xs
xsm
sm
md
lg

จับโกหก “ทักษิณ” ไม่มีพระบรมราชานุญาตให้นั่งประธาน 'ทำบุญ' ในวัดพระแก้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 8 สวนลุมพินี ประชาชนรวมพลังร่วมทวงประเทศไทยล้นหลาม แน่นขนัดเกือบ 4 หมื่นคน “สนธิ” แฉหลักฐานเด็ดจดหมายจับโกหก ยัน “ทักษิณ” ทำบุญประเทศในพระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยไม่มีพระบรมราชานุญาต ชี้บังอาจทำพิธีไปก่อน เผยเคยประชุมถึง 4 ครั้ง กราบบังคมทูลเชิญในหลวงเป็นองค์ประธาน แต่ยกเลิกภายหลัง ท้าให้ฟ้องล้านคดีก็ไม่หวั่นไหว ประกาศถ้าตัวเองเป็นอะไรไปต้องเกิดจากฝีมือของรัฐบาลนี้แน่นอน

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 2
 

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 8 ช่วงที่ 3 


คลิกชมภาพสไลด์โชว์ บรรยากาศเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 8

ดูภาพชุดจาก Manager Multimedia


คลิกที่นี่ เพื่อชม การแสดงดนตรีจากวง "แฮมเมอร์ และโฮป แฟมิลี่" ก่อนเริ่มรายการ



วันนี้ (11 พ.ย.) เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 8 ที่สวนลุมพินี ดำเนินรายการโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ ท่ามกลางความสนใจจากประชาชนที่เข้าร่วมเกือบ 4 หมื่นคน ก่อนเข้ารายการ นายสนธิได้กล่าวถึงความพยายามของรัฐบาล และพรรคไทยรักไทย ที่กำลังใช้ความพยายามในการฟ้องร้องดำเนินคดีและกลั่นแกล้งทุกวิถีทางโดยท้าทายให้ฟ้อง และมาจับกุมตัวโดยเร็ว

“ผมท้าให้ฟ้องสักล้านคดีก็ให้ฟ้องไป ผมไม่สนใจ เพราะเวลานี้มันหลังชนกำแพงแล้ว ขอให้มาจับผม ผมจะยืนให้ใส่กุญแจมือ และไม่ขอประกันตัว ให้มันรู้กันไปว่าพวกที่โกงกันทั้งโคตร มันซื้อผมไม่ได้แล้วมาแกล้งผมตลอดเวลา แกล้งได้แกล้งไป เพราะผมเชื่อว่าเวรกรรมมันมีจริง” นายสนธิ ระบุ

นายสนธิได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้ออ้างของรัฐบาลที่อ้างถึงพระบรมราชานุญาตให้ใช้สถานที่ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีศาสดารามในการเป็นประธานในพิธีทำบุญประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยได้ชี้ให้เห็นเปรียบเทียบกรณีการตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน ซึ่งมีการตั้งคำถามไปหลายครั้งแต่ไม่เคยตอบ แต่เมื่อจวนตัวถึงได้ตอบชี้แจงจำนวน 4 ข้อ หรือล่าสุดเมื่อจวนตัวหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯถวายผ้าพระกฐินที่วัดบวรนิเวศ ทำให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแถลงยืนยันถึงสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว แต่มีข้อพิรุธให้จับได้หลายข้อ

ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ ได้นำเอาหลักฐานที่เกี่ยวกับสำนักพระพุทธศาสนา (พ.ศ.) ทำหนังสือถึงประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพื่อนำซีดีที่บันทึกเทปคำอวยพรของสมเด็จพระสังฆราชเพื่ออวยพรปีใหม่แก่ประชาชน โดยมีการทำหนังสือขออนุญาตจากประธานคณะปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนายสนธิตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือการมีสถานะของสมเด็จพระสังฆราช 2 พระองค์ แสดงให้เห็นว่าคำชี้แจงของนายวิษณุนั้นโกหก

ส่วนเรื่องพระบรมราชานุญาตในการใช้สถานที่ในพระอุโบสถวัดพระแก้ว เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานในการทำบุญประเทศนั้น นายสนธิได้ชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธในจดหมายจากสำนักเลขาธิการสำนักมหาเถรสมาคม สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ฉบับวันที่ 8 เมษายน 2548 ลงนามโดยนางจุฬารัตน์ บุญยากร ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ขอใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในเวลา 15.00-16.00 น.โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นองค์กรอิสระเข้าร่วมพิธี ไม่ได้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

พร้อมกันนี้ นายสนธิได้เปรียบเทียบกับจดหมายอีกฉบับ คือ ฉบับวันที่ 30 มีนาคม ก่อนหนังสือฉบับวันที่ 8 เมษายน ที่ทำหนังสือถึงเลขาธิการสำนักพระราชวังขอใช้สถานที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลา 15.00-16.00 น. แต่ฉบับนี้มีนายกฯ แต่ไม่มีองคมนตรี แต่เมื่อไม่มีคำตอบกลับมาจึงได้ร่างหนังสือฉบับวันที่ 8 เมษายน 2548 ดังกล่าว โดยเพิ่มองคมนตรีเข้าไป ซึ่งถ้ามีองคมนตรีก็แสดงให้เห็นว่าคนที่มาเป็นประธานต้องสูงกว่าองคมนตรีมาเป็นประธานในพิธี (ดูสำเนาหนังสือใน จับเท็จ! วันทำบุญวัดพระแก้วยังไม่มีพระบรมราชานุญาต)

“จะเห็นได้ชัดว่า นายวิษณุได้ออกมาแถลงข่าว โดยนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ออกมาพูดปากคอสั่น ปากคอสั่นคืนนั้นเลย บอกว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกฯเป็นนายกฯ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไมขยันพูดช่วงนี้ถี่จังเลย ทำไมก่อนหน้านี้ไม่สนใจ

ก็ปรากฏว่า เขาบอกว่าเขามีจดหมายจากนางจุฬารัตน์ ผู้อำนวยการกองสำนักพระพุทธศาสนา ไปถึงสำนักราชเลขาฯ เพื่อขอพระบรมราชานุญาตในการใช้อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จดหมายฉบับนั้นลงวันที่ 8 เม.ย. คือวันศุกร์ งานจะจัดวันที่ 10 เม.ย. คือวันอาทิตย์ ดูจดหมายนะครับ วันที่ 8 เม.ย.นะ ในนี้ขออนุญาตหมด ผมจะอ่านสั้นๆ

ข้อที่ 1 ขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2548 ตั้งแต่เวลา 15.00-16.00 น. เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ในอุโบสถ โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เข้าร่วมพิธี โดยมีองคมนตรีนำหน้าหนึ่ง ต่อด้วยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้นำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เข้าร่วมพิธี

แปลว่าอะไร แปลว่าเขาไม่ได้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จดหมายที่คุณขอไปขอเพื่อให้เข้าร่วมพิธี แต่ว่าที่มันกว่านั้นคุณวิษณุไม่ยอมโชว์จดหมายอีกฉบับหนึ่ง ฉบับวันที่ 30 มี.ค. 8-9 วันก่อนที่วันที่ 8 จะส่ง เรียนเลขาธิการพระราชวัง ขออนุญาต

1.ขออนุญาตใช้สถานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ที่ 10 เม.ย. ตั้งแต่ 15.00-16.00 น. เพื่อให้กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ในอุโบสถ โดยนายกรัฐมนตรี ไม่มีองคมนตรี เห็นไหม นี่คือวันที่ 30 ก่อน จดหมายวันที่ 8 อันนี้ส่งไปที่สำนักพระราชวัง เป็นเวลา 8 วัน ไม่มีคำตอบตอบมา เก็บเงียบ ก็เลยร่างฉบับวันที่ 8 ขึ้นมาใหม่ เห็นไหม เพิ่มคำว่า “องคมนตรี” เข้าไปด้วย

ทีนี้พอเพิ่มคำว่า “องคมนตรี” ในสามัญสำนึกแปลว่า ก็ต้องมีบุคคลที่สูงกว่าองคมนตรีจะต้องไปเป็นประธาน ถูกไหม เพราะว่าในคำพูดบอกว่าองคมนตรีและนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธี เพราะฉะนั้นประธานก็ต้องสูงกว่าองคมนตรี อาจจะเป็นผู้แทนพระองค์ก็ได้ อาจจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ ยังกล่าวถึงสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 10 เมษายน หลังจากมีการขออนุญาตไปวันที่ 8 วันศุกร์ วันอาทิตย์ พระราชทานพระบรมราชานุญาตตามหนังสืออ้าง ปรากฏว่า ลงชื่อโดยนายสนอง บูรณะ รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการ ลงวันที่กำกับ 11 เมษายน 2548 เท่ากับว่าหนังสือยังไม่ได้อนุญาตแต่จัดกันไปเรียบร้อยแล้ว

“แล้วก็เอาหนังสือนี้มาแสดง แต่ว่ากัดฟันๆ ลบตรงนี้แล้วเขียนว่า 10 เมษาฯ แต่รองราชเลขาฯ กลัวเหมือนกัน เซ็นแล้วก็เขียนวันที่เล็กๆ ตรงนี้ว่า 11 เมษาฯ” นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวว่า งานบุญแผ่นดินประเทศ ได้มีการประชุมคณะรัฐบาลเพื่อเตรียมการ 4 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานในที่ประชุม ในการประชุมครั้งนั้นมีผู้ร่วมเข้าร่วมประชุม 18 คน คนสำคัญซึ่งเป็นรองประธานไม่เข้าร่วมประชุมอีกคน ชื่อนายวิษณุ เครืองาม ที่ประชุมเห็นสมควรกราบบังคมทูลฯ เชิญเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน

“ประชุมครั้งที่ 2 วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2548 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธานเหมือนกัน งานส่วนกลางจัดที่ท้องสนามหลวง เป็นความร่วมมือขององค์การศาสนา ซึ่งที่ประชุมเห็นสมควรกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน

ครั้งที่ 3 แล้วที่สำคัญมีการพูดว่า ให้มีการทูลฯ เชิญเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยก็จะดี เพื่อให้การดำเนินการไปด้วยดี การประชุมคราวนั้นจึงได้มีวาระพิจารณาคำสั่งแต่งตั้งกรรมการ และมอบหมายภารกิจตามที่กำหนดหลายประการ หนึ่งในภารกิจนั้นคือ “ดำเนินการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จเป็นประธานในพิธี”

“ทีนี้ครั้งที่ 3/2548 วันอังคารที่ 22 มีนาคม รัฐบาลชุดใหม่มาแล้ว เลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ชวลิต ลาออก ไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ประธานในการประชุมครั้งที่ 3 คือ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นคนประชุม เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล รับรองการประชุมทุกอย่างของครั้งที่ 3 ที่ พล.อ.ชวลิต เป็น เสร็จเรียบร้อยแล้ว รายงานการประชุมทั้ง 3 ครั้ง ที่มติที่ประชุมเห็นชอบกราบบังคมทูลฯ เชิญเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นองค์ประธาน ไม่ใช่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นประธาน ในหลักฐานมีหมดนะครับ นายวิษณุ เครืองาม ประธาน ไม่เคยเข้าประชุมทั้ง 3 ครั้ง จะอ้างเหตุผลใดที่ไม่กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นประธาน ไหนล่ะหนังสือเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

“ที่สำคัญที่สุด จดหมายทั้ง 2 ฉบับที่ผมชี้ให้ดูเมื่อกี้ จดหมายฉบับที่คุณวิษณุส่งมาให้ประชาชนอ่านนั้นข้อความมันชัดอยู่แล้วว่าเข้าร่วมพิธี ไม่ใช่เป็นประธาน แล้วจู่ๆ ทำไมนายกฯ ทักษิณ ถึงมาเป็นประธาน มีใครตอบตรงนี้ได้ นายวิษณุตอบให้ฟังหน่อยซิ เพราะอะไร”

“ลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะไม่ได้ต่างกว่าลักษณะของการที่ประกาศออกมาว่าประเทศไทยมีสมเด็จพระสังฆราชฯ เพียงพระองค์เดียว แล้วข้อเท็จจริงมันก็มาพิสูจน์ให้เห็นชัด เห็นหรือยังการโกหกของเขา เผอิ๊ญเผอิญคนเราจะทำบุญจะเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือเชิญพระบรมวงศานุวงศ์มาเป็นประธานในพิธี ในที่อันควร ถ้ายังไม่ได้รับหนังสือตอบรับพวกเราต้องทำอย่างไร ต้องเลื่อนใช่ไหม เลื่อนจนกว่าในพระราชวังตอบรับมาว่ามาแน่นอนถึงจะจัด”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เมื่อรอแล้วมาถึงจะเริ่มจัดกัน ควรจะประชุมแล้วมีมติว่าผ่านออกไปแล้ว รอให้โปรดเกล้าฯ แล้วขอเลื่อนกำหนดไปก่อน โปรดเกล้าฯ มาเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบ สนามหลวงก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ไปไหน พระบรมมหาราชวังก็อยู่ที่นั่น วัดพระแก้วก็ไม่ได้ไปไหน รอซะก่อน

“ทีนี้ที่ไม่รอว่ากันว่า เพราะว่ากำหนดเขาไว้แล้ว วันที่ 10 คือวันแก้เคล็ด นี่เรื่องจริง ก็เลยดึงดันกันมาในวันที่ 10 ให้ได้ ด้วยเหตุผล คุณจะจัดงานในวัดพระแก้ว วันที่ 10 แต่คุณส่งจดหมายไปขอพระบรมราชานุญาต วันที่ 8 น่าเกลียดไหม แล้ววันศุกร์ เจตนามันไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องพวกนี้เขารอกันเป็นเดือน รอกันอย่างน้อย 2-3 อาทิตย์ คุณตอบผมหน่อยซิคุณวิษณุ แล้วที่สำคัญคุณตอบผมหน่อยว่า ท่านรองราชเลขาฯ เวลาท่านเซ็นทำไมท่านลงวันที่ 11 แล้วจดหมายที่เขียนบนหัวกระดาษเขียนลงวันที่ 10 เห็นหรือยัง นี่ไงมันถึงดิ้นรนทุกวิถีทาง”นายสนธิกล่าว

นายสนธิ ชี้ให้เห็นว่า แม้กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เข้าไปทำพิธีในพระอุโบสถวัดพระแก้ว เพราะเคยมีจอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีก็เคยเข้าไปทำพิธี แต่ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ยังอ่อนแอ รัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์ แต่จอมพลป.ก็ไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับพระราชอาสน์ แต่หันหน้าเข้าหาพระแก้วมรกต และใส่เสื้อชุดปกติขาวไม่ใช่ใส่เสื้อผ้าไหมแขนสั้นลำลองแบบ พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น 6 ปี จอมพล ป.ก็ถูกทำรัฐประหาร แล้วต้องลี้ภัยออกออกประเทศแล้วจบชีวิตในต่างแดน ทำให้ได้แต่หวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะจบชีวิตได้สวยงามกว่านั้น

นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวมาของรัฐบาล เป็นยุทธการของทรราช ต้องการแยกพระเจ้าอยู่หัวออกจากประชาชน ไม่ว่าจะให้ พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ รอง ผกก.สืบสวน สภ.อ.เมืองยโสธรแจ้งความจับ และให้ 2 ส.ส.พรรคไทยรักไทยแจ้งความจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และข้อหากบฏ มีสาเหตุเพียงเรื่องเดียวคือต้องการกลั่นแกล้ง ต้องการปิดปากเท่านั้น

นายสนธิ กล่าวว่า รัฐบาลนี้มักพยายามกล่าวหาว่าพยามล้มล้างรัฐบาล แต่รัฐบาลนี้ไม่เคยมองตัวเองว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหน ถ้าไม่ให้ญาติโกโหติกาของตัวเองคอรัปชั่นคงจะไม่มีใครมาฟังอย่างล้นหลามอย่างนี้ เช่นเดียวกันการปิดปากด้วยความพยายามให้ลิ่วล้อทั้งหลายเดินสายแจ้งความจับทั่วประเทศเพื่อต้องการให้สถานบันพระมหากษัตริย์เป็นตรายาง เพื่อที่จะให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ล้อมกรอบพระเจ้าอยู่หัว ซึ่ง 3-4 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้นมาตลอด

“ดังนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ผมถือว่าเป็นไงเป็นกัน ฟ้องอะไรก็ไม่กลัว ทำอะไรก็ไม่กลัว มีแต่ฆ่าให้ตายเท่านั้น ดังนั้นนับจากนี้ไปถ้าผมเป็นอะไรไปให้รู้เอาไว้เลยว่ามาจากรัฐบาลชุดนี้แน่นอน” นายสนธิ ระบุ

ประมวลข่าว ลิ่วล้อเคลื่อนพล-ระดมฟ้อง"สนธิ"หมิ่นพระบรมฯ!





กำลังโหลดความคิดเห็น