•• ได้ฟังวาทะแก้ตัว “...ความเหมาะสมไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก.” และได้เห็นการออกมา สาบานต่อหน้ารูปพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ของ พล.ต.ท.ธวัชชัย จุลสุคนธ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะ ประธานคณะกรรมการกลั่นกรองอุทธรณ์เรื่องสถานบริการ ที่ลงนามอนุมัติให้ เปิดสถานอาบอบนวดหน้าโรงเรียน ไปเมื่อ วันที่ 2 กันยายน 2548 ก่อนหน้าเกษียณอายุราชการเพียง 28 วัน แล้วก็ไม่แปลกใจ “เซี่ยงเส้าหลง” อยากจะทบทวนความทรงจำให้จำกันแม่น ๆ ไปนาน ๆ ว่านายตำรวจคนนี้เป็น เพื่อนร่วมรุ่นนรต. 20 ของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนดังที่สุดและรวยที่สุด พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ สมัยเมื่อ ปี 2544 – 2545 ท่านได้ดิบได้ดีในตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รับผิดชอบ พื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ที่รวม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านเป็น ต้นเรื่อง ที่เสนอรายงานขึ้นมายังหน่วยเหนือว่าสถานการณ์ที่นั่น สงบเรียบร้อย ในระดับที่ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่, ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบพิเศษในการรักษาความสงบเรียบร้อย อันนำมาซึ่งการยุบเลิกหน่วยงานเดิมที่ ทหารมีบทบาทนำ ทั้งในส่วนของ ศอ.บต. และ พตท. 43 ก่อนที่ท่านจะโยกย้ายขึ้นมาเป็น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการใช้ กำลังตำรวจ ที่ไม่มีประสบการณ์เฉพาะในพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษมีแต่ประสบการณ์ใน การปราบปรามอาชญากรรมทั่วไป – ด้วยวิธีพิเศษของตำรวจไทย เข้าไป สร้างปัญหา ในพื้นที่นั้นโดยเฉพาะใน จังหวัดนราธิวาส ในช่วง ปี 2546 รวมทั้งน่าจะเป็นหนึ่งใน ข้อมูลการข่าว ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเข้าใจว่าในพื้นที่มีแต่ โจรกระจอก วิสัยทัศน์สุดยอดจะหาใครเสมอเหมือนเช่นนี้แหละเวลามาตัดสินเรื่อง เปิดสถานอาบอบนวดหน้าโรงเรียน ท่านจึงมีสติปัญญาคิดเป็นแต่เพียงประโยคที่ยกมาข้างต้น “...ความเหมาะสมไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก.” และประโยคอื่น ๆ ที่แสดงถึงสติปัญญาสูงส่งไม่แพ้กันว่า “...เมื่อเขาขอมาถูกต้องก็ไม่มีทางเลือก เพราะหากคณะกรรมการไม่อนุญาตก็อาจถูกฟ้องร้อง อาบอบนวดเป็นธุรกิจที่ทำได้ตามกฎหมาย แต่ต้องขออนุญาต ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้มีการศึกษาน้อยได้มีโอกาสประกอบอาชีพ และช่วยลดคดีอาชญากรรมได้อีกทางหนึ่ง.” หรือ “...รายอื่นมาขอหากมีคุณสมบัติครบถ้วนก็ต้องอนุญาตเช่นกัน แต่ต้องอยู่ในเขตพื้นที่โซนนิ่ง โดยที่ไม่มีสิทธิไปจำกัดว่ามีสถานบริการมากน้อย.” หรือแม้แต่ “...หากมีกฎหมายออกมาอย่างไรในฐานะผู้ปฏิบัติก็ต้องทำตาม แม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ.” รวมทั้งเมื่อคิดจะ สาบาน ทั้งทีท่านก็คิดได้สูงส่งระดับสาบานต่อหน้ารูป พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ไม่แปลกใจจริง ๆ
•• การแยก ความรู้สึก ออกมาก็ไม่ต่างกับการแยก ธรรม, ความถูกต้อง ออกมาจาก กฎหมาย คนพูดและคนคิดทำนองนี้ไม่รู้ว่าเคยได้ยิน พระบรมราโชวาท องค์หนึ่งที่พระราชทานมาเมื่อ วันที่ 7 มกราคม 2523 บ้างไหม “...กฎหมายนี้มีช่องโหว่เสมอ ถ้าเราถือโอกาสในการมีช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อการทุจริตนั้น เป็นสิ่งที่เลวทราม และทำให้นำไปสู่ความหายนะ แต่ถ้าใช้ช่องโหว่ในกฎหมายเพื่อสร้างสรรค์ ก็เป็นการป้องกันมิให้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายในทางทุจริต.” หรืออีกองค์หนึ่งที่พระราชทานลงมาก่อนหน้านั้น 1 ปี วันที่ 29 ตุลาคม 2522 ความว่า “...การรักษาความยุติธรรมในแผ่นดิน ไม่ควรจะถือเพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย จำเป็นต้องขยายออกไป ให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็นจริงด้วย.” ถ้าเคยได้ยินและมีสำนึกที่จะปฏิบัติตามจริง ๆ ก็มีหนทางทำได้หลากหลาย
•• หรือถ้าจะ สาบาน ก็ไม่ว่ากันแต่ “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าไปสาบานต่อหน้า พระแก้วมรกต, พระสยามเทวาธิราช หรือ พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ย่อมจะได้รับความน่าเชื่อถือกว่าต่อหน้ารูป พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่แม้จะ ยิ่งใหญ่ แต่ก็คือ นายตำรวจสีเทา ที่ในยุคสมัยของท่านไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ได้เข้าไปพัวพันกับ ธุรกิจสีเทา แม้ในช่วงท้ายของอำนาจท่านจะ กลับตัวกลับใจ แต่ประชาชนก็ยัง คลางแคลงใจ, ไม่เชื่อถือ เป็นผลให้ในที่สุดแล้วต้องพ่ายแพ้ต่อเกมอำนาจต้อง ลี้ภัยไปใช้ชีวิตอยู่นอกมาตุภูมิจวบจนอสัญกรรม อย่างที่ทราบกันดี
•• กรณี เปิดสถานอาบอบนวดหน้าโรงเรียน นี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้อง เคร่งครัด และไม่ใช่เพียงแค่ เคร่งครัดต่อกฎหมาย หากแต่ต้อง เคร่งครัดต่อศีลธรรม เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของ สถานบริการ หากแต่ยังเป็นเรื่องของ สถานศึกษา, ปัญหาสังคม และต้องไม่ลืมว่าอาบอบนวดบ้านเราไม่ใช่เป็นเพียง สถานบริการทั่วไป ในทางปฏิบัติแล้วมันคือ ซ่องโสเภณีใหญ่โตรโหฐานที่ยืนหยัดริมถนนท้าทายกฎหมายบ้านเมืองมาชั่วนาตาปี จะมามัวคิดแต่ว่า “...ความเหมาะสมไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความรู้สึก.” และ “...แม้จะรู้สึกไม่เห็นด้วยก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ.” หาได้ไม่
•• สังคมไทยที่สุดแล้วก็เป็น สังคมไฟไหม้ฟาง คงจะไม่ลืมกันว่าประเด็น อาบอบนวด นี้พูดกันมากในช่วง ปี 2546 – 2547 พร้อม ๆ กับการขึ้นมาโด่งดังของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ แต่จนถึงวันนี้ก็ยัง หาบทสรุปไม่ได้ ไม่รู้ว่านอกจากจะ หยิบประเด็นขึ้นมาเล่นกับกระแส – หาเสียงไปวัน ๆ แล้ว กลุ่มส.ส.กทม.พรรคไทยรักไทย คิดจะ หาข้อสรุปในเชิงนโยบาย หรือไม่ สุรนันท์ เวชชาชีวะ ว่างเว้นจากไล่บี้ ประมวล รุจนเสรี แล้วช่วยตอบที
•• ในฐานะ ธุรกิจสีเทา ที่เป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้นของการก่อกำเนิด ส่วย, ภาษีเถื่อน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทำให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งคือถ้าไม่ยอมรับว่าเป็น ธุรกิจสีขาว ก็ตราหน้าให้เป็น ธุรกิจสีดำ เสียเลย
•• ทางหนึ่ง แปรส่วยเป็นภาษีของแผ่นดิน หรือนัยหนึ่งแปร ธุรกิจสีเทา ให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ ธุรกิจสีขาว ที่ไม่จำเป็นต้อง จ่ายส่วย โดยหันมา จ่ายภาษี ในลักษณะของ ภาษีแนวนอน – ที่มีอัตราสูงกว่าธุรกิจอื่น หรือจะเลือกอีกทางหนึ่งในกรณีที่เห็นว่า ต้องไม่มีการขายบริการทางเพศ ก็หันมา กำหนดโทษ แก่ ผู้ซื้อบริการทางเพศ ซึ่งก็คือการแปร ธุรกิจสีเทา ให้เข้าไปอยู่ในพื้นที่ ธุรกิจสีดำ ไปโดยเป็นการตัด Demand (เพื่อหวังจะลด Supply) และ สร้างความเท่าเทียมกัน เนื่องจาก ความผิดสำเร็จ จะต้องมีทั้ง ผู้ขาย – ผู้ซื้อ ในห้วงเวลาที่กรณีนี้ยังเป็น ประเด็นทางสังคม เมื่อ 2 ปีก่อนจำไม่ผิดว่าเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำทีทำท่าเดินหน้า เอาจริง ในการบริหารจัดการ ธุรกิจขายบริการทางเพศ ว่าจะให้ออกหัวออกก้อยไปทางใดทางหนึ่ง พงศ์เทพ เทพกาญจนา เคยจัด เวทีสาธารณะ เมื่อ พฤศจิกายน 2546 เพื่อรับฟังความคิดเห็นของ ทุก ๆ ฝ่าย ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้คืบหน้าไปถึงไหนหรือไปซุกอยู่ในลิ้นชักไหนแล้ว
•• ย้อนประวัติศาสตร์โดยสรุปอย่างสังเขปที่สุดว่า ก่อนหน้าปี 2499 นั้นฐานภาพของ การขายบริการทางเพศ ในบ้านเราไม่ถือว่า ผิดกฎหมาย เพียงแต่ถูกมองอย่าง เหยียดหยาม และ ไม่แนะนำ และถ้าจะว่ากันตามความจริงแล้ว ตั้งแต่ปี 2452 ต้องถือว่ามีการยอมรับ ว่า ถูกกฎหมาย เสียด้วยซ้ำ จุดเปลี่ยนสำคัญ อยู่ที่ ปี 2503 ที่มาเริ่มบัญญัติให้เป็น อาชีพผิดกฎหมาย อย่างชนิด สวนทางกับความเป็นจริงของสังคม โดยในที่สุดเมื่อ ปี 2509 บ้านเราก็ให้กำเนิดกฎหมายฉบับใหม่ พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509 ที่เป็น บ่อเกิดแห่งส่วย-ภาษีเถื่อน ขึ้นมา
•• แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามทั้ง อาบอบนวด และ สถานบริการประเภทอื่น ก็ต้องไม่อยู่ ใกล้โรงเรียน และคำว่า ใกล้ นี้ก็ต้องตีความตามประสา วิญญูชน ซึ่งก็คือ เจตนารมณ์ของกฎหมายที่แท้จริง ไม่ใช่ตีความตามประสา ศรีธนญชัย ที่คอยหาแต่ ช่องว่างของกฎหมาย เท่านั้น