xs
xsm
sm
md
lg

โผทหารชุดใหม่ คำถามเรื่องความเหมาะความควร ?

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ข่าวความคืบหน้าเรื่อง โผทหาร ขณะนี้ได้ข่าวล่าสุดมาว่าทาง กระทรวงกลาโหม ได้จัดทำ โผใหม่ ขึ้นเพื่อรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมา ลงนามใหม่ และดำเนินการต่อไป ตามกระบวนการอีกครั้ง แต่จะปรับวิธีการเสียใหม่เป็น ดำเนินการด้วยตนเอง – ไม่ส่งขึ้นไปตามระบบ หวังจะตัดปัญหาในส่วนที่มี ความเห็น มาจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ - และคณะ ในโผใหม่เท่าที่ทราบแน่ ๆ คือจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ จาก พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ เป็น คนใหม่ แต่จะไม่ใช่ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี เสนาธิการทหารอากาศคนปัจจุบันที่เป็น The Candidate แต่จะหันไปดัน พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก – ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการยุทธทางอากาศ ขึ้นมารับบท ตาอยู่ และที่น่าจับตาก็เห็นจะเป็น พล.อ.อ.อัครชัย สกุลรัตนะ ที่จะขึ้นชั้นมาเป็น รองผู้บัญชาการทหารอากาศ เนื่องจากมีแนวโน้มจะถูกวางตัวให้เป็น มือทำงาน และแม้ พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ จะ พลาดหวัง แต่ก็ยังได้ขึ้นไปติดยศ อัตราจอมพล ที่ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะที่ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ในโผใหม่นี้จะหนักกว่าโผเก่าอีกเพราะนอกจากจะต้องพ้นจากกองทัพอากาศเหมือนเดิมแล้วยังหลุดวงโคจรไปอยู่ที่ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหม ไม่มีโอกาสเสนอความเห็นค้านใครเรื่อง ซู – 27 อีก

•• ถ้าจะพูดกันในเรื่อง รุ่น ให้บังเอิญที่ พล.อ.อ.อัครชัย สกุลรัตนะ เป็น รุ่นห้าเล็ก หรือ ตท. 5 เช่นเดียวกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร, พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา และ พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์ ในขณะที่ว่าที่ผู้บัญชาการทัพฟ้าในโผใหม่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก เป็น ตท. 6 รุ่นเดียวกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี เพียงแต่ อ่อนอาวุโสกว่า 1 ปี พอดี

•• ใน โผใหม่ ที่คณะทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หวังว่าเรื่องจะ เร็ว เพราะท่านผู้นำจะ ดำเนินการด้วยตนเอง – ไม่ส่งขึ้นไปตามระบบ นี้จะเปลี่ยนตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จาก พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ เป็น พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ด้วยหรือไม่ทิศทางข่าวที่เข้ามาไม่ตรงกัน “เซี่ยงเส้าหลง” ยัง ไม่ขอยืนยัน ในประเด็นนี้

•• เอาเป็นว่าขณะนี้มี 3 โผ คือ หนึ่ง - โผเก่า, สอง – โผเก่าที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์และคณะเสนอความเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงบางตำแหน่ง และ สาม – โผใหม่ที่จะดำเนินการตามกระบวนการด้วยวิธีใหม่โดยตัวนายกรัฐมนตรีเอง สรุปสั้น ๆ ไว้แค่นี้มีความคืบหน้าอย่างไรจะนำมาเล่าสู่กันฟังโดยไม่ชักช้า

•• สรุปสั้น ๆ อีกมุมหนึ่งเฉพาะตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เท่านั้น โผหนึ่ง = พล.อ.อ.ระเด่น พึ่งพักตร์, โผสอง = พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี และ โผสาม = พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก โปรดเข้าใจตามนี้

•• ผลจะออกมาเป็นอย่างไรไม่สำคัญเท่า ความเหมาะความควร ที่เป็นเรื่อง มองต่างมุม ฟากฝ่ายรัฐบาลที่จัดทำ โผใหม่ แม้จะ ยอมเปลี่ยนแปลงตำแหน่งปัญหา แต่ก็ต้องการให้เกิดภาพว่า เป็นการปรับเปลี่ยนด้วยตนเอง เพื่อคงไว้ซึ่งภาพ ศักยภาพการนำ ว่ายังคง มีอำนาจเต็ม ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่หากเกิดภาพ สูญเสียอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร อาจจะก่อให้เกิด ผลข้างเคียง, โรคแทรกซ้อน ที่ยากจะประเมินระดับของ ความเสียหาย ควรเข้าใจว่าสถานการณ์ในปีนี้แตกต่างกับเมื่อปีที่แล้วที่มีการโยกย้าย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ไปอยู่ที่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทั้งนี้เพราะการผลักดัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก นั้นไม่ได้มาจาก ภายนอก หากมาจาก พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงอย่างไรก็เป็น คนใน แต่การแก้เกมเช่นนี้จะ ได้ผล หรือ ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เนื่องเพราะจะทำให้ถูกมองว่า เหิมเกริม, อหังการ ในทำนอง ไม่เห็นผู้ใดในแผ่นดินอยู่ในสายตา อันจะนำมาซึ่ง ผลข้างเคียง, โรคแทรกซ้อน ที่ยากจะประเมินระดับของ ความเสียหาย อีกเช่นกันนั้นวันนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ยังไม่สะดวกที่จะสนทนา

•• ไปเรื่องอื่นกันบ้างดีไหม ขึ้นค่าไฟฟ้า, เลิกรถไฟฟ้า 2 สาย ท่ามกลาง สถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะได้เห็นเบนซิน 95 ราคา 30 บาท/ลิตรอยู่รอมร่อ ความจริงของชีวิตที่คนไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่แม้ดูเหมือน คนละเรื่อง แต่คิดให้ดีแล้ว เรื่องเดียวกัน โดยตรง

•• ประเด็นเรื่อง ขึ้นค่าไฟฟ้า เพื่อ สะท้อนต้นทุน นั้นเป็นผลโดยตรงมาจาก นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภค – แบบเฉือนหุ้นส่วนหนึ่งเข้าตลาด เรื่องนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” พูดแล้วพูดอีกในส่วนที่กล่าวถึง กำไรอัปลักษณ์ของปตท. ว่าเป็นนโยบายที่ ตระบัดสัตย์, ลักไทย คงจะไม่ต้อง พูดซ้ำพูดซากเพราะพูดไปก็ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หากไม่มี ปาฏิหาริย์ – เปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเร็ววัน แต่ควรที่คนไทยทั่วไปจะได้ ศึกษาให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะไม่ตกเป็น เหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อ เช่นเดียวกับอีกปรากฏการณ์อีก 2 เรื่อง เลิกรถไฟฟ้า 2 สาย + สถานการณ์ราคาน้ำมันที่จะได้เห็นเบนซิน 95 ราคา 30 บาท/ลิตรอยู่รอมร่อ ที่ไม่รู้รัฐบาลพูดออกมาได้อย่างไรว่าเหตุผลที่ทำให้ชะลอโครงการไปก่อนก็เพื่อให้ คุ้มค่าแก่การลงทุน และ ตอนที่คิดโครงการ – ต้นทุนราคาน้ำมันยังไม่สูงเท่านี้ คิดแบบนี้ ไม่คู่ควรกับการบริหารประเทศ ประการหนึ่งที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือ ระบบขนส่งมวลชน ไม่มีที่ไหนในโลก คุ้มค่าแก่การลงทุน แต่เป็นเรื่องที่ รัฐต้องลงทุนให้เพื่อลดต้นทุนในการดำรงชีวิตของคนที่มีรายได้น้อย – โดยเก็บรายได้คืนจากคนที่มีรายได้มาก ประการหนึ่งตอนที่คิดโครงการนี้ออกมา หาเสียง สถานการณ์ราคาน้ำมันก็ เป็นที่รู้กันดีว่าอยู่ในช่วงราคาสูงแล้ว อีกประการหนึ่งสถานการณ์น้ำมันราคาสูงเช่นนี้ ยิ่งจำเป็นต่อการลงทุนระบบขนส่งมวลชน และประการสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ก็คือ หัวใจของระบบขนส่งมวลชน คือเส้นทางที่ ขนคนจำนวนมากระหว่างนอกเมือง-ในเมือง ไม่ใช่เส้นทางที่ วนอยู่แต่ในเมือง ซึ่งแม้จะดูเหมือน คุ้มค่าแก่การลงทุน แต่ก็ไม่ได้เป็นผลโดยตรงต่อกระบวนการ ลดต้นทุนในการดำรงชีวิตของคนที่มีรายได้น้อย สรุปก็คือเรื่องพรรค์อย่างนี้ไม่ใช่แค่เพื่อ หาเสียง บางครั้งอาจต้อง เสียเสียง เสียด้วยซ้ำเพราะปรัชญาของระบบขนส่งมวลชนที่ถูกต้องนั้นคือ ลดการใช้รถยนต์ จึงต้อง เรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้นจากผู้ที่ยังประสงค์จะใช้รถยนต์มาสร้างสาธารณูปโภคให้ผู้ที่ไม่มีรายได้พอจะใช้รถยนต์และ/หรือยินดีลดและเสียสละการใช้รถยนต์ เรื่องก็มีหลักอยู่เท่านี้

•• ภายใต้สถานการณ์องค์รวมที่สรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ว่า วันชื่นคืนสุขเพราะราคาน้ำมันถูกผ่านไปแล้ว – ชีวิตจริงจากนี้ไปจะไม่เหมือนเดิมแล้ว รัฐบาลจะต้องสื่อถึง ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนชั้นกลางในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ว่าต้องเริ่มต้นคิดถึง การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต แค่มาตรการปลายเหตุประเภทสารพัดสารพันนั้นก็แค่ หนังตัวอย่าง ชีวิตจริงข้างหน้า ราคาน้ำมันจะเป็นตัวกำหนดชีวิตที่แท้จริง ที่จะด่าจะประณามใครก็ ไร้ผล เพราะที่ผ่านมาพูดโดยภาพรวมแล้วคนไทย เสพสุข จาก นโยบายเอาใจชนชั้นกลาง มา นานพอ จากนี้ไปไม่นานนักข้างหน้าไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนถึงที่สุดก็ต้องเริ่มต้น นโยบายใหม่ ที่เสมือน เอาคืน จาก คนชั้นกลางในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ใครก็ตามที่ เลือกที่จะใช้รถยนต์ (หรือ จำเป็นที่จะต้องใช้รถยนต์) ถึงจุดหนึ่งก็ต้อง จ่าย สิ่งที่อาจจะเรียกว่า ภาษีถนน เพื่อนำไป คืน ให้กับ ผู้ที่ไม่ได้เลือกใช้รถยนต์ (หรือ ไม่มีกำลังพอที่จะใช้รถยนต์ได้) เพื่อ ความเป็นธรรม ที่ผ่านมา 40 – 50 ปี ถนน ที่สร้างขึ้นมาโดย ภาษีอากรของคนทั้งประเทศ ซึ่งแน่นอนเป็น คนที่ไม่ได้เลือกใช้รถยนต์ มากกว่า คนใช้รถยนต์ แต่กลายเป็นว่ามารับใช้คนเพียงกลุ่มเดียว ภาษีถนนรูปแบบต่าง ๆ จะต้องถูกแปรมาให้ ระบบขนส่งมวลชน ทั้งเพื่อ สร้าง (+ ซื้อ) และ ตรึงราคา ซึ่งในที่สุด คนที่เลือกใช้รถยนต์ (โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นไปเพราะ ความจำเป็น) ก็จะมี ทางเลือกใหม่ ขึ้นมา

•• แทนที่จะเป็นประโยค “...ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน.” ทำไมไม่ทำให้เป็นประโยค “...รัฐบาลนี้.” ที่มี เสถียรภาพทางการเมือง และการสนับสนุนจาก คนรากหญ้า (ที่ส่วนใหญ่เป็น ผู้ที่ไม่ได้ใช้รถยนต์) เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลนี้ก็เริ่ม Bypass ออกจาก คนชั้นกลางในเมืองหลวง ไประดับหนึ่งแล้ว

•• นี่คือ นโยบายเอื้ออาทร ที่ สุดยอด, แท้จริง เพราะเป็นด้านที่ เอื้ออาทรคนรากหญ้า ไม่ได้ เอื้ออาทรกลุ่มทุนใหญ่อุตสาหกรรมรถยนต์ เชื่อว่าในไม่ช้าจะสามารถช่วงชิง คนชั้นกลางในเมืองหลวง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น คนไม่ได้เลือกใช้รถยนต์ และ คนที่ใช้รถยนต์เพราะความจำเป็น กลับคืนมาได้ไม่ยาก

•• ไม่ใช่เรื่อง เผด็จการ, จำกัดสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นความเป็นธรรมภายใต้หลัก ผู้ใดใช้ประโยชน์จากระบบสาธารณูปโภคมากกว่า – ผู้นั้นจ่ายมากกว่า นี่แหละคือการแก้ปัญหา ประหยัดพลังงาน, จราจร อย่างชนิด ยั่งยืน แท้จริง

•• ประเด็น เลิกรถไฟฟ้า 2 สาย คนที่พูดเรื่องนี้ได้ดีคือ กรณ์ จาติกวณิช ถ้าแกล้งลืมไปว่าวันนี้เขาสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็น วาณิชธนกิจคนหนึ่ง จะพบประเด็นน่าสนใจมาก “เซี่ยงเส้าหลง” ขอตัดตอนบางส่วนที่เขาได้ให้สัมภาษณ์รายการ สภาท่าพระทิตย์ มาให้พิจารณากัน

กรณ์ จาติกวณิชย์
“ไม่รอบคอบหรือตั้งใจหลอกลวง”

สภาท่าพระอาทิตย์ – เรื่องของรถไฟฟ้าสายสีส้มสายสีม่วง ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยพูดไว้ตอนอภิปรายนโยบายในทำนองว่ารัฐบาลควรคิดให้รอบคอบว่ามันจะคุ้มหรือไม่ ถึงวันนี้มองอย่างไร

กรณ์ – มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาในการลงทุน คือที่เราคัดค้านจริง ๆ นี่ เราก็บอกว่าการที่รัฐบาลคิดจะเร่งลงทั้ง 7 สายพร้อมกันภายใน 5 ปี มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก

ในส่วนของข้อเสนอว่าจะมาเปลี่ยนเป็น BRT กระทรวงคมนาคมก็ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด เป็นเรื่องใหม่ที่คิดขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ต่าง เราก็ต้องเรียนด้วยว่าตลอดช่วงที่ทางกทม.ได้มีข้อเสนอที่จะดำเนินการระบบ BRT ใน 2 เส้นทางในกทม. ทางผู้แทนของทางพรรคไทยรักไทยในสภากทม.ก็ได้อภิปรายคัดค้านโครงการ BRT มาตลอดด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา วันนี้ก็คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะว่ารัฐบาลซึ่งเป็นของตัวเองต้องกลับมาใช้โครงการนี้

ซึ่งก็ต้องระวังอีก ต้องคิดให้ดี ๆ

เพราะว่าถ้าอยู่บนพื้นที่ราบ ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่ามันก็จะแย่งช่องทางถนนฝั่งละ 1 ช่องทาง โดยที่รถยนต์ทั่วไปจะเข้าไปใช้ไม่ได้เลย ในขณะที่รัฐมนตรีบอกว่าไม่เป็นไร ถนนเส้นไหนแคบเกินไปก็ไปทำยกระดับ ซึ่งถ้ายกระดับแล้ว ค่าใช้จ่ายในการลงทุนมันเทียบกับรถไฟฟ้ายกระดับก็ต่างกัน คือ...ประมาณ 400 ล้านต่อกิโลเมตร กับประมาณ 1,100 ล้านบาทนะ คือราว ๆ ครึ่งหนึ่ง

ถามว่าคุณจะเปลี่ยนจากรถไฟมาเป็น BRT เพื่อลดค่าใช่จ่ายจำนวนเท่านั้นนี่ เหมาะสมแล้วหรือยัง เพราะว่ารถไฟฟ้านี่ก็เป็นที่รู้กันว่าจะรับผู้โดยสารได้มากกว่า BRT ราว ๆ 5 เท่า ก็คงจะเป็นรายละเอียดที่จะต้องพิจารณา

เมกะโปรเจกต์ยังงบเท่าเดิมอยู่ ยังไม่ได้ลด

เพราะฉะนั้น...นี่ไม่ใช่เหตุผลที่รัฐบาลยอมรับ

รัฐบาลมาบอกว่าตรงนี้ปรับลดลงมา เพราะส่วนนี้ไม่คุ้มทุน ผมบอกได้เลยครับถ้าคิดอย่างนี้มันไม่คุ้มทุนมาตั้งนานแล้ว ไม่คุ้มทุนมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ขอให้ฟันธงอย่างนั้นด้วยซ้ำไป แต่ว่ารัฐบาลก็ยืนยันโฆษณามาโดยตลอดว่ายังไงก็แล้วแต่ จะทำ เพราะมีประโยชน์

เอาเข้าจริง ๆ แล้ว คุณคิดว่าเหตุผลใดที่สำคัญที่สุดทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนความตั้งใจกลับมาใช้บริการ BRT

รัฐบาลนี้อ่านยากนะ

แต่รัฐมนตรีพงษ์ศักดิ์ฯก็เฉลยออกมา โดยอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ท่านบอกว่างบที่ใช้นี่ประหยัดไป 2 แสนล้านจาก 5 แสนกว่าล้าน ลดลงมาเหลือ 3 แสนกว่าล้าน แล้วท่านก็บรรยายต่อว่า 3 แสนกว่าล้านนี่ 1 แสนล้านจะมาจากงบประมาณ อีก 2 แสน 2 หมื่นล้านโดยประมาณนี่จะมาจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ก็คือการรวบรวมรายได้ที่จะเกิดที่จะได้รับจากโครงการ แล้วเอารายได้นั้นมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้เงินจากประชาชน หรือในกรณีนี้คือออกพันธบัตร

ตรงนี้นี่มันหมายความว่ายังไง นักลงทุนหรือประชาชนพร้อมจะซื้อเขาต้องได้ผลตอบแทนจากการซื้อพันธบัตรในหลักที่เขาพอใจ พูดง่าย ๆ ความคุ้มค่าของประชาชน มันสืบไปถึงความคุ้มค่าของโครงการที่จะต้องมี ถ้ารายได้ของโครงการไม่เพียงพอ ประชาชนก็ไม่ซื้อพันธบัตร

แทนที่จะวัดในแง่ของความคุ้มค่าของโครงการ โดยการวัดผลตอบแทนที่มีต่อสังคมโดยรวม รัฐบาลก็เลยบีบบังคับตัวเองให้วัดด้วยผลตอบแทนทางการเงินอย่างเดียว

เพราะระบบการหาทุนของรัฐบาลมันบังคับให้เป็นอย่างนั้น

ฟังตามนี้ก็คือ....เรื่องของเม็ดเงิน เรื่องของงบประมาณ เป็นเรื่องใหญ่สุดนะ

จริง ๆ โครงการระบบสาธารณูปโภคนี่ เราต้องยอมรับว่าผลตอบแทนทางการเงินนี่มันต่ำอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ทั่วโลกขาดทุนด้วยซ้ำไป ที่ทำนี่ทำเพื่อประโยชน์ที่จะมาจากทางอื่น เช่น การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง เวลาในการเดินทางของประชากรที่เร็วขึ้น

แต่เมื่อรัฐบาลมาใช้ระบบการจัดหาทุนแบบนี้นี่ มันก็เลยบังคับให้รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ และให้น้ำหนักกับผลตอบแทนทางการเงินมากกว่าที่ควร นี่คงจะเป็นสาเหตุสุดท้ายที่บังคับให้รัฐบาลต้องปรับลดขนาดของโครงการ

แต่ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ ทำไมถึงใช้เวลายาวนานหลายปี จนจะเริ่มลงทุนแล้ว ถึงได้มาปรับเปลี่ยนรายละเอียดของโครงการ

อันนี้ก็ยังว่าไม่ใช่คำตอบสุดท้ายนะ ไทยรักไทยเขาก็ยังเปลี่ยนแปลงความคิดได้อีก ถูกต้องไหม

นี่คือปัญหา

สุดท้ายแล้วมันมีอีก 1.7 ล้านล้านบาท เราเคยพูดหลายครั้งว่าที่มาของเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ไม่ได้คิดแบบเป็นระบบ ไม่ได้คิดแบบมียุทธศาสตร์เชื่อมโยงกัน มันคือการรวบรวมโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาทเข้ามา แล้วก็เหมาเรียกว่าเป็นเมกะโปรเจกต์ ฟังดูเหมือนกับว่านี่เป็นนโยบายที่คิดละเอียดแล้ว มีความเชื่อมโยงที่จะผลักดัน ตอนนี้เราเห็นว่ามันไม่ใช่

ทีนี้ ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการได้เสมอนี่ มันก็ทำให้ทุกคน ประชาชน นักลงทุน เริ่มมีความไม่มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วโครงการที่เหลืออยู่ มีการปรับเปลี่ยนอะไรยังไงหรือไม่ในอนาคต ตรงนี้จะเป็นตัวเพิ่มต้นทุนของรัฐบาล เพราะความเสี่ยงที่มาจากความไม่แน่นอน มันทำให้การระดมทุนเพื่อการลงทุนในโครงการต่าง ๆ จะสูงขึ้น เพราะนักลงทุนจะมีความไม่มั่นใจมากขึ้น ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดจริงหรือไม่ และผลตอบแทนจะเป็นยังไง

ตอนช่วงที่เขาจะทำรถไฟฟ้า 7 สาย เขาบอกว่าตอนนั้นต้นทุนราคาน้ำมันนี่มันยังไม่สูงขนาดนี้ไงครับ พอถึงช่วงนี้ราคาน้ำมันมันพุ่งไป 60 – 70 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล มันก็จำเป็นต้องปรับลดขนาดลงมา อันนี้เป็นเหตุผลของรัฐบาล

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมีผลกระทบต่อการลงทุนทุกประเภท แล้วทำไมคุณถึงไม่พิจารณาอีกล้านกว่าล้านบาทที่ยังเหลืออยู่ด้วย คุณกำลังบอกผมหรือ บอกว่าค่าต้นทุนส่วนนั้นไม่เพิ่มขึ้น มันก็เพิ่มขึ้นเหมือนกันแหละครับ

แต่ในแง่กลับกัน โครงการขนส่งมวลชนนี่ต้นทุนเพิ่มขึ้นก็จริง แต่มันจะนำมาซึ่งการประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง มันยิ่งน่าจะเป็นประเด็นที่คุณจะต้องพิจารณาเร่งลงทุน ถ้ามองในแง่นั้น

ข้อตำหนิคือ รัฐบาลไม่ควรจะเอามาหาเสียง

ไม่ใช่หาเสียงอย่างเดียว มันมีผลกว้างขวาง เพราะนี่คือนโยบายหลักของรัฐ ถ้าประชาชนอิงนโยบายหลักของรัฐไม่ได้ ประชาชนจะอิงอะไรเป็นหลักในการตัดสินใจ ในกรณีนี้ผลของการเปลี่ยนแปลงโครงการนี้มีผลกว้างขวางมากกับประชาชน คือการพิจารณาว่าจะซื้อบ้านอยู่ที่ไหน จะส่งลูกไปโรงเรียนไหน แม้แต่จะเลือกทำงานที่ไหนนะครับ ก็ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของระบบขนส่ง

เรื่องแบบนี้ล้อเล่นไม่ได้เลย...ว่าอย่างนั้น

วันนี้หนังสือพิมพ์บอกว่า เพียงแค่เรื่องของโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีผลกระทบมีมูลค่าโดยรวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท เพราะทุกคนก็ตัดสินใจโดยอ้างถึงนโยบายของรัฐบาล และระบบขนส่งมวลชนเป็นนโยบายสำคัญอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่างที่ว่า เรื่องอย่างนี้นี่คุณจะประกาศ คุณจะออกมาตอกย้ำในแง่ของความมั่นใจ คุณต้องมีความเชื่อมั่น มีความรอบคอบมากกว่านี้

อันนี้ผมฝากถามเลยว่ารัฐบาล....ผมให้เลือกอยู่ 2 ทาง...

หนึ่ง...คุณไม่รอบคอบ หรือสอง...คุณตั้งใจหลอกลวง

มันไม่มีทางอื่นครับ

คุณมีข้อแนะนำที่ดี ๆ ต่อรัฐบาลบ้างไหม จะหาทางออกอย่างไรกับ 2 เส้นทางนี้

ตามสามัญสำนึก คุณก็ลงทุนในสายที่คนใช้มากที่สุดก่อน ซึ่งก็จะอยู่ใจกลางเมือง ผมบอกได้เลย...คือเส้นเขียว เส้น BTS ที่มีอยู่แล้ว การขยายเส้นทาง BTS เป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด เพราะว่าระบบตรงกลางมันมีอยู่แล้ว นอกจากนั้นส่วนที่ต่อเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยาจากสถานีสะพานตากสิน ระบบสาธารณูปโภคก็ทำไว้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว รอที่จะวางรางและสร้างสถานีอย่างเดียว ทุกคนบอกผมบอกว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี หรืออาจจะเพียงแค่ 10 เดือนด้วยซ้ำไป

แต่กทม.พยายามที่จะเร่งรัดของให้ครม.อนุมัติให้กทม.ร่วมลงทุนตรงนี้อย่างเป็นทางการมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี ครม.ก็เลือกที่จะไม่อนุมัตินะ

ถามว่าทำไม

เพราะรัฐบาลนี้มีเจตนามาโดยตลอดว่าจะพยายามหาวิธีซื้อ BTS จากภาคเอกชน และเกรงว่าการต่อสายให้กับ BTS นั้นจะเพิ่มราคาของหุ้นและหนี้ของ BTS ให้กับรัฐบาล ตรงนี้นี่นะครับผมบอกได้เลย 10 เดือน คุณสามารถที่จะเชื่อมต่อข้ามไปให้พี่น้องชาวฝั่งธนได้ประโยชน์จากระบบขนส่งมวลชน พูดง่าย ๆ ขอให้ทำสิ่งที่ง่ายก่อน ทำสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดก่อน แล้วก็ค่อยขยายวงจากจุดนั้นออกไป

แล้วสำคัญที่สุด ขอให้พูดความจริงเสียทีว่าตกลงอะไรเป็นอะไร

กำลังโหลดความคิดเห็น