“นักวิชาการ - ส.ว.” ออกโรงถล่ม แนวคิดคนอีสานลงใต้ ยึดทฤษฎีการกลืนชาติ ชี้ที่ผ่านมารัฐใช้ยุทธวิธีสะเปะสะปะในการดับไฟใต้ แนะ 3 จังหวัดชายแดนให้เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีอิสระ เชื่อมีเบื้องหลังได้รับไฟเขียวหวังโยนหินถามทาง
วันที่ (10 พ.ย.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวถึงแนวคิดในการอพยพคนอีสานไปอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า การแก้ไขปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลชุดนี้ไม่มียุทธศาสตร์ที่แน่นอน คิดอะไรได้ขึ้นมาก็จะทำอยู่ในลักษณะคิดไม่ออกบอกไม่ถูก เหมือนอับจนหนทาง เนื่องจากในระยะเวลาที่ผ่านมาใส่ชุดปฏิบัติการอะไรลงไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดเหตุการณ์ได้ มีแต่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นยุทธวิธีสะเปะสะปะ ตั้งแต่การยุบปอเนาะ ที่ถือเป็นการทำลายกระบวนการหล่อหลอมทางสังคมของพี่น้องชาวมุสลิม เป็นยุทธวิธีที่ทำให้วัฒนธรรมมุสลิมถูกแทรกซ้อนให้อ่อนตัว เท่ากับเข้าไปแทรกแซงอัตลักษณ์ของเขา
“นโยบายนี้จะใช้ได้แบบวิธีการกลืนชาติ เช่น การเข้าไปยึดครองอย่างจีน ยึดทิเบต แต่การกลืนชาติ ต้องมีวัฒนธรรมที่แข็งกว่า ในขณะที่ในพื้นที่ 3 จังหวัด วัฒนธรรมพุทธอ่อนกว่าวัฒนธรรมอิสลาม ที่เรียกได้ว่า เป็นการต่อต้านกระแสตะวันตกโดยตรง และดำรงอยู่ได้ ในขณะเดียวกัน พุทธกลับถูกกลืนไปกับกระแส เรื่องที่เสนอนี้ถือเป็นเรื่องตลกในทางวิชาการ เพราะมันกระทำไม่ได้ในสังคมมุสลิมที่ยึดมั่นในอัลกุรอาน และถือว่าสังคมมุสลิมเป็นสังคมที่มีเอกภาพสูงสุด มีความเป็นหนึ่งเดียวในนามของพระเจ้า จะเอาวัฒนธรรมที่อ่อนกว่าไปครอบมันไม่เกิดผล เท่ากับเป็นการเข้าไปแทรกแซงเขาทางวัฒนธรรม ถือเป็นสงครามในยุคโลกาภิวัตน์ ที่เรียกว่าเป็นสงครามอัตลักษณ์”
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเสนอยุทธวิธีใหม่อะไร ด้านหนึ่งมันคือวิธีการที่หมดสมัยไปแล้ว และเป็นการนำเสนอชุดรูปแบบโดยไม่ไตร่ตรอง ทำให้พื้นที่เกิดความเครียดมากขึ้น ทั้งที่ในขณะนี้ในพื้นที่ 3 จังหวัดเป็นสงครามอัตลักษณ์ และจะต้องสนับสนุนให้มีการปกครองตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ สิ่งไหนก็ตามที่แปลกปลอมลงไปในชุมชนจะเพิ่มความรุนแรงมาก กลายเป็นลัทธิของการเผชิญหน้ามากขึ้น
“พื้นที่ตรงนี้เป็นเหตุผลทางการเมือง การเอาสิ่งแปลกปลอมลงไปเป็นการเพิ่มการเผชิญหน้า และเพิ่มความรุนแรงที่ไร้รูปแบบ ในขณะนี้คนในพื้นที่รู้สึกว่าที่เป็นอยู่ นอกจากรัฐบาล กองกำลังทหาร ยังจะมาแทรกแซงความเป็นพลเมืองของชุมชนอีก รัฐบาลต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสิ่งที่เสนอออกมาแต่ละครั้งเกิดผลอย่างไร แต่นี่กลายเป็นการสร้างวาทกรรมใหม่ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมคิดว่าในขณะนี้เหลือสิ่งเดียวที่ต้องทำ คือ การยกฐานะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นที่มีอิสระ ตามมาตรา 78 ในรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าให้พัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น”
ด้าน นางมาลีรัตน์ แก้วก่า ส.ว.สกลนคร กล่าวถึงแนวคิดที่กระทรวงมหาดไทยจะให้คนอีสานไปอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า อยากถามรัฐบาลว่าตอนนี้บ้านเมืองยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะไม่ว่าคนอีสานหรือคนใต้ต่างก็รักแผ่นดิน ตนเชื่อว่าคนใต้ก็ไม่อยากทิ้งบ้านเกิดของตัวเอง แต่ที่อยู่ไม่ได้เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ดังนั้น รัฐบาลควรจะสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้เกิดขึ้น มากกว่าที่จะอพยพประชาชนจากถิ่นอื่นไปอยู่ภาคใต้ โดยแนวคิดนี้เคยเกิดขึ้นสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งตอนนี้มันต่างกรรมต่างวาระ จึงไม่อยากให้รัฐบาลมีแนวคิดแบบนี้ เพราะจะทำให้บ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายและเกิดความขัดแย้งกันระหว่างคนในพื้นที่กับคนอีสาน
“วัฒนธรรมคนอีสานกับคนใต้ไม่เหมือนกัน รัฐบาลจะต้องศึกษาเรื่องนี้ให้ละเอียดและการจะคิดทำอะไรควรรอบคอบ และมองว่าที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ได้ เกิดจากรัฐบาลมักใช้วิธีการแบบยุทธศาสตร์ปิดบัง แต่กลับเปิดเผยในส่วนที่เป็นยุทธวิธี ซึ่งความเป็นจริงแล้วควรจะปิดบังยุทธวิธี เพราะถ้าเราเปิดหมดจะทำให้มีการโจมตีตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ดังนั้น ไม่อยากให้รัฐบาลพาคนอีสานไปเป็นเหยื่อมากกว่านี้ และถ้ากระทรวงมหาดไทยมีแนวคิดแบบนี้ก็ขอให้ท่านพาว่านเครือญาติโกโหติกาของท่านนำร่องไปก่อน” ส.ว.สกลนคร กล่าว
ในกรณีที่จะให้ทหารเกณฑ์ที่ปลดประจำการไปบวชเป็นพระ เพื่อจะได้ป้องกันตัวเองนั้น ส.ว.สกลนคร กล่าวว่า การจะบวชเป็นพระไม่ได้หมายความว่าบวชเพื่อไปต่อสู้กับโจรแต่คนที่บวชนั้นเขาต้องศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาและต้องการละวางจากโลกภายนอก ดังนั้น ความคิดแบบนี้ ถือผิดหลักของศาสนาอย่างมหันต์
ส่วน นายวิชัย ครองยุติ ส.ว.อุบลราชธานี เชื่อว่า แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่เป็นความคิดของนายโกสินทร์ แต่น่าจะได้รับไฟเขียวจากผู้มีอำนาจคนในรัฐบาลให้ออกมาพูดเรื่องนี้ เหมือนเป็นการโยนหินถามทางว่าคนอีสานคิดอย่างไร คนใต้รู้สึกอย่างไร แต่ขณะนี้ได้สร้างผลกระทบกระเทือนทางจิตใจให้กับคนอีสานและคนใต้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าคนที่อยู่ในภาคอีสานจะยาก ดีมีจน ฝนแล้งแค่ไหนเราก็มีความยินดีและภาคภูมิใจในการเกิดเป็นคนอีสานที่เป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน และคนอีสานมีความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่มีความคิดที่จะไปแย่งที่ทำมาหากิน หรือไปรับข้อเสนอรัฐบาลที่จะให้ผลประโยชน์ที่ดิน เพราะพื้นดินภาคอีสานกว้างใหญ่ เราสามารถพลิกแม้จะทุกข์ยากทุกข์ใจแค่ไหนก็มีความอดทนในการพลิกฟื้นผืนดินให้มีชีวิตทำมาหากินอยู่ได้
“ไม่เหมาะสมที่จะมาพูดแนวคิดนี้ เพราะยิ่งทำให้คนใต้อาจโกรธแค้นคนอีสาน คิดว่าจะไปแย่งที่ทำมาหากิน และที่สำคัญถือเป็นการดูถูกเหยียดหยามคนอีสานอย่างยิ่ง คิดว่าจะส่งไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่คำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งจะมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน ขอบอกว่าคนอีสาน ไม่ใช่ทาสที่จะคิดส่งให้ไปอยู่ที่ไหน อยากให้เคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เพราะประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกถิ่นที่อยู่ การพูดในสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเกิดความขัดแย้งลามไปถึงคนอีสานแล้ว แทนที่จะทำให้สงบสุข เกิดความสมานฉันท์” นายวิชัย ย้ำ
ส.ว.อุบลราชธานี ยังได้เรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเอาใจใส่ดูแลแก้ไขปัญหาของประชาชนให้มีความเสมอภาคทุกจังหวัด ไม่ใช่จัดสรรงบประมาณให้เฉพาะจังหวัดที่มี ส.ส.พรรคไทยรักไทยเท่านั้น หากจังหวัดใดไม่มี ส.ส.พรรคไทยรักไทย ก็พัฒนาทีหลัง ซึ่งเราไม่เห็นด้วยถือเป็นการเลือกปฏิบัติและสร้างความแยกแตกในสังคม