xs
xsm
sm
md
lg

เปิดศูนย์รับเลี้ยงเด็ก..แก้ปัญหาหญิงฆ่าลูก !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายการคนในข่าว ออกอากาศทาง News 1 เวลา 21.05-22.00 น. ดำเนินรายการโดยจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ คืนวันที่ 29 สิงหาคม 2548 หยิบยกประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ กรณีกระทรวงพัฒนาสังคมฯจะเปิดศูนย์รับเลี้ยงเด็กทารก เพื่อป้องกันปัญหาแม่ที่ตั้งท้องโดยไม่พึงประสงค์ ต้องนำลูกไปทิ้งหรือฆ่าลูกในไส้

จินดารัตน์ – สวัสดีค่ะ คุณผู้ชมคะ รายการคนในข่าวค่ะ คืนวันนี้นะคะ เราจะคุยกันประเด็นสังคมเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าตอนนี้มีแนวคิดที่ออกมาจากคุณวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หลังจากที่เกิดเรื่องเกิดราว สังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของการปิดถนนให้เด็กซิ่งไปแล้ว แนวคิดนี้ แนวคิดใหม่ที่ว่านี้ก็คือ แนวทางในการแก้ปัญหาผู้หญิงฆ่าลูก เพราะคุณผู้ชมคงจะสังเกตเห็นนะคะ ว่าหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวหญิงใจแตก ผู้หญิงท้องไม่พึงประสงค์ ฆ่าลูกตัวเอง ฆ่าลูกในไส้ด้วยวิธีการต่างๆนานา จนกลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ไม่เว้นในแต่ละวันกันไปแล้ว
ครั้งนี้นะคะท่านรัฐมนตรีบอกว่า จะให้ผู้หญิงที่ไม่พร้อมที่จะดูแลลูกของตัวเองนี่แหละค่ะ สามารถทำหนังสือ เซ็นหนังสือยินยอมเลยนะคะ ให้โรงพยาบาลเลี้ยงดูลูกแทน จนกว่าตัวเองจะมีความพร้อมแล้วกลับมารับลูกไปเลี้ยง หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือถ้าคิดว่าไม่ต้องการเด็กแล้วยกให้รัฐไปเลย รัฐจะได้ไปดำเนินการต่อว่าจะยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของใครก็แล้วแต่ แนวคิดนี้หลังจากที่มีข่าวออกมา ทางรายการของเราพยายามที่จะสอบถามความคิดเห็นของผู้หญิงและผู้ชายนะคะ ทั้งคนที่ทำงานในแวดวงของเด็ก ของผู้หญิง หรือแม้แต่บุคคล ปุถุชนทั่วๆไปที่ทำงานทั่วๆไปตามบริษัทห้างร้านต่างๆ เราพยายามถาม
คุณผู้ชมเชื่อไหมคะว่าผู้ชายส่วนใหญ่บอกว่าไม่เห็นด้วยค่ะ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่กลับบอกว่าเห็นด้วย วันนี้เราก็เลยจะมาคุยกันถกถึงปัญหานี้ว่า ข้อดีข้อเสียของแนวคิดนี้เป็นอย่างไร แล้วคิดว่าทำขึ้นมาแล้วต่อไปในอนาคตนั้นเด็กๆเหล่านี้เติบโตขึ้นมา ที่แม่ทิ้งให้กับรัฐนั้น จะมีความรู้สึกอย่างไรกันบ้าง จะเป็นภาระสังคมหรือไม่ คุณภาพชีวิตของเด็กเหล่านี้จะเป็นอย่างไร มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมานั่งอยู่กับเราวันนี้นะคะ ท่านแรกค่ะ คุณชลาทิพย์ ปุณณะบุตร ท่านผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ค่ะ
ท่านต่อมานะคะ คุณนิตยา จันทร์เรือง มหาผลค่ะ ท่านเป็นกรรมการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีค่ะ และท่านต่อไปนะคะ คุณสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ท่านผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กค่ะ และคนสุดท้ายวันนี้นะคะเป็นผู้หญิงคนนึงที่เคยตั้งท้องไม่พึงประสงค์ แล้วเคยคิดจะทำแท้งด้วยนะคะ คุณทัศชาวรันย์ ทองเลื่อน หรือคุณทัดค่ะ สวัสดีค่ะทุกท่านนะคะ ท่านผู้ชมบางท่านอาจจะไม่ได้ติดตามรายละเอียดของข่าวนี้ เรามาดูกันว่ารายละเอียดของแนวคิดนี้เป็นอย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วจะทำอะไรกันยังไงได้บ้าง จากท่าน ผอ.ชลาทิพย์ก่อนแล้วกันนะคะ ผอ.คะ ตกลงว่าวิธีการทำกันยังไง

ชลาทิพย์ - ค่ะ ตอนนี้เป็นแนวคิดของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คือท่านรัฐมนตรีนะคะว่า จากที่มีปัญหาการที่แม่ทิ้งเด็กในโรงพยาบาลนี่นะคะ เราจะป้องกันแก้ไขปัญหากันอย่างไร เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลที่ดีและเหมาะสม ไม่เป็นอันตรายนะคะ

จินดารัตน์ – ตกลงเป็นแนวคิดของท่านรัฐมนตรีเองหรือคะ

ชลาทิพย์ – ค่ะ ของกระทรวงค่ะ โดยท่านรัฐมนตรี ซึ่งก็ในเรื่องนี้ก็คงจะต้องมีการทำงานร่วมกัน ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็คือกระทรวงสาธารณสุข

จินดารัตน์ – ตกลงจะแก้ปัญหาอะไรบ้างคะ แก้ปัญหาท้องไม่พึงประสงค์ แก้ปัญหาผู้หญิงฆ่าเด็ก แก้ปัญหาการทำแท้ง มีอย่างอื่นอีกไหมคะ ตกลงหลักๆนี่ก็จะแก้ปัญหาอะไรบ้างคะ

ชลาทิพย์ – แก้ปัญหาหลักๆก็คือเด็กเกิดมาแล้วไม่เป็นที่ต้องการของแม่ ซึ่งมีสถิติการทอดทิ้งเด็กในโรงพยาบาลอยู่มานานแล้ว

จินดารัตน์ – เยอะไหมคะ ตัวเลขแต่ละปี

ชลาทิพย์ – ตัวเลขแต่ละปีนี่ เด็กที่ถูกทอดทิ้งที่เข้ามาอยู่ในความดูแลของกระทรวงนี่ก็ประมาณ โดยทั้งหมดนะคะ 400-500 ซึ่งจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งในโรงพยาบาล ทิ้งในที่สาธารณะ และก็ทิ้งกับผู้รับจ้างเลี้ยง หรือว่าทิ้งไว้กับบุคคลหรืออะไรนี่แหละค่ะ ทั้ง
หมดโดยประมาณ

จินดารัตน์ – ปกติเด็กที่รัฐรับเลี้ยงดูนี่จะส่งไปที่ไหนบ้างยังไง ดูแลกันยังไงคะ

ชลาทิพย์ – เราจะรับเด็กเข้าพักไว้ในบ้านเด็กอ่อนค่ะ ก็คือสถานสงเคราะห์เด็ก 8 แห่งทั่วประเทศนะคะ จะมีทั้งใน กทม. เชียงใหม่ ทางภาคใต้ และก็ภาคอีสานนะคะ

จินดารัตน์ – พอช่วงอายุเด็กเปลี่ยนไป ก็จะส่งต่อถูกไหมคะ ไปตามช่วงอายุของเด็ก

ชลาทิพย์ – ค่ะ แต่เด็กพวกนี้นี่ เราจะพยายามจัดหาครอบครัวทดแทนให้ ให้เด็กได้อยู่ในครอบครัว ทั้งคนไทย ชาวต่างชาติ และก็ครอบครัวอุปถัมภ์

จินดารัตน์ – เชื่อว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ถูกไหมคะ ว่าผู้หญิงจะทิ้งลูกนี่ เอาล่ะไม่ต้องทิ้ง เอามาฝากรัฐไว้เลย

ชลาทิพย์ – เป็นการป้องกันนะคะ เพราะว่าดิฉันเป็นผู้ปฏิบัตินะคะ เด็กที่เป็นบุตรบุญธรรมนี่นะคะ จากสถิติ จากประวัตินี่ จะเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งในโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เมื่อมีการติดตามประวัติเด็กไปแล้วนี่ บางครั้งนี่จะพบพ่อหรือพบแม่ หรือพบญาตินี่นะคะ ซึ่งพบว่าไม่มีความพร้อมที่จะเลี้ยงดูเด็ก แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ มีทั้งที่มีความพร้อม สามารถที่จะเลี้ยงดูเด็ก ก็คือ 1. เราต้องให้คำปรึกษาแนะนำ ถ้าเขาสามารถที่จะเลี้ยงดูเด็กได้ต่อไป โดยฝากกับเราไว้ก่อน เราก็จะเลี้ยงดูให้ แต่ถ้าหากว่าพบว่ารายใดที่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เช่น มีอาการทางจิตประสาท หรือถูกกระทำคือถูกล่วงเกินทางเพศและก็ถึงมีบุตรนี่นะคะ หรือเป็นบุคคลปัญญาอ่อน หรือเป็นบุคคลเร่ร่อนอะไรอย่างนี้ ซึ่งปรากฏว่าเราจะพบในหลายลักษณะด้วยกัน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูได้ หรือในบางครั้งเราเจอญาตินี่ ญาติก็รับกลับไปเลี้ยงดู

จินดารัตน์ – ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหลักเกณฑ์แนวคิดนี้ ก็คือรับทุกกรณีถูกไหมคะ

ชลาทิพย์ - ใช่ค่ะ

จินดารัตน์ – จะสามารถเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่ได้ก็รับหมด ถ้าไม่ต้องการลูก อย่างนั้นพูดถูกไหมคะ

ชลาทิพย์ – ที่ปฏิบัติมานี่ก็คือ จะเป็นการที่ว่าทิ้งเด็กไว้ที่โรงพยาบาลเลย ที่สาธารณะ

จินดารัตน์ – อย่างแนวคิดใหม่บอกว่า ทำหนังสือเลย เซ็นหนังสือยกให้ที่โรงพยาบาล แล้วก็มี 2 กรณีก็คือ แม่ฝากโรงพยาบาลเลี้ยงไว้ก่อน ฝากรัฐเลี้ยงไว้ก่อน พร้อมเมื่อไหร่จะกลับมารับไปเลี้ยง กับ 2. ก็คือยกให้รัฐไปเลย นั่นหมายถึงว่าเงื่อนไขของผู้หญิงที่จะเซ็นยินยอมมอบให้โรงพยาบาลหรือรัฐนี่นะคะ จะไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

ชลาทิพย์ – ก่อนที่จะมีการตัดสินใจยกลูกให้รัฐ หรือมอบลูกให้รัฐดูแลนี่นะคะ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวรนี่ เพื่อจัดหาครอบครัวที่เหมาะสมให้กับเด็ก จะต้องมีขั้นตอนก็คือปรึกษาแนะนำ ให้แม่ ให้ผู้ที่อยู่ในเราเรียกว่าเหตุการณ์วิกฤติ เพราะว่าโดยธรรมชาตินี่ แม่ไม่ทิ้งลูกอยู่แล้ว แต่ว่าบุคคลที่ทิ้งลูกนี่ เขาจะต้องมีเหตุผล ความจำเป็นในขณะนั้น ดิฉันไม่ได้พูดถึงคนทั่วไปนะคะ แต่พูดถึงคนที่มีปัญหาความเดือดร้อนในขณะนั้น ที่ 1. ตั้งท้องไม่พึงประสงค์ คือ ตั้งท้องนอกสมรส ซึ่งจะบอกกับทางบ้านไม่ได้ กำลังเรียนอยู่ หรือว่าเด็กถูกข่มขืนอย่างนี้นะคะ ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่สามารถที่จะรับได้ สังคมไม่ยอมรับอะไรอย่างนี้ คือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่บุคคลธรรมดาไปคลอดแล้วก็เพื่อให้รัฐรับไม่ใช่ แต่บุคคลพวกนี้จะเป็นบุคคลที่มีปัญหาความเดือดร้อนอยู่ในขั้นวิกฤติค่ะ

จินดารัตน์ – นั่นหมายถึงว่า ถ้าสมมุติอย่างนี้นะคะ ผอ. คือฐานะยากจน คือแต่งงานแหละ แต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่ฐานะยากจนมาคลอด คือมีปัญหาเดียวก็คือยากจน เลี้ยงลูกไม่ไหวอย่างนี้รับไหมคะ

ชลาทิพย์ – เราจะต้องให้คำแนะนำปรึกษาก่อน โดยเราจะช่วยเหลือครอบครัวก่อนด้วย ไม่ใช่พอคุณบอกคุณเลี้ยงไม่ได้เรารับเลย เราจะต้องบอกว่า 1. คุณมีปัญหาความเดือดร้อนในเรื่องไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพ หรือป่วยนี่ เราก็จะช่วยเหลือ หรือจะส่งต่อไปยังหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือเขาได้ก่อน เพื่อให้เขาได้เลี้ยงลูกของเขาเอง ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือค่านมค่าอะไรอย่างนี้ค่ะ ถ้าหากไม่สามารถทำอย่างนั้นได้แล้ว เราถึงจะรับลูกเขาไว้

จินดารัตน์ – อย่างที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีกรณีว่าทำหนังสือเซ็นยินยอมอะไรนี่นะคะ เกณฑ์ก็คือง่ายๆคือถ้าทิ้งเอาไว้ กระทรวงรับไปเลี้ยงหมดแหละ

ชลาทิพย์ – ใช่ค่ะ ถ้าถูกทอดทิ้งไว้

จินดารัตน์ – อย่างกรณีที่เกิดขึ้น ผอ.เชื่อว่าคนที่มาคลอด คนที่มาฝากท้องกับโรงพยาบาล อย่างที่ท้องไม่พึงประสงค์นี่จะยอมเปิดเผยตัวอย่างนั้นหรือเปล่าคะ

ชลาทิพย์ – จากที่ดิฉันทำงานมา ดูประวัติเด็กที่ถูกทิ้งนี่ จะเป็นคนที่คือคงจะไม่เปิดเผยตัวนะคะ แต่ว่าเขาไม่สามารถที่จะรับกับปัญหานี้ได้ ที่มีลูกออกมาแล้วก็เลี้ยงไม่ได้ เขาก็จะหนีออกจากโรงพยาบาล

จินดารัตน์ – ส่วนใหญ่ก็คือจะหนีไปใช่ไหมคะ

ชลาทิพย์ – หรือไม่อย่างนั้นก็เอาลูกไป แล้วก็ไปทิ้งวางแถวออกจากนอกโรงพยาบาล นี่เป็นประเด็นที่คิดว่า ถ้าคนธรรมดานี่ที่ไม่มีปัญหาความเดือดร้อนนี่ก็คงไม่ทำ

จินดารัตน์ – แต่เชื่อว่าถ้าวิธีนี้นี่เขาจะยอม คือยอมบอกตั้งแต่แรกว่ามีปัญหาอะไรยังไง แล้วก็บอกให้รัฐช่วยเหลือตรงนี้

ชลาทิพย์ – ตามความเห็นของดิฉันก็คือ เมื่อบุคคลเหล่านี้นี่มาคลอด การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานก็คือ ทางโรงพยาบาลก็คงจะทราบว่า คือจะสังเกตเห็นนะคะว่า ถ้าหากคนนี้นี่มีท่าทีจะทิ้งลูกไหมอะไรอย่างนี้ จากเท่าที่เราเคยทำงานด้วยกันนะคะ มีการส่งเด็กจากโรงพยาบาลมาที่บ้านเด็กอ่อนของเรา คือสถานสงเคราะห์นี่ เราก็จะได้มีการพูดคุยกัน แล้วเขาก็จะทราบนะคะ จะพอรู้ค่ะ

จินดารัตน์ – ฟังแนวคิดว่าอย่างนี้แล้ว คุณสรรพสิทธิ์ ในฐานะที่ทำงานกับเด็กมานานนี่นะคะ เรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กอะไรก็แล้วแต่ ฟังอย่างนี้แล้วเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยคะ

สรรพสิทธิ์ – จริงๆแล้วที่ท่านผู้อำนวยการพูดมานี่นะครับ มันก็เป็นหลักเกณฑ์ในการทำงานกับผู้หญิงที่เขาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์นี่นะครับ แต่อันนี้ท่านอาจจะไม่ได้ดู คือประเด็นที่ยกไปถามนี่ อาจจะเป็นเพราะว่าท่านรัฐมนตรีเสนอวิธีแก้ไขออกมา ซึ่งท่านอาจจะไม่ได้อธิบายรายละเอียดนะครับ หรือท่านอาจจะไม่ได้เปรียบเทียบกับกระบวนการเดิมที่ควรจะมี

จินดารัตน์ – แสดงว่าทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

สรรพสิทธิ์ – คือกระบวนการนี้เท่าที่ท่าน ผอ.พูดนี่ทำมานานแล้ว แล้วก็มีกระบวนการใหม่เพิ่มเติมเข้ามาอีกนะครับ การป้องกันหรือแก้ไขปัญหาระยะยาวนี่ มันมีตั้งแต่ระยะยาวจริงๆ ก็คือการสอนให้เด็ก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นนี่เข้าใจเรื่องเพศ และก็สามารถจะเป็นนายตัวเองในเรื่องเพศ คือไม่ใช่เป็นทาสอารมณ์เพศแบบปัจจุบัน อันนี้ก็จะต้องมีการสอนให้มีทักษะในเรื่องนี้
ประการถัดมาก็คือ ระบบของโรงพยาบาลขณะนี้ กับทางกระทรวงการพัฒนาสังคมนี่สอดคล้องกัน ก็คือจะต้องมีการฝากท้อง การมาฝากท้องนี่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์นี่ได้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะในทางเชิงสุขภาพหรือในทางสังคม เพราะในโรงพยาบาลนี่ก็จะมีนักสังคมสงเคราะห์ มีนักจิตวิทยาที่จะสามารถหาข้อเท็จจริงตรงนี้นะครับ เพราะว่าถ้ามาฝากครรภ์แล้วมีปัญหา อย่างเช่นแม่อายุแค่ 15 ปีหรือ 14 ปี ตรงนี้ทางโรงพยาบาลต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวิธีปฏิบัติคุ้มครองเด็กเข้าไปดูแล

จินดารัตน์ – ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำกันมาตั้งนานแล้ว ถูกไหมคะ

สรรพสิทธิ์ – ครับ กำลังเริ่ม คือหมายความว่าเดิมนี่อาจจะไม่ทำเต็มลูกเท่านี้ แต่ว่ากำลังจะเริ่มเข้ามาสู่ระบบแบบนี้เต็มลูก เพราะว่ามันเป็นเรื่องของกฎหมายครับ คือกฎหมายคุ้มครองเด็กได้จัดระบบตรงนี้ขึ้นมา คือมันมีเขาเรียกว่าตัวชี้วัด หรือเกณฑ์ชี้วัดที่จะดูว่า เด็กขนาดนี้นี่ และแม่นี่นะครับต้องการสงเคราะห์ หรือการเข้าไปช่วยให้พ่อแม่นี่สามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างมีมาตรฐาน มีคุณภาพ และก็ปลอดภัยได้อย่างไร

จินดารัตน์ – คุณสรรพสิทธิ์ นั่นหมายถึงว่าแต่เดิม ถ้าทางโรงพยาบาลรู้ ทางกระทรวงรู้ว่าเด็กคนนี้อายุเท่านี้ อายุ 15-16 ปี ท้องไม่พึงประสงค์แบบนี้ ก็จะเข้าไปช่วยแก้ไขให้คำปรึกษา นั่นหมายถึงว่าตัวเด็กเอง ตัวแม่เองนี่นะคะ ก็แจ้งความจำนงอยู่แล้วว่าถ้าคลอดลูกออกมา เขาไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ก็ยกให้รัฐ อันนี้มันเป็นแนวทางอยู่แล้ว

สรรพสิทธิ์ – อันนั้นมันเป็นแนวทางปฏิบัติแบบทั่วๆไปอยู่แล้วนะครับ แต่ว่าแนวทางปฏิบัติที่มันละเอียดกว่านี้ก็คือ มันต้องดูสาเหตุที่มีการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์

จินดารัตน์ – นั่นแสดงว่าแนวคิดนี้ก็ไม่ใช่แนวคิดใหม่สิคะ คุณสรรพสิทธิ์

สรรพสิทธิ์ – ไม่ใช่แนวคิดใหม่ครับ แต่ว่ามันมีเงื่อนไขบางอย่างเช่นอย่างที่ว่า สมมุติว่าเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีนี่ถูกล่วงเกินทางเพศถูกไหมครับ กระบวนการนี่ไม่ใช่ว่าให้เขาไปเลี้ยงลูกเอง เพราะเขาเลี้ยงไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหมครับ 2. แต่ถ้าเขาเกิดไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร แล้วเขาไม่พร้อมจะดูแล ตรงนี้ก็ต้องดูว่าญาติพี่น้อง ครอบครัวนี่มีความสามารถจะรองรับไหม แล้วก็ถ้ามีอันนี้ก็ต้องมีกระบวนการเข้าไปช่วยเหลือ ให้เขาสามารถดูแลได้ คงไม่ใช่ว่าโยนมาให้รัฐรับภาระทันที กระบวนการก็คือเราต้องการทำให้ผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะเป็นตัวพ่อแม่ และก็เป็นญาติพี่น้องผู้ดูแลเด็กนี่ เขามีความสามารถในการดูแล อุปการะเลี้ยงดูบุตรหลานของเขาเองก่อน

จินดารัตน์ – แสดงว่าแนวคิดนี้ ผอ.คะ เรียนถาม ผอ.นิดนึงว่า ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมทื่ทำอยู่ กระบวนการในการเข้าไปแก้ปัญหาก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้ง่ายอย่างที่เป็นข่าวว่า ใครอยากยกลูกให้รัฐก็เซ็นยกไปเลยอย่างนั้นถูกไหมคะ

ชลาทิพย์ – ในรายละเอียดนี่คงต้องมีขั้นตอน มีการให้คำแนะนำปรึกษา มีปัญหาความเดือดร้อนยังไง รัฐก็จะเข้าไปดูแลค่ะ

จินดารัตน์ – และอย่างนี้แนวคิดรัฐมนตรีต่างอะไรไปจากเดิมล่ะคะ

สรรพสิทธิ์ – คือแนวคิดรัฐมนตรี ผมคิดว่าอย่างนี้ครับ ท่านอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดใช่ไหมครับ ท่านอาจจะไปเอาจัดรูปแบบในเรื่องของการทำข้อตกลง ซึ่งจริงๆแล้วข้อตกลงมันเป็นส่วนย่อยของกระบวนการ กระบวนการทำงานคือต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกันก่อนนะครับ ว่าแม่เด็กนี่เขาไม่สามารถจะรับผิดชอบได้แล้วจริงๆ มันไม่มีทางหรอก แม้ว่าจะไปช่วยยังไงก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็คงจะต้องหาแหล่งรองรับแทน เช่น ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นครอบครัวทดแทน ไม่ว่าจะเป็นลูกครอบครัวบุญธรรม หรือว่าครอบครัวอุปถัมภ์อย่างที่ท่าน ผอ.พูดเมื่อกี๊นี้

จินดารัตน์ – วิธีการแก้ปัญหา ขั้นตอนการรับเป็นบุตรบุญธรรม อันนี้ต่างหากใช่ไหมคะ ผอ.ที่จะต้องเข้าไปแก้ เพราะเห็นบอกว่ายุ่งยากซับซ้อนเหลือเกิน

สรรพสิทธิ์ – คืออย่างนี้ครับ กระบวนการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมนี่ จริงๆไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาคืออย่างนี้ คนที่จะรับเด็กไปเป็นบุตรบุญธรรมนี่ ส่วนมากนะครับเกือบ 100% นี่ เขาต้องการเด็กแรกเกิด เขาไม่ต้องการเด็กโต ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็เลยต้องมีกระบวนการพอสมควรใช่ไหมครับ เพราะว่าเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าคนที่จะมารับเด็กอ่อนพวกนี้ไปนี่นะครับ เขาพร้อมที่จะเป็นพ่อแม่คนได้จริงๆ หรือเขาจะไม่ไปทำอะไรที่มันมีปัญหายิ่งกว่าพ่อแม่แท้จริงอีก กระบวนการนี้มันต้องมีหลักประกันครับ

จินดารัตน์ –ฟังจากท่าน ผอ.และก็คุณสรรพสิทธิ์แล้ว ดิฉันสรุปอย่างนี้ได้ไหมคะ ว่าจริงๆแล้วแนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ จะใหม่ก็ตรงที่เรื่องของงานเอกสาร รายละเอียดปลีกย่อยลงไป ในการเซ็นมอบให้รัฐ หรือให้โรงพยาบาลเท่านั้นเองถูกไหมคะ คือแต่เดิมเราก็ทำกันอยู่แล้ว

ชลาทิพย์ – น่าจะเป็นแนวคิดที่พยายามให้มีการป้องกันการทิ้งลูกมากขึ้นชัดเจนนะคะ ตามความเห็นของผู้ปฏิบัตินะคะ คือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการค่ะ

จินดารัตน์ – ให้กล้าที่จะเปิดเผยตัวเอง ยอมรับความจริงว่าเราท้องไม่พึงประสงค์ จะได้บอกกันตรงๆกับทางหน่วยงานรัฐอย่างนั้นหรือเปล่าคะ

ชลาทิพย์ – คือในการทำงานคงไม่เปิดเผยขนาดนั้นนะคะ

สรรพสิทธิ์ – คือผมคิดว่าอย่างนี้ครับ อันนี้ผมว่าท่านรัฐมนตรีอาจจะไม่ได้ดูรายละเอียดทางปฏิบัติ ท่านมาดูแค่หลักการใช่ไหมครับ ในทางปฏิบัตินี่มันคงจะต้องมีกระบวนการทำงานกับแม่เด็ก ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์นะครับ เพราะว่าคงไม่มีใครที่อยากจะออกมาพูด ว่าตัวเองไม่ต้องการรับผิดชอบอะไร แต่ว่ามันมีเหตุจำเป็น บางอย่างบางทีพูดไม่ออกนะครับ เพราะว่าการตั้งครรภ์บางทีเกิดจากการถูกล่วงเกินทางเพศจากคนใกล้ชิดอย่างนี้อันนึง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสามีหรือคู่รักนี่ไม่รับผิดชอบ ทิ้งไป
เขาก็ยังจะมีความเจ็บปวดทุกข์ใจอยู่ตรงนี้ ซึ่งทำให้เขานี่มันไม่อยู่ในสภาพที่จะมาสื่อสารอะไรกับใครตรงไปตรงมาหรอกครับ มันจะต้องมีกระบวนการทำความเข้าใจ สร้างความไว้วางใจ แล้วก็ให้เห็นว่าจริงๆแล้ว กระบวนการจากภายนอกจะเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยเหลือเขาอย่างไรนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ทำให้เขาเบาใจได้ว่า เออ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เลี้ยงลูกเอง เพราะว่าเขาไม่สามารถจะทำได้ แต่ก็ได้ยื่นลูกไปในมือของคนที่รับผิดชอบ และก็มีหลักประกันสำหรับลูกเขาแน่นอน ตรงนี้เป็นกระบวนการที่จะต้องเกิดขึ้นครับ

จินดารัตน์ – ค่ะ คุณนิตยาล่ะคะ คิดเห็นยังไงเกี่ยวกับกรณีนี้ แสดงว่ารัฐมนตรีไม่เข้าใจปัญหาสิคะ ดิฉันพูดอย่างนี้ได้ไหมคะ

นิตยา – คือเอาในทางดีดีกว่านะคะว่า เขาอาจจะพูดให้ดูง่ายนะคะ สำหรับคนที่สิ้นไร้ ที่ไม่มีทางจะไปนี่ ฟังแล้วมันก็ดูแก้ปัญหาได้ แทนที่จะไปคิดร้ายกับเด็ก หรือคิดร้ายกับตัวเองนี่ก็จะบอกว่า มันไม่ได้ยุ่งยากหรอกว่า จะต้องไปปรึกษาคนโน้นคนนี้ อะไรมากมาย ทางเลือกสุดท้ายก็ยังมีอยู่ ดิฉันว่าถ้ามองไปในตรงนี้แล้วนี่ ก็จะดูดีนะคะ เพราะว่าสิ่งที่เราจะต้องดูตรงนี้ก็คือว่า เวลาที่เขาจนตรอกแล้วนี่ เขามีทางจะไปหรือเปล่า เขามีทางเลือกหรือไม่
ตรงนี้ทางเอกชนเอง ทางด้านองค์กรของเรานี่ สถาบันส่งเสริมสถานภาพสตรีที่ทุ่งสีกัน เราก็มีคุณทัดอยู่ด้วยนี่นะคะ เราก็ช่วยดูแลให้ส่วนหนึ่ง จะเห็นได้ว่าไปดูจำนวนทำแท้งทั่วประเทศ 170 กว่าแห่ง โรงพยาบาลนี่นะคะ คนที่เป็นภาวะแทรกซ้อน คือมีปัญหาเข้ามานี่ มันก็มีจำนวนตั้ง 45000 ก็จะเห็นได้ว่ามันมีความต้องการอะไรตรงนี้อยู่ ให้มีบริการอะไรบางอย่างนี่พอสมควร เพราะฉะนั้นนั่นก็เป็นเรื่องของความต้องการนะคะ ทีนี้รัฐก็เป็นคำตอบส่วนหนึ่ง องค์กรเอกชนก็เป็นคำตอบอีกคำตอบส่วนหนึ่ง
ทีนี้คุณสรรพสิทธิ์นี่พูดถึงว่า เราควรจะมีกระบวนการป้องกันด้วย ตอนนี้นี่เราก็เริ่มโครงการนะคะว่า วันนี้องค์กรทั้งหมด 15 องค์กรด้วยกัน เชิญเด็กเข้ามาจาก 100 โรงเรียนทั่วประเทศนะคะ มาคุยถามเด็กว่าต้องการอะไร แล้วอยากจะรู้อะไร ปกตินี่เรามักจะบอกว่า เด็กจะต้องรู้เรื่องทางด้านเพศใช่ไหมคะ อยากจะใส่ตรงนี้ให้ บางทีเด็กก็หัวเราะบอกว่ารู้มาตั้งนานแล้ว มาสอนเรื่องเชยๆพรรค์นี้ เพราะฉะนั้นต้องถามเขาว่าเขาอยากจะรู้อะไร แล้วก็ต้องให้เขาตัดสินใจได้ด้วยตัวของเขาเองว่า ถ้าเผื่อคนมาไม้นี้ เด็กยังอ่อน เด็กจะสู้ได้ไหม เด็กจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า
แล้วถ้าเผื่อเขามาไม้นี้ถ้าเด็กมีกลเม็ดดีที่จะเอาตัวรอดก็เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าเผื่อว่าเด็กตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้เรื่องประสีประสาเลย สมมุติอายุซัก 11-12 อย่างนี้ ที่เป็นกลุ่มใหม่ที่เราจะลงไปจับนี่ เด็กจะทำยังไง เขาจะมาหลายแบบใช่ไหมครับ เฒ่าหัวงู เฒ่าไม่หัวงู หนุ่มหัวงูอะไรนี่ ก็จะมาแบบตรงบ้าง เฉียงบ้าง ใช้อำนาจบ้าง เด็กก็อาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่า ตัวนี่กำลังเจอลักษณะของการคืบคลาน เขาเรียกคืบคลานนะ ยังไม่คุกคามเลย แต่ว่าทำแบบเล็กๆ ดูเหมือนกับเอ็นดูอะไรอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเด็กต้องรู้ถึงทางหนีทีไล่

จินดารัตน์ – อันนี้คือวิธีการแก้ป้องกันถูกไหมคะ

นิตยา – ป้องกันอีกทางหนึ่ง ว่าเราจะต้องเรียนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมาถึงตอนสุดท้ายนี่กลายเป็นว่า ผู้หญิงอุ้มท้อง ทำร้ายลูกฆ่าอีกแล้ว เอาลูกยัดส้วมอะไรอย่างนี้ มันก็รับภาระอยู่คนเดียว

จินดารัตน์ – คุณนิตยากำลังจะบอกอย่างนี้หรือเปล่าคะ ว่าเอาล่ะ ประกาศออกมาของท่าน รมต.เหมือนกับพูดให้คนในสังคมรับรู้ง่ายๆ ประกาศออกมาให้รับรู้กันไปเลยว่า ต่อไปนี้ถ้าท้องไม่พึงประสงค์ซึ่งผู้หญิงบางคนไม่รู้ ไปที่โรงพยาบาลมีปัญหา รัฐให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือ

นิตยา – ใช่ เขาอาจจะยังไม่รู้ หรือส่วนใหญ่นี่เด็กไม่รู้ว่าตัวเองจะเกิดอะไรขึ้น เวลาตัวเราอาจจะมีอารมณ์ทางเพศ

จินดารัตน์ – ซึ่งรัฐทำมานานแล้ว แต่ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้

นิตยา – ไม่รู้ ต้องยืนยันว่าเด็กส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาใหม่ทุกวัน อายุ 11-12 นี่ไปถามดูว่า อะไรเป็นยังไง ถามว่าเด็กทุกคน 100% ตอบไม่ได้ แล้วจะถามต่อไปอีกว่าท้องแล้วจะทำยังไง ใครจะไปตอบได้ ก็ต้องไปถามเพื่อน ถามครู กล้าไหมที่จะไปถามครู กล้าไหมที่จะไปบอกพ่อกับแม่ แล้วโดยที่พ่อกับแม่ไม่ลงโทษหรือครูไม่ประณาม เพราะฉะนั้นดิฉันคิดว่าเด็กต้องมีทางออก คนที่จะให้คำตอบดีที่สุด ที่เวลาการศึกษามันบอกก็คือเด็กจะหันไปหาเพื่อน จะไปถามว่าเคยมีปัญหาทางด้านนี้ไหม แล้วจะไปที่ไหน เพราะฉะนั้นข้อมูลตรงนี้เราก็บอกว่าเราส่ง ทางรัฐก็ส่ง เอกชนก็ส่ง แต่ว่าเราต้องยอมรับว่าไม่ 100% นะ มันต้องมีที่รอดออกไป แล้วไปทำเป็นออกเป็นหน้าพาดหัวข่าวได้อย่างนี้ ก็ยังมีอยู่

จินดารัตน์ – คือถ้าประกาศออกมาชัดๆแบบนี้แล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่รับรู้แบบนี้ แล้วเด็กๆรับรู้ ถ้ามองในแง่ร้ายนะคะ จะไม่เป็นการส่งเสริมเด็กหรือคะ

นิตยา – ก็นี่เป็นคำถามที่ดีนะคะ เพราะว่าต้องดูว่าเราทำอย่างนี้จะทำให้เด็กใจแตกมากขึ้นหรือเปล่า ถามอย่างนั้นใช่ไหม มันก็ได้ทั้ง 2 ทางถ้าจะมองดีหรือมองร้ายนี่ แต่ต้องดูคำตอบสุดท้าย สมมุติว่าอย่างอเมริกาอย่างนี้ มีปัญหาเรื่องนี้มาก่อนเราแล้วล่ะ เรื่อง Sex เสรี Free Sex อะไรนี่ เขาถือกันว่านี่เป็นต้นแบบใช่ไหมคะ เมื่อก่อนนี้อัตราการท้องของเด็กวัยรุ่นนี่จะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆเลย แต่พอหลังปี 2000 เป็นต้นมานี่ เขาเริ่มตกลงแล้ว เพราะเขาทำ 2 ทาง
คือข้อ 1 นี่รัฐบาลก็เข้าไปอุ้มชู รัฐนี่หมายความว่าอาจจะเป็นมลรัฐหรือว่าอะไรด้วย แล้วก็อะไรต่างๆนี่ แม่ชีก็เข้ามากันโอบอุ้มว่า ถ้าเผื่อท้องแล้วจะมีทางเลือกยังไง จะไปทำแท้งหรือเปล่า หรือว่าใครจะเลี้ยง สุดท้ายแล้วใครจะรับ ไม่เช่นนั้นแล้วเด็กก็ เอาอย่างนี้แล้วกัน ขนาดเด็กที่โน่นน่ะ ว่าซ่าๆมีข่าวอะไรบ้างนี่ ยังเจอเลยว่าเด็กจบแล้วพ่อกับแม่ซึ่งเป็นไฮสคูลทั้งคู่นี่นะคะ ฆ่าลูกแล้วก็ไปยัด เพราะไม่รู้จะหาทางออกยังไง ก็ไปโดนในเรื่องคดีฆาตกรรม เพราะฉะนั้นอันนี้คุณจะเห็นได้ว่า แม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว เด็กก็ยังไม่ได้รับรู้

จินดารัตน์ – นั่นหมายถึงว่า วิธีการประกาศออกมาแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะไปช่วยลดจำนวนของผู้หญิงใจแตก หรือว่าท้องไม่พึงประสงค์ ฆ่าลูก ฆ่าเด็กในท้อง จริงหรือเปล่าคะ

นิตยา – ให้ทางเลือกเขามากกว่า มันต้องมี 2 อัน อันหนึ่งคือหมายความว่า ไปให้เขาป้องกัน รู้จักควบคุมตัวเอง เพื่อไม่ให้ไปสู่ทางตันตรงนั้น แต่พอเขาไปถึงทางตันนี่เราก็ต้องถามต่อไปอีกว่า เขาเป็นอาชญากรหรือเปล่า ทีเวลาเราเอาคนขังคุก โดนลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนี่ แล้วเอาเขาไปขังคุกเราเอาเขาไปทำอะไร เราก็เอาไปทำให้เป็นคนเลวลง หรือว่าเอาไปทำให้เขาดีขึ้น นี่ก็เหมือนกันยังไม่ถึงขนาดติดคุกเลย เพียงแต่ว่าเผลอตัวไปท้อง จะว่าใจแตกหรือไม่ใจแตกก็ไม่สมควรจะต้องโดนโทษประหาร ถูกไหมคะ ก็ควรจะต้องมีทางออกให้เขาว่า เขายังสามารถที่จะมีอนาคตไปข้างหน้าได้ ในเมื่อตัวเองยังอายุประมาณ 14-18 ทุกคนมีสิทธิที่ในการที่จะได้รับทางเลือก ที่จะได้รับโอกาสใหม่ในชีวิต ดิฉันว่าตรงนี้ต่างหากที่ต้องการคำตอบสุดท้าย และก็ที่เป็นสัญญาประชาคมว่า รัฐนี่จะช่วยโอบอุ้ม ถ้ารัฐไม่ทำเอง รัฐก็จะต้องให้คนอื่นเข้ามาช่วยโอบอุ้มสำหรับคนที่จนตรอก

จินดารัตน์ – แต่ในขณะเดียวกันจะต้องทำทั้ง 2 ทาง ทั้งป้องกันและก็รับมือใช่ไหมคะ

นิตยา - ใช่ค่ะ

จินดารัตน์ – คือจะต้องทำทั้ง 2 ทาง ทั้งป้องกันและก็รับมือใช่ไหมคะ คุณสรรพสิทธิ์ล่ะคะ ที่หลายคนเป็นห่วงบอกว่าประกาศออกมาชัดแบบนี้ เอาง่ายๆเลย ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ อาจจะเป็นผู้หญิงใจแตกหรือว่าท้องไม่พึงประสงค์ด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่กังวลแล้ว เดี๋ยวถ้าท้องรัฐรับเลี้ยง

สรรพสิทธิ์ – ผมว่าจริงๆแล้วเราคงเชื่อมปัญหาไม่ถูกจุดนะครับ คือเรื่องประกาศหรือประกาศ คุณวัฒนาประกาศหรือไม่ประกาศ ผมว่าไม่มีผลหรอกต่อการเปลี่ยนพฤติกรรม

จินดารัตน์ – แต่ว่าคุณนิตยาก็ยืนยันนะคะว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบ

สรรพสิทธิ์ – ไม่ใช่ ถึงทราบหรือไม่ทราบ ผมว่าไม่มีผล เพราะว่าตอนที่คนมีเพศสัมพันธ์กันนี่ มันไม่ได้นึกว่าจะต้องเอาไปฝากใครหรือเปล่า คุณนึกออกไหมครับ มันเกิดจากอารมณ์เพศนะครับ เพราะฉะนั้นจริงๆถ้าจะแก้ปัญหาที่ต้นตอจริงๆ คือควบคุมตัวเองในเรื่องเพศมากขึ้น แล้วก็รู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นทางเพศ อย่างที่คุณนิตยาพูดนี่ มันมีโครงการสำคัญอีกอันนึงนะครับ ที่คุณนิตยาไม่ได้พูดถึง คือเรื่องการของการฝึกอบรมพ่อแม่ ในเรื่องของการสอนลูกเรื่องเพศ ให้รู้จักอารมณ์เพศตัวเอง ให้รู้จักหลีกเลี่ยงการกระตุ้นทางเพศ หรืออย่างที่บอกว่าให้รู้จักวินิจฉัยวิเคราะห์ว่า ตอนนี้กำลังถูกคุกคามทางเพศแล้วนะ ต้องหลีกเลี่ยง
เพราะว่าไม่อย่างนั้นถึงจุดหนึ่งนี่ คุณจะคุมตัวเองไม่ได้เลย คุณจำเห็นไหมว่าอัตราการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์นี่เกิดขึ้นในหมู่เด็กวัยรุ่นสูงที่สุด เพราะว่าความสามารถในการบังคับตัวเอง พูดง่ายๆว่าสมองส่วนหน้ายังศักยภาพต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ขณะเดียวกันอารมณ์เพศเขามีรุนแรงได้ เพราะว่าฮอร์โมนเพศในกระแสเลือดสูงที่สุด ในทุกวัยของมนุษย์ วัยรุ่นนี่ฮอร์โมนจะอยู่ในกระแสเลือดสูงสุด ทีนี้เมื่อถูกกระตุ้นเล็กๆน้อยๆ เช่นใกล้ชิดกันเกินไป ไปกอดกันอะไรกันนี่นะ มันก็จะทำให้เกิดอารมณ์เพศและควบคุมตัวเองไม่ได้

จินดารัตน์ – เพราะฉะนั้นคุณสรรพสิทธิ์กำลังจะบอกว่าอย่างนี้หรือเปล่า ว่าการออกมาประกาศของท่าน รมต.ไม่มีผลเลยว่าจะทำให้ตัวเลขมันลดลงหรือเพิ่มขึ้น

สรรพสิทธิ์ – ไม่มีผล ผมยืนยันได้ว่าไม่มีผล

จินดารัตน์ – ควรจะไปทำเรื่องอื่น

สรรพสิทธิ์ – ผมก็ไม่ได้พูดอย่างนั้น คือไม่คิดว่าจะต้องเสนอแนะท่านอย่างนั้น แต่ถ้าท่านสนใจก็ผมคิดว่า มามองระบบคุ้มครองเด็กกับผมดีกว่า พัฒนาด้วยกันนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนมาฝากครรภ์นี่นะ ทางกระทรวงสาธารณสุขก็เริ่มเลยสิครับ ฝึกอบรมเรื่องทักษะในการเลี้ยงลูก ในการดูแลลูก แล้วก็ถ้าเห็นปัญหาปั๊บก็ส่งต่อไปให้เจ้าหน้าที่ เขาจะได้เข้าไปช่วยเหลือเลยว่า นี่เขาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์นะ จะเข้าไปช่วยเขายังไง จะแก้ปัญหายังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าผู้ชายบางคนก่อให้เกิดปัญหานี้ เขาจะต้องมารับผิดชอบอย่างไร จะได้มีกลไกไปดึงเอาตรงนั้นเข้ามาแก้ปัญหา

จินดารัตน์ – ไม่ได้หมายถึงว่าเอาผู้หญิงหรือเด็กเป็นตัวตั้ง

สรรพสิทธิ์ – ไม่ใช่อย่างเดียว

จินดารัตน์ – คือจะต้องทั้งผู้หญิงและผู้ชายถูกไหมคะ และเป็นช่วงเด็กวัยรุ่นอันนี้คือสำคัญที่สุด

สรรพสิทธิ์ – ครับ แล้วโดยเฉพาะนี่นะครับ คนยังมักจะเข้าใจผิดว่า เด็กผู้ชายไม่จำเป็นต้องควบคุมตัวเองเรื่องเพศหรอก เพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียๆ จริงๆไม่ใช่นะ อันที่ 1 ก็คือถ้าเขาไปเกิดมีอารมณ์เพศในขณะที่ฝ่ายหญิงไม่มีใครมีอารมณ์เพศกับเขานี่ เขาอาจจะไปล่วงเกินทางเพศคนอื่น อันนี้เป็นประเด็นแรก ประเด็นที่ 2 การที่เขามีอารมณ์เพศแล้วไปมีเพศสัมพันธ์ทันที เขาไม่ได้เตรียมตัวไป ที่จะป้องกันไม่ให้มีการติดลูกติดโรค เพราะว่าเขาไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่ว่าด้วยความที่เผอเรอ ไปใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามมากเกินไป เกิดอารมณ์ แล้วก็เลยไปด้วยกัน อย่างเช่นมีข่าวใช่ไหมครับ ผู้หญิงผู้ชายนั่งกอดกันท้ายรถ กอดไปกอดมาก็ล้วงควัก ซักพักนี่ก็ลงจากรถไปเลย เตลิดไปเลย เข้าใจว่าจะไปหาที่ทางที่จะไปมีเพศสัมพันธ์หรืออะไรซักอย่าง เพราะว่าเขาคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งตรงนี้มันจะต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ เรื่องของปัจจัยกระตุ้นทางเพศที่มีต่อเด็กนี่ มันจะต้องมีการควบคุม
ผมยกตัวอย่างนะครับ อย่างพ่อแม่นี่สามารถจะครอบครองวัตถุลามกได้ ไม่ผิดกฎหมาย ถ้ามันไม่ถึงขั้นเรียกว่าใช้ความรุนแรง ร่วมประเวณีกับสัตว์ หรือมีกับเด็กอะไรอย่างนี้นะครับ แต่ว่าก็ต้องดูว่าต้องเก็บให้มิดชิด ไม่ใช่ว่าเอามาดูเอามาแสดงต่อหน้าเด็ก หรือให้เด็กมีส่วนร่วมรู้เห็น และก็สามารถจะเอามาเล่นได้ มาดูเองได้ เหมือนกับปืนน่ะครับ ต้องเก็บรักษาให้ดี ถ้าเก็บรักษาให้ไม่ดีเด็กเอาเล่นตายหรือบาดเจ็บ อันนี้ก็เหมือนกันครับ วัตถุลามกพวกนี้ถ้าคุณมีสำหรับเอนเตอร์เทนตัวเองนี่นะ แล้วเก็บให้ดี แล้วเด็กเอาไปดูเอาไปเล่น แล้วเขาก็จะเกิดมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา

จินดารัตน์ – ทางกระทรวงทำอยู่ไหมคะ

ชลาทิพย์ – ค่ะ คือดิฉันมองว่าท่านอาจารย์สรรพสิทธิมองในเรื่องการป้องกันที่ว่า พ่อแม่ต้องสอนลูก อันนี้ก็ต้องทำ แต่ขณะนี้ปัญหาความรุนแรงมันเกิดขึ้นแล้ว ที่ว่ามีการทิ้งลูก มีความสัมพันธ์ทางเพศก่อนวัยอันควรอะไรอย่างนี้ เราก็ต้องทำไปพร้อมๆกันถูกไหมคะ ก็ต้องทำทั้งเรื่องสอนพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ต้องทำทั้งเรื่องว่า เมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้วนี่ เราจะช่วยเหลือได้อย่างไร คือไม่ใช่เป็นการส่งเสริมนะคะ ดิฉันย้ำเลยว่าไม่ได้เป็นการส่งเสริมในความเห็นของผู้ปฏิบัติงาน แต่ในการที่จะช่วยเหลือเด็กไม่ให้เกิดอันตราย

สรรพสิทธิ์ – คือประเด็นนี้ผมเองก็ไม่ได้คัดค้านนะครับ คือผมเรียนยืนยันไว้แล้วว่า จริงๆแล้วเราจำเป็นจะต้องเข้าไปดูแล ในกรณีตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ทำอย่างไรจะให้เขาแก้ปัญหาได้ แล้วก็ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ เด็กที่กำลังจะเกิดก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่

จินดารัตน์ – งั้นพูดอย่างนี้ได้ไหมคะ คุณสรรพสิทธิ์คะ ถ้ากระทรวงจะออกมาพูดกรณีการแก้ปัญหาแบบนี้ ให้มองที่ต้นเหตุ การแก้ที่ต้นเหตุด้วย

สรรพสิทธิ์ – ต้องดูทั้งกระบวนเลยครับ ไล่มาเรื่อยๆ อาจจะสมมุติว่ากลั้นไม่อยู่แล้ว เขาเกิดมีเพศสัมพันธ์แล้วท้องขึ้นมา ก็มีกระบวนการเตรียมความพร้อมว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องนี่มีส่วนรับผิดชอบยังไงบ้าง พ่อแม่ของเด็ก 2 คนนี้ คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะมารับผิดชอบในกรณีนี้ยังไงกับเด็กที่เกิดใหม่ สมมุติว่าไล่ไปแล้วนี่มันไม่ไหว มันไม่มีทางทำอะไรได้แล้วในครอบครัวนี้ ส่งเข้ามาสู่ระบบรัฐเพื่อหาข้อมูลทดแทน ถ้าหาครอบครัวทดแทนไม่ได้ยังไง ก็ในที่สุดก็อาจจะต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์ อันนี้มันเป็นปลายทางทางสุดท้ายแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะไปถึงสถานสงเคราะห์นี่มันมีกระบวนการมากมายนะครับ แล้วก็กระบวนการตรงนี้มันอาจจะไม่สั้น ไม่เรียบง่ายประเภทแบบว่า มาบอกเลยตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ยกเด็กมาเลยไม่ใช่อย่างนั้น อันนั้นมันเป็นเพียงแต่ว่าพูดถึงหลักการ

จินดารัตน์ – นั่นหมายถึงว่าตอนพูดถึงแนวคิดนี้ ท่านอาจจะไม่ได้พูดถึงรายละเอียดให้ได้ทราบกัน ว่าขั้นตอนกระบวนการอย่างไร

สรรพสิทธิ์ - ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น