xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนวีรกรรมเก่า"จุมพล ณ สงขลา"

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ถ้ายึดหลักติดตามข่าวสารบ้านเมืองโดย ไม่ดูแต่จุดเกิดเหตุ หากแต่ ย้อนไปดูภูมิหลังความเป็นมาในอดีต ในลักษณะของนักประวัติศาสตร์แล้วจะไม่แปลกใจที่เหตุไฉน จุมพล ณ สงขลา จึงออกมา สร้างความฮือฮา (และ โห่ฮา) อีกครั้งหนึ่งในทำนองว่าอาจจะมี แถลงการณ์ร่วมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาสร้างความกระจ่างในกรณี คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จนแม้กระทั่ง ผัน จันทรปาน – รักษาการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังต้องออกมา ปฏิเสธ ว่า “...เป็นเรื่องของจุมพล ณ สงขลาคนเดียว.” เพราะกรณีนี้หากเกิดขึ้นจริงก็เท่ากับว่าจะทำให้ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็น องค์กรเหนือรัฐธรรมนูญ เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้วคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร – รวมถึงศาลด้วย และคำว่า ศาล ในที่นี้หมายรวมถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ในเมื่อคำวินิจฉัยที่ 47/2547 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2547 ระบุไว้เพียงลอยๆ ว่า กระบวนการได้มาซึ่งตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่ชอบ แต่มิได้ระบุชี้ชัดลงไปว่า คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ - พ้นเมื่อใด องค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องก็ ผูกพันแค่นั้น แต่จะปฏิบัติอย่างไรก็เป็นเรื่องที่แต่ละองค์กร ตีความกันไปเอง ที่จะต้อง รับผิดชอบกันเอง อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญก็คือ การพิจารณาวินิจฉัย ไม่มีอำนาจหน้าที่ ออกแถลงการณ์ และถึงแม้จะฝ่าฝืนกระทำลงไป แถลงการณ์นั้นก็ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ, ไม่ได้รับอำนาจตามรัฐธรรมนูญ, ไม่มีผลผูกพันใครใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังจะเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่าย ก้าวล่วงพระราชอำนาจ, ละเมิดพระราชอำนาจ เพราะต้องไม่ลืมว่าการพิจารณาวินิจฉัยกรณีต่าง ๆ ของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งต้องเป็นไปตามที่ รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ นั้นเป็นการ กระทำในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ที่พยายามจะ เลี่ยงบาลี โดยใช้คำว่าแถลงการณ์ร่วมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากมีผลที่นำไปขยายความให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงอาจตีความได้ว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่าย ก้าวล่วงพระราชอำนาจ, ละเมิดพระราชอำนาจ ได้เช่นกัน

•• ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” กล่าวในตอนต้นว่า ไม่แปลกใจ ก็เพราะเมื่อ วันที่ 11 ตุลาคม 2547 ในการขึ้นให้การเป็นพยานจำเลยในคดีระหว่าง 8 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกับน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริของ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้ให้ข้อมูลชัดเจนภายใต้คำสาบานต่อสิ่งศักดิ์ถึง การเข้าไปหารือและบอกเล่าวิธีคิดก่อนการตัดสินคดีซุกหุ้นเมื่อปี 2544 ของ จุมพล ณ สงขลา ซึ่งข้อมูลนั้นก็ ได้รับการยืนยันซ้ำ จากการให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาของท่านผู้ถูกอ้างอิงเองก็ถือเป็นการบอก คุณภาพ, คุณธรรม, มาตรฐาน และ นิติปรัชญา ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านนี้ได้ดีพอสมควร

•• ก่อนหน้าที่จะตัดสิน คดีซุกหุ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะเป็น 1 ใน 8 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่มีความผิด จนทำให้ ชนะ ไปด้วยเสียงเฉียดฉิว 8 : 7 นั้น จุมพล ณ สงขลา ได้เข้าไปพบกับ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เพื่อ สนทนา ในคำให้สัมภาษณ์มีว่า “...เขาก็บอกว่าคดีนี้ผมน่าจะวินิจฉัยว่าไม่จงใจปกปิด แต่ผมก็บอกว่าผมวินิจฉัยแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้พิพากษามาตลอดชีวิต ถ้าเขียนคำวินิจฉัยแบบนั้นมันจะลำบาก มันหักล้างไม่ได้.” เรื่องนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้เมื่อ วันที่ 18 ตุลาคม 2547 แล้วว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงของประโยคที่ว่า “...ผมวินิจฉัยแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมเป็นผู้พิพากษามาตลอดชีวิต ถ้าเขียนคำวินิจฉัยแบบนั้นมันจะลำบาก มันหักล้างไม่ได้.” กันแน่

•• เพราะในจำนวน เสียงข้างมาก 8 เสียง นั้นมีเพียง 4 เสียง ที่ วินิจฉัยข้อเท็จจริง ว่า ไม่จงใจปกปิด แต่อีก 4 เสียง ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจงใจหรือไม่จงใจโดย วินิจฉัยข้อกฎหมาย ว่ากรณีที่เกิดขึ้น ไม่เข้าด้วยบังคับแห่งมาตรา 295 และ จุมพล ณ สงขลา คือ 1 ใน 4 เสียง ที่ว่านี้ “เซี่ยงเส้าหลง” กำลังตั้งคำถามว่าในประโยคดังกล่าวนั้น ใช่หรือไม่และเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ จุมพล ณ สงขลา วินิจฉัยออกมาเช่นนั้นก็เพราะ จงใจ ที่จะ ไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริง เพราะ “...มันหักล้างไม่ได้.” ตามที่ท่านว่า

•• โดยเฉพาะจะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นทบเท่าทวีคูณเมื่อ จุมพล ณ สงขลา ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าแม้ ป.ป.ช.จะตัดสินให้มีความผิด แต่ผ่านมาไม่นาน พรรคไทยรักไทยกลับชนะถล่มทลาย จึงแสดงว่า ประชาชนลงมติกันแล้วว่าข้อหานี้ไม่ร้ายแรง-ไม่ได้คดโกง แล้วท่านก็สรุปว่า ประชาธิปไตย...หัวใจคือต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ก่อนจะลงท้ายด้วยวรรคทองที่ต้องจดไว้ในประวัติศาสตร์ว่า “...การที่พรรคไทยรักไทยได้เสียงส.ส.ทิ้งห่างพรรคการเมืองอื่น โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ก็แสดงให้เห็นถึงเสียงข้างมากที่ประชาชนเลือกมาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 11 คนบอกว่าเราไม่เอาทักษิณ จะไปไล่เขา แบบนี้หรือคือประชาธิปไตย.” คงไม่ต้องสรุปนะ

•• พูดถึง 8 ตุลาการเสียงข้างมากใน คดีซุกหุ้น ก็ไม่เป็นธรรมเท่าที่ควรหากจะเอ่ยเพียงชื่อ จุมพล ณ สงขลา เพราะ ผัน จันทรปาน ก็ถูกอ้างอิงจาก นิพนธ์ บุญญามณี ในคดีเดียวกันว่าท่านเคยพูดกับแกนนำชาวบ้านในจังหวัดสงขลาคนหนึ่งที่เดินทางไปหาที่บ้านว่า “...คดีนี้คงหนักและไปไม่รอด.” แต่สุดท้ายก็ รอด อย่างที่ทราบกัน

•• เช่นกันกับการเบิกความในฐานะ พยานจำเลย ของ บัณฑิต ศิริพันธ์ ในคดีเดียวกันที่ได้อ้างอิงถึง อุระ หวังอ้อมกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยในคดีซุกหุ้น “...นายอุระ หวังอ้อมกลางเล่าให้ฟังว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ได้มาพบ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดยพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่าขอคะแนน 1 เสียง แล้วลูกชายของนายอุระที่ทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศจะย้ายไปเป็นเลขาฯทูตที่ประเทศไหนก็ได้ หรือจะลาออกจากราชการมาเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยก็ได้ ในขณะที่นางเยาวภาก็ไปพบที่บ้านถึง 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่ไป ได้ระบุว่าขณะนี้มีตุลาการ 4 คนที่รับปากจะช่วยแล้ว คือ นายกระมล ทองธรรมชาติ, นายจุมพล ณ สงขลา, นายผัน จันทรปาน และนายศักดิ์ เตชาชาญ.” เมื่อปีที่แล้วขณะที่เกิดข่าวนี้ วิชิต ปลั่งศรีสกุล และ คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคไทยรักไทย ดูเหมือนจะมีดำริในชั้นต้นว่าจะ ฟ้องร้อง พยานจำเลยคนนี้ในฐานะเป็นผู้ที่จงใจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (และอาจจะ สมชาย วงศ์สวัสดิ์) มีอันต้อง เสียหาย, เสื่อมเสีย ในลักษณะที่ ถูกทำให้เข้าใจผิดว่ามีส่วนร่วมในการติดสินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” เคยส่งเสียงเชียร์ดัง ๆ ไป ณ ที่นี้เมื่อ วันที่ 18 ตุลาคม 2547 ว่าให้เร่ง ทำทันที – อย่ารอช้า และ อย่าถอย เพราะการยื่นฟ้องต่อ ศาลยุติธรรม จะเป็น หนทางเดียว เท่านั้นที่จะทำให้สุภาพบุรุษตุลาการอย่าง อุระ หวังอ้อมกลาง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเป็นต้อง พูดความจริง ว่ามี เหตุตามที่ถูกกล่าวอ้างในศาล ก่อนหน้านั้นหรือไม่

•• ย้อนกลับมาถึงกรณี แถลงการณ์ร่วมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะพูดถึงแต่ จุมพล ณ สงขลา คนเดียวหาได้ไม่ “เซี่ยงเส้าหลง” ต้องบันทึกชื่อ นพดล เฮงเจริญ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าเสมือนเป็น ผู้ร่วมสมคบคิด เพราะก่อนหน้านี้ท่านก็ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า “...ขณะนี้มีสัญญาณในทางที่ดีว่าปัญหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคงจะจบลงในเร็ว ๆ นี้.” เล่นเอาคนทั่วไป งง ก่อนจะมาร้อง อ๋อ พร้อมเสียงถอนหายใจเมื่อมีข่าวเพี้ยน ๆ เรื่อง แถลงการณ์ร่วมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกมา

•• จริง ๆ แล้ว นพดล เฮงเจริญ สมัยเมื่อยังดำรงตำแหน่งเป็น เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เองก็สร้าง วีรกรรม (ร่วมกับ ดร.กระมล ทองธรรมชาติ – อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ) ไว้มากในทำนองที่ส่อไปในทาง ขยายความเกินคำวินิจฉัย แต่วันนี้ท่านก็ออกมา ปฏิเสธ ว่า “...ไม่ได้พูดว่าคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาพ้นจากตำแหน่ง.” ดู ๆ ไปแล้วก็ออกจะ เสียความรู้สึก กับความรู้สึกดี ๆ ที่คนทั่วไปเคยมีให้กับตัวท่านที่เป็น คนหน้าซื่อ ๆ พฤติกรรมที่เสมือนทำงานเกินหน้าที่ในกรณีนี้ทำให้ “เซี่ยงเส้าหลง” อดสงสัยไม่ได้ว่าหรือ นพดล เฮงเจริญ จะเหมาะสมที่สุดแค่กับการดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แต่กับตำแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เพิ่งได้มาไม่นานท่านจะต้อง พิสูจน์ตัวเองอีกนาน ถ้าจะให้ดีก็กรุณาศึกษาบทเรียนจาก สุชน ชาลีเครือ ไปพลาง ๆ

•• วันนี้ วันอังคารที่ 6 กันยายน 2548 ช่วงบ่าย ๆ เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป อย่าลืมไปร่วมงานเสวนาทางวิชาการและเหตุการณ์ปัจจุบัน พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่บริเวณ ห้องประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร (แอล.ที. 1) คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ - ท่าพระจันทร์ ปาฐกถานำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ – องคมนตรี ต่อด้วยอภิปรายกลุ่มโดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล, ประมวล รุจนเสรี, แก้วสรร อติโพธิ และ สนธิ ลิ้มทองกุล ดำเนินการอภิปรายโดย นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กรุณาไปแต่เนิ่น ๆ เพราะที่นั่งมีจำกัด ถ่ายทอดสด ทาง ASTV – NEWS 1 และเกือบ ๆ สดทางwww.manager.co.th อย่าพลาด

•• และเพื่อเปิดพื้นที่เต็ม ๆ ให้กับ รายงานข่าวการเสวนานัดพิเศษ วันพรุ่งนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ขอ ลากิจ 1 วัน ทิ้งพื้นที่ให้อ่านเนื้อหาในปาฐกถาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ – องคมนตรี กันชนิดเต็มจอ
กำลังโหลดความคิดเห็น