“ขอยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงโผทหารแล้ว ใครจะเปลี่ยนได้ นายกรัฐมนตรีเซ็นไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยน”
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
26 สิงหาคม 2548
..........................
คำพูดประโยคนี้ไม่ควรออกมาจากปากข้าราชการระดับสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นข้าราชการระดับสูงนามสกุลเดียวกับนายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในประเทศที่ยังคงปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรีคนที่นามสกุลเดียวกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน ควรจะเรียกลูกผู้พี่คนนี้มาสอนวิชารัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารแผ่นดินเบื้องต้น รวมถึงวิชาคุณสมบัติพื้นฐานเบื้องต้นของความเป็นคนไทย เสียในทันที
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีเป็นพระราชอำนาจ
กระทำโดยพระบรมราชโองการ
แม้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ จะเป็นผู้กลั่นกรองทูลเกล้าฯ เสนอบัญชีรายชื่อขึ้นไปเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก็มีค่าเสมอเพียง...
ผู้ถวายคำแนะนำ
พระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ที่ควรทราบว่าแยกเป็น 2 ประเภท
พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง -- ทรงใช้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
พระราชอำนาจในการไม่แต่งตั้ง, พระราชอำนาจในการยับยั้ง -- ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย เป็นพระราชอำนาจที่เป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันไม่อาจก้าวล่วงได้ พระราชอำนาจในส่วนนี้มีบทยกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้นในกระบวนการตราพระราชบัญญัติ ที่เปิดโอกาสให้รัฐสภายืนยันได้
เฉพาะในเรื่องของกองทัพยิ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ
ควรเข้าใจว่า....
พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “จอมทัพไทย” ทั้งโดยราชประเพณี และโดยกฎหมาย
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำสูงสุดหนึ่งเดียวของกองทัพตลอดมาและตลอดไป
ต้องไม่ลืมว่าในรัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่ว่าฉบับนี้หรือฉบับไหนบัญญัติไว้ว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย”
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้ในหมวด 2 มาตรา 10
มาตรา 222 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึกตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก
มาตรา 223 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
พระราชสถานะเช่นนี้ ผู้ที่เข้าใจถ่องแท้ย่อมเห็นว่ามิใช่เป็นเพียงแบบพิธี หากแต่จะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ ไว้ว่าการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนของการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่เสมอเพียงผู้ถวายคำแนะนำเท่านั้น
เมื่อมีสัญญาณว่าเกิดปัญหาทางใดทางหนึ่งขึ้น
ก็ชอบที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลฯ เพื่อรับพระราชทานคำปรึกษาหารือ และดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ไม่ใช่ออกมาพูดเยี่ยงคนไร้รากไร้วัฒนธรรมและไร้ความรู้เบื้องต้นทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้
....................................
รากศัพท์คำว่า “กษัตริย์” มาจากภาษาสันสกฤต “กฺษตฺริย” แปลว่า “ผู้ป้องกันภัย” หรือ “ชาตินักรบ”
ตรงกับภาษาบาลีว่า “ขตฺติย” หรือ “ขัตติยะ”
สถานะแห่ง “จอมทัพ” ของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นบทบาทพื้นฐานของผู้นำรัฐ ผู้นำชาติ ตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุคที่ต้องมีการรบพุ่งต่อสู้กันระหว่างแว่นแคว้น
ในยุคโบราณ พระมหากษัตริย์จะต้องออกนำทัพต่อสู้ข้าศึกด้วยพระองค์เอง
ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วไปทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก
อย่างคำว่า “จักรพรรดิ” ที่ใช้แทนความหมายของศัพท์ Emperor นั้น ก็มาจากรากศัพท์ละติน Imperator ซึ่งหมายถึงแม่ทัพผู้ได้รับชัยชนะในการรบ
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นที่รับรู้กันโดยไม่ต้องประกาศว่าทรงเป็นจอมทัพไทย เป็นผู้มีอำนาจเต็มเหนือกองทัพ
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการทหารในยุคที่ภัยจากลัทธิอาณานิคมจากมหาอำนาจตะวันตกเริ่มแผ่ขยายมา ส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์เรียนการทหารในต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็ทรงปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการครั้งสำคัญ รวมไปถึงการปรับปรุงการทหารไทยให้ทันสมัยเทียบเท่านานาอารยประเทศ อาทิ...
จัดตั้งหน่วยทหารมหาดเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ในปัจจุบัน
จัดกองทัพเป็น 3 ทัพสำคัญตามภูมิภาค ต่อมาเพิ่มเป็นทหารบก 7 กรม และทหารเรือ 2 กรม เป็นอิสระแก่กัน ทุกหน่วยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์
จนที่สุดได้ตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้นเมื่อปี 2435
ในยุคนั้นเองที่มีการกำหนดพระราชอิสริยยศตำแหน่ง “จอมทัพ” เอาไว้ในกฎหมาย !
โดยเมื่อปี 2430 ได้ตราพระราชบัญญัติจัดการทหาร โดยให้รวมทหารบกและทหารเรือ ตั้งเป็นกรม เรียกว่ากรมยุทธนาธิการ เพื่อรับผิดชอบในการบังคับบัญชา กรมทหารบก และกรมทหารเรือ อย่างใหม่ทั้งหมดให้เป็นระเบียบแบบแผน ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ทรงกำหนดไว้ดังนี้
1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยศตำแหน่ง จอมทัพ
2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารทั่วไป
3. นายพลตรีกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็น ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ
4. นายพลเรือโทพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
5. นายพลตรีเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ใช้จ่าย
6. นายพันเอกพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ฝ่ายยุทธภัณฑ์
7. นายพลตรีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็น ผู้บัญชาการรักษาพระราชวัง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 แม้โดยภาพรวมของยุคดูเหมือนว่าสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์จะแปรเปลี่ยนไป โดยมีเหตุการณ์หลายกรณีบ่งชี้ แต่กระนั้นก็ตามบุคคลชั้นนำทั้งหมดยังมีความเห็นพร้อมกันว่า...
พระมหากษัตริย์ยังจะต้องเป็นหลักชัยให้กับแผ่นดินและเป็นหลักชัยให้กับกองทัพ
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยคือฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2475 จึงมีข้อความระบุว่า
“กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ โดยทรงกำกับไว้ตอนท้ายว่า "ชั่วคราว" หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 9 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวของประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงร่วมร่างกับคณะกรรมการ
นายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขียนเล่าไว้ว่า
"วันหนึ่งมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ากับพระยาพหลฯไปเฝ้าที่พระตำหนักจิตรลดา มีพระราชกระแสว่าที่เขียนว่า ‘กษัตริย์’ นั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะคำนั้นหมายถึงนักรบเท่านั้น ที่ถูกจะต้องเขียนว่า ‘พระมหากษัตริย์’ คือเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ถืออาวุธปกป้องบ้านเมือง อันเป็นราชประเพณีแต่โบราณกาล...
“พระยาพหลฯกับข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยกับพระราชกระแส แล้วกราบบังคมทูลว่า มิเพียงแต่จะเขียนไว้ว่าประมุขเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ เท่านั้น หากจะถวายให้เป็น ‘จอมทัพ’ ทรงมีพระราชอำนาจเหนือบรรดาทหารด้วย...
“จึงรับสั่งว่าถูกต้องแล้ว เพราะพระราชาของประเทศต่าง ๆ ก็ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาเหนือทหารทั้งปวง ซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอำนาจในการป้องกันประเทศ และในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์มีพระราชอำนาจบังคับบัญชากำลังทหารให้ปฏิบัติการได้ด้วย และสั่งให้ทหารประพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ ละเว้นในสิ่งที่ควรละเว้น"
นี่คือรอยต่ออันงดงามระหว่าง 2 ระบอบ
นี่คือผลสืบเนื่องจากโบราณราชประเพณี มาสู่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่จะต้องมีบทถวายพระราชอิสริยยศตำแหน่งจอมทัพไทยไว้ด้วย
..................................
แต่อยากจะเตือนความจำนายกฯทักษิณ ชินวัตรถึงประวัติศาสตร์ไทยตอนหนึ่งไว้ ณ ที่นี้
เพื่อจะได้นำไปสอนสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่นามสกุลเดียวกัน
ว่า...
พระราชสถานะจอมทัพไทยในระบอบประชาธิปไตยนี้มิใช่เป็นเพียงบทถวายพระราชอิสริยยศเท่านั้น
แต่ได้เคยสำแดงพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว
ในระดับปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุด !
เรื่องนี้ ในหนังสือ “พระราชอำนาจ” ประมวล รุจนเสรีกล่าวถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้ไว้ว่า....
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้น หลวงพิบูลสงคราม (จอมพลป. พิบูลสงคราม) แพ้มติสภาในการเสนอพระราชบัญญัติตั้งเมืองเพชรบูรณ์และพระราชบัญญัติตั้งพุทธมณฑล ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังมีอำนาจทางทหาร เพราะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมยกกำลังทหารจากลพบุรี เพื่อมาจัดการกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คว่ำมติสภาฯ
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ได้ลงนามแทนพระมหากษัตริย์ในประกาศพระบรมราชโองการปลดจอมพลป. พิบูลสงครามออกจากผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และยุบตำแหน่งนั้นเสีย
แล้วตั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก และตั้งพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
เมื่อมีประกาศพระบรมราชโองการในฐานะจอมทัพไทยเช่นนี้ จอมพลป. พิบูลสงครามก็ไม่กล้าฝ่าฝืน
พระบรมราชโองการนี้เป็นเครื่องยืนยันพระราชสถานะจอมทัพไทย ที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือทหารทั้งปวง
ขอเพิ่มเติมรายละเอียดจากงานเขียนของนายปรีดี พนมยงค์ ณ ที่นี้สักเล็กน้อย
"สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้าพเจ้าปฏิบัติการแทนองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพ สั่งหลายเรื่องให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสมัยนั้น ปฏิบัติการและเว้นการกระทำสิ่งที่ควรละเว้น เช่นการที่ผู้นั้นจะยกกองทหารมาปราบปรามผู้รักชาติที่ทำให้จอมพลป.ฯ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าได้ขอร้องโดยตนเอง และขอให้นายควงฯนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับจอมพลป.ฯ ที่ลพบุรี แต่จอมพลป.ฯ ก็ไม่เชื่อ โดยเตรียมที่จะยกพลมาจากลพบุรี...
“ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่มีประกาศพระบรมราชโองการให้ประจักษ์แล้ว จอมพลป.ฯก็จะถืออำนาจประหัตประหารราษฎรได้...
“ดังนั้นเพื่อเป็นหลักฐาน ข้าพเจ้าจึงได้ลงนามแทนพระมหากษัตริย์ ในประกาศพระบรมราชโองการปลดตำแหน่งจอมพลป.ฯ จากผู้บัญชาการทหารสูงสุด และยุบตำแหน่งนั้น โดยตั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก และตั้งนายพันเอกพระยาพหลฯดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่...
“จอมพลป.ฯ ที่มีกำลังทหารใต้บังคับบัญชามาก เมื่อเห็นว่ามีประกาศพระบรมราชโองการ ก็ไม่กล้าฝ่าฝืน"
........................................
การมีประกาศพระบรมราชโองการของจอมทัพไทยปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น หาใช่เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางการเมืองไม่
หากแต่เป็นเรื่องของการกู้ชาติกู้แผ่นดิน
ที่ก่อให้เกิดผลเชิงบวกมาก
ในขณะที่จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การรวบรวมสมาชิกหน่วยใต้ดินเสรีไทยเป็นไปอย่างลำบากและเชื่องช้า เพราะรัฐบาลเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น การต่อต้านญี่ปุ่นคือการต่อต้านรัฐบาล มีความผิดฐานกบฏ ทหารและตำรวจส่วนใหญ่จึงไม่กล้าเข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย เมื่อจอมพลป. พิบูลสงครามพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปแล้ว โดยที่นายควง อภัยวงศ์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในขณะนั้นไม่ขัดขวางการทำงานของขบวนการเสรีไทย
การชักชวนทหารทั้ง 3 เหล่า และตำรวจ ให้เข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านญี่ปุ่นตามนโยบายของขบวนการเสรีไทย จึงเป็นผลสำเร็จ
นี่จึงอาจกล่าวได้ว่าพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์จอมทัพไทยมีส่วนสำคัญในกระบวนการกู้ชาติด้วย
.........................................
พระราชสถานะจอมทัพไทยในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น
ถ้าใครมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และความจำดีสักหน่อย
ก็น่าจะตระหนักดีว่าพระองค์ทรงเป็นจอมทัพไทยที่ประทับอยู่เคียงข้างทหารน้อยใหญ่ทั้งแผ่นดินที่ปกปักรักษาบ้านเมืองอยู่ในแนวหน้า
พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งดังนี้
“ประมาณปี 18 - 19 มีการสู้รบกับผกค. ได้ตามเสด็จไปที่ต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของทหาร เมื่อทรงทราบว่าทหารบาดเจ็บ ก็เสด็จไปทรงเยี่ยมด้วยพระองค์เอง....
“มีอยู่คราวหนึ่งที่เมืองน่าน ปรากฏว่ามีทหารถูกยิงบาดเจ็บสาหัสแล้วยังเอาออกมาไม่ได้ มีผู้ใหญ่ในที่นั้นกราบบังคมทูลว่าฮ.ไม่มี รับสั่งให้เอาฮ.พระที่นั่งไปรับเลย จะเสด็จไปเองด้วย อันนี้ผมประทับใจมาก คือพระองค์ท่านทรงเหมือนกับทหาร ทรงมีวิญญาณของทหาร ทรงรักใคร่ชีวิต เป็นห่วงเป็นใย ไม่ถือพระองค์ ”
ช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ในหนังสือ “พระบารมีปกเกล้า” เรื่อง “จอมทัพไทย” มีบันทึกไว้ว่า
..........................
ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพิ่งกำลังเสวยพระกระยาหาร เสียงสนามรายงานเหตุการณ์จากแนวหน้าถึงการปะทะกับผู้ก่อการร้าย มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ ขอให้ส่งฮ.มารับด่วน ทรงหยุดเสวยพระกระยาหารทันที รับสั่งกับนักบินว่า
“นำเครื่องบินขึ้นเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปด้วย”
เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งบินฉวัดเฉวียนหาที่ลง เพื่อจะรับบรรดาตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ สัญญาณพลุข้างล่างแต่ละลูกที่ยิงขึ้นมาเป็นสีแดงทั้งนั้น ซึ่งแสดงว่าเป็นเขตอันตรายลงไม่ได้ นักบินหนักใจเป็นที่สุด เพราะองค์พระประมุขของชาติประทับอยู่ ถ้านำเครื่องลงไปแล้วเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นจะทำอย่างไร
ระหว่างตัดสินใจพยายามหาที่ลงที่ปลอดภัยอยู่นั้น พระสุรเสียงทุ้ม ๆ นุ่มหูก็รับสั่งมาว่า
“ลงไปตรงนี้แหละ”
นักบินจึงตัดสินใจนำเครื่องบินพระที่นั่งลงตรงกลางป่า ซึ่งมีที่ว่างพอจะลงได้ เพราะบรรดาตำรวจ ทหาร และพลเรือนอาสาสมัคร ได้ตัดต้นไม้ใหญ่ ๆ ออกหมดเพื่อทำเป็นลานสำหรับเฮลิคอปเตอร์
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงจากเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งแล้ว ทรงสาวพระบาทเข้าหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเร็ว ทรงคุกพระชานุอยู่ข้าง ๆ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทรงจับแผลที่ถูกกระสุนปืนโดยมิได้ทรงรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
..........................
ความภูมิใจของทหารทุกคนคือได้อยู่ในกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่ใช่กองทัพของนักการเมือง
สมดังคำกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อปี 2547 ว่า....
“ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ดีใจที่ได้รับใช้ราชบัลลังก์”
อย่าลืมว่าทหารทุกหน่วยมีธงชัยเฉลิมพล
ธงชัยเฉลิมพลเป็นธงประจำหน่วยทหารที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ธงชัยเฉลิมพลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของทหาร ที่ทหารทุกคนต้องเคารพสักการะ และพิทักษ์รักษาไว้ด้วยชีวิต การปฏิบัติต่อธงชัยเฉลิมพลทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามพิธีการ ระเบียบแบบแผนที่วางไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน ในโอกาสที่จะเชิญธงชัยเฉลิมพลออกประจำที่ จะต้องเป็นพิธีการที่มีความสำคัญเกี่ยวกับเกียรติยศและเชิดหน้าชูตาเท่านั้น เช่น พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร และไปราชการสงคราม เป็นต้น
พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลกระทำขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2471 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จไปเป็นประธาน พิธีสวนสนามครั้งนั้นประกอบด้วย ทหารบก ทหารรักษาวัง และทหารเรือ ที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ณ ลานพระราชวังดุสิต
ในปี 2493 กระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้แต่ละเหล่าทัพแยกกันทำพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล
ต่อมาในปี 2500 ได้มีการประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลของทหารทั้ง 3 เหล่าทัพร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง และต่อมาก็ได้กำหนดให้หน่วยทหารในแต่ละพื้นที่จัดทำพิธีภายในหน่วย เพื่อลดปัญหาการจราจร
ปัจจุบันพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนฯ กระทำในวันที่ 25 มกราคมของทุกปี เนื่องในวันกองทัพไทย
เป็นวันที่ทหารทุกคนจะต้องกล่าวคำปฏิญาณตนว่า....
ข้าพเจ้า... (ยศ, นาม, นามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้า... จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า... จักรักษาไว้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ข้าพเจ้า... จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า... จักเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า... จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม
ข้าพเจ้า... จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการเป็นอันขาด
....................................
พระราชสถานะในฐานะ “จอมทัพไทย” ของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงเป็นของจริง
ของจริงที่เกิดขึ้นจริง
ได้รับการยอมรับนับถือจริง
จึงได้รับการรองรับบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญบัญญัติได้สารพัดเรื่อง แต่จะได้รับการยอมรับนับถือจริง ๆ ยั่งยืนจริง ๆ หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสารัตถะที่เป็นจริงในแต่ละเรื่อง
....................................
ตราบใดที่ประเทศไทยังคงเป็นประเทศไทย ตราบใดที่คนไทยยังคงเป็นคนไทย ตราบใดที่ทหารไทยยังคงเป็นทหารไทย และตราบใดที่รัฐธรรมนูญยังไม่ได้แก้ไข
พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นจอมทัพไทย
มีทั้งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และมีทั้งพระราชอำนาจในการไม่แต่งตั้ง
นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ถวายคำแนะนำเท่านั้น
หากถามว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีลงนามทูลเกล้าฯ ขึ้นไปแล้ว เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
ตอบว่าเปลี่ยนแปลงได้
และหากถามว่าในการเปลี่ยนแปลงรายชื่อที่นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีลงนามทูลเกล้าฯ ขึ้นไปแล้ว ใครจะเป็นคนเปลี่ยน
ตอบว่าก็คือตัวนายกรัฐมนตรีเอง
เพราะเมื่อมีสัญญาณว่าเกิดปัญหาทางใดทางหนึ่งขึ้น เป็นต้นว่าไม่ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานกลับคืนลงมาภายในระยะเวลาหนึ่ง
ก็ชอบที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลฯ เพื่อรับพระราชทานคำปรึกษาหารือ
และดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ไม่ใช่ออกมาพูดเยี่ยงคนไร้รากไร้วัฒนธรรมและไร้ความรู้เบื้องต้นทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
26 สิงหาคม 2548
..........................
คำพูดประโยคนี้ไม่ควรออกมาจากปากข้าราชการระดับสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นข้าราชการระดับสูงนามสกุลเดียวกับนายกรัฐมนตรี ที่ดำรงตำแหน่งถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในประเทศที่ยังคงปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบอบประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรีคนที่นามสกุลเดียวกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนปัจจุบัน ควรจะเรียกลูกผู้พี่คนนี้มาสอนวิชารัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารแผ่นดินเบื้องต้น รวมถึงวิชาคุณสมบัติพื้นฐานเบื้องต้นของความเป็นคนไทย เสียในทันที
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีเป็นพระราชอำนาจ
กระทำโดยพระบรมราชโองการ
แม้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ จะเป็นผู้กลั่นกรองทูลเกล้าฯ เสนอบัญชีรายชื่อขึ้นไปเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก็มีค่าเสมอเพียง...
ผู้ถวายคำแนะนำ
พระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ที่ควรทราบว่าแยกเป็น 2 ประเภท
พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง -- ทรงใช้ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
พระราชอำนาจในการไม่แต่งตั้ง, พระราชอำนาจในการยับยั้ง -- ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย เป็นพระราชอำนาจที่เป็นประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันไม่อาจก้าวล่วงได้ พระราชอำนาจในส่วนนี้มีบทยกเว้นเพียงกรณีเดียวเท่านั้นในกระบวนการตราพระราชบัญญัติ ที่เปิดโอกาสให้รัฐสภายืนยันได้
เฉพาะในเรื่องของกองทัพยิ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ
ควรเข้าใจว่า....
พระมหากษัตริย์ทรงเป็น “จอมทัพไทย” ทั้งโดยราชประเพณี และโดยกฎหมาย
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำสูงสุดหนึ่งเดียวของกองทัพตลอดมาและตลอดไป
ต้องไม่ลืมว่าในรัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่ว่าฉบับนี้หรือฉบับไหนบัญญัติไว้ว่า
“พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย”
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้ในหมวด 2 มาตรา 10
มาตรา 222 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึกตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก
มาตรา 223 บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
พระราชสถานะเช่นนี้ ผู้ที่เข้าใจถ่องแท้ย่อมเห็นว่ามิใช่เป็นเพียงแบบพิธี หากแต่จะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ ไว้ว่าการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนของการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่เสมอเพียงผู้ถวายคำแนะนำเท่านั้น
เมื่อมีสัญญาณว่าเกิดปัญหาทางใดทางหนึ่งขึ้น
ก็ชอบที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลฯ เพื่อรับพระราชทานคำปรึกษาหารือ และดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ไม่ใช่ออกมาพูดเยี่ยงคนไร้รากไร้วัฒนธรรมและไร้ความรู้เบื้องต้นทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้
....................................
รากศัพท์คำว่า “กษัตริย์” มาจากภาษาสันสกฤต “กฺษตฺริย” แปลว่า “ผู้ป้องกันภัย” หรือ “ชาตินักรบ”
ตรงกับภาษาบาลีว่า “ขตฺติย” หรือ “ขัตติยะ”
สถานะแห่ง “จอมทัพ” ของพระมหากษัตริย์นั้น เป็นบทบาทพื้นฐานของผู้นำรัฐ ผู้นำชาติ ตั้งแต่สมัยโบราณ ในยุคที่ต้องมีการรบพุ่งต่อสู้กันระหว่างแว่นแคว้น
ในยุคโบราณ พระมหากษัตริย์จะต้องออกนำทัพต่อสู้ข้าศึกด้วยพระองค์เอง
ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วไปทั้งโลกตะวันตกและตะวันออก
อย่างคำว่า “จักรพรรดิ” ที่ใช้แทนความหมายของศัพท์ Emperor นั้น ก็มาจากรากศัพท์ละติน Imperator ซึ่งหมายถึงแม่ทัพผู้ได้รับชัยชนะในการรบ
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นที่รับรู้กันโดยไม่ต้องประกาศว่าทรงเป็นจอมทัพไทย เป็นผู้มีอำนาจเต็มเหนือกองทัพ
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการทหารในยุคที่ภัยจากลัทธิอาณานิคมจากมหาอำนาจตะวันตกเริ่มแผ่ขยายมา ส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์เรียนการทหารในต่างประเทศ ระหว่างนั้นก็ทรงปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการครั้งสำคัญ รวมไปถึงการปรับปรุงการทหารไทยให้ทันสมัยเทียบเท่านานาอารยประเทศ อาทิ...
จัดตั้งหน่วยทหารมหาดเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ในปัจจุบัน
จัดกองทัพเป็น 3 ทัพสำคัญตามภูมิภาค ต่อมาเพิ่มเป็นทหารบก 7 กรม และทหารเรือ 2 กรม เป็นอิสระแก่กัน ทุกหน่วยขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์
จนที่สุดได้ตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้นเมื่อปี 2435
ในยุคนั้นเองที่มีการกำหนดพระราชอิสริยยศตำแหน่ง “จอมทัพ” เอาไว้ในกฎหมาย !
โดยเมื่อปี 2430 ได้ตราพระราชบัญญัติจัดการทหาร โดยให้รวมทหารบกและทหารเรือ ตั้งเป็นกรม เรียกว่ากรมยุทธนาธิการ เพื่อรับผิดชอบในการบังคับบัญชา กรมทหารบก และกรมทหารเรือ อย่างใหม่ทั้งหมดให้เป็นระเบียบแบบแผน ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ทรงกำหนดไว้ดังนี้
1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยศตำแหน่ง จอมทัพ
2. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารทั่วไป
3. นายพลตรีกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็น ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาการทหารเรือ
4. นายพลเรือโทพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
5. นายพลตรีเจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ใช้จ่าย
6. นายพันเอกพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ฝ่ายยุทธภัณฑ์
7. นายพลตรีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็น ผู้บัญชาการรักษาพระราชวัง
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 แม้โดยภาพรวมของยุคดูเหมือนว่าสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์จะแปรเปลี่ยนไป โดยมีเหตุการณ์หลายกรณีบ่งชี้ แต่กระนั้นก็ตามบุคคลชั้นนำทั้งหมดยังมีความเห็นพร้อมกันว่า...
พระมหากษัตริย์ยังจะต้องเป็นหลักชัยให้กับแผ่นดินและเป็นหลักชัยให้กับกองทัพ
รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยคือฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2475 จึงมีข้อความระบุว่า
“กษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ”
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ โดยทรงกำกับไว้ตอนท้ายว่า "ชั่วคราว" หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 9 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวของประเทศไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงร่วมร่างกับคณะกรรมการ
นายปรีดี พนมยงค์ หนึ่งในกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขียนเล่าไว้ว่า
"วันหนึ่งมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ากับพระยาพหลฯไปเฝ้าที่พระตำหนักจิตรลดา มีพระราชกระแสว่าที่เขียนว่า ‘กษัตริย์’ นั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะคำนั้นหมายถึงนักรบเท่านั้น ที่ถูกจะต้องเขียนว่า ‘พระมหากษัตริย์’ คือเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ถืออาวุธปกป้องบ้านเมือง อันเป็นราชประเพณีแต่โบราณกาล...
“พระยาพหลฯกับข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยกับพระราชกระแส แล้วกราบบังคมทูลว่า มิเพียงแต่จะเขียนไว้ว่าประมุขเป็น ‘พระมหากษัตริย์’ เท่านั้น หากจะถวายให้เป็น ‘จอมทัพ’ ทรงมีพระราชอำนาจเหนือบรรดาทหารด้วย...
“จึงรับสั่งว่าถูกต้องแล้ว เพราะพระราชาของประเทศต่าง ๆ ก็ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาเหนือทหารทั้งปวง ซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอำนาจในการป้องกันประเทศ และในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์มีพระราชอำนาจบังคับบัญชากำลังทหารให้ปฏิบัติการได้ด้วย และสั่งให้ทหารประพฤติในสิ่งที่ควรประพฤติ ละเว้นในสิ่งที่ควรละเว้น"
นี่คือรอยต่ออันงดงามระหว่าง 2 ระบอบ
นี่คือผลสืบเนื่องจากโบราณราชประเพณี มาสู่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่จะต้องมีบทถวายพระราชอิสริยยศตำแหน่งจอมทัพไทยไว้ด้วย
..................................
แต่อยากจะเตือนความจำนายกฯทักษิณ ชินวัตรถึงประวัติศาสตร์ไทยตอนหนึ่งไว้ ณ ที่นี้
เพื่อจะได้นำไปสอนสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่นามสกุลเดียวกัน
ว่า...
พระราชสถานะจอมทัพไทยในระบอบประชาธิปไตยนี้มิใช่เป็นเพียงบทถวายพระราชอิสริยยศเท่านั้น
แต่ได้เคยสำแดงพระบรมเดชานุภาพมาแล้ว
ในระดับปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุด !
เรื่องนี้ ในหนังสือ “พระราชอำนาจ” ประมวล รุจนเสรีกล่าวถึงประวัติศาสตร์ตอนนี้ไว้ว่า....
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสร็จสิ้น หลวงพิบูลสงคราม (จอมพลป. พิบูลสงคราม) แพ้มติสภาในการเสนอพระราชบัญญัติตั้งเมืองเพชรบูรณ์และพระราชบัญญัติตั้งพุทธมณฑล ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ยังมีอำนาจทางทหาร เพราะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมยกกำลังทหารจากลพบุรี เพื่อมาจัดการกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่คว่ำมติสภาฯ
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ได้ลงนามแทนพระมหากษัตริย์ในประกาศพระบรมราชโองการปลดจอมพลป. พิบูลสงครามออกจากผู้บัญชาการทหารสูงสุด
และยุบตำแหน่งนั้นเสีย
แล้วตั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก และตั้งพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
เมื่อมีประกาศพระบรมราชโองการในฐานะจอมทัพไทยเช่นนี้ จอมพลป. พิบูลสงครามก็ไม่กล้าฝ่าฝืน
พระบรมราชโองการนี้เป็นเครื่องยืนยันพระราชสถานะจอมทัพไทย ที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือทหารทั้งปวง
ขอเพิ่มเติมรายละเอียดจากงานเขียนของนายปรีดี พนมยงค์ ณ ที่นี้สักเล็กน้อย
"สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้าพเจ้าปฏิบัติการแทนองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะจอมทัพ สั่งหลายเรื่องให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสมัยนั้น ปฏิบัติการและเว้นการกระทำสิ่งที่ควรละเว้น เช่นการที่ผู้นั้นจะยกกองทหารมาปราบปรามผู้รักชาติที่ทำให้จอมพลป.ฯ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ข้าพเจ้าได้ขอร้องโดยตนเอง และขอให้นายควงฯนายกรัฐมนตรีไปเจรจากับจอมพลป.ฯ ที่ลพบุรี แต่จอมพลป.ฯ ก็ไม่เชื่อ โดยเตรียมที่จะยกพลมาจากลพบุรี...
“ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่มีประกาศพระบรมราชโองการให้ประจักษ์แล้ว จอมพลป.ฯก็จะถืออำนาจประหัตประหารราษฎรได้...
“ดังนั้นเพื่อเป็นหลักฐาน ข้าพเจ้าจึงได้ลงนามแทนพระมหากษัตริย์ ในประกาศพระบรมราชโองการปลดตำแหน่งจอมพลป.ฯ จากผู้บัญชาการทหารสูงสุด และยุบตำแหน่งนั้น โดยตั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก และตั้งนายพันเอกพระยาพหลฯดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่...
“จอมพลป.ฯ ที่มีกำลังทหารใต้บังคับบัญชามาก เมื่อเห็นว่ามีประกาศพระบรมราชโองการ ก็ไม่กล้าฝ่าฝืน"
........................................
การมีประกาศพระบรมราชโองการของจอมทัพไทยปลดผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น หาใช่เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางการเมืองไม่
หากแต่เป็นเรื่องของการกู้ชาติกู้แผ่นดิน
ที่ก่อให้เกิดผลเชิงบวกมาก
ในขณะที่จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การรวบรวมสมาชิกหน่วยใต้ดินเสรีไทยเป็นไปอย่างลำบากและเชื่องช้า เพราะรัฐบาลเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น การต่อต้านญี่ปุ่นคือการต่อต้านรัฐบาล มีความผิดฐานกบฏ ทหารและตำรวจส่วนใหญ่จึงไม่กล้าเข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย เมื่อจอมพลป. พิบูลสงครามพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปแล้ว โดยที่นายควง อภัยวงศ์นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในขณะนั้นไม่ขัดขวางการทำงานของขบวนการเสรีไทย
การชักชวนทหารทั้ง 3 เหล่า และตำรวจ ให้เข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านญี่ปุ่นตามนโยบายของขบวนการเสรีไทย จึงเป็นผลสำเร็จ
นี่จึงอาจกล่าวได้ว่าพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์จอมทัพไทยมีส่วนสำคัญในกระบวนการกู้ชาติด้วย
.........................................
พระราชสถานะจอมทัพไทยในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น
ถ้าใครมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และความจำดีสักหน่อย
ก็น่าจะตระหนักดีว่าพระองค์ทรงเป็นจอมทัพไทยที่ประทับอยู่เคียงข้างทหารน้อยใหญ่ทั้งแผ่นดินที่ปกปักรักษาบ้านเมืองอยู่ในแนวหน้า
พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เคยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งดังนี้
“ประมาณปี 18 - 19 มีการสู้รบกับผกค. ได้ตามเสด็จไปที่ต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของทหาร เมื่อทรงทราบว่าทหารบาดเจ็บ ก็เสด็จไปทรงเยี่ยมด้วยพระองค์เอง....
“มีอยู่คราวหนึ่งที่เมืองน่าน ปรากฏว่ามีทหารถูกยิงบาดเจ็บสาหัสแล้วยังเอาออกมาไม่ได้ มีผู้ใหญ่ในที่นั้นกราบบังคมทูลว่าฮ.ไม่มี รับสั่งให้เอาฮ.พระที่นั่งไปรับเลย จะเสด็จไปเองด้วย อันนี้ผมประทับใจมาก คือพระองค์ท่านทรงเหมือนกับทหาร ทรงมีวิญญาณของทหาร ทรงรักใคร่ชีวิต เป็นห่วงเป็นใย ไม่ถือพระองค์ ”
ช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ในหนังสือ “พระบารมีปกเกล้า” เรื่อง “จอมทัพไทย” มีบันทึกไว้ว่า
..........................
ขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพิ่งกำลังเสวยพระกระยาหาร เสียงสนามรายงานเหตุการณ์จากแนวหน้าถึงการปะทะกับผู้ก่อการร้าย มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ ขอให้ส่งฮ.มารับด่วน ทรงหยุดเสวยพระกระยาหารทันที รับสั่งกับนักบินว่า
“นำเครื่องบินขึ้นเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปด้วย”
เฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งบินฉวัดเฉวียนหาที่ลง เพื่อจะรับบรรดาตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ สัญญาณพลุข้างล่างแต่ละลูกที่ยิงขึ้นมาเป็นสีแดงทั้งนั้น ซึ่งแสดงว่าเป็นเขตอันตรายลงไม่ได้ นักบินหนักใจเป็นที่สุด เพราะองค์พระประมุขของชาติประทับอยู่ ถ้านำเครื่องลงไปแล้วเกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นจะทำอย่างไร
ระหว่างตัดสินใจพยายามหาที่ลงที่ปลอดภัยอยู่นั้น พระสุรเสียงทุ้ม ๆ นุ่มหูก็รับสั่งมาว่า
“ลงไปตรงนี้แหละ”
นักบินจึงตัดสินใจนำเครื่องบินพระที่นั่งลงตรงกลางป่า ซึ่งมีที่ว่างพอจะลงได้ เพราะบรรดาตำรวจ ทหาร และพลเรือนอาสาสมัคร ได้ตัดต้นไม้ใหญ่ ๆ ออกหมดเพื่อทำเป็นลานสำหรับเฮลิคอปเตอร์
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงจากเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งแล้ว ทรงสาวพระบาทเข้าหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอย่างเร็ว ทรงคุกพระชานุอยู่ข้าง ๆ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทรงจับแผลที่ถูกกระสุนปืนโดยมิได้ทรงรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
..........................
ความภูมิใจของทหารทุกคนคือได้อยู่ในกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่ใช่กองทัพของนักการเมือง
สมดังคำกล่าวของผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบันที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อปี 2547 ว่า....
“ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ดีใจที่ได้รับใช้ราชบัลลังก์”
อย่าลืมว่าทหารทุกหน่วยมีธงชัยเฉลิมพล
ธงชัยเฉลิมพลเป็นธงประจำหน่วยทหารที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ธงชัยเฉลิมพลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของทหาร ที่ทหารทุกคนต้องเคารพสักการะ และพิทักษ์รักษาไว้ด้วยชีวิต การปฏิบัติต่อธงชัยเฉลิมพลทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามพิธีการ ระเบียบแบบแผนที่วางไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน ในโอกาสที่จะเชิญธงชัยเฉลิมพลออกประจำที่ จะต้องเป็นพิธีการที่มีความสำคัญเกี่ยวกับเกียรติยศและเชิดหน้าชูตาเท่านั้น เช่น พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร และไปราชการสงคราม เป็นต้น
พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลกระทำขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2471 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้เสด็จไปเป็นประธาน พิธีสวนสนามครั้งนั้นประกอบด้วย ทหารบก ทหารรักษาวัง และทหารเรือ ที่ประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ณ ลานพระราชวังดุสิต
ในปี 2493 กระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้แต่ละเหล่าทัพแยกกันทำพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล
ต่อมาในปี 2500 ได้มีการประกอบพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลของทหารทั้ง 3 เหล่าทัพร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง และต่อมาก็ได้กำหนดให้หน่วยทหารในแต่ละพื้นที่จัดทำพิธีภายในหน่วย เพื่อลดปัญหาการจราจร
ปัจจุบันพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนฯ กระทำในวันที่ 25 มกราคมของทุกปี เนื่องในวันกองทัพไทย
เป็นวันที่ทหารทุกคนจะต้องกล่าวคำปฏิญาณตนว่า....
ข้าพเจ้า... (ยศ, นาม, นามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้า... จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า... จักรักษาไว้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ข้าพเจ้า... จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า... จักเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า... จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม
ข้าพเจ้า... จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการเป็นอันขาด
....................................
พระราชสถานะในฐานะ “จอมทัพไทย” ของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงเป็นของจริง
ของจริงที่เกิดขึ้นจริง
ได้รับการยอมรับนับถือจริง
จึงได้รับการรองรับบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญบัญญัติได้สารพัดเรื่อง แต่จะได้รับการยอมรับนับถือจริง ๆ ยั่งยืนจริง ๆ หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสารัตถะที่เป็นจริงในแต่ละเรื่อง
....................................
ตราบใดที่ประเทศไทยังคงเป็นประเทศไทย ตราบใดที่คนไทยยังคงเป็นคนไทย ตราบใดที่ทหารไทยยังคงเป็นทหารไทย และตราบใดที่รัฐธรรมนูญยังไม่ได้แก้ไข
พระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นจอมทัพไทย
มีทั้งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง และมีทั้งพระราชอำนาจในการไม่แต่งตั้ง
นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ถวายคำแนะนำเท่านั้น
หากถามว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีลงนามทูลเกล้าฯ ขึ้นไปแล้ว เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
ตอบว่าเปลี่ยนแปลงได้
และหากถามว่าในการเปลี่ยนแปลงรายชื่อที่นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีลงนามทูลเกล้าฯ ขึ้นไปแล้ว ใครจะเป็นคนเปลี่ยน
ตอบว่าก็คือตัวนายกรัฐมนตรีเอง
เพราะเมื่อมีสัญญาณว่าเกิดปัญหาทางใดทางหนึ่งขึ้น เป็นต้นว่าไม่ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานกลับคืนลงมาภายในระยะเวลาหนึ่ง
ก็ชอบที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลฯ เพื่อรับพระราชทานคำปรึกษาหารือ
และดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ไม่ใช่ออกมาพูดเยี่ยงคนไร้รากไร้วัฒนธรรมและไร้ความรู้เบื้องต้นทางรัฐธรรมนูญและกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้