“ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์” รองบรรณาธิการอำนวยการ นสพ.มติชนรายวัน ให้สัมภาษณ์กับสภาท่าพระอาทิตย์ (14 ก.ย.48) ลั่นมติชนไม่ใช่ให้ใคร “ไม่มีหัวนอนปลายเท้า” เข้ามาบริหารจัดการได้ ชี้ “ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม” แถลงการณ์ไม่เข้าใจวัฒนธรรมหนังสือพิมพ์ แฉเจตนาแกรมมี่ต้องการฮุบอำนาจมากกว่าจะแค่เข้ามาลงทุนตามข่าว และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้บริหารอย่างที่อ้าง ยันมั่นใจจัดกระบวนทัพสู้ได้ แต่องค์กรตอนนี้ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คลิกที่ไอคอน Audio Clip ด้านบนเพื่อฟังเสียงการสัมภาษณ์
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2548 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร คำนูณ สิทธิสมาน และปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
สำราญ – เราไปคุยกับคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ตำแหน่งที่มติชนก็เป็นรองบรรณาธิการอำนวยการ ของมติชนรายวันนะครับ ตอนนี้อยู่ในสายครับ สวัสดีครับ คุณประสงค์ครับ
คำนูณ – สวัสดีครับ
ปานเทพ – สวัสดีครับ
ประสงค์ – สวัสดีครับ
คำนูณ – เป็นยังไงบ้างครับ
ประสงค์ – เอาเรื่องไหนก่อนล่ะครับ
คำนูณ – หายช็อกหรือยัง
ประสงค์ – คือเมื่อวานนี้อาจจะค่อนข้างเงียบ เมื่อวานนี้ที่ไม่ค่อยสื่อสารกับสังคมนี่นะ เพราะมติชนนี่ต้องพร้อมก่อน หมายถึงอยู่ในภาวะที่เตรียมตัวว่าจะตั้งกระบวนทัพกันยังไง ก็ได้ข้อสรุปภาษาชาวบ้านง่ายๆคือสู้
คำนูณ – พี่ช้างสู้ไหมครับ
ประสงค์ – ก็มีข้อสรุปแล้วไงครับว่าสู้
คำนูณ – สู้กันทุกคน
ประสงค์ – คือเป็นหารือกันในองค์กร และก็เมื่อจัดกระบวนทัพเสร็จก็คือสู้นะครับ
สำราญ – คำว่าสู้ในที่นี้คืออะไรครับ
ประสงค์ – สู้คือ 1. ก็คือในส่วนเท่าที่ผมทราบนะครับ ยังไม่ได้เจอได้คุยกับคุณขรรค์ชัยโดยตรง ก็คือเท่าที่ทราบก็คือคงสู้ไปตามวิถีทางธุรกิจปกตินะครับ งานที่ 1 ก็ชัดเจนนะครับ ส่วนพนักงานในองค์กรนี่ ตอนนี้พูดในนามส่วนตัว ส่วนตัวก็คือว่าพนักงานทั้งหมดนี่ ผมจะบอกทั้งหมดก็คงไม่ได้ เอาว่าพนักงานส่วนใหญ่ที่ผมสัมผัส โดยเฉพาะในกอง บก.นี่เกือบทั้งหมดนี่นะครับ แล้วก็ส่วนอื่นๆที่พอสัมผัสนี่ เกือบทั้งหมดก็ไม่พอใจแน่นอน และก็ค่อนข้างรุนแรงด้วย เพราะเราค่อนข้างเชื่อมั่นนะครับ ในส่วนที่คุณไพบูลย์มาซื้อ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็ตามนี่ เราก็เชื่อมั่นว่าเขานี่ต้องเข้ามา คนที่ลงทุนขนาด 1600 หรือเกือบ 2000 ล้าน ของมติชนนี่ประมาณ 1500-1600 ล้าน เขาก็ซื้อได้ 75% ตามที่เขาระบุไว้ ต้องใช้ประมาณ 1500-1600 ล้านบาท ลงทุนขนาดนี้เจตนาชัดเจนว่าต้องการควบคุมบริษัท ชัดเจนอยู่แล้ว
ปานเทพ – ต้องการครอบครองกิจการ
ประสงค์ – ถ้าต้องการลงทุนไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นส่วนมากถึงขนาดนี้ ฉะนั้นการลงทุนมากขนาดนี้คือต้องการควบคุมบริษัท การควบคุมบริษัทในทางข้อเท็จจริง หรือในทางตำราก็ดี ก็ต้องส่งคนเข้ามาบริหารจัดการ ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งหรือตำแหน่งที่สำคัญแน่นอน ดังนั้นที่บอกว่าไม่ส่งคนมายุ่งเลย เป็นไปไม่ได้ คุณลงทุนขนาด 75% ของหุ้นทั้งหมด ก็คือ 1500-1600 โดยประมาณนี่ คุณไม่ส่งคนหรือครับ ไม่มีนักธุรกิจสติเสียที่ไหนจะทำอย่างนั้นหรอก ที่คุณตั้งเป้าไว้
ปานเทพ – ทีนี้ที่บอกว่าสู้ในเชิงธุรกิจนี่ ต้องอย่าลืมว่ายจีเอ็มเอ็มมีเดียเอง ก็มีเงินในกระเป๋า
ประสงค์ – อันนั้นผมไม่ทราบ เพราะว่า 1. ผมไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมคงไม่สามารถจะพูดอะไร เพราะผมพูดในฐานะตัวผม แต่แจ้งว่าเขาสู้แน่
ปานเทพ – แล้วสู้วิธีอื่นมีไหมครับ นอกจากในเชิงธุรกิจ อาจจะเป็นการกว้านซื้อแล้ว มีวิธีอื่นอีกไหมครับที่บอกว่าสู้
ประสงค์ – เขายังไม่ได้คิด เขายังไม่ได้บอกรายละเอียดนะครับ เพราะว่าจริงๆเขาคงไม่อยากบอกรายละเอียดเป็นวงกว้างมากนัก เพราะว่ามันต้องมีกลยุทธ์ในทางการต่อสู้อยู่
คำนูณ – เอาอย่างนี้ ก็คือว่าในส่วนของธุรกิจก็สู้กันไปตามวิถีทาง
ประสงค์ – ครับ ผมเข้าใจอย่างนั้น
คำนูณ – ในส่วนของพนักงานกองบรรณาธิการ นี่ก็คือสู้ คือยืนหยัดตามแถลงการณ์ คือใครจะเข้ามาบิดเบือนทิศทางข่าว เพื่อประโยชน์ทางใดทางหนึ่งไม่ได้
ประสงค์ – ไม่ได้ครับ แล้วผมดูลักษณะที่เขาแถลงข่าวทั้งหมดเมื่อวานนี้ เขาบอกว่าจะปล่อยให้ทำงานอิสระ ยกเว้นเป็นข่าวเท็จ เป็นข่าวไม่จริงหรือเต้าข่าว นี่แสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย โดยหลักการพื้นฐานนี่นะครับ โดยหลักการพื้นฐานก็คือข้อเท็จจริงแล้วนี่นะครับ ที่ปฏิบัติกันมา 27 ปีของมติชนนี่ ไม่มีเจตนาจะเต้าข่าว หรือจะเขียนข่าวที่ไม่จริงอยู่แล้ว ถ้ามีความผิดพลาดบ้างมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งคุณคำนูณ คุณสำราญก็รู้ดี แต่เขาพูดเหมือนกับว่า เขาจะไม่มีการมาแทรกแซง ถ้าไม่มีการเขียวข่าวเท็จ มาเต้าข่าวอะไรอย่างนี้ แสดงว่าคุณไพบูลย์นี่ไม่เข้าใจอะไรเลย
คำนูณ – ต้องใช้คำว่านั่งเทียนเขียนข่าว
ประสงค์ – ใช่ เขาใช้อย่างนั้น เขาพูดแบบว่า เขาไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหมครับ เขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่แท้จริงของคนหนังสือพิมพ์จริงๆนะครับ แต่เขากลับมาพูดถึงว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหลวไหลนะครับ ในการใช้วิธีหรือคำพูดแบบนั้น
สำราญ – คุณประสงค์คิดว่าการสู้ครั้งนี้ ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้าน ใช้เวลานานไหมกว่าจะรู้หัวรู้ก้อย
ประสงค์ – ตอบลำบาก เพราะว่าถ้าพูดในทางธุรกิจ เท่าที่ผมศึกษาขั้นตอนของกฎหมายบริษัทมหาชนนี่นะครับ แล้วก็ตลาดหลักทรัพย์ มันก็มีขั้นตอนมันพอสมควร คือกว่าจะทำ Tender offer ก็ต้องไม่น้อยกว่า 25 วันแต่ไม่เกิน 45 วัน นี่ตามกฎของ กลต.นะครับที่ผมอ่านดู ใช่ไหมครับ แล้วสมมุติถ้าหักดิบกันเลย กว่าจะยื่นให้เปิดประชุมวิสามัญ ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ มันไม่ใช่ง่ายๆ แล้วจะต้องใช้เสียง พูดในรายละเอียดของกฎหมายแล้ว มันมีขั้นตอนมากพอสมควรที่จะต่อสู้กัน ถ้าเผื่อว่าเอาตามกฎหมายแท้ๆนะ แต่ผมว่าเขามีอะไรอื่นๆซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาทำยังไง เพราะเขาก็คงไม่อยากจะเปิดเผยอะไรมากอยู่แล้ว
คำนูณ – ก็เรียกว่างานนี้เป็นศึกยืดเยื้อนะ
ประสงค์ – ถ้าดูตามกฎหมายก็ยืดเยื้อ ถ้าดูตามขั้นตอนกฎหมายนะ
คำนูณ – ทีนี้คุณประสงค์ในฐานะที่ทำข่าวเจาะมามาก โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจอะไรนี่ จะทำข่าวเจาะไหม ว่าคุณอากู๋นี่เข้ามาตีท้ายบ้านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับนี่ยังไงบ้าง
ปานเทพ – คือทำเรื่องอื่นมาเยอะแล้ว ทำเรื่องมติชนบ้าง
ประสงค์ – ยังไม่ได้คิดครับ ยังไงสิ่งที่เราต้องคิดก่อนก็คือว่า จะทำยังไงให้พนักงานโดยรวม นักข่าวโดยรวมนี่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้เสียก่อน ให้ชัดเจน คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันความรู้สึกมันมีอยู่แล้ว แต่หมายถึงว่าต้องก้าวไปพร้อมๆกัน อันหนึ่งอันเดียวกันในความรู้สึกนี่เป็นอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจะให้มันก้าวไปพร้อมๆกันว่า สื่อสิ่งพิมพ์ หรือธุรกิจหนังสือพิมพ์นี่ ผมอยากใช้คำว่าหนังสือพิมพ์ดีกว่า ไม่อยากใช้คำว่าธุรกิจ มันไม่ใช่อยู่ดีๆที่ใครก็ไม่มีหัวนอนปลายตีนนี่ พูดถึงหนังสือพิมพ์จริงๆนะครับ ไม่ใช่พูดถึงหนังสือพิมพ์ที่แฝงการเมือง ที่ทำโดยวิชาชีพที่ผมรักมา ทำมาตลอดนี่ ผมว่าเรียนนิเทศศาสตร์ของแท้ จบหนังสือพิมพ์มานะครับ ใครแอบอ้างผมไม่รู้ จะทำอย่างนั้นนี่นะครับ ต้องให้รู้ว่าไม่ใช่ให้คนไม่มีหัวนอนปลายตีน อยู่ดีๆจะมาคิดจะมาทำนี่
คำนูณ – เอาเงินมาฟาดหัว
ประสงค์ – ครับ
คำนูณ – คุณประสงค์ถามจริงๆเถอะ เราประเมินเพื่อนร่วมงานเราไหม เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นน้าหรืออะไรทั้งหลายแหล่
ประสงค์ – เพื่อนร่วมงานที่บริษัทหรือว่าอะไรครับ เดี๋ยวสับสน
คำนูณ – คือในบริษัทนี่ เราอาจจะสู้มาเป็นของจริงมา แต่ว่ามันกรำศึกมาหลายศึกแล้ว มันก็ล้าเหนื่อยแล้ว ตอนเช้าก็ต้องฝ่าฝนมาส่งลูก แล้วต้องมาประชุมจะสู้อีกอะไรอีก
ประสงค์ – ก็ไม่ถึงขนาดกับประชุมเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ถึงขนาดต้องไปรายงานนี่ เราก็ทำไปตามปกติ จะเห็นว่างานที่เราออกมานี่ ผมไม่ทราบว่าคนภายนอกจะคิดยังไง แต่ผมก็คิดว่าก็สมบูรณ์พอสมควร คือเราไม่ตื่นตระหนก ตอนนี้คือพอหลังจากที่ได้มานั่งคุย คิดว่าคนเขาไม่ตื่นตระหนก งานของเราก็ยังออกมาเป็นปกติ ทุกคนมีหน้าอะไรก็ทำไปนั่นก็เรื่องนึง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาครุ่นคิด จนไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่น ก็ทำชีวิตไปตามปกติไป ขณะเดียวกันเรามีเวลาก็นั่งหารือไปเป็นระยะๆ จะทำยังไงอะไรต่างๆกัน อะไรอย่างนี้ คือแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน อย่างที่บอกว่าให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้มันก้าวไปพร้อมๆกัน
คำนูณ – มันจะมีโอกาสไหมครับ ที่จะมีคนจำนวนหนึ่งนี่เห็นดีเห็นงามไปทางนั้น
ประสงค์ – จำนวนหนึ่งนี่หมายถึงยังไง
คำนูณ – ในกอง บก. เพราะว่าเราก็ต้องยอมรับว่า คุณไพบูลย์นี่ก็มีเพื่อนฝูงเหมือนกันในระดับหนึ่ง
ประสงค์ – อันนั้นคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ เอาเท่าที่ว่าผมสัมผัสและผมพูดคุยด้วยนี่
สำราญ – ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
ประสงค์ – ไม่เห็นด้วย แต่ถ้า 100% นี่เราไปตอบแทนคนอื่นหมดไม่ได้
สำราญ – คุณประสงค์ เดี๋ยวนี้คุณขรรค์ชัย กลุ่มคุณขรรค์ชัยก็ถือว่าเหลืออยู่ 24% นะครับ ทีนี้ถ้าเราดูจำนวนเปอร์เซ็นต์หุ้นนะครับ
ประสงค์ – หุ้นเฉพาะคุณขรรค์ชัยนี่ 24%
สำราญ – ทีนี้จริงๆถ้าซื้อหุ้นแข่งนี่ มันมีความเป็นไปได้ไหม
ประสงค์ – ผมไม่ใช่นักธุรกิจนี่ เราไม่รู้ว่าแต่ละคนเขาก็ต้องมีเครือข่าย มีพันธมิตรกันอยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครมีสตางค์เท่าไหร่ เขาไม่ได้มาบอกผมเสียด้วย
สำราญ – ก็คือดูโดยสัดส่วนมันยังต่างกันไม่มากนะ อาจารย์ปานเทพ
ปานเทพ – ยังมีเวลาครับ
สำราญ – ถ้าเป็นก้อนๆเอียงมาทางเรา หรือล็อกไว้เขาไม่ไปขายกับอากู๋นะ
ประสงค์ – เขาถึงได้บอกเรื่องพวกนี้มันถึงจะต้องเก็บเป็นกลยุทธ์ไว้ไงครับ เขาถึงไม่บอกในวงกว้าง
สำราญ – ถามสุดท้ายนิดเดียวนะครับ มีแว้บๆบ้างไหมในใจว่าถ้าสู้ไม่ได้ก็จะต้องแยกวง
ประสงค์ – ผมว่าที่เราคิดอย่างนั้นนี่ ที่เราคิดอย่างที่ว่านี่ ที่เห็นบางฉบับเขาพูดกัน เหลือแค่โครง เหลือแต่เก้าอี้นี่ ที่เราทำพูดกันอย่างนั้น มันเป็นประวัติศาสตร์นั่นคือรุ่นเก่าๆเขาทำมาอย่างนี้ ใช่ไหมครับ มันไม่มีทางอื่นก็มี 2 ทาง จริงๆพูดโดยทั่วไปไม่ต้องเคสของมติชนหรอก ซื้อหุ้นสู้ไม่ได้ก็ต้องทิ้ง ถ้ายังจะคิดทำต่อไปนะครับ มันก็มีหลัก 2 ทางจะไปไหน ไม่มีทางอื่น ถ้าบอกอย่างที่เนชั่นเขียนเมื่อเช้านี้บอกว่า จะต้องยอม ไม่เปลี่ยนแปลง คือยอมแล้วก็ให้เป็นสัดส่วนกรรมการทำร่วมกันนี่นะครับ มันก็ขัดอยู่แล้ว มันขัดกับข้อเท็จจริงอยู่แล้วที่ผมเรียนตอนต้น คุณยอมลงทุน 1600-1700 ล้าน เพื่อครอบครองหุ้นถึง 75% นี่ เจตนาชัดเจนก็คือคุณต้องการควบคุมบริษัทในทางธุรกิจอยู่แล้ว แล้วทางธุรกิจวิธีคิดของนักธุรกิจบางกลุ่มนี่นะครับ ก็ไม่อยากจะไปทะเลาะกับนักการเมืองผู้มีอำนาจบางท่านอยู่แล้ว แล้วมันเป็นไปได้ในทางข้อเท็จจริง
คำนูณ – ก็เอาเป็นว่าในชั้นต้นนี่คือเราสู้ พอสู้ไปแล้วจะได้ผลยังไงก็ประเมินกันอีกทีหนึ่ง
ประสงค์ – ผมว่าเขาคงมั่นใจพอสมควรนะ เท่าที่ฝ่ายบริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เขาสื่อสารกับพนักงาน คือว่าจะทำอะไรก็ต้องมั่นใจพอสมควร
สำราญ – มั่นใจว่าสู้ได้ว่าอย่างนั้นเถอะ
ประสงค์ - ครับ
ปานเทพ – มีท่านผู้ชมฝากถามว่า มีเรื่องของการถอดบางคอลัมน์ในมติชน จริงหรือเปล่าครับ
ประสงค์ – อันนี้ผมว่ายังไม่ถึงเวลา ผมเองนี่ ผมบอกตรงๆผมไม่ได้คุมเนื้อหาของหนังสือพิมพ์สัปดาห์ หรือว่าของรายวันโดยตรง ก็เลยยังไม่ทราบว่าเป็นยังไง ผมว่าจริงๆให้คนอ่านนี่ดูเอาเอง ว่าถึงเวลาแล้วเป็นยังไง
สำราญ – เอาล่ะครับ ก็เป็นกำลังใจ และก็จะทบทวนเป็นระยะๆ คุณประสงค์ครับ ขอบพระคุณมากครับ เช้านี้ครับ สวัสดีครับ
ประสงค์ – ครับ สวัสดีครับ
คลิกที่ไอคอน Audio Clip ด้านบนเพื่อฟังเสียงการสัมภาษณ์
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 14 กันยายน 2548 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร คำนูณ สิทธิสมาน และปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สำราญ – เราไปคุยกับคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ตำแหน่งที่มติชนก็เป็นรองบรรณาธิการอำนวยการ ของมติชนรายวันนะครับ ตอนนี้อยู่ในสายครับ สวัสดีครับ คุณประสงค์ครับ
คำนูณ – สวัสดีครับ
ปานเทพ – สวัสดีครับ
ประสงค์ – สวัสดีครับ
คำนูณ – เป็นยังไงบ้างครับ
ประสงค์ – เอาเรื่องไหนก่อนล่ะครับ
คำนูณ – หายช็อกหรือยัง
ประสงค์ – คือเมื่อวานนี้อาจจะค่อนข้างเงียบ เมื่อวานนี้ที่ไม่ค่อยสื่อสารกับสังคมนี่นะ เพราะมติชนนี่ต้องพร้อมก่อน หมายถึงอยู่ในภาวะที่เตรียมตัวว่าจะตั้งกระบวนทัพกันยังไง ก็ได้ข้อสรุปภาษาชาวบ้านง่ายๆคือสู้
คำนูณ – พี่ช้างสู้ไหมครับ
ประสงค์ – ก็มีข้อสรุปแล้วไงครับว่าสู้
คำนูณ – สู้กันทุกคน
ประสงค์ – คือเป็นหารือกันในองค์กร และก็เมื่อจัดกระบวนทัพเสร็จก็คือสู้นะครับ
สำราญ – คำว่าสู้ในที่นี้คืออะไรครับ
ประสงค์ – สู้คือ 1. ก็คือในส่วนเท่าที่ผมทราบนะครับ ยังไม่ได้เจอได้คุยกับคุณขรรค์ชัยโดยตรง ก็คือเท่าที่ทราบก็คือคงสู้ไปตามวิถีทางธุรกิจปกตินะครับ งานที่ 1 ก็ชัดเจนนะครับ ส่วนพนักงานในองค์กรนี่ ตอนนี้พูดในนามส่วนตัว ส่วนตัวก็คือว่าพนักงานทั้งหมดนี่ ผมจะบอกทั้งหมดก็คงไม่ได้ เอาว่าพนักงานส่วนใหญ่ที่ผมสัมผัส โดยเฉพาะในกอง บก.นี่เกือบทั้งหมดนี่นะครับ แล้วก็ส่วนอื่นๆที่พอสัมผัสนี่ เกือบทั้งหมดก็ไม่พอใจแน่นอน และก็ค่อนข้างรุนแรงด้วย เพราะเราค่อนข้างเชื่อมั่นนะครับ ในส่วนที่คุณไพบูลย์มาซื้อ ไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็ตามนี่ เราก็เชื่อมั่นว่าเขานี่ต้องเข้ามา คนที่ลงทุนขนาด 1600 หรือเกือบ 2000 ล้าน ของมติชนนี่ประมาณ 1500-1600 ล้าน เขาก็ซื้อได้ 75% ตามที่เขาระบุไว้ ต้องใช้ประมาณ 1500-1600 ล้านบาท ลงทุนขนาดนี้เจตนาชัดเจนว่าต้องการควบคุมบริษัท ชัดเจนอยู่แล้ว
ปานเทพ – ต้องการครอบครองกิจการ
ประสงค์ – ถ้าต้องการลงทุนไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นส่วนมากถึงขนาดนี้ ฉะนั้นการลงทุนมากขนาดนี้คือต้องการควบคุมบริษัท การควบคุมบริษัทในทางข้อเท็จจริง หรือในทางตำราก็ดี ก็ต้องส่งคนเข้ามาบริหารจัดการ ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งหรือตำแหน่งที่สำคัญแน่นอน ดังนั้นที่บอกว่าไม่ส่งคนมายุ่งเลย เป็นไปไม่ได้ คุณลงทุนขนาด 75% ของหุ้นทั้งหมด ก็คือ 1500-1600 โดยประมาณนี่ คุณไม่ส่งคนหรือครับ ไม่มีนักธุรกิจสติเสียที่ไหนจะทำอย่างนั้นหรอก ที่คุณตั้งเป้าไว้
ปานเทพ – ทีนี้ที่บอกว่าสู้ในเชิงธุรกิจนี่ ต้องอย่าลืมว่ายจีเอ็มเอ็มมีเดียเอง ก็มีเงินในกระเป๋า
ประสงค์ – อันนั้นผมไม่ทราบ เพราะว่า 1. ผมไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ผมคงไม่สามารถจะพูดอะไร เพราะผมพูดในฐานะตัวผม แต่แจ้งว่าเขาสู้แน่
ปานเทพ – แล้วสู้วิธีอื่นมีไหมครับ นอกจากในเชิงธุรกิจ อาจจะเป็นการกว้านซื้อแล้ว มีวิธีอื่นอีกไหมครับที่บอกว่าสู้
ประสงค์ – เขายังไม่ได้คิด เขายังไม่ได้บอกรายละเอียดนะครับ เพราะว่าจริงๆเขาคงไม่อยากบอกรายละเอียดเป็นวงกว้างมากนัก เพราะว่ามันต้องมีกลยุทธ์ในทางการต่อสู้อยู่
คำนูณ – เอาอย่างนี้ ก็คือว่าในส่วนของธุรกิจก็สู้กันไปตามวิถีทาง
ประสงค์ – ครับ ผมเข้าใจอย่างนั้น
คำนูณ – ในส่วนของพนักงานกองบรรณาธิการ นี่ก็คือสู้ คือยืนหยัดตามแถลงการณ์ คือใครจะเข้ามาบิดเบือนทิศทางข่าว เพื่อประโยชน์ทางใดทางหนึ่งไม่ได้
ประสงค์ – ไม่ได้ครับ แล้วผมดูลักษณะที่เขาแถลงข่าวทั้งหมดเมื่อวานนี้ เขาบอกว่าจะปล่อยให้ทำงานอิสระ ยกเว้นเป็นข่าวเท็จ เป็นข่าวไม่จริงหรือเต้าข่าว นี่แสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่เข้าใจอะไรเลย โดยหลักการพื้นฐานนี่นะครับ โดยหลักการพื้นฐานก็คือข้อเท็จจริงแล้วนี่นะครับ ที่ปฏิบัติกันมา 27 ปีของมติชนนี่ ไม่มีเจตนาจะเต้าข่าว หรือจะเขียนข่าวที่ไม่จริงอยู่แล้ว ถ้ามีความผิดพลาดบ้างมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งคุณคำนูณ คุณสำราญก็รู้ดี แต่เขาพูดเหมือนกับว่า เขาจะไม่มีการมาแทรกแซง ถ้าไม่มีการเขียวข่าวเท็จ มาเต้าข่าวอะไรอย่างนี้ แสดงว่าคุณไพบูลย์นี่ไม่เข้าใจอะไรเลย
คำนูณ – ต้องใช้คำว่านั่งเทียนเขียนข่าว
ประสงค์ – ใช่ เขาใช้อย่างนั้น เขาพูดแบบว่า เขาไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหมครับ เขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมที่แท้จริงของคนหนังสือพิมพ์จริงๆนะครับ แต่เขากลับมาพูดถึงว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหลวไหลนะครับ ในการใช้วิธีหรือคำพูดแบบนั้น
สำราญ – คุณประสงค์คิดว่าการสู้ครั้งนี้ ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้าน ใช้เวลานานไหมกว่าจะรู้หัวรู้ก้อย
ประสงค์ – ตอบลำบาก เพราะว่าถ้าพูดในทางธุรกิจ เท่าที่ผมศึกษาขั้นตอนของกฎหมายบริษัทมหาชนนี่นะครับ แล้วก็ตลาดหลักทรัพย์ มันก็มีขั้นตอนมันพอสมควร คือกว่าจะทำ Tender offer ก็ต้องไม่น้อยกว่า 25 วันแต่ไม่เกิน 45 วัน นี่ตามกฎของ กลต.นะครับที่ผมอ่านดู ใช่ไหมครับ แล้วสมมุติถ้าหักดิบกันเลย กว่าจะยื่นให้เปิดประชุมวิสามัญ ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ มันไม่ใช่ง่ายๆ แล้วจะต้องใช้เสียง พูดในรายละเอียดของกฎหมายแล้ว มันมีขั้นตอนมากพอสมควรที่จะต่อสู้กัน ถ้าเผื่อว่าเอาตามกฎหมายแท้ๆนะ แต่ผมว่าเขามีอะไรอื่นๆซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาทำยังไง เพราะเขาก็คงไม่อยากจะเปิดเผยอะไรมากอยู่แล้ว
คำนูณ – ก็เรียกว่างานนี้เป็นศึกยืดเยื้อนะ
ประสงค์ – ถ้าดูตามกฎหมายก็ยืดเยื้อ ถ้าดูตามขั้นตอนกฎหมายนะ
คำนูณ – ทีนี้คุณประสงค์ในฐานะที่ทำข่าวเจาะมามาก โดยเฉพาะในเชิงธุรกิจอะไรนี่ จะทำข่าวเจาะไหม ว่าคุณอากู๋นี่เข้ามาตีท้ายบ้านหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับนี่ยังไงบ้าง
ปานเทพ – คือทำเรื่องอื่นมาเยอะแล้ว ทำเรื่องมติชนบ้าง
ประสงค์ – ยังไม่ได้คิดครับ ยังไงสิ่งที่เราต้องคิดก่อนก็คือว่า จะทำยังไงให้พนักงานโดยรวม นักข่าวโดยรวมนี่ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้ได้เสียก่อน ให้ชัดเจน คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันความรู้สึกมันมีอยู่แล้ว แต่หมายถึงว่าต้องก้าวไปพร้อมๆกัน อันหนึ่งอันเดียวกันในความรู้สึกนี่เป็นอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรจะให้มันก้าวไปพร้อมๆกันว่า สื่อสิ่งพิมพ์ หรือธุรกิจหนังสือพิมพ์นี่ ผมอยากใช้คำว่าหนังสือพิมพ์ดีกว่า ไม่อยากใช้คำว่าธุรกิจ มันไม่ใช่อยู่ดีๆที่ใครก็ไม่มีหัวนอนปลายตีนนี่ พูดถึงหนังสือพิมพ์จริงๆนะครับ ไม่ใช่พูดถึงหนังสือพิมพ์ที่แฝงการเมือง ที่ทำโดยวิชาชีพที่ผมรักมา ทำมาตลอดนี่ ผมว่าเรียนนิเทศศาสตร์ของแท้ จบหนังสือพิมพ์มานะครับ ใครแอบอ้างผมไม่รู้ จะทำอย่างนั้นนี่นะครับ ต้องให้รู้ว่าไม่ใช่ให้คนไม่มีหัวนอนปลายตีน อยู่ดีๆจะมาคิดจะมาทำนี่
คำนูณ – เอาเงินมาฟาดหัว
ประสงค์ – ครับ
คำนูณ – คุณประสงค์ถามจริงๆเถอะ เราประเมินเพื่อนร่วมงานเราไหม เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง รุ่นน้าหรืออะไรทั้งหลายแหล่
ประสงค์ – เพื่อนร่วมงานที่บริษัทหรือว่าอะไรครับ เดี๋ยวสับสน
คำนูณ – คือในบริษัทนี่ เราอาจจะสู้มาเป็นของจริงมา แต่ว่ามันกรำศึกมาหลายศึกแล้ว มันก็ล้าเหนื่อยแล้ว ตอนเช้าก็ต้องฝ่าฝนมาส่งลูก แล้วต้องมาประชุมจะสู้อีกอะไรอีก
ประสงค์ – ก็ไม่ถึงขนาดกับประชุมเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ถึงขนาดต้องไปรายงานนี่ เราก็ทำไปตามปกติ จะเห็นว่างานที่เราออกมานี่ ผมไม่ทราบว่าคนภายนอกจะคิดยังไง แต่ผมก็คิดว่าก็สมบูรณ์พอสมควร คือเราไม่ตื่นตระหนก ตอนนี้คือพอหลังจากที่ได้มานั่งคุย คิดว่าคนเขาไม่ตื่นตระหนก งานของเราก็ยังออกมาเป็นปกติ ทุกคนมีหน้าอะไรก็ทำไปนั่นก็เรื่องนึง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมาครุ่นคิด จนไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่น ก็ทำชีวิตไปตามปกติไป ขณะเดียวกันเรามีเวลาก็นั่งหารือไปเป็นระยะๆ จะทำยังไงอะไรต่างๆกัน อะไรอย่างนี้ คือแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน อย่างที่บอกว่าให้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้มันก้าวไปพร้อมๆกัน
คำนูณ – มันจะมีโอกาสไหมครับ ที่จะมีคนจำนวนหนึ่งนี่เห็นดีเห็นงามไปทางนั้น
ประสงค์ – จำนวนหนึ่งนี่หมายถึงยังไง
คำนูณ – ในกอง บก. เพราะว่าเราก็ต้องยอมรับว่า คุณไพบูลย์นี่ก็มีเพื่อนฝูงเหมือนกันในระดับหนึ่ง
ประสงค์ – อันนั้นคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ เอาเท่าที่ว่าผมสัมผัสและผมพูดคุยด้วยนี่
สำราญ – ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
ประสงค์ – ไม่เห็นด้วย แต่ถ้า 100% นี่เราไปตอบแทนคนอื่นหมดไม่ได้
สำราญ – คุณประสงค์ เดี๋ยวนี้คุณขรรค์ชัย กลุ่มคุณขรรค์ชัยก็ถือว่าเหลืออยู่ 24% นะครับ ทีนี้ถ้าเราดูจำนวนเปอร์เซ็นต์หุ้นนะครับ
ประสงค์ – หุ้นเฉพาะคุณขรรค์ชัยนี่ 24%
สำราญ – ทีนี้จริงๆถ้าซื้อหุ้นแข่งนี่ มันมีความเป็นไปได้ไหม
ประสงค์ – ผมไม่ใช่นักธุรกิจนี่ เราไม่รู้ว่าแต่ละคนเขาก็ต้องมีเครือข่าย มีพันธมิตรกันอยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครมีสตางค์เท่าไหร่ เขาไม่ได้มาบอกผมเสียด้วย
สำราญ – ก็คือดูโดยสัดส่วนมันยังต่างกันไม่มากนะ อาจารย์ปานเทพ
ปานเทพ – ยังมีเวลาครับ
สำราญ – ถ้าเป็นก้อนๆเอียงมาทางเรา หรือล็อกไว้เขาไม่ไปขายกับอากู๋นะ
ประสงค์ – เขาถึงได้บอกเรื่องพวกนี้มันถึงจะต้องเก็บเป็นกลยุทธ์ไว้ไงครับ เขาถึงไม่บอกในวงกว้าง
สำราญ – ถามสุดท้ายนิดเดียวนะครับ มีแว้บๆบ้างไหมในใจว่าถ้าสู้ไม่ได้ก็จะต้องแยกวง
ประสงค์ – ผมว่าที่เราคิดอย่างนั้นนี่ ที่เราคิดอย่างที่ว่านี่ ที่เห็นบางฉบับเขาพูดกัน เหลือแค่โครง เหลือแต่เก้าอี้นี่ ที่เราทำพูดกันอย่างนั้น มันเป็นประวัติศาสตร์นั่นคือรุ่นเก่าๆเขาทำมาอย่างนี้ ใช่ไหมครับ มันไม่มีทางอื่นก็มี 2 ทาง จริงๆพูดโดยทั่วไปไม่ต้องเคสของมติชนหรอก ซื้อหุ้นสู้ไม่ได้ก็ต้องทิ้ง ถ้ายังจะคิดทำต่อไปนะครับ มันก็มีหลัก 2 ทางจะไปไหน ไม่มีทางอื่น ถ้าบอกอย่างที่เนชั่นเขียนเมื่อเช้านี้บอกว่า จะต้องยอม ไม่เปลี่ยนแปลง คือยอมแล้วก็ให้เป็นสัดส่วนกรรมการทำร่วมกันนี่นะครับ มันก็ขัดอยู่แล้ว มันขัดกับข้อเท็จจริงอยู่แล้วที่ผมเรียนตอนต้น คุณยอมลงทุน 1600-1700 ล้าน เพื่อครอบครองหุ้นถึง 75% นี่ เจตนาชัดเจนก็คือคุณต้องการควบคุมบริษัทในทางธุรกิจอยู่แล้ว แล้วทางธุรกิจวิธีคิดของนักธุรกิจบางกลุ่มนี่นะครับ ก็ไม่อยากจะไปทะเลาะกับนักการเมืองผู้มีอำนาจบางท่านอยู่แล้ว แล้วมันเป็นไปได้ในทางข้อเท็จจริง
คำนูณ – ก็เอาเป็นว่าในชั้นต้นนี่คือเราสู้ พอสู้ไปแล้วจะได้ผลยังไงก็ประเมินกันอีกทีหนึ่ง
ประสงค์ – ผมว่าเขาคงมั่นใจพอสมควรนะ เท่าที่ฝ่ายบริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เขาสื่อสารกับพนักงาน คือว่าจะทำอะไรก็ต้องมั่นใจพอสมควร
สำราญ – มั่นใจว่าสู้ได้ว่าอย่างนั้นเถอะ
ประสงค์ - ครับ
ปานเทพ – มีท่านผู้ชมฝากถามว่า มีเรื่องของการถอดบางคอลัมน์ในมติชน จริงหรือเปล่าครับ
ประสงค์ – อันนี้ผมว่ายังไม่ถึงเวลา ผมเองนี่ ผมบอกตรงๆผมไม่ได้คุมเนื้อหาของหนังสือพิมพ์สัปดาห์ หรือว่าของรายวันโดยตรง ก็เลยยังไม่ทราบว่าเป็นยังไง ผมว่าจริงๆให้คนอ่านนี่ดูเอาเอง ว่าถึงเวลาแล้วเป็นยังไง
สำราญ – เอาล่ะครับ ก็เป็นกำลังใจ และก็จะทบทวนเป็นระยะๆ คุณประสงค์ครับ ขอบพระคุณมากครับ เช้านี้ครับ สวัสดีครับ
ประสงค์ – ครับ สวัสดีครับ