•• ได้ยินมาจากคนที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าคนที่สนับสนุนส่งเสริมให้ ดำเนินคดีทางกฎหมายต่อสนธิ ลิ้มทองกุล มีอยู่ด้วยกัน 3 คน ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คนหนึ่ง เนวิน ชิดชอบ คนหนึ่ง พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อีกคนหนึ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” และเชื่อว่า วิญญูชนทั้งหลาย ก็คงเป็นเหมือนกันที่จะย่อมไม่แปลกใจสำหรับ 2 คนแรกและ ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดถึง แต่สำหรับคนหลังนี่สิถ้าข้อมูลที่ได้มาเป็นจริงก็ เหลือเชื่อจริง ๆ ที่คนเราจะ เปลี่ยนสีแปรธาตุได้เพียงนี้ เพราะก่อนที่ท่านผู้นี้จะได้ดิบได้ดีมานั่งใน ทำเนียบรัฐบาล ก็ประกอบวิชาชีพ สื่อมวลชน ที่ต้องเผชิญชะตากรรมกับการกระทำของ อำนาจเผด็จการ ระดับ นอนคุก, หนีหัวซุกหัวซุน มาก่อนแล้วเมื่อ ตุลาคม 2519 ก่อนหน้านั้นก็เป็นคนที่ เสนอความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากนโยบายรัฐบาล ฐานะความเป็นอยู่ก็ ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เหตุไฉนเมื่อวันเวลาผ่านเลยอายุมากขึ้นจนแตะเลข 6 จึงต้องมาสยบกับ อำนาจวาสนาและเงินตรา แล้วหลอกตัวเองไปอย่างโก้หรูว่า ทำหน้าที่คิดและฝันอย่างเสรี – ไม่อยู่ภายใต้กรอบของใคร ดูเหมือนว่าความเป็น ผู้ดี ของท่านจะเหลือเพียงแค่รูปแบบตรง ผูกหูกระต่าย – อย่างผู้ดีอังกฤษ แต่เริ่มห่างไกลเนื้อหาของ ผู้ดี, สุภาพบุรุษ ในความหมายที่ ศรีบูรพา – กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโสผู้ล่วงลับเคยสรุปไว้เป็นบรรทัดฐานตั้งแต่เมื่อ ปี 2471 เอาไว้ว่า “...หัวใจของความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ที่การเสียสละ เพราะการเสียสละเป็นบ่อเกิดของคุณความดีร้อยแปดอย่าง หากผู้ใดขาดภูมิธรรมข้อนี้ ผู้นั้นยังไม่เป็นสุภาพบุรุษโดยครบครัน.” หรือถ้าจะอธิบายให้กระชับเข้าก็คือ “...ผู้ใดเกิดมาเป็นสุภาพบุรุษ ผู้นั้นเกิดมาสำหรับคนอื่น.” ไกลลิบลับทีเดียว ศรีบูรพา – กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนถึงความแตกต่างระหว่างรูปแบบกับเนื้อหาไว้ในบทบรรณาธิการ พูดกันฉันท์เพื่อน ว่า “...เรามีความเข้าใจหลายอย่างในคำสุภาพบุรุษ แต่ความเข้าใจนั้น ๆ หาถูกแท้ทั้งหมดไม่ บางคนยกมือชี้ที่บุรุษแต่งกายโอ่โถง ภาคภูมิ แล้วเปล่งวาจาว่านั่นแลคือสุภาพบุรุษ ความจริงเครื่องแต่งกายไม่ได้ช่วยให้คนเป็นสุภาพบุรุษกี่มากน้อย เครื่องแต่งกายเป็นเพียงเครื่องหมายของสุภาพบุรุษเท่านั้น และเครื่องหมายเป็นของที่ทำเทียมหรือปลอมขึ้นได้ง่ายเพราะฉะนั้นผู้ที่ติดเครื่องหมายของสุภาพบุรุษ จึงไม่จำเป็น ต้องเป็นสุภาพบุรุษทุกคนไป.” หูกระต่ายเนี้ยบเนียนอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ – ว่างั้นเหอะ
•• พระเถระชั้นผู้ใหญ่ เทศนาสั่งสอน – หวังให้ลดละเลิกเห็นผิดเป็นชอบ แต่ก็ยัง กิเลสหนา – ไม่รู้สำนึก คนต้นเรื่องอย่าง วิษณุ เครืองาม วานนี้ถึงออกมาฝากคำไปถึง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า “...แต่ผมก็อยากพูดไปให้ถึงท่าน ให้ได้ยินว่าพระดี ๆ ยังมีอยู่เยอะไป.” ขณะที่ตัดสิน ธรรม ในเทศนากัณฑ์วันที่ 27 กันยายน 2548 ด้วย ภาษา ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ พระเถระอาวุโสจากภาคอีสาน น่าสังเวชจริง ๆ เชียว
•• ที่จริงถ้าจะรักษาภาพของความเป็น ผู้ดี, สุภาพบุรุษ ให้เหลือไว้บ้าง วิษณุ เครืองาม ควรจะ นิ่ง, เงียบ และ ไม่ออกความเห็น ใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เอาละจะไม่ยกระดับแห่งความเป็นอริยสงฆ์ของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มาพูดให้เป็นที่ถกเถียงกันแต่จะยกความเป็น คู่กรณี ต้องไม่ลืมว่าพระเถระอาวุโสชั้นผู้ใหญ่แห่งภาคอีสานรูปนี้เสมือนเป็น โจทก์ กล่าวโทษรองนายกรัฐมนตรีเนติบริกรคนนี้ไว้ใน ฎีกา – ฉบับวันที่ 3 มีนาคม 2548 หัวข้อ “...ขอพระราชทานบิณฑบาตถอดสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ออกจากสมณศักดิ์ และไม่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองามให้ดำรงตำแหน่งในการบริหารราชการแผ่นดิน.” เนื้อความส่วนสำคัญมีไว้ดังนี้ “...นายวิษณุ เครืองามใช้อำนาจในตำแหน่งทางการเมือง ด้วยลวดลายชั้นเชิงทางกฎหมาย และอ้างการกระทำของตนว่าเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าเป็นเนืองนิจ นับแต่การแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆ ราช มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2547 ซ้อนกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงสถาปนา ซึ่งเป็นการล่วงเกินพระราชอำนาจและล่วงเกินพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ คือ ฆราวาสแต่งตั้งพระ มีเพียงกรณีเดียวที่พระธรรมวินัยอนุญาต คือ พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งให้พระภิกษุกระทำการใด ๆ ได้.” และอีกตอนหนึ่งที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน “...นายวิษณุ เครืองามได้แจ้งให้อาตมภาพทราบด้วยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงมีความปริวิตกเกี่ยวกับการแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นายวิษณุ เครืองามจึงได้มีหนังสือกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถว่า เรื่องทั้งหมดเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า.” ณ วันนั้นรองนายกรัฐมนตรีเนติบริกรคนนี้ ไม่ได้ตอบโต้หรือชี้แจงต่อสาธารณะเลย วันนี้มาพูดออกไปเช่นนั้นคนที่เขามีความจำดีจะมองว่าท่าน ล้างแค้น, เอาคืน อย่างชนิดไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษนะ บาปหนา ทีเดียว
•• คนใจร้ายหลายคนบอกว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลัง ขาลงสุด ๆ มีแต่คน เตรียมการตีจาก ภายในวงในนั้นแทบไม่เหลือ ปราชญ์, ขุนพล และ กัลยาณมิตร คงเหลือแต่บุคคล 2 ประเภท ขันที กับ ทหารเลว เท่านั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ฟังแล้วยัง ลังเล ที่จะเชื่อนะ
•• เพราะถ้าเหลือแต่ ขันที กับ ทหารเลว จริง ๆ แล้วละก็จะจัด พันศักดิ์ วิญญรัตน์ กับ วิษณุ เครืองาม ไว้ในประเภทไหนกันเล่าในเมื่อสติปัญญาของท่านนั้นระดับ ปราชญ์ ทีเดียวเชียว
•• พูดถึงเรื่อง ขันที ก็ให้นึกถึงพงศาวดารจีนตอนหนึ่ง จักรพรรดิหงหวู่ (หรือที่รู้จักกันในนาม จูหยวนจาง) ผู้สามารถขับไล่มองโกลออกพ้นแผ่นดินฮั่นและเป็นปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนา ราชวงศ์หมิง ที่มีจักรพรรดิสืบต่อกันถึง 16 องค์ รวมระยะเวลา 276 ปี แม้พระองค์จะโหดร้ายทารุณแต่ประวัติศาสตร์ก็ยังจารึกว่า มีพระปรีชาสามารถที่สุดองค์หนึ่งของประวัติศาสตร์จีน พระองค์โปรดฯให้ตั้ง แผ่นโลหะสูง 3 ฟุต มีอักษรจารึกว่า “...ห้ามขันทียุ่งเกี่ยวกับกิจการปกครองบ้านเมือง.” แต่ไม่เป็นไปตามที่พระองค์กำหนดไว้เพราะจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มาไม่เชื่อตามนั้น วันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1644 ในรัชสมัย จักรพรรดิเฉิงจง กองทัพแมนจูบุกเข้ามาถึงกำแพงเมืองเป่ยจิงจนพระองค์ทรงแขวนคอตัวเองสิ้นพระชนม์กับคาคบต้นสนและได้ทรงอักษรเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “...เหล่าเสนาบดีหลอกลวงเรา เรามีแต่ความอบยศอดสูเมื่อต้องไปพบกับบรรพบุรุษ.” นักประวัติศาสตร์บอกว่าทั้งเสนาบดีและขันทีแวดล้อมจักรพรรดิองค์สุดท้ายนี้ ไม่เคยบอกกล่าวปัญหาข้อเท็จจริงใด ๆ นอกวังหลวงแก่พระองค์เลย - จนกระทั่งกองทัพแมนจูบุกเข้ามาถึง ถ้าวันนี้รัฐนาวาสยามประเทศมีแต่ ขันที และ ทหารเลว จริง ๆ ก็นับว่าน่าหวาดเสียวยิ่งนัก
•• อย่าลืมวันนี้ วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2548 เรามีนัดกันที่ หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ ไปร่วมจุดเทียนเล่มน้อยในรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร – ครั้งที่ 4 โดย สนธิ ลิ้มทองกุล – สโรชา พรอุดมศักดิ์ งานเริ่มตั้งแต่ เวลา 15.30 น. โดย ประตูหอประชุมเปิดเวลา 15.00 น. ร่วมรับฟังบทเพลงขับขานจาก คาราวาน + คาราวานเด็ก ส่วนประเด็นที่จะพูดตั้งแต่ เวลา 18.00 น. ยังคงมีหลากหลายตามสถานการณ์ข่าวล่าสุดและที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, กฟผ. รวมทั้งขยายความ ความลับเมื่อปี 2540 ก่อนลดค่าเงินบาท บรรเลงเพลงระหว่างช่วงพักสนทนาโดย ชูเกียรติ ฉาไทสง – ป่อง ต้นกล้า (รังสิต จงญาณสิทโธ) และวงดนตรี จีวัน จะมาเล่นบทเพลงพิเศษที่แต่งขึ้นใหม่ กลียุค ส่วนที่บริเวณ หน้าหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ เที่ยงตรง 12.00 น. ศิลปินต้านเผด็จการ วสันต์ สิทธิเขตต์ ฝากป่าวประกาศ ณ ที่นี้อีกครั้งว่าขอชักชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ศิลปินนักเขียนและนักดนตรีมาร่วมกันสร้างความคึกคักครึกครื้นด้วยการ ร้องเพลง, อ่านบทกวี และ เขียนรูป ในหัวข้อ โฉมหน้าทักษิณ ขอเชิญ
•• ที่จะพูดประเด็น ความลับเมื่อปี 2540 ก่อนลดค่าเงินบาท ก็ไม่ได้ จงใจ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในรอบ 2 สัปดาห์นี้รัฐบาลกำลังเร่ง ออกนโยบายประชานิยมชุดใหม่ โดยอ้างเหตุผลว่ากระบวนการ ปรับหนี้ภาคประชาชน ครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อ เยียวยาผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 (ไม่ใช่เพื่อ เยียวยานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล) ก็เลยจะต้องฉายภาพย้อนกันดูหน่อยว่าในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาเหตุไฉน ประชาชนจนลงเพราะมีหนี้เพิ่มขึ้น ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รวยเอา ๆ ๆ ๆ ได้รับการยกระดับขึ้นมา ลำดับที่ 14 ของโลก เป็นเรื่องบังเอิญหรือเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร
•• และในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศและภาคธุรกิจเกือบทั้งหมด กระทบกระเทือน เหตุไฉน กลุ่มธุรกิจเดียว ที่รอดมาได้และ โตเอา ๆ ๆ ๆ กลับเป็นของนายกรัฐมนตรีคนนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล จะมาอรรถาธิบายอย่างนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งว่า How to be a rich man like THAKSIN แข่งกับรายการ ดร.สุวรรณ (วลัยเสถียร) ชี้ทางรวย เสียหน่อย
•• และล่าสุด อภิชาติ ดำดี จะมาอ่านบทกวีที่เพิ่งเขียนขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ชื่อ รำลึก 32 ปี 14 ตุลา : 2005 ยุคประชาธิปไตยตัดต่อพันธุกรรม ในช่วงเวลา 17.50 – 18.00 น. เนื้อหาอยู่ข้างล่างนี้
•• ย้ำอีกครั้ง “จะปิดหูปิดตาปิดปาก...ปิดได้ / ปิดความอัปยศจังไร...ได้หรือ ? / ปิดความจริง...ด้วยเท็จด้วยโทษฤา / ปิดด้วยมือเปื้อนเลือด...ปากมูมมาม” พบกัน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2548 บ่ายสามเป็นต้นไป หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ พบกันวันนี้บ่ายสามหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์
รำลึก 32 ปี 14 ตุลา
2005 : ยุคประชาธิปไตยตัดต่อพันธุกรรม
ยุคประชาธิปไตยไทยก้าวหน้า
นักข่าวอย่าถามอะไรไม่สร้างสรรค์
ครูอาจารย์อย่ามาติวิจารณ์กัน
ฯพณฯ ทั่นเห็นค่าแค่ “ขาประจำ”
ยุคประชาธิปไตยไทยสรรค์สร้าง
ใครคิดต่างจะถูกด่าว่าตกต่ำ
ใครคิดเหมือนจะได้ดีมีงานทำ
คอยชี้นำทั่วทิศ “คิดตามวัน”
ยุคประชาธิปไตยไทยชูช่วย
ใครเห็นด้วยให้ออกสื่อกระพือลั่น
ใครคัดค้านหาญวิพากษ์ปิดปากมัน
เห็นไหมนั่น... “เมืองไทยรายสัปดาห์”
ยุคประชาธิปไตยไทยเลิศล้น
ปัญญาชนวัยรักนักศึกษา
ฝันเพียงเป็นนักร้องหรือดารา
หรือได้มา “อะคาเดมีแฟนตาเซีย”
ยุคประชาธิปไตยไทยอบอุ่น
เด็กวัยรุ่นก้าวไกลเรื่องได้เสีย
เด็กซิ่งยิ่งลำพองมีกองเชียร์
สนามเคลียร์เพราะคนจัดคือรัฐมนตรี
ยุคประชาธิปไตยไทยเลื่องลือ
พื้นที่สื่อมีแต่เอ็กซ์กับเซ็กซี่
ค่ายเพลงยึดวิทยุและทีวี
ดาวโป๊ดีดังกลบข่าวดาวปัญญา
ยุคประชาธิปไตยไทยกระฉ่อน
แต่องค์กรตรวจสอบกลับสิ้นค่า
ปิดกั้นทางคนดีที่มีมา
ประชาชนยากจักหาที่พึ่งพิง
32 ปี 14 ตุลา
มีเลือกตั้งมีสภาครบทุกสิ่ง
มีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ตั้งใจจริง
แต่ก็ยิ่งกังขา...ประชาธิปไตย
ถ้าเศรษฐกิจถูกครอบงำรวบอำนาจ
ด้วยกลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่
ใช้ระบบทุนนิยมเป็นกลไก
ก็ยึดได้แม้ “มติ(มหา)ชน”
ประชาธิปไตยทางการเมืองเป็นทางผ่าน
เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นเพียงผล
ทุนนิยมอิงแอบอย่างแยบยล
ใช้ดอกผลผองเพื่อนเดือนตุลา
ประชาธิปไตยทางการเมืองจะสัมฤทธิ์
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจต้องก้าวหน้า
หยุดผูกขาด-กระจายทุน-หนุนประชา
แข่งด้วยทุน-กติกาใกล้เคียงกัน
เผด็จการทางเศรษฐกิจคิดครอบงำ
ตัดต่อพันธุกรรมใส่สีสัน
14 ตุลา เป็นเพียงเสียงโจษจัน
จึงกลายพันธุ์...ปรัชญาประชาธิปไตย
ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ผู้พิชิตคือกลุ่มทุนขนาดใหญ่
14 ตุลาจะผันผ่านนานเท่าใด
ก็เป็นเพียงประชาธิปไตยแต่ในนาม...
•• พระเถระชั้นผู้ใหญ่ เทศนาสั่งสอน – หวังให้ลดละเลิกเห็นผิดเป็นชอบ แต่ก็ยัง กิเลสหนา – ไม่รู้สำนึก คนต้นเรื่องอย่าง วิษณุ เครืองาม วานนี้ถึงออกมาฝากคำไปถึง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า “...แต่ผมก็อยากพูดไปให้ถึงท่าน ให้ได้ยินว่าพระดี ๆ ยังมีอยู่เยอะไป.” ขณะที่ตัดสิน ธรรม ในเทศนากัณฑ์วันที่ 27 กันยายน 2548 ด้วย ภาษา ที่เป็นลักษณะเฉพาะของ พระเถระอาวุโสจากภาคอีสาน น่าสังเวชจริง ๆ เชียว
•• ที่จริงถ้าจะรักษาภาพของความเป็น ผู้ดี, สุภาพบุรุษ ให้เหลือไว้บ้าง วิษณุ เครืองาม ควรจะ นิ่ง, เงียบ และ ไม่ออกความเห็น ใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เอาละจะไม่ยกระดับแห่งความเป็นอริยสงฆ์ของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มาพูดให้เป็นที่ถกเถียงกันแต่จะยกความเป็น คู่กรณี ต้องไม่ลืมว่าพระเถระอาวุโสชั้นผู้ใหญ่แห่งภาคอีสานรูปนี้เสมือนเป็น โจทก์ กล่าวโทษรองนายกรัฐมนตรีเนติบริกรคนนี้ไว้ใน ฎีกา – ฉบับวันที่ 3 มีนาคม 2548 หัวข้อ “...ขอพระราชทานบิณฑบาตถอดสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ออกจากสมณศักดิ์ และไม่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองามให้ดำรงตำแหน่งในการบริหารราชการแผ่นดิน.” เนื้อความส่วนสำคัญมีไว้ดังนี้ “...นายวิษณุ เครืองามใช้อำนาจในตำแหน่งทางการเมือง ด้วยลวดลายชั้นเชิงทางกฎหมาย และอ้างการกระทำของตนว่าเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าเป็นเนืองนิจ นับแต่การแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆ ราช มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2547 ซ้อนกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทรงสถาปนา ซึ่งเป็นการล่วงเกินพระราชอำนาจและล่วงเกินพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ คือ ฆราวาสแต่งตั้งพระ มีเพียงกรณีเดียวที่พระธรรมวินัยอนุญาต คือ พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งให้พระภิกษุกระทำการใด ๆ ได้.” และอีกตอนหนึ่งที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน “...นายวิษณุ เครืองามได้แจ้งให้อาตมภาพทราบด้วยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงมีความปริวิตกเกี่ยวกับการแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช นายวิษณุ เครืองามจึงได้มีหนังสือกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถว่า เรื่องทั้งหมดเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า.” ณ วันนั้นรองนายกรัฐมนตรีเนติบริกรคนนี้ ไม่ได้ตอบโต้หรือชี้แจงต่อสาธารณะเลย วันนี้มาพูดออกไปเช่นนั้นคนที่เขามีความจำดีจะมองว่าท่าน ล้างแค้น, เอาคืน อย่างชนิดไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษนะ บาปหนา ทีเดียว
•• คนใจร้ายหลายคนบอกว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลัง ขาลงสุด ๆ มีแต่คน เตรียมการตีจาก ภายในวงในนั้นแทบไม่เหลือ ปราชญ์, ขุนพล และ กัลยาณมิตร คงเหลือแต่บุคคล 2 ประเภท ขันที กับ ทหารเลว เท่านั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ฟังแล้วยัง ลังเล ที่จะเชื่อนะ
•• เพราะถ้าเหลือแต่ ขันที กับ ทหารเลว จริง ๆ แล้วละก็จะจัด พันศักดิ์ วิญญรัตน์ กับ วิษณุ เครืองาม ไว้ในประเภทไหนกันเล่าในเมื่อสติปัญญาของท่านนั้นระดับ ปราชญ์ ทีเดียวเชียว
•• พูดถึงเรื่อง ขันที ก็ให้นึกถึงพงศาวดารจีนตอนหนึ่ง จักรพรรดิหงหวู่ (หรือที่รู้จักกันในนาม จูหยวนจาง) ผู้สามารถขับไล่มองโกลออกพ้นแผ่นดินฮั่นและเป็นปฐมจักรพรรดิผู้สถาปนา ราชวงศ์หมิง ที่มีจักรพรรดิสืบต่อกันถึง 16 องค์ รวมระยะเวลา 276 ปี แม้พระองค์จะโหดร้ายทารุณแต่ประวัติศาสตร์ก็ยังจารึกว่า มีพระปรีชาสามารถที่สุดองค์หนึ่งของประวัติศาสตร์จีน พระองค์โปรดฯให้ตั้ง แผ่นโลหะสูง 3 ฟุต มีอักษรจารึกว่า “...ห้ามขันทียุ่งเกี่ยวกับกิจการปกครองบ้านเมือง.” แต่ไม่เป็นไปตามที่พระองค์กำหนดไว้เพราะจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มาไม่เชื่อตามนั้น วันที่ 25 เมษายน ค.ศ.1644 ในรัชสมัย จักรพรรดิเฉิงจง กองทัพแมนจูบุกเข้ามาถึงกำแพงเมืองเป่ยจิงจนพระองค์ทรงแขวนคอตัวเองสิ้นพระชนม์กับคาคบต้นสนและได้ทรงอักษรเอาไว้ตอนหนึ่งว่า “...เหล่าเสนาบดีหลอกลวงเรา เรามีแต่ความอบยศอดสูเมื่อต้องไปพบกับบรรพบุรุษ.” นักประวัติศาสตร์บอกว่าทั้งเสนาบดีและขันทีแวดล้อมจักรพรรดิองค์สุดท้ายนี้ ไม่เคยบอกกล่าวปัญหาข้อเท็จจริงใด ๆ นอกวังหลวงแก่พระองค์เลย - จนกระทั่งกองทัพแมนจูบุกเข้ามาถึง ถ้าวันนี้รัฐนาวาสยามประเทศมีแต่ ขันที และ ทหารเลว จริง ๆ ก็นับว่าน่าหวาดเสียวยิ่งนัก
•• อย่าลืมวันนี้ วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2548 เรามีนัดกันที่ หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ ไปร่วมจุดเทียนเล่มน้อยในรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร – ครั้งที่ 4 โดย สนธิ ลิ้มทองกุล – สโรชา พรอุดมศักดิ์ งานเริ่มตั้งแต่ เวลา 15.30 น. โดย ประตูหอประชุมเปิดเวลา 15.00 น. ร่วมรับฟังบทเพลงขับขานจาก คาราวาน + คาราวานเด็ก ส่วนประเด็นที่จะพูดตั้งแต่ เวลา 18.00 น. ยังคงมีหลากหลายตามสถานการณ์ข่าวล่าสุดและที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, กฟผ. รวมทั้งขยายความ ความลับเมื่อปี 2540 ก่อนลดค่าเงินบาท บรรเลงเพลงระหว่างช่วงพักสนทนาโดย ชูเกียรติ ฉาไทสง – ป่อง ต้นกล้า (รังสิต จงญาณสิทโธ) และวงดนตรี จีวัน จะมาเล่นบทเพลงพิเศษที่แต่งขึ้นใหม่ กลียุค ส่วนที่บริเวณ หน้าหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ เที่ยงตรง 12.00 น. ศิลปินต้านเผด็จการ วสันต์ สิทธิเขตต์ ฝากป่าวประกาศ ณ ที่นี้อีกครั้งว่าขอชักชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ศิลปินนักเขียนและนักดนตรีมาร่วมกันสร้างความคึกคักครึกครื้นด้วยการ ร้องเพลง, อ่านบทกวี และ เขียนรูป ในหัวข้อ โฉมหน้าทักษิณ ขอเชิญ
•• ที่จะพูดประเด็น ความลับเมื่อปี 2540 ก่อนลดค่าเงินบาท ก็ไม่ได้ จงใจ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในรอบ 2 สัปดาห์นี้รัฐบาลกำลังเร่ง ออกนโยบายประชานิยมชุดใหม่ โดยอ้างเหตุผลว่ากระบวนการ ปรับหนี้ภาคประชาชน ครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อ เยียวยาผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 (ไม่ใช่เพื่อ เยียวยานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล) ก็เลยจะต้องฉายภาพย้อนกันดูหน่อยว่าในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาเหตุไฉน ประชาชนจนลงเพราะมีหนี้เพิ่มขึ้น ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน รวยเอา ๆ ๆ ๆ ได้รับการยกระดับขึ้นมา ลำดับที่ 14 ของโลก เป็นเรื่องบังเอิญหรือเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร
•• และในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศและภาคธุรกิจเกือบทั้งหมด กระทบกระเทือน เหตุไฉน กลุ่มธุรกิจเดียว ที่รอดมาได้และ โตเอา ๆ ๆ ๆ กลับเป็นของนายกรัฐมนตรีคนนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล จะมาอรรถาธิบายอย่างนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งว่า How to be a rich man like THAKSIN แข่งกับรายการ ดร.สุวรรณ (วลัยเสถียร) ชี้ทางรวย เสียหน่อย
•• และล่าสุด อภิชาติ ดำดี จะมาอ่านบทกวีที่เพิ่งเขียนขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ชื่อ รำลึก 32 ปี 14 ตุลา : 2005 ยุคประชาธิปไตยตัดต่อพันธุกรรม ในช่วงเวลา 17.50 – 18.00 น. เนื้อหาอยู่ข้างล่างนี้
•• ย้ำอีกครั้ง “จะปิดหูปิดตาปิดปาก...ปิดได้ / ปิดความอัปยศจังไร...ได้หรือ ? / ปิดความจริง...ด้วยเท็จด้วยโทษฤา / ปิดด้วยมือเปื้อนเลือด...ปากมูมมาม” พบกัน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2548 บ่ายสามเป็นต้นไป หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ พบกันวันนี้บ่ายสามหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์
2005 : ยุคประชาธิปไตยตัดต่อพันธุกรรม
ยุคประชาธิปไตยไทยก้าวหน้า
นักข่าวอย่าถามอะไรไม่สร้างสรรค์
ครูอาจารย์อย่ามาติวิจารณ์กัน
ฯพณฯ ทั่นเห็นค่าแค่ “ขาประจำ”
ยุคประชาธิปไตยไทยสรรค์สร้าง
ใครคิดต่างจะถูกด่าว่าตกต่ำ
ใครคิดเหมือนจะได้ดีมีงานทำ
คอยชี้นำทั่วทิศ “คิดตามวัน”
ยุคประชาธิปไตยไทยชูช่วย
ใครเห็นด้วยให้ออกสื่อกระพือลั่น
ใครคัดค้านหาญวิพากษ์ปิดปากมัน
เห็นไหมนั่น... “เมืองไทยรายสัปดาห์”
ยุคประชาธิปไตยไทยเลิศล้น
ปัญญาชนวัยรักนักศึกษา
ฝันเพียงเป็นนักร้องหรือดารา
หรือได้มา “อะคาเดมีแฟนตาเซีย”
ยุคประชาธิปไตยไทยอบอุ่น
เด็กวัยรุ่นก้าวไกลเรื่องได้เสีย
เด็กซิ่งยิ่งลำพองมีกองเชียร์
สนามเคลียร์เพราะคนจัดคือรัฐมนตรี
ยุคประชาธิปไตยไทยเลื่องลือ
พื้นที่สื่อมีแต่เอ็กซ์กับเซ็กซี่
ค่ายเพลงยึดวิทยุและทีวี
ดาวโป๊ดีดังกลบข่าวดาวปัญญา
ยุคประชาธิปไตยไทยกระฉ่อน
แต่องค์กรตรวจสอบกลับสิ้นค่า
ปิดกั้นทางคนดีที่มีมา
ประชาชนยากจักหาที่พึ่งพิง
32 ปี 14 ตุลา
มีเลือกตั้งมีสภาครบทุกสิ่ง
มีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ตั้งใจจริง
แต่ก็ยิ่งกังขา...ประชาธิปไตย
ถ้าเศรษฐกิจถูกครอบงำรวบอำนาจ
ด้วยกลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่
ใช้ระบบทุนนิยมเป็นกลไก
ก็ยึดได้แม้ “มติ(มหา)ชน”
ประชาธิปไตยทางการเมืองเป็นทางผ่าน
เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นเพียงผล
ทุนนิยมอิงแอบอย่างแยบยล
ใช้ดอกผลผองเพื่อนเดือนตุลา
ประชาธิปไตยทางการเมืองจะสัมฤทธิ์
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจต้องก้าวหน้า
หยุดผูกขาด-กระจายทุน-หนุนประชา
แข่งด้วยทุน-กติกาใกล้เคียงกัน
เผด็จการทางเศรษฐกิจคิดครอบงำ
ตัดต่อพันธุกรรมใส่สีสัน
14 ตุลา เป็นเพียงเสียงโจษจัน
จึงกลายพันธุ์...ปรัชญาประชาธิปไตย
ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
ผู้พิชิตคือกลุ่มทุนขนาดใหญ่
14 ตุลาจะผันผ่านนานเท่าใด
ก็เป็นเพียงประชาธิปไตยแต่ในนาม...
อภิชาติ ดำดี
14 ตุลาคม 2548