xs
xsm
sm
md
lg

"ถวายคืนพระราชอำนาจฯ" หนทางเดียวที่จะรักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ก็ต้องทำความเข้าใจกันเป็นปฐมบทว่า ถวายคืนพระราชอำนาจ ที่นำมาพาดตัวใหญ่เหนือหัว ผู้จัดการรายวัน แทนที่ เอาประชาชนของเราคืนมา มีความหมายอย่างไร

•• คำว่า ถวายคืนพระราชอำนาจ ย่อมาจาก ถวายคืนพระราชอำนาจ – ขอพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ มีที่มาจากการเดินตามแนวทาง ราชประชาสมาศัย หรือ ลัทธิราชประชาสมาศัย อันเป็น หลักนิติศาสตร์ดั้งเดิมของไทย ความโดยสังเขปจะขอขยายความเป็นลำดับ ๆ ไป

•• ความหมายของ ราชประชาสมาศัย (ตัวสะกดในต้นฉบับเดิมคือ สมาศัย ใช้ ศ.ศาลา) ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล นำมาใช้เป็นหลักการ ถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ นั้นแท้จริงมาจากคำเต็ม ๆ ว่า ลัทธิราชประชาสมาศัย ในบทสนทนาเรื่อง การเมืองไทย ที่ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีร่วมกับ ศ.เสน่ห์ จามริก และ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ ลงตีพิมพ์ใน วารสารธรรมศาสตร์ ; ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 เมษายน 2515 โดยที่ก่อนหน้านั้นประมาณ ต้นปี 2515 ท่านผู้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาในความหมาย “...พระเจ้าอยู่หัวกับประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน.” เขียนจุดประเด็นขึ้นก่อนใน หน้า 5 ของ นสพ.สยามรัฐรายวัน ที่ท่านเป็นเจ้าของและคอลัมนิสต์อยู่ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านพูดไว้ชัดเจนในบทสนทนาประวัติศาสตร์นั้นว่าคำว่า พระเจ้าอยู่หัว ของท่านใน ลัทธิราชประชาสมาศัย ที่ว่านี้ไม่ได้หมายโดยรวมถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ หากแต่หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ต่อประเด็นนี้คำพูดคำต่อคำของท่านมีว่า “...เป็นการพยายามหาความเป็นผู้นำจากแหล่งที่ไม่เคยหามาก่อน สำหรับพระเจ้าอยู่หัวนั้นผมไม่ได้หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะถ้าหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ย่อมแปลว่ากลับไปสู่สมบูรณาญา สิทธิราชย์ครั้งกระโน้น ซึ่งผมเห็นว่าก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว และเราก็ไม่ต้องการที่จะกลับไปอย่างนั้น แต่ผมหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ในฐานะบุคคลซึ่งท่านอาจจะให้ความเป็นผู้นำได้ และอันที่จริงท่านก็ได้พิสูจน์พระองค์เองแล้วว่าทรงเป็นผู้นำอยู่ สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ถึงกับแตกหัก.” เหตุการณ์ผ่านไป 33 ปีเต็ม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบันยิ่งได้ทรงผ่านการพิสูจน์พระองค์จนปราศจากข้อสงสัยว่าพระองค์คือ สัจจะ พระองค์คือ พระราชาซีอีโอ แล้วเหตุไฉนเมื่อบ้านเมืองเดินทางมาประจัญ วิกฤต เราถึงจะปฏิเสธแนวทาง ถวายคืนพระราชอำนาจ ด้วยความหลงใน มายาคติ เข้าใจหลัก The King can do no wrong ซึ่งเป็น คติอังกฤษ ให้เลยเถิดไปเป็น The King can do nothing ไปเสียเล่า

•• คำว่า พระราชาซีอีโอ นี้ “เซี่ยงเส้าหลง” บอกมาหลายครั้งแล้วว่าเป็น คำของพระองค์ ในกระแสพระราชดำรัสองค์สำคัญที่พระราชทานแก่ คณะผู้ว่าฯซีอีโอ เมื่อ วันที่ 8 ตุลาคม 2546 โน่น

•• อย่าลืมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงอยู่ใน ราชสมบัติ มา ต่อเนื่อง-ยาวนาน ไม่แพ้กษัตริย์พระองค์ใดในโลก เกือบ 60 ปีเต็ม นับแต่ วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เกือบจะเท่ารัชสมัย สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ที่ครองราชย์อยู่รวม 64 ปี (ระหว่าง ปี 1837 – 1901) ทำให้พระองค์ท่าน ทรงรู้ทรงเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองมาโดยตลอด เป็น แหล่งสะสมประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้มากที่สุด มากกว่า รัฐสภา, รัฐบาล และ พรรคการเมือง เพราะทั้ง 3 สถาบันดังกล่าว เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของการเมือง ชนิดที่เรียกว่า มาแล้วก็ไป แตกต่างจาก สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรง ดำรงอยู่ชั่วกาลนาน ความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศนี้ในยุค สงครามเย็น, สงครามลัทธิ ในอีกมุมมองหนึ่งไม่ใช่เพียงเพราะ แนวทางการเมืองนำการทหาร หรือนัยหนึ่ง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หากแต่แยกไม่ออกจาก พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน – และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงเริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 2496 ในโครงการตามพระราชดำริแห่งแรกที่ เขาเต่า, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์ท่าน เสด็จไปในทุกตารางนิ้วของประเทศไทย ดังที่ทรงเล่าในพระราชดำรัสองค์สำคัญดังกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็น พระราชาซีอีโอ - ที่ไม่มีวันเกษียณ พระองค์ท่านทรงชี้แนะในพระราชดำรัสที่จับใจพสกนิกรชาวไทยทั้งแผ่นดินองค์นั้นว่า หน้าที่ ของ ผู้ว่าฯซีอีโอ ไม่เหมือน ซีอีโอบริษัท เพราะ ไม่ต้องทำเงินให้บริษัท แต่จะต้อง สร้างความเจริญให้ประชาชนในพื้นที่ คือ ให้ประชาชนมีความสามารถที่จะทำมาหากินได้ หรือพูดง่าย ๆ คือ ทำให้ประชาชนรวย – ไม่ใช่ทำให้ตัวเองรวย จากนั้นพระองค์ท่าน ทรงเตือน ว่าที่ใคร ๆ ว่า เศรษฐกิจกำลังขึ้น นั้นที่ ขึ้นตาม ไปด้วยคือ การทุจริต และตามด้วย ทรงแช่ง ดังที่ทราบกันดีอยู่

•• รูปแบบของ ลัทธิราชประชาสมาศัย ในปัจจุบัน ปี 2548 ไม่จำเป็นว่าจะต้อง เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว กับเมื่อ ปี 2516 แต่จะเป็นรูปแบบใดนั้นไม่สำคัญเท่ากับ หลักการข้อแรก ที่จะต้องยอมรับและทำความเข้าใจร่วมกันว่านี่คือ หลักนิติศาสตร์ดั้งเดิมของไทย ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ

•• ต้องเข้าใจว่าแม้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 จะมีความหมายเป็น การปฏิวัติ - ในทางรัฐศาสตร์ แต่ใน อีกมุมมองหนึ่ง - ในทางนิติศาสตร์ ต้องถือว่า เป็นความต่อเนื่องของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยแท้

•• และ ความต่อเนื่อง อันเป็น ความงาม, วัฒนธรรม และ เอกลักษณ์เฉพาะ นี้ดำเนินมาจนถึง การรัฐประหาร เมื่อ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ที่ คณะรัฐประหาร ตั้งตนเป็น องค์อธิปัตย์ของรัฐ เสียเอง จุดเริ่มต้น ของ วงจรอุบาทว์ อยู่ตรงนั้น

•• ไม่ว่าระหว่าง รัชกาลที่ 7 กับ คณะราษฎร ใครจะคิดเรื่อง เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ขึ้นมา ก่อน และไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 จะเป็น ความใจร้อน, การชิงสุกก่อนห่าม หรือไม่ก็ตาม “เซี่ยงเส้าหลง” มีมุมมองว่านั่นเป็น การปฏิวัติที่งดงาม, การปฏิวัติที่มีวัฒนธรรม งดงามด้วย พระราชปณิธาน, ปณิธาน ของ ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะห้วงเวลา 3 วันหลังจากการปฏิวัติ หากพิจารณา พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 นอกจากจะถือเป็น รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของประเทศไทย ยังเป็นการแสดงถึง ลักษณะเฉพาะ, เอกลักษณ์ ของ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ที่ดำเนินไปด้วย ความยินยอมพร้อมใจ, เคารพนับถือต่อกัน และถือเป็น ความต่อเนื่องทางนิติศาสตร์ ระหว่าง 2 ระบอบการเมืองที่แตกต่างกัน สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยฉบับนี้ก็คือ เป็นพระบรมราชโองการ โดย ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระองค์เองโดยไม่มีคณะราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ความหมายในทางนิติศาสตร์ก็คือ คณะราษฎร ณ ห้วงเวลา 3 วันหลังการปฏิวัติ ยังคง ยอมรับ ในความเป็น องค์อธิปัตย์ ของ รัชกาลที่ 7 แต่ครั้นเมื่อธรรมนูญการปกครองแผ่นดินชั่วคราวฉบับนั้นมีผลใช้บังคับแล้ว ฐานภาพของระบอบการเมืองในประเทศไทย จึงแปรเปลี่ยนจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ : Absolute Monarchy ไปเป็น ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ : Constitutional Monarchy ในฉับพลันทันที พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในระบอบการเมืองใหม่ จึงต้องมี ผู้มีอำนาจหน้าที่ เป็น ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ บทบัญญัติในธรรมนูญการปกครอง มาตรา 7 จึงกำหนดให้ กรรมการราษฎร ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้ ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ตั้งแต่นั้นมาบรรดาพระราชบัญญัติไปจนถึงพระบรมราชโองการต่าง ๆ ตลอดจน รัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 จึงมี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ตามที่เราคุ้นเคยในวันนี้

•• ในแง่ นิติศาสตร์ จึงกล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั้นเป็น การโอนถ่ายอำนาจอธิปัตย์จากพระมหากษัตริย์ให้แก่ประชาชนโดยผลของรัฐธรรมนูญ - ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยพระราชอำนาจของพระองค์เอง โดยแท้

•• คือ คณะราษฎร ไม่ได้อ้างว่าตนเป็น องค์อธิปัตย์ของรัฐ เพราะถ้าอ้างเช่นนั้นก็ต้องสามารถ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญได้เอง โดยไม่ต้อง ขอพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ตามทฤษฎีที่ว่า องค์อธิปัตย์ของรัฐจะออกกฎหมายหรือไม่ออกกฎหมายใดก็ได้ – ไม่มีอำนาจใดอยู่เหนืออำนาจองค์อธิปัตย์ของรัฐ แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ตรงกันข้าม คณะราษฎร กลับ ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญจากพระมหากษัตริย์ ดังที่คำปรารภของ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มีความว่า "...โดยที่คณะราษฎรได้ขอร้องให้อยู่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม เพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น และโดยที่ทรงยอมรับตามคำขอร้องของคณะราษฎร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยมาตราต่อไปนี้.” นี่คือ ความต่อเนื่องของ 2 ระบอบ ที่ งดงาม และถือเป็น เอกลักษณ์เฉพาะ ของระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย

•• ยิ่งกว่านั้น คณะราษฎร ยังได้ออก พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้ตนเอง ทั้ง ๆ ที่ตามทฤษฎีแล้ว องค์อธิปัตย์ของรัฐไม่มีทางทำผิดกฎหมายได้เมื่อ วันที่ 26 มิถุนายน 2475 อันเป็นเวลา 2 วันหลังการปฏิวัติ คณะผู้ก่อการขอเข้าเฝ้า รัชกาลที่ 7 ที่ วังศุโขทัย กราบบังคมทูลพระกรุณาและก็ได้รับ พระราชทานนิรโทษกรรม โดยตราเป็นกฎหมายใช้ชื่อเป็น พระราชกำหนด และ ทรงลงพระปรมาภิไธยโดยไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เพราะขณะนั้นเป็นเวลา 1 วันก่อนวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ บุคคลใดใน คณะราษฎร จึงไม่มีอำนาจและฐานะที่จะ ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ได้

•• มีข้อน่าสังเกตที่สำคัญยิ่งว่าตั้งแต่นั้นมา คณะราษฎร ไม่เคยใช้ อำนาจนิติบัญญัติ ในการออกกฎหมายในรูป ประกาศคณะปฏิวัติ, คำสั่งคณะปฏิวัติ เลยแม้แต่ฉบับเดียว

•• อย่าสับสนปะปนการถวายสัตย์ปฏิญาณ ถวายคืนพระราชอำนาจ – ขอพระราชทานผู้นำการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ คือการกระทำฐาน กบฏ หรือด่วนชี้หน้าพิพากษาคนที่ชูธงผืนนี้ว่า ล้าหลัง, ถอยหลังลงคลอง เพราะเรื่องสำคัญคือควรทำความเข้าใจแนวคิดนี้ให้ลึกซึ้งที่เห็นว่าสถานการณ์ทุกวันนี้ต่างหากที่ เดินหน้าลงคลอง และไม่มีทางเลือกอื่นให้ประชาชน ผนึกกำลังร่วมกัน – ต่อสู้โดยสันติและโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถ้าจะเป็น ขบถ ก็เพียง ขบถต่อกลุ่มทุนผูกขาดที่ครองอำนาจรัฐปัจจุบัน ไม่ใช่ กบฏต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ธงผืนนี้ว่ากันให้ถึงที่สุดแล้วก็คือ ยึดอำนาจจากกลุ่มทุนผูกขาดที่ครองอำนาจรัฐปัจจุบัน – ถวายคืนแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชนในการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ผ่านทางการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ กระบวนการหนึ่งที่พอจะเรียกได้ว่า ขอพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง ก็คือเรียกร้องโดยสันติและชอบด้วยรัฐธรรมนูญให้เกิด การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 1 มาตรา คือ มาตรา 313 กล่าวอย่างถึงที่สุดนี่คือ ขบวนปฏิวัติโดยสันติ ที่มุ่งเน้น เปลี่ยนแปลงแก้ไขระบบการเมืองในระดับโครงสร้าง โดยใช้วิธีการ เปลี่ยนแปลงโดยสันติจากภายในระบบ นั่นเอง

•• ขอมีบทแทรกนิดหนึ่งว่าด้วย ขบถ เพราะนึกถึงบทกวี กูจะเป็นขบถ ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ เมื่อ ปี 2517 ขึ้นมาทันที “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำมาเป็นแทรกไว้ตรงนี้เพราะชอบตรง 2 วรรคสุดท้าย ที่บอกว่า “...กูก็พร้อมจะขบถรดน้ำมนต์ กราบพระออกปล้นความเป็นธรรม.” ดูละม้ายคล้ายกับฐานภาพของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในวันนี้ไม่มากก็น้อย


เมื่อพูดกันไม่ได้ก็ไม่พูด
จะทำปากให้เป็นตูดพูดไม่ได้


จะได้รู้กันว่าประเทศไทย
เป็นของคนหัวใสสองสามคน


ถ้าความจนถูกหาว่าขบถ
เพื่อให้ความรวยกดกลางถนน


กูก็พร้อมจะขบถรดน้ำมนต์
กราบพระออกปล้นความเป็นธรรม


•• คำว่า อำนาจ ในธง ถวายคืนพระราชอำนาจ ก็คือ อำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรทางการเมือง ที่จะต้อง ยึดโดยสันติ มาจาก รัฐสภา แล้วดำเนินการ ถวายคืนแด่พระมหากษัตริย์ เพื่อ ทรงใช้ร่วมกับประชาชน ตามลักษณะพิเศษของชนชาติไทย

•• แต่ในเมื่อ พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ทรงอยู่ เหนือการเมือง, ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง รูปแบบของธงนำผืนนี้หลังจาก ยึดอำนาจมาจากรัฐสภา โดย สันติ ผ่านกระบวนการ ยินยอมพร้อมใจของสมาชิกรัฐสภา ในรูปแบบ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 313 ถวายให้เป็นพระราชอำนาจ เพื่อจะได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง คณะบุคคลที่ไม่ใช่นักการเมืองปัจจุบัน หรือ non-immediate political organ จำนวนหนึ่งที่อาจจะมีที่มาจาก อดีตนายกรัฐมนตรี 2 – 3 คน, นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ มาประกอบเป็น คณะกรรมการพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ จัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านช่องทาง การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ แล้วนำมาให้ประชนทั้งประเทศ ออกเสียงประชามติ กระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน ระยะเวลาจำกัด นี่คือรูปธรรมของคำ ขอพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง ที่สรุปเนื้อหาไว้เบื้องต้นแล้วว่า ยึดอำนาจมาจากกลุ่มทุนที่ครองอำนาจรัฐปัจจุบัน - ถวายคืนแด่พระมหากษัตริย์ เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชน.” แนวคิดนี้ไม่ใหม่ หากแต่เป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ ปี 2537 และถูกนำมาเป็น ธงนำ ในกระบวนการล้มเลิก รัฐธรรมนูญ 2534 เพียงแต่ความสลับซับซ้อนของสถานการณ์ทำให้ ข้อเสนอถูกนำมาใช้เพียงบางส่วนทั้ง วิธีการ และ เนื้อหา และเริ่มมา เกิดใหม่ อีกครั้งก็เมื่อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2545 ครั้งนั้นเสนอออกมาใน วงวิชาการ อย่างไม่โด่งดังนักในลักษณะ โยนระเบิด ออกมาในนามของข้อเสนอให้ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 2 - 3 ประเด็นสำคัญ ๆ คือ ไม่บังคับส.ส.สังกัดพรรค, ไม่บังคับนายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส. รวมถึง นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้ 1 สมัยโดยขยายวาระให้ยาวเป็น 5 - 6 ปี พูดกันอย่างถึงที่สุดแล้วหากพิจารณาในบริบทของ สงครามทุน นี่เป็น หนทางเดียว ที่พอจะ รักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ซึ่งก็คือ ของชาติ, ของประชาชน ไว้ได้

•• อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนอะไรนักเพราะ ณ นาทีนี้ก็มีผู้ร่าง ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 313 เตรียมไว้ รอท่า แล้วในนามที่เรียกขานกันว่า ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 แม้จะถูกหยันเหยียดว่าเป็นเรื่อง เพ้อฝัน แต่วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อ สถานการณ์เอื้ออำนวย นี่คือหนึ่งใน ต้นแบบ ของ แนวทางเปลี่ยนแปลงโดยสันติ เรื่องทำนองนี้อย่าปรามาสเพราะ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ศึกษากันดูให้ดี

•• พ้นจากหนทาง ถวายคืนพระราชอำนาจ – ขอพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง คิด ๆ ดูให้ถึงที่สุดแล้วก็เสมือนเหลืออยู่อีก หนทางหนึ่ง ที่พอจะทำได้นั่นคือ ทำใจ เพื่อให้ ชินไปเอง เท่านั้น

•• แล้วก็หาทาง เข้าไปกินเศษเนื้อ ที่ กลุ่มทุนที่ครองอำนาจรัฐปัจจุบัน จะกรุณา โยนมาให้ โดยต้องแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้ว่า เศษเนื้อนั้นก็คือเศษเนื้อที่เฉือนไปจากร่างกายของเรา หลอกตัวเองให้รู้สึก มีความสุขไปวัน ๆ หนึ่ง และต้อง หลอกลูกหลอกหลาน ให้ทำตัว กลืนกับระบบอัปรีย์ ที่จะดำรงอยู่ชั่วนาตาปีนี้ให้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น