“วิษณุ” ร่ายยาวแจงภาพคาใจ “ทักษิณ” ทำบุญประเทศวัดพระแก้ว หมิ่นเบื้องสูง ยันได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ประสานทางแฟกซ์ก่อนมีหนังสือจริงตามมา อ้างเวลาเร่งรัดระยะทางนำสาส์นไกล ระบุเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังจัดทุกอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะเดียวกันยอมรับก่อนหน้านี้ไม่แน่ใจว่าทำไปผิดหรือถูก แต่วันนี้หมดข้อข้องใจ เลยเปิดชี้แจง
วันนี้ (18 พ.ย.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความเหมาะสมถึงภาพถ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธานในการจัดงานทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ว่า การไปออกรายการโทรทัศน์ชี้แจงไม่มีใครสั่ง แต่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และ ช่อง 9 เป็นผู้ติดต่อมาหลายวันแล้ว และตนก็ไม่ได้หารือกับนายกฯ ซึ่งสาเหตุที่เลือกไปชี้แจงทางรายการโทรทัศน์ เพราะมันต้องมีเอกสาร มีรูปภาพ มีคำอธิบาย และมีจดหมายบางอย่างที่เราจะใช้แล้วเจ้าของจดหมายต้องอนุญาตและเผยแพร่ได้ ที่สำคัญเห็นว่าเรื่องทั้งหมดควรจะต้องออกให้คนได้ทราบ และหลังจากนั้นใครจะเจาะ ใครจะซักอะไรก็เชิญ ซึ่งที่แล้วมาตนคิดว่ามีข้อจำกัดหลายอย่างในการจะพูด บัดนี้ข้อจำกัดเหล่านั้นไม่มีแล้วโดยสิ้นเชิง แต่ข้อจำกัดที่ว่านี้ไม่ขอตอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าข่าวที่ออกมาเป็นการบิดเบือน ไม่มีข้อเท็จจริงเลยหรือ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ และขอรับรองว่าตนจะไม่เอ่ยชื่อใครที่คุณคิดว่าใช่ ตนจะไม่เอ่ยเด็ดขาด ไม่ใช่เป็นการท้าทาย ไม่ใช่ตอบโต้ แต่คือการชี้แจง เพราะมาถึงจุดนี้รัฐอยู่ในฐานะที่ต้องชี้แจง ซึ่งเดิมทีตนมีข้อจำกัดในการชี้แจง เมื่อบัดนี้ข้อจำกัดหมดไปก็ต้องชี้แจง เมื่อถามว่า ชี้แจงเสร็จแล้วรัฐจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเองไม่มี แต่ถ้าถามว่าในตัวของรัฐ ใครนั้นตนไม่รู้ ไปเดาแทนไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของเขา ตนไม่ตอบ จะเป็นสิทธิหรือหน้าที่ก็แล้วแต่ แต่บางคนถือว่าเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำว่าตัวไม่ควรจะอยู่
เมื่อถามว่า ทำไมจึงเลือกช่วงเวลาชี้แจงตอนที่นายกฯ ไม่อยู่ นายวิษณุ กล่าวว่า ที่จริงตอนไหนก็ได้ ไม่มีปัญหาเรื่องเวลา เดิมทีคิดว่าจะทำเมื่อช่วงวันจันทร์ อังคาร ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ แต่บังเอิญมีเรื่องครู ก็เลยคิดว่ายังไม่พูด ความจริงถ้าวันนี้ติดขัดไม่พูดแล้วไปพูดอาทิตย์ก็ได้ มันไม่ได้ทำให้มีปัญหาอะไร เพราะข้อจำกัดที่ว่าเบื้องต้นมันหมดไปประมาณ 7 วันที่แล้ว
“เดิมมันมีข้อจำกัด และหลายอย่างผมไม่รู้จริงๆ พูดไปพูดมา จนกระทั่งนึกไปว่าหรือจะเราผิด หรือรัฐบาลผิดจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่าวะเนี่ย เพราะเราไม่รู้ ไม่รู้ก็คือไม่รู้ และบัดนี้มันก็รู้แล้วว่าเรื่องจริงคืออะไร ฉะนั้นผมก็เลยเห็นใจชาวบ้าน และชาวบ้านที่พูดกัน เขาก็ไม่รู้เหมือนผม แล้วเราทำไมไม่ทำให้เขารู้ แต่ไม่ใช่รู้แบบยกเมฆ ก็ต้องมีการอ้างอิงอะไรได้ทั้งหมด ของเดิมอ้างอิงผมก็ไม่รู้ ไปอ้างที่ไหนเหมือนกัน” นายวิษณุ กล่าว
ต่อข้อถามว่า แสดงว่าการนำเสนอของสื่อบางด้านเป็นเท็จหรือเปล่า นายวิษณุ กล่าวว่า อย่าชักนำให้ตนไปว่าหรือไปตำหนิ หรือไปชนเขาเลย ตนยังอยู่บนพื้นฐานที่ว่าถ้าคนเราไม่รู้ว่า จริงๆ มันคืออะไร มันก็ต้องคือไม่รู้ เมื่อไม่รู้และไม่มีใครมาบอกให้รู้มันก็ต้องเอาสิ่งที่ตัวเข้าใจมาตัดสิน และถ้าบังเอิญอันนั้นมันผิด เพราะบางเรื่องในประเทศไทยสิ่งที่เราเข้าใจ กับสิ่งที่มันควรจะเป็นมันไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องให้เขาเข้าใจ ตนบอกว่าไม่ได้ตำหนิคนอื่นเลย ตนนั่งอยู่ คนนั้นพูดที คนนี้พูดทีก็นึกสงสัยว่าจะจริงอย่างที่เขาว่าเสียละมั้ง เพราะเราไม่รู้ว่าจริงๆ เป็นอย่างไร บางเรื่องที่เราทำ เราก็รู้ แต่เรื่องที่คนอื่นทำ เราไม่รู้ แล้วเขามาให้เราทำ เราก็ไม่รู้ และบัดนี้เมื่อรู้ ก็โอเค ก็บอกให้คนอื่นรู้ ส่วนคุณจะบอกว่าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร บอกแล้ว หรือว่า จะไปเช็คดูว่ามันโกหกหรือเปล่า ก็เชิญ นี้คือวิธีการ
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะแก้ทีละเรื่อง แสดงว่าอนาคตจะมีเรื่องอื่นอีก นายวิษณุ กล่าวว่า แน่นอน หมายถึงส่วนของตัวเอง แต่ส่วนของคนอื่นก็ไปแก้กันเอง ตนไม่ไปแก้ให้
เมื่อพยายามถามถึงการใช้สถานที่วัดพระแก้วของงานพิธีสำคัญๆ นายวิษณุ กล่าวว่า “ถ้าถามเรื่องนี้ ผมขอตอบว่าเข้าไปได้ แต่การขึ้นไปทำพิธีต้องขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น ทีนี้คำตอบว่าที่รัฐทำไป รัฐได้ขอพระบรมราชานุญาตหรือไม่ เพราะถ้าหากว่ารัฐไม่ได้ขอพระบรมราชานุญาต ก็ผิดใหญ่ผิดโต ถ้าขอพระบรมราชานุญาตแล้วก็ไม่ผิด ส่วนที่บอกว่าขอพระบรมราชานุญาตแล้ว และได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว แต่ได้รับทีหลัง เพราะคุณดันจัดไปก่อน ก็ผิดอีก ถ้าทำอย่างนั้น”
เมื่อถามว่า มองกันว่าการเตรียมงานมีมานาน แต่ทำไมเพิ่งทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาต ในวันที่ 8 เมษายน 48 ขณะนี้งานจัดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 48 นายวิษณุ กล่าวว่า ถ้าถามประเด็นนี้ตนตอบให้ก็ได้ คือรัฐบาลโดยตนในฐานะประธานทำหนังสือไปถึงสำนักพระราชวังตามที่คณะกรรมการมีมติว่าต้องขอไปที่สำนักพระราชวังเพื่อนำความกราบบังคมทูล ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม เมื่อมีไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าไม่ได้รับคำตอบยาวนาน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้แจ้งมาที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เขาไม่ได้แจ้งมาที่ตน เพราะที่อยู่ในหนังสือลงว่าสำนักพุทธฯ เจ้าหน้าที่ชื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เขารู้กัน ตนจำไม่ได้ ลืมไปแล้ว แจ้งไปที่สำนักพุทธฯ ว่า เนื่องจากหนังสือที่ขอไป ขอ 3 ข้อ
คือ 1.ขอใช้วัดพระแก้ว พระอุโบสถ ไม่ใช่ระเบียงด้วย 2.เป็นการขอให้เปิดปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งปกติเปิดปีหนึ่งทีสองที ถ้าจะเปิดนี้เรื่องใหญ่เลย 3.ให้โทรทัศน์ช่อง 11 ไปตั้งกล้องถ่ายทอดได้ด้วย นี้คือเรื่องใหญ่ สำนักพระราชวังไม่มีอำนาจจะอนุมัติในสิ่งเหล่านี้ เดิมเขานึกว่าเขามีอำนาจ แต่พอเขาดูแล้ว โดยเฉพาะเมื่อรอท่านเลขาธิการพระราชวังกลับมาจากไหนไม่รู้ มาดูแล้ว ท่านไม่มีอำนาจ ต้องให้ราชเลขาธิการ ซึ่งคนก็ไม่เข้าใจว่ามันคนละคนกัน นำความกราบบังคมทูล
“เพราะฉะนั้น ถ้าสำนักพุทธฯ ยังยืนยันว่าจะจัด และยังยืนยันว่าจะขอให้สำนักราชเลขาฯ นำความกราบบังคมทูล ช่วยทำหนังสืออีกฉบับมาถึงสำนักราชเลขาฯ แต่บัดนั้นวันที่เขาแจ้งมา เป็นวันศุกร์ที่ 8 เมษายน เวลาบ่าย ผมไม่อยู่ ไปไหนก็ไม่รู้ เช็กไม่ได้ วันนี้ และ ผอ.จักรธรรม ท่านก็ไม่อยู่ ท่านผู้อำนวยการสำนักมหาเถรสมาคม ซึ่งใหญ่มาก ซี 9 เขาก็อยู่ เขาก็โทรศัพท์ตามใครต่อใคร และบอกว่าถ้าอย่างนั้นดิฉันขอลงนามไปเองได้มั้ย ใครก็ไม่รู้ บอกว่า คุณไปถามสำนักราชเลขาฯ เขายอมมั้ย หัวหน้าหน่วยงานไม่เซ็น คุณเซ็น ยอมมั้ย สุดท้ายถามไปทางโน้นก็บอกว่ายอมเพราะกำลังจะขึ้นเฝ้าฯ ถ้าพลาดหนนี้ มะรืนคุณไม่ได้จัดแล้วงาน เพราะอาทิตย์ที่ 10 จะจัดงานแล้ว ทาง ผอ.จุฬารัตน์ ก็เลยทำหนังสือและแฟกซ์ไปให้ ตัวจริงไปส่งที่กรุงเทพฯ เพราะเจ้าหน้าที่ที่โทร.มา เขาอยู่หัวหิน ตัวจริงเอาไปให้ที่ กทม.แล้วแฟกซ์ไปที่หัวหิน เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ก็นำความกราบบังคมทูล โดยวิธีใดอย่างไรตนไม่รู้ด้วย เมื่อเฝ้าฯเสร็จกลับลงมาวันเสาร์ที่ 9 เมษายน ก็โทรศัพท์แจ้ง และแฟกซ์หนังสือตอบมา เพียงแต่เว้นการเซ็น เพราะว่าเขาไม่ได้ลงที่เอาไว้ ตรงที่ 0006/ ตรงนั้นไม่ได้ใส่ เพราะไม่รู้ทับอะไร และข้างล่างเขาก็ไม่ได้เซ็นเอาไว้ เพราะเขารอราชเลขาฯเซ็น แต่แจ้งมาว่ามีพระบรมราชานุญาตแล้ว โทรศัพท์แล้วและบอกด้วยว่าแน่นอน ประตูโบสถ์ วัดพระแก้วก็ปิด พระเทพบิดรก็ปิด
“ฉะนั้น เมื่อมีพระบรมราชานุญาตทางสำนักราชเลขาธิการ ก็จะมีหนังสือแจ้งไปยังสำนักพระราชวัง ให้ไปเปิดวัดพระแก้ว เปิดปราสาทพระเทพบิดร จัดอาสนะที่นั่ง ตั้งโต๊ะ หมู่บูชาจัดดอกไม้ ทั้งหมด ไม่ต้องมีใครจัด เขาจัดเอง รวมทั้งน้ำปานะ สำหรับเลี้ยงพระ 20 กว่ารูป และน้ำที่เลี้ยงผู้หลักผู้ใหญ่ชาวบ้านทั้งหมดด้วย ของอย่างนี้ห้ามใครเข้าไปจัด เขาต้องจัดของเขาเองทั้งสิ้น ภาชนะ เขามีของเขาหมด เรียบร้อย เขาจะแจ้งไปยังสำนักพระราชวัง บัดนั้นเราก็ทราบกันหมดแล้วว่าโอเค แต่หนังสือเขายังไม่ออกมา เขาจะออกมาเป็นทางการให้ วันนี้เขาจัดให้อย่างนี้ เพราะมันจะถึงแล้ว เวลามันกระชั้นชิด ซึ่งวิธีปฏิบัติราชการโดยแบบอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องอัศจรรย์เป็นเรื่องปกติ”
นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ถ้าให้ตนยกตัวอย่างสมัยตนเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหลายเรื่อง เพราะสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ เรื่องแบบนี้ไม่มี โดยมากเขาจะไม่แฟกซ์มาให้ เพราะคำตอบมันได้ทันที แต่พอประทับอยู่ที่หัวหิน ไกล การเดินหนังสือลำบาก แค่รถไปก็ 2 ชั่วโมง กลับ 2 ชั่วโมงครึ่ง ต้องใช้วิธีแฟกซ์กัน แต่งตั้งทหารอะไรต่ออะไร บางทีไปอ่านมีพระบรมราชานุญาตโปรดเกล้าฯแล้ว แต่ตอบมาที่รัฐบาลนะ ยังนะ เพราะมันต้องใช้เวลาในการเดินทางแต่เขาจะมีเมลตามมาทีหลัง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน จึงได้มีการจัดงาน มีการเปิดวังเปิดพระเทพบิดร เปิดพระอุโบสถ จัดทุกอย่าง ปูอาสนะ ตั้งเก้าอี้ โต๊ะหมู่บูชา ปูพรม ที่สำหรับกราบพระ ดอกไม้ธูปเทียน ที่สำหรับพระสงฆ์มานั่งในโบสถ์และนอกโบสถ์มีครบหมด เพราะคนไปร่วมงานวันนั้นเกือบ 2 พัน คน และมีทุกศาสนาเพราะเปิดพระเทพบิดร
“นี่คือตอบคำถามนี้ว่า ทั้งหมดนี้แปลว่าได้รับพระบรมราชานุญาตหรือยัง ถ้าตอบว่าได้รับแล้ว แล้วเขาบอกว่าทำไมมีหนังสือย้อนหลัง ผมก็บอกว่าจริง และผมก็ยินดีปล่อยหนังสือนั้นออกไป แต่เขาตอบมาก่อนเรา ให้เป็นที่รู้กันโดย ประสานราชการกันภายในเป็นที่เรียบร้อย ครั้นบอกว่าไม่ได้ ภาษาราชการแปลว่ายังไม่มี พระบรมราชานุญาตถ้าอย่างนั้นหนังสือวันที่ 11 ลงมา และเซ็นแล้วด้วย จะบอกว่ามีพระบรมราชานุญาตปลอมหรือ หรือคนที่เซ็นมาแอบอ้างหรือ มันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร จนสุดท้ายมาเจอข้อหาที่ว่า โอ้ยถึงขออนุญาตแล้วก็จริง ไม่ควรจะไปขอ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตั้งแต่เริ่มต้นไปขอ ถ้าพูดอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะต้องย้อนกลับไปดูว่าในประวัติศาสตร์ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีกรณีที่ไปใช้พระอุโบสถ โดยไม่ได้เป็นกรณีของพระบรมราชวงศ์หรือไม่ ต้องถามอย่างนี้ คุณแก้วขวัญก็ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าที่ผ่านมาเคยมีการขอเปิดปลุกเสกพระ และเมื่อวันที่ 8 ที่ผ่านมาก็มีเปิดไปอีกทีหนึ่ง บังเอิญวันนั้นครึกโครมอยู่ 2 อย่าง เพราะไปถ่ายทอดช่อง 11 คนเลยเห็นก่อนหน้านั้นไม่เคยถ่ายทอด สอง นายกฯ ไปนั่งอยู่ คนก็รู้สึก อ้าว ไอ้นี่”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าจุดที่นั่งต่างๆ สำนักพระราชวังเป็นคนจัด นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ และพูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปโยนบาปใส่เขา ว่าเขาจัดผิดด้วยนะ แต่เขามีประเพณีปฎิบัติของเขา อันนี้คือสิ่งที่บอกว่า ถ้าไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าทำไมไปนั่งตรงนั้น แต่ถ้ารู้ก็จะอธิบายต่อไปว่า กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทับ จะประทับนั่งตรงไหน ถ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะประทับตรงไหน ถ้าองคมนตรีต้องนั่งตรงไหน คนอื่นต้องนั่งตรงไหน ถ้าใครนึกภาพโบสถ์วัดพระแก้วออก เข้าไปหันหน้าก็เจอพระแก้ว ถ้าพระสงฆ์ก็ต้องนั่งอยู่ทางขวา หันข้างให้พระแก้ว ถ้าเวลาเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะประทับหันหน้าพระพักตร์ ไปยังพระสงฆ์เพียงองค์เดียว คนที่เฝ้าอื่นก็ต้องนั่งหันหน้าเข้าหาพระแก้วทั้งสิ้น และทำไมวันนั้น 10 เมษา ทั้งนายกฯ และทุกคนหันหน้าเข้าหาพระสงฆ์ ทุกคนหันหน้าเข้าหาพระแก้ว นั่งผิดหรือ เขาจัดเก้าอี้ไว้อย่าง ทุกคนพร้อมใจกันหมุนเก้าอี้ไปหา พระหรือ หรือคิดว่าคิดว่าเก้าอี้ ครม.เอาไปเอง แม้แต่เก้าอี้ คนที่ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ว่าเก้าอี้ เขามีลำดับศักดิ์ ฐานะของเขาเก้าอี้ที่ประทับเราเรียกว่าพระราชอาสน์ เป็นอย่างไร ต้ององค์นั้น องค์อื่นไม่ได้ ถ้าเป็นเจ้านายพระองค์อื่น เขาเรียกว่า เก้าอี้จักรี ถัดมา เขาเรียกว่า เก้าอี้แดงทอง ถัดมาเก้าอี้แดงเหลือง ถัดมาเก้าอี้แดงแดง ก็ต้องกลับไปดูว่า นายกฯ นั่งเก้าอี้อะไร รัฐมนตรีนั่งเก้าอี้อะไร มันมีลำดับศักดิ์และชื่อ
รองนายกฯ กล่าวว่า แม้กระทั่งกรวดน้ำ ทุกคนบอกว่านายกฯ เข้าไปกรวดน้ำ เจ้าหน้าที่เข้าไปถือพาน หมอบอยู่ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตนไปงานศพแม่คุณเจริญเมื่อคืน เขาก็ทำแบบนั้น ทีนี้ต้องถามต่อไปว่าสมมติว่า ถ้ากรวดน้ำท่านั้นผิด นายกฯ บังคับหรือว่า ลื้อเข้ามาแล้ว แล้วต้องเข้ามาคุกเข่าตรงนี้แล้วส่งพาน เจ้าหน้าที่นั้น ก็แต่งชุดสีกากี เป็นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง คนไม่รู้ก็ไม่รู้ เพราะไปนึกแวบๆ ดูในหนัง ในอะไรก็ตามมันเหมือนกันหมด เผลอๆ ไปเทียบกับในละครเข้าอีก คำตอบก็คือถ้าเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลักคือเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังต้องคลานเข้าไป แล้วเอียงตะแคง สุดแท้แต่จะตะแคงซ้ายขวา โดยเอาข้อศอก ยันพื้นและส่งพานขึ้นมือเดียว เวลาทรงกรวดน้ำ
ถ้าเป็นกรณีบุคคลธรรมดาอื่น อย่าว่าแต่นายกฯ เจ้าหน้าที่จะเข้าไปคำนับและคุกเข่า และส่งพานถือสองมือตัวพานก็ผิดกัน ระหว่างพานธรรมดา กับพานกะไหล่เงิน กะไหล่ทอง และพานทอง เขามีลำดับของเขาอยู่ ถ้าดูรูปก็จะเห็นว่า เจ้าหน้าที่วันที่นายกฯ ไปวัดพระแก้วเขาไม่ได้เอียงเอาข้อศอกลงพื้น โค้งแล้วคุกเข่า ก็ธรรมดา เก้าอี้ที่นายกฯ นั่งวันนั้น เป็น “เก้าอี้แดงแดง” แต่ถ้าเป็นองคมนตรีจะเป็นอีกชั้นหนึ่ง ระเบียบเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งกำหนด แต่เขามีของเขาอยู่ ถ้าเขาไปกำหนดขึ้นมาเอาใจรัฐบาลเขาก็คอขาด
นายวิษณุชี้แจง ต่อว่า ส่วนเสื้อผ้า ระเบียบของวัดพระศรีฯ มีมาช้านานว่า ถ้าหากเสด็จพระราชดำเนินให้แต่งเต็มยศ หรือปกติขาว ถ้าไม่มีเจ้านายเสด็จให้แต่งชุดสากล หรือสุภาพ หรือชุดพระราชทาน แต่งปกติขาวก็ไม่ได้ แต่งานวันนั้นเขาประชุมและเถียงกันมาก่อนแล้ว ซึ่งทีแรก เราคิดว่าจะแต่งสากล ไม่คิดแต่งปกติขาว แต่งานชื่องานสมานฉันท์ศาสนสัมพันธ์ เพื่อสร้างกุศลสิริมงคลของชาติ มันเป็นการเอาคนทุกชาติศาสนา ในประเทศมาทำบุญประเทศ ซึ่งจะมีคนหลายพันคนเข้าไป ถ้า ครม.ไปแต่งกายแปลกแยกจากประชาชนแล้วมันจะสมานฉันท์ตรงไหน อีกประการหนึ่งการแต่งกาย ครม. แต่งมาตั้งแต่ตอนเช้า อย่างผมทำบุญเลี้ยงพระเช้า บ่าย มาวัดพระแก้ว จากนั้นไปสวนอัมพร เหม็นเน่าชุดนั้นทั้งวัน ถ้าจะเปลี่ยนชุดก็เปลี่ยนได้ เพราะ ครม.แต่งชุดขาวเดือนหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ มีอยู่ที่ห้องทำงานทุกคนถ้าจะต้องแต่งก็ไม่ยากอะไร
“ข้อสำคัญคือ สำนักพระราชวังเขามีระเบียบถ้าไม่มี เสด็จพระราชดำเนิน สากล ชุดไทย พระราชทาน หรือชุดสุภาพ แขนสั้น แขนยาวก็ได้ รองเท้า ถ้าคนน้อยๆ ให้ถอด ถ้าคนมากๆ เป็นพันเขาไม่ให้ถอด ให้ใส่ติดเข้าไปกับเครื่องแบบ ถือว่าเป็นการแต่งการโดยเครื่องแบบ มันอธิบายได้” รองนายกฯกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากชี้แจงแล้ว ผู้ที่ไปแจ้งความไว้ ควรจะยกเลิกการแจ้งความหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนจะไม่ท้าทาย ไม่เชิญชวนไม่ยั่วยวน และไม่ยั่วยุ ถ้าดำเนินคดีในศาลไม่เป็นไร หรือแม้แต่ถอดถอนก็ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ที่ไปเปิดเวที ด่ากันใส่เว็บไซต์ คนที่ทำอาจจะไม่รู้ว่าผลกระทบมันมหาศาลขนาดไหน ถ้าลำพังต้องการจะกล่าวหาหรือทำลายใคร มันมีวิธีอื่นเยอะ แต่พอทำอย่างนี้ ผลที่กระทบเขาไม่รู้กระมังว่ามันมหาศาลกว่าที่เขาคิด
คำต่อคำ:“วิษณุ”ควง“ธงทอง”การันตี“ทักษิณ”นั่งประธานวัดพระแก้วถูกต้องทุกประการ