรรมนูญ 2540 ให้อาวุธอันทรงพลานุภาพแก่ หัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างชนิด เบ็ดเสร็จ, เด็ดขาด เพราะการเลือกตั้งหลังสภาผู้แทนราษฎรหมดสภาพใน 2 กรณีจะอยู่ที่ 45 วัน, 60 วัน คือ น้อยกว่า 90 วัน ถ้าหัวหน้าพรรค ไม่ส่งสมาชิกที่แข็งข้อลงสมัคร สมาชิกคนนั้นก็ หมดโอกาสสมัครส.ส. เพราะต่อให้ ย้ายพรรคการเมืองใหม่ ก็จะสมัครไม่ได้เนื่องจาก ขาดคุณสมบัติ – เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถึง 90 วันก่อนการเลือกตั้ง การบัญญัติไว้เช่นนี้อย่ามองแต่เฉพาะด้านบวกที่ว่าหัวหน้าพรรคเป็น คนดี และนักการเมืองที่อยากจะย้ายพรรคนั้นเป็น คนชั่ว, คนแสวงหาผลประโยชน์ สมมติกรณีกลับกันเป็นว่าหัวหน้าพรรคเป็น คนชั่ว ที่จะส่งแต่นักการเมืองที่ สั่งซ้ายหันขวาหันได้ ก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสของนักการเมืองที่ มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง และแน่นอนเท่ากับเป็นการปิดโอกาส การเข้าสู่สนามการเมือง ของ คนดีนอกระบบ – ที่ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อาณัติของผู้หนึ่งผู้ใด การบัญญัติเช่นนี้ใช่หรือไม่ว่าทำให้บ้านนี้เมืองนี้มีแต่ ส.ส.ผีดิบ คือ มีแต่ร่าง – ไร้จิตวิญญาณไร้สำนึกที่เป็นตัวของตัวเอง บทบัญญัติเช่นนี้เมื่อไปสมทบกับอีกบทบัญญัติที่ บังคับให้ผู้สมัครส.ส.ต้องจบปริญญาตรี ก็ยิ่งตัดสิทธิของ คนดีนอกระบบการศึกษา และไปส่งเสริม ธุรกิจขายปริญญา (ทั้งประเภท ถูก และประเภท เถื่อน) โปรดพิจารณา
•• ไม่มีประเทศไหน บังคับส.ส.สังกัดพรรค (ยกเว้นยุคสมัยหนึ่งใน เกาหลีใต้) แต่ประชาชนมีผู้สิทธิเลือกตั้งก็มักจะ เลือกส.ส.สังกัดพรรค โดยเป็นไปตาม พัฒนาการทางการเมืองของสังคม ไม่ใช่ มาตรการบังคับ หรือนัยหนึ่ง ตัดตีนใส่เกือก ที่ก่อให้เกิดผลในเชิง บิดเบือนระบบ และ จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน อย่างยิ่ง
•• มาตรการทางกฎหมายที่ บังคับส.ส.สังกัดพรรค (ซึ่งก็มีค่าเท่ากับ บังคับประชาชนเลือกแต่เฉพาะส.ส.สังกัดพรรค) เมื่อมาบวกกับอีกมาตรการ บังคับให้ผู้สมัครส.ส.ต้องจบปริญญาตรี ยิ่งเพิ่มระดับแห่ง การจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน ทำให้ระบอบที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ในปัจจุบันมีค่าเสมอเพียง บัณฑิตยาธิปไตย เท่านั้น
•• พูดง่าย ๆ ว่าเป็น ประชาธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือ ประชาธิปไตยของคนที่สมัครใจสังกัดพรรคการเมือง และ ประชาธิปไตยของคนที่จบปริญญาตรี นั่นเอง
•• ในประโยค ประชาธิปไตยของคนที่สมัครใจสังกัดพรรคการเมือง พูดได้อีกอย่างว่า ประชาธิปไตยของทุน, ประชาธิปไตยของผู้มีเงิน เพราะมาตรการ บังคับส.ส.สังกัดพรรค บวกกับมาตรการ ส่งเสริมพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ก็คือการเปิดทางให้ ทุน, เงิน เข้ามาเป็นใหญ่อย่างชนิด ไร้พลังถ่วงดุล เพราะพรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครได้ทั่วไปประเทศอย่าง หวังผล จะต้องใช้เงินตั้งแต่ 2,000 - 10,000 ล้านบาท เยี่ยงนี้แล้วจะหวังอะไรได้กับ ยุทธศาสตร์ระยะยาว ที่จะเปลี่ยนทิศทางประเทศไปสู่ เศรษฐกิจพอเพียง มีแต่จะต้องเพิ่มระดับของความเป็น ทุนนิยม เยี่ยงนี้แล้วจะหวังอะไรได้กับ การขจัดคอร์รัปชั่น เพราะในเมื่อ การเมืองเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง ผู้ลงทุนก็ต้อง ถอนทุน, บวกกำไร เข้าไปตามระดับแห่ง หิริโอตตัปปะ ที่นักธุรกิจการเมืองแต่ละคนแต่ละกลุ่มในแต่ละยุคมีอยู่แตกต่างกันออกไป
•• ทุกวันนี้ อำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรการเมือง ตาม มาตรา 313 ที่ว่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ส.ส., ส.ว. หรือ ส.ส. + ส.ว. หากแต่ขึ้นอยู่กับ มติพรรคการเมือง หรือนัยหนึ่งขึ้นอยู่กับ กลุ่มทุนเจ้าของพรรคการเมือง จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะ ยินยอมแก้ไข มาตรการใดก็ตามที่ เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง อย่างแน่นอน
•• ข้อเสนอนี้ไม่ใช่แค่จะไม่ต้องตาต้องใจ พรรคไทยรักไทย เท่านั้น พรรคประชาธิปัตย์ ก็ ไม่เห็นด้วย เพราะทั้งคู่ต่างเป็น พรรคใหญ่ ที่ ได้ประโยชน์จากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เพียงแต่วันนี้พรรคหลังยัง ไม่มีโอกาสใช้ประโยชน์เต็มที่ แต่ก็หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสสลับขึ้นมาเป็น รัฐบาล แทนที่
•• กี่ปีกี่ชาติกี่ครั้งกี่หนมาแล้ว สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พูดถึง จุดอ่อนของระบบการเมืองปัจจุบัน เหมือนเดิมมาอย่างต่อเนื่องว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในอย่างน้อยที่สุด 3 ประเด็น บังคับส.ส.สังกัดพรรค, บังคับให้เกิดแต่พรรคขนาดใหญ่ และ บังคับส.ส.ต้องจบปริญญาตรี เขียนรัฐธรรมนูญมาเกือบจะสมบูรณ์แบบแต่มา พลาดเพียง 2 – 3 ประเด็น แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้รัฐธรรมนูญเสียไปหมดทั้งฉบับ เพราะถึงที่สุดแล้ว อำนาจอธิปไตยของประชาชน ต้องมา ขึ้นต่อ สิ่งที่เรียกว่า มติพรรคการเมือง จริงอยู่นี่ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2540 เพราะมีเค้ามาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2517 และลงหลักปักฐานแน่นหนาในรัฐธรรมนูญ 2521, 2534 แต่ต้องเข้าใจว่าบทบัญญัติใหม่ กฎ 90 วัน ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีมานี้ไป เติมความเข้มข้นถึงขีดสุดให้กับบทบัญญัติเดิม อย่างชัดเจนที่สุด
•• ก่อนหน้า รัฐธรรมนูญ 2521 เอาเป็นว่าย้อนไปถึง รัฐธรรมนูญ 2475 เลยก็แล้วกันบัญญัติถึงสถานภาพของ ส.ส. ไว้ว่า “...สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทนของปวงชนชาวสยาม มิใช่แทนแต่เฉพาะผู้ที่เลือกตั้งตนขึ้นมา ... ต้องปฏิบัติหน้าที่ ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ มิใช่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ.” ขอได้โปรดพิจารณาข้อความส่วนที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จงใจขีดเส้นใต้ไว้อีกครั้ง
•• เพราะพอถึง รัฐธรรมนูญ 2521 ข้อความเดิมที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จงใจขีดเส้นใต้ไว้ในย่อหน้าก่อน ถูกตัดทิ้ง ทั้ง 2 ข้อความ ตามความเห็นของตนโดยบริสุทธิ์ใจ และ มิใช่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใด ๆ ไม่ปรากฏเป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของประเทศนี้มาจนทุกวันนี้
•• นวัตกรรม กฎ 90 วัน ที่เกิดขึ้นใน รัฐธรรมนูญ 2540 ให้อาวุธอันทรงพลานุภาพแก่ หัวหน้าพรรคการเมืองที่เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างชนิด เบ็ดเสร็จ, เด็ดขาด เพราะการเลือกตั้งหลังสภาผู้แทนราษฎรหมดสภาพใน 2 กรณีจะอยู่ที่ 45 วัน, 60 วัน คือ น้อยกว่า 90 วัน ถ้าหัวหน้าพรรค ไม่ส่งสมาชิกที่แข็งข้อลงสมัคร สมาชิกคนนั้นก็ หมดโอกาสสมัครส.ส. เพราะต่อให้ ย้ายพรรคการเมืองใหม่ ก็จะสมัครไม่ได้เนื่องจาก ขาดคุณสมบัติ – เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ถึง 90 วันก่อนการเลือกตั้ง การบัญญัติไว้เช่นนี้อย่ามองแต่เฉพาะด้านบวกที่ว่าหัวหน้าพรรคเป็น คนดี และนักการเมืองที่อยากจะย้ายพรรคนั้นเป็น คนชั่ว, คนแสวงหาผลประโยชน์ สมมติกรณีกลับกันเป็นว่าหัวหน้าพรรคเป็น คนชั่ว ที่จะส่งแต่นักการเมืองที่ สั่งซ้ายหันขวาหันได้ ก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสของนักการเมืองที่ มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง และแน่นอนเท่ากับเป็นการปิดโอกาส การเข้าสู่สนามการเมือง ของ คนดีนอกระบบ – ที่ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อาณัติของผู้หนึ่งผู้ใด การบัญญัติเช่นนี้ใช่หรือไม่ว่าทำให้บ้านนี้เมืองนี้มีแต่ ส.ส.ผีดิบ คือ มีแต่ร่าง – ไร้จิตวิญญาณไร้สำนึกที่เป็นตัวของตัวเอง บทบัญญัติเช่นนี้เมื่อไปสมทบกับอีกบทบัญญัติที่ บังคับให้ผู้สมัครส.ส.ต้องจบปริญญาตรี ก็ยิ่งตัดสิทธิของ คนดีนอกระบบการศึกษา และไปส่งเสริม ธุรกิจขายปริญญา (ทั้งประเภท ถูก และประเภท เถื่อน) โปรดพิจารณา
•• ไม่มีประเทศไหน บังคับส.ส.สังกัดพรรค (ยกเว้นยุคสมัยหนึ่งใน เกาหลีใต้) แต่ประชาชนมีผู้สิทธิเลือกตั้งก็มักจะ เลือกส.ส.สังกัดพรรค โดยเป็นไปตาม พัฒนาการทางการเมืองของสังคม ไม่ใช่ มาตรการบังคับ หรือนัยหนึ่ง ตัดตีนใส่เกือก ที่ก่อให้เกิดผลในเชิง บิดเบือนระบบ และ จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน อย่างยิ่ง
•• มาตรการทางกฎหมายที่ บังคับส.ส.สังกัดพรรค (ซึ่งก็มีค่าเท่ากับ บังคับประชาชนเลือกแต่เฉพาะส.ส.สังกัดพรรค) เมื่อมาบวกกับอีกมาตรการ บังคับให้ผู้สมัครส.ส.ต้องจบปริญญาตรี ยิ่งเพิ่มระดับแห่ง การจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน ทำให้ระบอบที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ในปัจจุบันมีค่าเสมอเพียง บัณฑิตยาธิปไตย เท่านั้น
•• พูดง่าย ๆ ว่าเป็น ประชาธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือ ประชาธิปไตยของคนที่สมัครใจสังกัดพรรคการเมือง และ ประชาธิปไตยของคนที่จบปริญญาตรี นั่นเอง
•• ในประโยค ประชาธิปไตยของคนที่สมัครใจสังกัดพรรคการเมือง พูดได้อีกอย่างว่า ประชาธิปไตยของทุน, ประชาธิปไตยของผู้มีเงิน เพราะมาตรการ บังคับส.ส.สังกัดพรรค บวกกับมาตรการ ส่งเสริมพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ก็คือการเปิดทางให้ ทุน, เงิน เข้ามาเป็นใหญ่อย่างชนิด ไร้พลังถ่วงดุล เพราะพรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครได้ทั่วไปประเทศอย่าง หวังผล จะต้องใช้เงินตั้งแต่ 2,000 - 10,000 ล้านบาท เยี่ยงนี้แล้วจะหวังอะไรได้กับ ยุทธศาสตร์ระยะยาว ที่จะเปลี่ยนทิศทางประเทศไปสู่ เศรษฐกิจพอเพียง มีแต่จะต้องเพิ่มระดับของความเป็น ทุนนิยม เยี่ยงนี้แล้วจะหวังอะไรได้กับ การขจัดคอร์รัปชั่น เพราะในเมื่อ การเมืองเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง ผู้ลงทุนก็ต้อง ถอนทุน, บวกกำไร เข้าไปตามระดับแห่ง หิริโอตตัปปะ ที่นักธุรกิจการเมืองแต่ละคนแต่ละกลุ่มในแต่ละยุคมีอยู่แตกต่างกันออกไป