“อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์กับสภาท่าพระอาทิตย์ (22 ส.ค.48) กรณีที่พี่ชาย “รอมลี อุตรสินธุ์” ถูกออกหมายจับว่าเป็นการดิสเครดิตกันทางการเมือง ยันพี่ชายถูกข่มขู่จนต้องเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่ยอมรับเคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนหน้าที่จะมีการออกหมายจับ อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงต่อที่ประชุมแต่อย่างใด ส่วนปัญหาภาคใต้ในปัจจุบันนั้น เป็นสงครามทางความคิดมากกว่าอาชญากรรม และอยากให้ใช้การเมืองแก้ปัญหามากกว่าความรู้สึกของราชการ
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงการสัมภาษณ์
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2548 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร และคำนูณ สิทธิสมาน

อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์
สำราญ – ช่วงที่ 2 ของสภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2548 ซักครู่เราจะนำท่านผู้ชมไปคุยประเด็นร้อนๆ ตอนนี้กรณีของพี่ชายของคุณอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์กรณีที่มีการออกหมายจับคุณรอมลี อุตรสินธุ์ ก็เป็นเรื่องที่ฮือฮาพอสมควรนะครับ
คำนูณ – ก็เราถือโอกาสสนทนากับคุณอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์
สำราญ – จะได้ไปคุยกับคุณอารีเพ็ญ ซึ่งคุณอารีเพ็ญก็เก็บตัวอยู่ 1 สัปดาห์ครับ วันนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องเปิดตัวเปิดใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะครับ สวัสดีครับ คุณอารีเพ็ญครับ
คำนูณ – สวัสดีครับ
อารีเพ็ญ – สวัสดีครับ คุณสำราญ คุณคำนูณครับ
สำราญ – คุณอารีเพ็ญสรุปได้หรือยังครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองนี่บอกตรงๆนะครับว่า หลังจากที่มีการออกหมายจับ ก็เมื่ออยู่ในกระบวนการยุติธรรมนี่ ผมเป็นทนายความ ผมก็ไม่อยากจะให้สัมภาษณ์โดยที่จะทำให้รูปคดีต่างๆมันได้รับผลกระทบนะครับ ทีนี้เมื่อวันสองวันได้ประเมินดูเหตุการณ์แล้ว ก็คิดว่าก็จำเป็นที่จะต้องพูดบ้าง ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเนื้อหาของการที่จะต่อสู้คดีนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องของพี่ชายผมคนนี้ ผมเองนี่บอกตรงๆนะครับว่า เรื่องนี้ผมเองก็ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอสมควร ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวทางหน้าจอทีวีบอกว่า จะมีการจับพี่ชายนักการเมืองคนหนึ่งใช่ไหมครับ ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ แล้วตอนหลังนี่ก็มีการออกแผ่นปลิวแบบแผ่นกระดาษนี่นะครับ ส่งไปตามหน่วยงานบ้าง ส่งไปยังใครต่อใครบ้าง
สำราญ – เป็นใบปลิวเลยหรือครับ
อารีเพ็ญ – เป็นลักษณะเป็นใบปลิว และบางครั้งก็มีลักษณะเป็นเอกสารเหมือนกับเอกสารราชการนะครับ
สำราญ – เนื้อหาว่าอย่างไรครับ
อารีเพ็ญ – เนื้อหาลักษณะที่ว่า พี่ชายผมนี่เป็นตัวแกนนำอันหนึ่งของพวกที่คิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองนะครับ อ้างว่าเป็นคนที่เรียนจบจากอินโดนีเซียอะไรต่างๆนี่นะ ผมก็ไม่ได้ติดใจนะ ผมเองกับพี่ชายคนนี้บอกตรงๆว่า ก็เจอบางครั้งบางคราว ก็ไม่ค่อยเจอในลักษณะที่ว่าเจอบ่อยๆนะครับ ผมก็ถามเขาเกี่ยวกับตรงนี้ เป็นไงข่าวออกมาอย่างนี้ขึ้นมา แกก็บอกว่าแกปฏิเสธ แกไม่รู้เรื่องอะไรนะครับ แกก็ปฏิเสธ ที่นี้เมื่อผมเห็นว่าเป็นเรื่องแผ่นราชการอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะพี่ชายผม แม้แต่ใครต่อใครมันก็เอาไปมั่วนะ ใครต่อใครผมไม่ต้องเอ่ยชื่อละ เป็นที่รู้กันใน 4 วันนะ
ทีนี้เมื่อประมาณเดือนมีนา หลังเลือกตั้งเสร็จนะครับ เวลากลางคืนประมาณซักเที่ยงคืน มีการยิงจากหน้าบ้านเลขที่ 16 ถนนสุขาภิบาลที่ อ.สุไหงปาดีนะครับ ซึ่งบ้านหลังนี้นี่เป็นบ้านของคุณพ่อผม แต่เป็นที่ของพี่ชายนะครับ เป็นที่ของรอมลีนะครับ ที่จริงแกไม่ได้อยู่ในบ้านนั้นตั้ง 25 ปีแล้ว แกไปอยู่บ้านอีกหลังนึง เมื่อแกแต่งงานก็ไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งทางใกล้ๆมัสยิด ที่จะไปทางสุไหงโกลก ห่างบ้านของพ่อผมประมาณเกือบกิโลกว่าๆ ทีนี้เมื่อมีการยิงปืนเข้าไปในบ้านอย่างนั้นนี่ ตอนแรกนี่มีน้องมาเล่าให้ฟัง ผมก็มีใครทำอะไร ปืนลั่นอะไรหรือเปล่า แต่ว่าได้ยินน้องสาวบอกว่า คืนนั้นก็มีพวกกลุ่มบุคคลอยู่หน้าบ้านนะครับ ทีนี้ผมก็คิดว่าถ้าคนในพื้นที่นี่เขาน่าจะรู้ว่าบ้านใครเป็นบ้านใครนะครับ
สำราญ – บ้านนั้นนี่ใครอยู่ครับ คุณอารีเพ็ญ
อารีเพ็ญ – มีน้องสาวผมกับน้องชายนะครับ บ้านนั้นเป็นบ้านของพ่อผม แต่ที่ดินของพี่ชาย ทีนี้ผมก็สันนิษฐานว่า แสดงว่าต้องเป็นคนจากข้างนอก อาจจะไปลักษณะว่าไปเช็คอะไรตามประวัติที่อยู่ของใครต่อใครนะครับ ซึ่งเป็นบ้านของพี่ชายผมคนนั้น
สำราญ – อันนี้เหตุเกิดเมื่อมีนาคมปีนี้
อารีเพ็ญ – มีนาคมครับ เมื่อมีการยิงไปอย่างนี้ขึ้นมานี่ เป็นลักษณะเหมือนกับการข่มขู่ หรือว่าข่มขู่ในลักษณะที่ว่า ต้องการให้มีการตกใจ หรืออาจจะมีการหลบหนีอะไรหรือเปล่าอย่างนี้นะครับ ผมก็สันนิษฐานว่าคงไม่ใช่ในพื้นที่แน่ แล้วก็ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพราะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่รู้จักกันทั้งนั้น เขาจะเป็นนักธุรกิจ จะค้าขายตั้งแต่วัวควาย วัวชำแหละ และก็ควายแปรรูป ตอนหลังนี่แกดูแลสวนของพี่ชายที่อยู่อเมริกาประมาณ 100 กว่าไร่นะครับ เพราะฉะนั้นในพื้นที่นี่รู้จักว่าบ้านแกอยู่ที่ไหน แล้วก็ใบปลิวที่ออกมานี่คนในพื้นที่ก็ไม่ได้สนใจนะ
ทีนี้เราก็มาวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ชอบมาพากล น่าจะมีเรื่องคนจากที่อื่นมา เข้าใจว่าพี่ชายผมจะอยู่ที่นี่แล้วก็มีการข่มขู่ ทีนี้แกก็เป็นคนขี้ตื่น แกบอกว่าถ้าอย่างนี้แกก็คงจะไม่สามารถอยู่ได้หรอก เพราะว่าจากที่มีแผ่นอะไรต่างๆ กระดาษที่ออกไปส่งต่อใครต่อใคร แกว่าอย่างนี้ก็เหมือนกับว่ามีมือที่ 3 นี่ ว่าแกสร้างสถานการณ์นะครับ แกก็เลยบอกว่าครั้งนี้ก็คงไม่อยู่แล้ว แล้วก็ไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม ผมก็สบายใจว่าแกไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมมา ผมก็สบายใจแล้ว เพราะว่าเรื่องใบปลิวอะไรก็ไม่น่าจะมีแล้ว
สำราญ – ที่เขาบอกว่าจริงๆแล้วคุณรอมลีก็ไม่ได้อยู่ในประเทศทมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ปีนี้หมายความว่าเป็นสิบๆปีแล้วนี่ จริงไหมครับ
อารีเพ็ญ – ไม่ครับ สิบๆปีนี่ก็คงไม่ใช่นะครับ เพราะตอนเลือกตั้งนี่แกก็ยังอยู่ ทีนี้แกเพิ่งไปเมื่อเดือนมีนาคมนี่เอง เพราะจริงๆแกก็ทำธุรกิจฟาร์มไม้นะครับ ทีนี้แกก็ไปตั้งแต่นั้น พอไม่กี่วันก็มีการออกหมายจับนะครับ ซึ่งผมเองก็มีความรู้สึกไม่สบายใจตรงที่ว่า จริงๆเรื่องนี้ถ้ามีการสงสัยยังไงเรียกมาคุยกันนะครับ เราพร้อมที่จะมีการเอาเขามาคุยอะไรต่างๆมันได้นะครับ
สำราญ – คุณอารีเพ็ญยืนยันว่าพี่ชายของคุณอารีเพ็ญ คุณรอมลีนี่คือได้หายไปจริง แต่ว่าปีนี้เอง มีนาคมปีนี้เอง
อารีเพ็ญ – มีนาคมนี้เอง จากที่ว่าบ้านเขาโดนยิงนะครับ
สำราญ – ปีที่แล้วยังอยู่ในประเทศไทยแน่นอน
อารีเพ็ญ – อยู่ครับ ยังค้าขายดูแลสวน แกไม่ได้ไปไหน
สำราญ – ทำธุรกิจอะไรครับ
อารีเพ็ญ – ที่จริงแกทำไม้แปรรูป หลังจากนั้นก็ตลาดมันไม่ดี เศรษฐกิจมันไม่ดีนะครับ แกก็ทำสวน และก็ดูแลสวนของพี่ชาย ซึ่งมี 100 กว่าไร่นะครับ ซึ่งพี่ชายผมอยู่อเมริกาคนหนึ่ง แกอยู่ที่นั่นแกก็ดูแลนะครับ คนอื่นเขาก็ไม่มีเวลาเพราะว่าบางคนก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เพราะฉะนั้นแกก็ดูแลส่วนของพี่ชาย แกก็ส่งไป แกดูแลก็ได้ส่วนของที่แกดูแลไป
สำราญ – ด้วยความเคารพครับก็คือ จริงๆเวลาฝ่ายค้าน แม้กระทั่งประชาธิปัตย์เองก็เถอะ เวลาอภิปรายก็อย่างที่คุณอารีเพ็ญพูดนะครับ ก็พยายามแขวะมาที่มี ส.ส.ภาคใต้ มีพี่น้อง พี่ชาย ส.ส.ภาคใต้คนหนึ่งก็อยู่ในขบวนการทำนองนี้นะครับ
อารีเพ็ญ – มันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เหมือนกับว่ากรณีที่คุณเด่นโดนนั่นแหละครับ ผมเองเป็นนักการเมือง ผมรักษามารยาท ไม่อยากจะเอาคนที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของใครต่อใครมาพูด เอามาโยง เหมือนนิสัยของนักการเมืองบางพรรคที่ใช้วิธีการอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ ถ้าผมพูดตรงๆไปนะครับ ถ้าผมบอกว่าคนที่เคยกล่าวหา เคยออกใบปลิวโจมตีว่าเป็นผู้นำกระบวนการคนหนึ่งที่อยู่ปัตตานีนะครับ ผมไม่ต้องเอ่ยชื่อนะครับ ว่าเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ในหมู่คนไทยพุทธก็ไปปลุกระดม และทางการก็รายงานข่าวตลอดว่าเป็นผู้นำขบวนการ ซึ่งขณะนี้ก็มีลูกเขยของคนนั้นก็มาอยู่ในพรรคนี้นะครับ เขาก็ไม่เห็นอะไร ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ
หรือบางคนที่เป็นขบวนการเบอร์ซาตูนะครับ เขาก็เป็นลูกเขยของคนที่เป็น ส.ส.ของพรรคนี้ เราก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่ามันเป็นเรื่องของบุคคลไป แล้วปัจจุบันก็เป็นลูกเขยของคนที่อยู่พรรคนี้ หรือว่ามีนักการเมืองบางคนที่มีหัวคะแนน ที่หัวคะแนนได้สูญหายไป เนื่องจากว่ามีการค้าขายปืนกับพวกอาเจะห์เสรีนี่นะครับ เราก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นหัวคะแนนใหญ่ของ ส.ส. เขาจะต้องไปพัวพัน เราถือเป็นมารยาทของนักการเมืองที่ต้องเคารพให้เกียรติกัน ก็ไม่เคยมีการพูดแต่ครั้งนี้พูดเรื่องนี้ตลอดตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วนะครับ
ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ผมต้องรักษามารยาท เพราะฉะนั้นเราก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องที่เราหาลักษณะว่าจับแพะชนแกะ เพราะว่าพี่ชายผมนี่เขาเรียนจบอินโดนีเซียตั้งแต่ปีโน้น ปี 2518 ตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมานะครับ ซึ่งคนที่จบอินโดนีเซียในช่วงนั้น บางคนมาทำงานรับราชการมาเป็นถึงระดับเกือบๆเป็นทูตก็มีนะครับ เพราะฉะนั้นผมว่าเรียนที่ไหนมันไม่สำคัญ แต่ว่าเราอย่าไปจัดว่าถ้าเขาเรียนที่ไหน แล้วก็มีความสัมพันธ์รู้จักกับใครขึ้นมาแล้วก็ไปโยงกันหมด ผมอยากจะให้มันให้ความเป็นธรรม ว่ามันไม่ชัดเจนอย่าไปกล่าวหาคน
สำราญ – แล้วตอนนี้คุณอารีเพ็ญจะติดต่อให้พี่ชายมาคุยกับทางการไหม มามอบตัวไหม หรือจะทำยังไงต่อไปครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองกำลังคุยกับพี่น้องอยู่นะครับ ใจจริงของผมนี่นะ ถ้าเรื่องคดีความ ผมถือว่าผมเป็นทนาย ผมอยากจะสู้คดี แต่บางคนแกก็อายุมาก อายุ 57-58 ถ้าเราสู้คดีขึ้นมา ถ้า 6 ปีใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่มันทรมานมากเหมือนกันสำหรับคนที่สู้คดี แต่ผมเองไม่ใช่ตัวเรานะครับ ถ้าตัวผมเองแน่นอนว่าต้องสู้คดี แต่บางคนก็อาจจะไม่คิดอย่างนั้น อย่างเช่นว่าเขาอยู่ลักษณะที่ว่าต้องมาทรมานอยู่ในคุกต่างๆ ต้องสู้คดีขณะที่อายุมากๆ อายุที่ว่าประมาณ 57-58 ผมคิดว่าอายุก็พอสมควรนะ ไม้ใกล้ฝั่งน่ะ ทีนี้เราก็กำลังคุยกับภรรยา กับลูกๆเขาอยู่นะครับ
สำราญ – ภรรยาเขาก็ยังอยู่ในเมืองไทยนะครับ
อารีเพ็ญ – อยู่ครับ ภรรยาอยู่เมืองไทย
สำราญ – อยู่ที่สุไหงโกลกหรือครับ
อารีเพ็ญ – สุไหงปาดีครับ ก็อยู่บ้านเขา ที่ผมบอกว่าเขาออกจากบ้านไปก็ประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว
คำนูณ – แล้วได้คุยกับทางพรรคไทยรักไทยบ้างไหมครับ
อารีเพ็ญ – ผมคงไม่คุยหรอกครับ เพราะว่าเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไป ไม่ใช่เรื่องของพรรค ในเมื่อทางการเขาก็มีการซัดทอด มีพยานหลักฐาน เขาก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม อยากจะให้ความเป็นธรรมเกี่ยวกับเรื่องของคดีความ
คำนูณ – อนาคตทางการเมืองของกลุ่มวาดะห์นี่ยังจะยังคงมั่งคงอยู่กับพรรคไทยรักไทยต่อไปไหมครับ
อารีเพ็ญ – เรื่องอนาคตนี่ ผมเองจะสรุปแทนคนอื่นไม่ได้นะครับ เพราะการเมืองอย่างที่ว่า ผมเองเล่นการเมืองมา 20 ปีนะครับ ต้องเข้าใจหัวอกของการเข้ามาสู่การเมืองนี่นะครับ ผมบอกตรงๆว่าแนวทางของผมนี่นะ พ่อผมนี่ ตระกูลของผมทั้งตระกูลอุตรสินธุ์ ก็ได้ดิบได้ดีมาทางเรียนหนังสือ แล้วก็ถึงขั้นว่าบางคนไปอยู่ถึงอเมริกา พี่ชายบางคนก็เคยเป็นนักประพันธ์นะครับ ก็เป็นครอบครัวที่ต้องบอกตรงๆว่า เป็นครอบครัวที่มันทันสมัยกว่าคนอื่นมากในสังคม เราได้เปรียบกว่าคนอื่นเยอะ พวกผมจบมหาวิทยาลัยหลายคน พี่ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้นเองที่ไปต่างประเทศ คนอื่นก็ต่อ กทม.ทั้งนั้นแหละครับ เราไม่ได้เรียนทางสายศาสนามาเลยครับ ที่เป็นคนลักษณะที่ว่ามันจะเป็นสมัยโบราณๆ ไม่เหมือนกับคนที่ได้เคร่งครัดเรื่องศาสนา ของเราเป็นลักษณะสากลนะครับ เพราะฉะนั้นพ่อผมสอนตลอดเวลา เราไม่มีความคิดอย่างนี้ แต่ว่าเราเห็นว่าปัญหาบ้านเราต้องแก้ด้วยปัญหาการเมือง
สำราญ – ในความรู้สึกจริงๆของคุณอารีเพ็ญ คิดว่าจู่ๆออกหมายจับขึ้นมานี่เพราะอะไรครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองก็ไม่คาดคิดนะครับว่าออกมาแบบปุ๊บปั๊บ และก็มา 7 คนและก็เผยชื่อคนเดียวนะครับ คงจะรู้ว่าเผยชื่อคนเดียวก็รู้ว่าไม่อยู่ ทีนี้คนที่จะออกหมายจับจริงๆเขาต้องปกปิดใช่ไหมครับ ทีนี้เปิดเผยคนเดียวก็อาจจะรู้ตั้งนานว่าคงไม่อยู่เมืองไทย มันถึงจะเปิดเผย แต่ทีนี้ลักษณะออกมามันเหมือนกับดิสเครดิตทำให้เสื่อมเสียนะครับ ต่อวงศ์ตระกูลนะครับ
สำราญ – ดิสเครดิตเพื่ออะไรครับ เพื่อไม่ให้กลุ่มวาดะห์อยู่ในไทยรักไทย หรือเพื่ออะไรครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองนี่นะครับ เฉพาะผมคนเดียวนะครับ ผมไม่ได้สนใจเลยถ้าหากว่าพรรคไทยรักไทยบอกว่าขับออกจากพรรคนะครับ เพราะผมถือว่าเราเป็นนักการเมืองนะครับ เราถือว่าเมื่อเขาเห็นว่าเราอยู่แล้วเขามีปัญหานี่ เขามีสิทธิ แต่จะให้เราตัดสินใจยังไงก็อีก 3 ปี เราถือว่าเราอยู่ที่ไหนเราไม่อยากให้คุณไม่สบายใจ
คำนูณ – เขาก็คงไม่ขับออกหรอก แต่ดูเหมือนว่าเขาให้เกียรติน้อยไปหน่อย นี่ก็เป็นคนที่ 2 แล้วใช่ไหมครับ ในกลุ่มวาดะห์
สำราญ – ก็ยังหึ้คำตอบตัวเองไม่ได้ แต่อย่างน้อยคุณอารีเพ็ญรู้สึกว่าเป็นดิสเครดิตอย่างแน่นอนนะครับ
อารีเพ็ญ – แน่นอน มันอย่างนี้ขึ้นมานี่ ผมคิดว่าเราอยู่ครัวเรือนเดียวกันนี่นะ มีอะไรคุยกัน ถ้าเราคุยกับแบบนักการเมืองนี่นะ มันจะได้มีอะไรที่มีเหตุมีผลเยอะ แต่ถ้าเราไม่ได้คุยกันเลย มาฟังทางราชการอย่างเดียวนะครับ เหมือนกับเราไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้วล่ะ
คำนูณ – อาจารย์วันนอร์รู้เรื่องก่อนไหมครับ
อารีเพ็ญ – อาจารย์วันนอร์ไม่รู้ครับ
สำราญ – แล้วประชุมกันเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานี่
อารีเพ็ญ – พอดีผมติด ผมไม่ได้ประชุมนะครับ พอดีตอนนี้ผมบอกตรงๆว่าผมออกพื้นที่นะครับ ทีนี้เป็นช่วงประชุมปกติ ไม่ใช่ประชุมเฉพาะเรื่องนี้ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นเรื่องของส่วนตัวไป ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประชุมนะครับ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับกลุ่ม ไม่เกี่ยวกับพรรค เพียงแต่ว่าเมื่อผมยังอยู่ในกลุ่มยังอยู่ในพรรค เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาเราเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ทำให้มีความรู้สึกที่เพื่อนๆเขาไม่สบายใจด้วยเท่านั้นเอง
สำราญ – สุดท้ายจริงๆครับ ในสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัด เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ปีนี้ดีขึ้นไหมครับ หรือว่าหนักหนา
อารีเพ็ญ – ผมว่ามันก็คงจะใกล้เคียงกัน ผมรู้สึกอย่างนี้ครับ คุณสำราญ คุณคำนูณนะ ผมอยากจะให้มองปัญหานี้ มันไม่มีกฎหมายใดหรอกที่จะแก้ได้ คุณคงติดตามเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ว่าการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่สมัยพระยามโนปกรณ์นะครับ หลังๆมานี่นะคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นพรวดๆ จนกระทั่ง 6 ตุลานะครับ มันต้องมีการแก้ปัญหาความคิดด้วยความคิดที่ดีกว่า ที่มีเหตุมีผล และก็ต้องมีลักษณะเป็นนโยบายนำ การจะใช้กฎหมายใดก็ตามแต่ ผมว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ
เพราะว่าคนที่คิดจะก่อเหตุนั้น ยิ่งเราใช้กฎหมายแรงเขายิ่งชอบ คนที่ก่อเหตุนี่นะครับเมื่อเขาก่อเหตุเขาหลบหนีได้ทัน คนที่มันทำผิดมันรู้ไล่ทันมันก็หลบหนี มันโดนคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คือบางทีมันก็เพื่อต้องการให้เพิ่มแนวร่วมมากขึ้น ต้องเข้าใจนะครับว่าวิธีการของพวกเหล่านี้ ก็เหมือนวิธีการของพรรคคอมมิวนิสต์ คล้ายๆกับนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้มากนะ ผมคิดว่า ผมอยู่ในสถานการณ์ ผมเข้าใจว่าความรู้สึกของประชาชนเป็นยังไง
สำราญ – เอาเป็นว่ามันเป็นสงครามความคิด ไม่ใช่สงครามอย่างอื่นนะครับ
อารีเพ็ญ – ครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องของอาชญากรรม ที่เราต้องใช้นโยบาย ต้องหนักแน่น และก็ต้องใช้ทางการเมืองมาก อย่าเอาแต่ความรู้สึกของราชการ
สำราญ – เอาล่ะครับ ขอบพระคุณมากครับ คุณอารีเพ็ญครับ
คำนูณ – ขอบพระคุณมากครับ สวัสดีครับ
อารีเพ็ญ – ครับ สวัสดีครับ
คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงการสัมภาษณ์
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2548 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร และคำนูณ สิทธิสมาน
สำราญ – ช่วงที่ 2 ของสภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2548 ซักครู่เราจะนำท่านผู้ชมไปคุยประเด็นร้อนๆ ตอนนี้กรณีของพี่ชายของคุณอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์กรณีที่มีการออกหมายจับคุณรอมลี อุตรสินธุ์ ก็เป็นเรื่องที่ฮือฮาพอสมควรนะครับ
คำนูณ – ก็เราถือโอกาสสนทนากับคุณอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์
สำราญ – จะได้ไปคุยกับคุณอารีเพ็ญ ซึ่งคุณอารีเพ็ญก็เก็บตัวอยู่ 1 สัปดาห์ครับ วันนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องเปิดตัวเปิดใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะครับ สวัสดีครับ คุณอารีเพ็ญครับ
คำนูณ – สวัสดีครับ
อารีเพ็ญ – สวัสดีครับ คุณสำราญ คุณคำนูณครับ
สำราญ – คุณอารีเพ็ญสรุปได้หรือยังครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองนี่บอกตรงๆนะครับว่า หลังจากที่มีการออกหมายจับ ก็เมื่ออยู่ในกระบวนการยุติธรรมนี่ ผมเป็นทนายความ ผมก็ไม่อยากจะให้สัมภาษณ์โดยที่จะทำให้รูปคดีต่างๆมันได้รับผลกระทบนะครับ ทีนี้เมื่อวันสองวันได้ประเมินดูเหตุการณ์แล้ว ก็คิดว่าก็จำเป็นที่จะต้องพูดบ้าง ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเนื้อหาของการที่จะต่อสู้คดีนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องของพี่ชายผมคนนี้ ผมเองนี่บอกตรงๆนะครับว่า เรื่องนี้ผมเองก็ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอสมควร ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวทางหน้าจอทีวีบอกว่า จะมีการจับพี่ชายนักการเมืองคนหนึ่งใช่ไหมครับ ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ แล้วตอนหลังนี่ก็มีการออกแผ่นปลิวแบบแผ่นกระดาษนี่นะครับ ส่งไปตามหน่วยงานบ้าง ส่งไปยังใครต่อใครบ้าง
สำราญ – เป็นใบปลิวเลยหรือครับ
อารีเพ็ญ – เป็นลักษณะเป็นใบปลิว และบางครั้งก็มีลักษณะเป็นเอกสารเหมือนกับเอกสารราชการนะครับ
สำราญ – เนื้อหาว่าอย่างไรครับ
อารีเพ็ญ – เนื้อหาลักษณะที่ว่า พี่ชายผมนี่เป็นตัวแกนนำอันหนึ่งของพวกที่คิดไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองนะครับ อ้างว่าเป็นคนที่เรียนจบจากอินโดนีเซียอะไรต่างๆนี่นะ ผมก็ไม่ได้ติดใจนะ ผมเองกับพี่ชายคนนี้บอกตรงๆว่า ก็เจอบางครั้งบางคราว ก็ไม่ค่อยเจอในลักษณะที่ว่าเจอบ่อยๆนะครับ ผมก็ถามเขาเกี่ยวกับตรงนี้ เป็นไงข่าวออกมาอย่างนี้ขึ้นมา แกก็บอกว่าแกปฏิเสธ แกไม่รู้เรื่องอะไรนะครับ แกก็ปฏิเสธ ที่นี้เมื่อผมเห็นว่าเป็นเรื่องแผ่นราชการอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะพี่ชายผม แม้แต่ใครต่อใครมันก็เอาไปมั่วนะ ใครต่อใครผมไม่ต้องเอ่ยชื่อละ เป็นที่รู้กันใน 4 วันนะ
ทีนี้เมื่อประมาณเดือนมีนา หลังเลือกตั้งเสร็จนะครับ เวลากลางคืนประมาณซักเที่ยงคืน มีการยิงจากหน้าบ้านเลขที่ 16 ถนนสุขาภิบาลที่ อ.สุไหงปาดีนะครับ ซึ่งบ้านหลังนี้นี่เป็นบ้านของคุณพ่อผม แต่เป็นที่ของพี่ชายนะครับ เป็นที่ของรอมลีนะครับ ที่จริงแกไม่ได้อยู่ในบ้านนั้นตั้ง 25 ปีแล้ว แกไปอยู่บ้านอีกหลังนึง เมื่อแกแต่งงานก็ไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งทางใกล้ๆมัสยิด ที่จะไปทางสุไหงโกลก ห่างบ้านของพ่อผมประมาณเกือบกิโลกว่าๆ ทีนี้เมื่อมีการยิงปืนเข้าไปในบ้านอย่างนั้นนี่ ตอนแรกนี่มีน้องมาเล่าให้ฟัง ผมก็มีใครทำอะไร ปืนลั่นอะไรหรือเปล่า แต่ว่าได้ยินน้องสาวบอกว่า คืนนั้นก็มีพวกกลุ่มบุคคลอยู่หน้าบ้านนะครับ ทีนี้ผมก็คิดว่าถ้าคนในพื้นที่นี่เขาน่าจะรู้ว่าบ้านใครเป็นบ้านใครนะครับ
สำราญ – บ้านนั้นนี่ใครอยู่ครับ คุณอารีเพ็ญ
อารีเพ็ญ – มีน้องสาวผมกับน้องชายนะครับ บ้านนั้นเป็นบ้านของพ่อผม แต่ที่ดินของพี่ชาย ทีนี้ผมก็สันนิษฐานว่า แสดงว่าต้องเป็นคนจากข้างนอก อาจจะไปลักษณะว่าไปเช็คอะไรตามประวัติที่อยู่ของใครต่อใครนะครับ ซึ่งเป็นบ้านของพี่ชายผมคนนั้น
สำราญ – อันนี้เหตุเกิดเมื่อมีนาคมปีนี้
อารีเพ็ญ – มีนาคมครับ เมื่อมีการยิงไปอย่างนี้ขึ้นมานี่ เป็นลักษณะเหมือนกับการข่มขู่ หรือว่าข่มขู่ในลักษณะที่ว่า ต้องการให้มีการตกใจ หรืออาจจะมีการหลบหนีอะไรหรือเปล่าอย่างนี้นะครับ ผมก็สันนิษฐานว่าคงไม่ใช่ในพื้นที่แน่ แล้วก็ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพราะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่รู้จักกันทั้งนั้น เขาจะเป็นนักธุรกิจ จะค้าขายตั้งแต่วัวควาย วัวชำแหละ และก็ควายแปรรูป ตอนหลังนี่แกดูแลสวนของพี่ชายที่อยู่อเมริกาประมาณ 100 กว่าไร่นะครับ เพราะฉะนั้นในพื้นที่นี่รู้จักว่าบ้านแกอยู่ที่ไหน แล้วก็ใบปลิวที่ออกมานี่คนในพื้นที่ก็ไม่ได้สนใจนะ
ทีนี้เราก็มาวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ชอบมาพากล น่าจะมีเรื่องคนจากที่อื่นมา เข้าใจว่าพี่ชายผมจะอยู่ที่นี่แล้วก็มีการข่มขู่ ทีนี้แกก็เป็นคนขี้ตื่น แกบอกว่าถ้าอย่างนี้แกก็คงจะไม่สามารถอยู่ได้หรอก เพราะว่าจากที่มีแผ่นอะไรต่างๆ กระดาษที่ออกไปส่งต่อใครต่อใคร แกว่าอย่างนี้ก็เหมือนกับว่ามีมือที่ 3 นี่ ว่าแกสร้างสถานการณ์นะครับ แกก็เลยบอกว่าครั้งนี้ก็คงไม่อยู่แล้ว แล้วก็ไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคม ผมก็สบายใจว่าแกไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมมา ผมก็สบายใจแล้ว เพราะว่าเรื่องใบปลิวอะไรก็ไม่น่าจะมีแล้ว
สำราญ – ที่เขาบอกว่าจริงๆแล้วคุณรอมลีก็ไม่ได้อยู่ในประเทศทมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ปีนี้หมายความว่าเป็นสิบๆปีแล้วนี่ จริงไหมครับ
อารีเพ็ญ – ไม่ครับ สิบๆปีนี่ก็คงไม่ใช่นะครับ เพราะตอนเลือกตั้งนี่แกก็ยังอยู่ ทีนี้แกเพิ่งไปเมื่อเดือนมีนาคมนี่เอง เพราะจริงๆแกก็ทำธุรกิจฟาร์มไม้นะครับ ทีนี้แกก็ไปตั้งแต่นั้น พอไม่กี่วันก็มีการออกหมายจับนะครับ ซึ่งผมเองก็มีความรู้สึกไม่สบายใจตรงที่ว่า จริงๆเรื่องนี้ถ้ามีการสงสัยยังไงเรียกมาคุยกันนะครับ เราพร้อมที่จะมีการเอาเขามาคุยอะไรต่างๆมันได้นะครับ
สำราญ – คุณอารีเพ็ญยืนยันว่าพี่ชายของคุณอารีเพ็ญ คุณรอมลีนี่คือได้หายไปจริง แต่ว่าปีนี้เอง มีนาคมปีนี้เอง
อารีเพ็ญ – มีนาคมนี้เอง จากที่ว่าบ้านเขาโดนยิงนะครับ
สำราญ – ปีที่แล้วยังอยู่ในประเทศไทยแน่นอน
อารีเพ็ญ – อยู่ครับ ยังค้าขายดูแลสวน แกไม่ได้ไปไหน
สำราญ – ทำธุรกิจอะไรครับ
อารีเพ็ญ – ที่จริงแกทำไม้แปรรูป หลังจากนั้นก็ตลาดมันไม่ดี เศรษฐกิจมันไม่ดีนะครับ แกก็ทำสวน และก็ดูแลสวนของพี่ชาย ซึ่งมี 100 กว่าไร่นะครับ ซึ่งพี่ชายผมอยู่อเมริกาคนหนึ่ง แกอยู่ที่นั่นแกก็ดูแลนะครับ คนอื่นเขาก็ไม่มีเวลาเพราะว่าบางคนก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เพราะฉะนั้นแกก็ดูแลส่วนของพี่ชาย แกก็ส่งไป แกดูแลก็ได้ส่วนของที่แกดูแลไป
สำราญ – ด้วยความเคารพครับก็คือ จริงๆเวลาฝ่ายค้าน แม้กระทั่งประชาธิปัตย์เองก็เถอะ เวลาอภิปรายก็อย่างที่คุณอารีเพ็ญพูดนะครับ ก็พยายามแขวะมาที่มี ส.ส.ภาคใต้ มีพี่น้อง พี่ชาย ส.ส.ภาคใต้คนหนึ่งก็อยู่ในขบวนการทำนองนี้นะครับ
อารีเพ็ญ – มันเป็นอย่างนี้นะครับ ผมจะเล่าให้ฟัง เหมือนกับว่ากรณีที่คุณเด่นโดนนั่นแหละครับ ผมเองเป็นนักการเมือง ผมรักษามารยาท ไม่อยากจะเอาคนที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของใครต่อใครมาพูด เอามาโยง เหมือนนิสัยของนักการเมืองบางพรรคที่ใช้วิธีการอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณ ถ้าผมพูดตรงๆไปนะครับ ถ้าผมบอกว่าคนที่เคยกล่าวหา เคยออกใบปลิวโจมตีว่าเป็นผู้นำกระบวนการคนหนึ่งที่อยู่ปัตตานีนะครับ ผมไม่ต้องเอ่ยชื่อนะครับ ว่าเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ ในหมู่คนไทยพุทธก็ไปปลุกระดม และทางการก็รายงานข่าวตลอดว่าเป็นผู้นำขบวนการ ซึ่งขณะนี้ก็มีลูกเขยของคนนั้นก็มาอยู่ในพรรคนี้นะครับ เขาก็ไม่เห็นอะไร ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะครับ
หรือบางคนที่เป็นขบวนการเบอร์ซาตูนะครับ เขาก็เป็นลูกเขยของคนที่เป็น ส.ส.ของพรรคนี้ เราก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่ามันเป็นเรื่องของบุคคลไป แล้วปัจจุบันก็เป็นลูกเขยของคนที่อยู่พรรคนี้ หรือว่ามีนักการเมืองบางคนที่มีหัวคะแนน ที่หัวคะแนนได้สูญหายไป เนื่องจากว่ามีการค้าขายปืนกับพวกอาเจะห์เสรีนี่นะครับ เราก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นหัวคะแนนใหญ่ของ ส.ส. เขาจะต้องไปพัวพัน เราถือเป็นมารยาทของนักการเมืองที่ต้องเคารพให้เกียรติกัน ก็ไม่เคยมีการพูดแต่ครั้งนี้พูดเรื่องนี้ตลอดตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วนะครับ
ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ผมต้องรักษามารยาท เพราะฉะนั้นเราก็ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมถือว่าเป็นเรื่องที่เราหาลักษณะว่าจับแพะชนแกะ เพราะว่าพี่ชายผมนี่เขาเรียนจบอินโดนีเซียตั้งแต่ปีโน้น ปี 2518 ตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมานะครับ ซึ่งคนที่จบอินโดนีเซียในช่วงนั้น บางคนมาทำงานรับราชการมาเป็นถึงระดับเกือบๆเป็นทูตก็มีนะครับ เพราะฉะนั้นผมว่าเรียนที่ไหนมันไม่สำคัญ แต่ว่าเราอย่าไปจัดว่าถ้าเขาเรียนที่ไหน แล้วก็มีความสัมพันธ์รู้จักกับใครขึ้นมาแล้วก็ไปโยงกันหมด ผมอยากจะให้มันให้ความเป็นธรรม ว่ามันไม่ชัดเจนอย่าไปกล่าวหาคน
สำราญ – แล้วตอนนี้คุณอารีเพ็ญจะติดต่อให้พี่ชายมาคุยกับทางการไหม มามอบตัวไหม หรือจะทำยังไงต่อไปครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองกำลังคุยกับพี่น้องอยู่นะครับ ใจจริงของผมนี่นะ ถ้าเรื่องคดีความ ผมถือว่าผมเป็นทนาย ผมอยากจะสู้คดี แต่บางคนแกก็อายุมาก อายุ 57-58 ถ้าเราสู้คดีขึ้นมา ถ้า 6 ปีใช่ไหมครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่มันทรมานมากเหมือนกันสำหรับคนที่สู้คดี แต่ผมเองไม่ใช่ตัวเรานะครับ ถ้าตัวผมเองแน่นอนว่าต้องสู้คดี แต่บางคนก็อาจจะไม่คิดอย่างนั้น อย่างเช่นว่าเขาอยู่ลักษณะที่ว่าต้องมาทรมานอยู่ในคุกต่างๆ ต้องสู้คดีขณะที่อายุมากๆ อายุที่ว่าประมาณ 57-58 ผมคิดว่าอายุก็พอสมควรนะ ไม้ใกล้ฝั่งน่ะ ทีนี้เราก็กำลังคุยกับภรรยา กับลูกๆเขาอยู่นะครับ
สำราญ – ภรรยาเขาก็ยังอยู่ในเมืองไทยนะครับ
อารีเพ็ญ – อยู่ครับ ภรรยาอยู่เมืองไทย
สำราญ – อยู่ที่สุไหงโกลกหรือครับ
อารีเพ็ญ – สุไหงปาดีครับ ก็อยู่บ้านเขา ที่ผมบอกว่าเขาออกจากบ้านไปก็ประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว
คำนูณ – แล้วได้คุยกับทางพรรคไทยรักไทยบ้างไหมครับ
อารีเพ็ญ – ผมคงไม่คุยหรอกครับ เพราะว่าเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไป ไม่ใช่เรื่องของพรรค ในเมื่อทางการเขาก็มีการซัดทอด มีพยานหลักฐาน เขาก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม อยากจะให้ความเป็นธรรมเกี่ยวกับเรื่องของคดีความ
คำนูณ – อนาคตทางการเมืองของกลุ่มวาดะห์นี่ยังจะยังคงมั่งคงอยู่กับพรรคไทยรักไทยต่อไปไหมครับ
อารีเพ็ญ – เรื่องอนาคตนี่ ผมเองจะสรุปแทนคนอื่นไม่ได้นะครับ เพราะการเมืองอย่างที่ว่า ผมเองเล่นการเมืองมา 20 ปีนะครับ ต้องเข้าใจหัวอกของการเข้ามาสู่การเมืองนี่นะครับ ผมบอกตรงๆว่าแนวทางของผมนี่นะ พ่อผมนี่ ตระกูลของผมทั้งตระกูลอุตรสินธุ์ ก็ได้ดิบได้ดีมาทางเรียนหนังสือ แล้วก็ถึงขั้นว่าบางคนไปอยู่ถึงอเมริกา พี่ชายบางคนก็เคยเป็นนักประพันธ์นะครับ ก็เป็นครอบครัวที่ต้องบอกตรงๆว่า เป็นครอบครัวที่มันทันสมัยกว่าคนอื่นมากในสังคม เราได้เปรียบกว่าคนอื่นเยอะ พวกผมจบมหาวิทยาลัยหลายคน พี่ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้นเองที่ไปต่างประเทศ คนอื่นก็ต่อ กทม.ทั้งนั้นแหละครับ เราไม่ได้เรียนทางสายศาสนามาเลยครับ ที่เป็นคนลักษณะที่ว่ามันจะเป็นสมัยโบราณๆ ไม่เหมือนกับคนที่ได้เคร่งครัดเรื่องศาสนา ของเราเป็นลักษณะสากลนะครับ เพราะฉะนั้นพ่อผมสอนตลอดเวลา เราไม่มีความคิดอย่างนี้ แต่ว่าเราเห็นว่าปัญหาบ้านเราต้องแก้ด้วยปัญหาการเมือง
สำราญ – ในความรู้สึกจริงๆของคุณอารีเพ็ญ คิดว่าจู่ๆออกหมายจับขึ้นมานี่เพราะอะไรครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองก็ไม่คาดคิดนะครับว่าออกมาแบบปุ๊บปั๊บ และก็มา 7 คนและก็เผยชื่อคนเดียวนะครับ คงจะรู้ว่าเผยชื่อคนเดียวก็รู้ว่าไม่อยู่ ทีนี้คนที่จะออกหมายจับจริงๆเขาต้องปกปิดใช่ไหมครับ ทีนี้เปิดเผยคนเดียวก็อาจจะรู้ตั้งนานว่าคงไม่อยู่เมืองไทย มันถึงจะเปิดเผย แต่ทีนี้ลักษณะออกมามันเหมือนกับดิสเครดิตทำให้เสื่อมเสียนะครับ ต่อวงศ์ตระกูลนะครับ
สำราญ – ดิสเครดิตเพื่ออะไรครับ เพื่อไม่ให้กลุ่มวาดะห์อยู่ในไทยรักไทย หรือเพื่ออะไรครับ
อารีเพ็ญ – ผมเองนี่นะครับ เฉพาะผมคนเดียวนะครับ ผมไม่ได้สนใจเลยถ้าหากว่าพรรคไทยรักไทยบอกว่าขับออกจากพรรคนะครับ เพราะผมถือว่าเราเป็นนักการเมืองนะครับ เราถือว่าเมื่อเขาเห็นว่าเราอยู่แล้วเขามีปัญหานี่ เขามีสิทธิ แต่จะให้เราตัดสินใจยังไงก็อีก 3 ปี เราถือว่าเราอยู่ที่ไหนเราไม่อยากให้คุณไม่สบายใจ
คำนูณ – เขาก็คงไม่ขับออกหรอก แต่ดูเหมือนว่าเขาให้เกียรติน้อยไปหน่อย นี่ก็เป็นคนที่ 2 แล้วใช่ไหมครับ ในกลุ่มวาดะห์
สำราญ – ก็ยังหึ้คำตอบตัวเองไม่ได้ แต่อย่างน้อยคุณอารีเพ็ญรู้สึกว่าเป็นดิสเครดิตอย่างแน่นอนนะครับ
อารีเพ็ญ – แน่นอน มันอย่างนี้ขึ้นมานี่ ผมคิดว่าเราอยู่ครัวเรือนเดียวกันนี่นะ มีอะไรคุยกัน ถ้าเราคุยกับแบบนักการเมืองนี่นะ มันจะได้มีอะไรที่มีเหตุมีผลเยอะ แต่ถ้าเราไม่ได้คุยกันเลย มาฟังทางราชการอย่างเดียวนะครับ เหมือนกับเราไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้วล่ะ
คำนูณ – อาจารย์วันนอร์รู้เรื่องก่อนไหมครับ
อารีเพ็ญ – อาจารย์วันนอร์ไม่รู้ครับ
สำราญ – แล้วประชุมกันเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานี่
อารีเพ็ญ – พอดีผมติด ผมไม่ได้ประชุมนะครับ พอดีตอนนี้ผมบอกตรงๆว่าผมออกพื้นที่นะครับ ทีนี้เป็นช่วงประชุมปกติ ไม่ใช่ประชุมเฉพาะเรื่องนี้ ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว เป็นเรื่องของส่วนตัวไป ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ประชุมนะครับ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับกลุ่ม ไม่เกี่ยวกับพรรค เพียงแต่ว่าเมื่อผมยังอยู่ในกลุ่มยังอยู่ในพรรค เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาเราเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ทำให้มีความรู้สึกที่เพื่อนๆเขาไม่สบายใจด้วยเท่านั้นเอง
สำราญ – สุดท้ายจริงๆครับ ในสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัด เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ปีนี้ดีขึ้นไหมครับ หรือว่าหนักหนา
อารีเพ็ญ – ผมว่ามันก็คงจะใกล้เคียงกัน ผมรู้สึกอย่างนี้ครับ คุณสำราญ คุณคำนูณนะ ผมอยากจะให้มองปัญหานี้ มันไม่มีกฎหมายใดหรอกที่จะแก้ได้ คุณคงติดตามเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พ.ร.บ.ว่าการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่สมัยพระยามโนปกรณ์นะครับ หลังๆมานี่นะคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นพรวดๆ จนกระทั่ง 6 ตุลานะครับ มันต้องมีการแก้ปัญหาความคิดด้วยความคิดที่ดีกว่า ที่มีเหตุมีผล และก็ต้องมีลักษณะเป็นนโยบายนำ การจะใช้กฎหมายใดก็ตามแต่ ผมว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ
เพราะว่าคนที่คิดจะก่อเหตุนั้น ยิ่งเราใช้กฎหมายแรงเขายิ่งชอบ คนที่ก่อเหตุนี่นะครับเมื่อเขาก่อเหตุเขาหลบหนีได้ทัน คนที่มันทำผิดมันรู้ไล่ทันมันก็หลบหนี มันโดนคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คือบางทีมันก็เพื่อต้องการให้เพิ่มแนวร่วมมากขึ้น ต้องเข้าใจนะครับว่าวิธีการของพวกเหล่านี้ ก็เหมือนวิธีการของพรรคคอมมิวนิสต์ คล้ายๆกับนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังให้มากนะ ผมคิดว่า ผมอยู่ในสถานการณ์ ผมเข้าใจว่าความรู้สึกของประชาชนเป็นยังไง
สำราญ – เอาเป็นว่ามันเป็นสงครามความคิด ไม่ใช่สงครามอย่างอื่นนะครับ
อารีเพ็ญ – ครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องของอาชญากรรม ที่เราต้องใช้นโยบาย ต้องหนักแน่น และก็ต้องใช้ทางการเมืองมาก อย่าเอาแต่ความรู้สึกของราชการ
สำราญ – เอาล่ะครับ ขอบพระคุณมากครับ คุณอารีเพ็ญครับ
คำนูณ – ขอบพระคุณมากครับ สวัสดีครับ
อารีเพ็ญ – ครับ สวัสดีครับ