“พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล” ยันรัฐบาล “ถังแตก” จริง แต่กำลังปั้นตัวเลขหลอกชาวบ้านไปวันๆ ชี้เงินคงคลังร่อยหรอ เก็บภาษีไม่เข้าเป้าจนเวลานี้ต้องกู้เงินมาจ่ายเงินเดือนข้าราชการแล้ว ฟันธงปีหน้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจกระทบรากหญ้าทั่วประเทศ หลายล้านคนอาจล้มครืน
วันนี้ (29 พ.ย.) นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ที่ปรึกษากรรมาธิการการเงินการธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า เวลานี้รัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะ “ถังแตก” ฐานะทางการเงินการคลังย่ำแย่อย่างหนัก แต่กำลังมีความพยายามกำลังตกแต่งตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีและปิดบังความจริง โดยเชื่อว่าภาพวิกฤตเหล่านี้จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนภายในปีหน้านี้
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้ยังเตือนว่า หากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เชื่อว่าจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในบ้านเมืองรอบใหม่ ซึ่งจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2540 เนื่องจากในคราวนี้จะมีผลกระทบไปถึงระดับรากหญ้าทั่วประเทศหลายสิบล้านคน ซึ่งเวลานี้ยังมองไม่ออกว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างไร
“เมื่อก่อนปี 40 ความเสียหายเกิดขึ้นในระดับบนไม่กี่กลุ่ม แต่ตอนนี้ระดับรากหญ้าจะโดนด้วย เวลานี้กองทุนหมู่บ้านกว่า 8 หมื่นล้านบาท มีการค้ำประกันลูกหนี้กันเป็นลูกโซ่ เป็นตาข่ายเชื่อมโยงกันหมด กระทบเป็นวงกว้างหลายสิบล้านคน” นายพิเชษฐ ระบุ และว่าเวลานี้มีการทำให้คนมีนิสัยเบี้ยวหนี้ ทำให้วินัยในการกู้ยืมเงินเปลี่ยนแปลงไปหมด
นายพิเชษฐ กล่าวอีกว่า จากการรายงานตัวเลขเงินคงคลังของธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมบัญชีกลาง ต่อคณะกรรมาธิการการเงินการธนาคารฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขสำรองเงินคงคลังต่ำมาก เวลาเบิกจ่ายเงินก็ทำได้ช้า แล้วไปโทษข้าราชการว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากย้อนไปดูตัวเลขเปรียบเทียบในปี 2540 ที่เรามีเงินคงคลังกว่า 3 แสนล้านบาท และต่ำสุดกว่า 2 แสนล้านบาทต่อเดือน เทียบกับปี 2547 และต้นปี 2548 พบว่ามีเพียง 1 แสนล้านบาท และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนล้านบาทต่อเดือน
นายพิเชษฐ ยังกล่าวว่า เวลานี้เรามีงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายประจำเดือนละ 8 หมื่นล้านบาท จากเดิมเพียงแค่ 6 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่สามารถแบ่งออกไปเป็นงบลงทุนได้ ทำให้เห็นว่ามีการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างในโครงการต่างๆ มีความล่าช้ามาก
“วันนี้รัฐบาลถังแตกจริง คือต้องใช้งบประจำมากถึงเดือนละ 8 หมื่นล้านบาท แต่มีเงินคงคลังแค่ 3 หมื่นล้านบาทต่อเดือน การเก็บภาษีก็ไม่เข้าเป้า ทำให้ขาดภาวะเงินสดหมุนเวียน ถ้าต้องการให้เงินคงคลังเพิ่มก็ต้องกู้ และวันนี้รับรองว่าจีดีพีมีไม่ถึง 7 ล้านล้านบาทแน่ แต่มีการปั้นตัวเลขหลอกขึ้นมา” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ
นายพิเชษฐ ยังระบุอีกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลได้จัดทำงบประมาณแบบสมดุลมาตั้งแต่ปี 2547 ก็ไม่เป็นความจริง และว่าในเวลานี้มีการกู้เงินโดยออกตั๋วเงินคลังอีกประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้หมายความว่ารัฐบาลกำลังกู้เงินใช้จ่ายเงินเดือนให้กับข้าราชการแล้ว ส่วนหนี้สาธารณะนั้นถ้ามีการเปิดเผยตัวเลขแท้จริงน่าจะทะลุ 5 แสนล้านบาท หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปแล้ว
“รัฐบาลเคยวางแผนใช้วิธีแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อมาโปะงบลงทุนเมกะโปรเจกต์ประมาณ 4 แสนล้านบาท แต่เมื่อผิดเป้าหมายไม่สามารถขายสมบัติชาติมาโปะได้ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าเข้ามาลงทุน ทำให้เชื่อว่าในปีหน้าต้องลำบากแน่” นายพิเชษฐ์ระบุ (รายละเอียดคำต่อคำจะนำมาเสนอต่อไป)
วันนี้ (29 พ.ย.) นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ที่ปรึกษากรรมาธิการการเงินการธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า เวลานี้รัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะ “ถังแตก” ฐานะทางการเงินการคลังย่ำแย่อย่างหนัก แต่กำลังมีความพยายามกำลังตกแต่งตัวเลขทางบัญชีให้ดูดีและปิดบังความจริง โดยเชื่อว่าภาพวิกฤตเหล่านี้จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนภายในปีหน้านี้
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้ยังเตือนว่า หากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เชื่อว่าจะเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในบ้านเมืองรอบใหม่ ซึ่งจะเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เลวร้ายกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2540 เนื่องจากในคราวนี้จะมีผลกระทบไปถึงระดับรากหญ้าทั่วประเทศหลายสิบล้านคน ซึ่งเวลานี้ยังมองไม่ออกว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้อย่างไร
“เมื่อก่อนปี 40 ความเสียหายเกิดขึ้นในระดับบนไม่กี่กลุ่ม แต่ตอนนี้ระดับรากหญ้าจะโดนด้วย เวลานี้กองทุนหมู่บ้านกว่า 8 หมื่นล้านบาท มีการค้ำประกันลูกหนี้กันเป็นลูกโซ่ เป็นตาข่ายเชื่อมโยงกันหมด กระทบเป็นวงกว้างหลายสิบล้านคน” นายพิเชษฐ ระบุ และว่าเวลานี้มีการทำให้คนมีนิสัยเบี้ยวหนี้ ทำให้วินัยในการกู้ยืมเงินเปลี่ยนแปลงไปหมด
นายพิเชษฐ กล่าวอีกว่า จากการรายงานตัวเลขเงินคงคลังของธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมบัญชีกลาง ต่อคณะกรรมาธิการการเงินการธนาคารฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา พบว่า ตัวเลขสำรองเงินคงคลังต่ำมาก เวลาเบิกจ่ายเงินก็ทำได้ช้า แล้วไปโทษข้าราชการว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากย้อนไปดูตัวเลขเปรียบเทียบในปี 2540 ที่เรามีเงินคงคลังกว่า 3 แสนล้านบาท และต่ำสุดกว่า 2 แสนล้านบาทต่อเดือน เทียบกับปี 2547 และต้นปี 2548 พบว่ามีเพียง 1 แสนล้านบาท และสูงสุดไม่เกิน 3 แสนล้านบาทต่อเดือน
นายพิเชษฐ ยังกล่าวว่า เวลานี้เรามีงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายประจำเดือนละ 8 หมื่นล้านบาท จากเดิมเพียงแค่ 6 หมื่นล้านบาท ทำให้ไม่สามารถแบ่งออกไปเป็นงบลงทุนได้ ทำให้เห็นว่ามีการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างในโครงการต่างๆ มีความล่าช้ามาก
“วันนี้รัฐบาลถังแตกจริง คือต้องใช้งบประจำมากถึงเดือนละ 8 หมื่นล้านบาท แต่มีเงินคงคลังแค่ 3 หมื่นล้านบาทต่อเดือน การเก็บภาษีก็ไม่เข้าเป้า ทำให้ขาดภาวะเงินสดหมุนเวียน ถ้าต้องการให้เงินคงคลังเพิ่มก็ต้องกู้ และวันนี้รับรองว่าจีดีพีมีไม่ถึง 7 ล้านล้านบาทแน่ แต่มีการปั้นตัวเลขหลอกขึ้นมา” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ
นายพิเชษฐ ยังระบุอีกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลได้จัดทำงบประมาณแบบสมดุลมาตั้งแต่ปี 2547 ก็ไม่เป็นความจริง และว่าในเวลานี้มีการกู้เงินโดยออกตั๋วเงินคลังอีกประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งการดำเนินการในลักษณะนี้หมายความว่ารัฐบาลกำลังกู้เงินใช้จ่ายเงินเดือนให้กับข้าราชการแล้ว ส่วนหนี้สาธารณะนั้นถ้ามีการเปิดเผยตัวเลขแท้จริงน่าจะทะลุ 5 แสนล้านบาท หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปแล้ว
“รัฐบาลเคยวางแผนใช้วิธีแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อมาโปะงบลงทุนเมกะโปรเจกต์ประมาณ 4 แสนล้านบาท แต่เมื่อผิดเป้าหมายไม่สามารถขายสมบัติชาติมาโปะได้ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าเข้ามาลงทุน ทำให้เชื่อว่าในปีหน้าต้องลำบากแน่” นายพิเชษฐ์ระบุ (รายละเอียดคำต่อคำจะนำมาเสนอต่อไป)