xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องสนุกๆของ "ยี่เจ๊"กับก๊วน"ดาราฯ 2511" - การมุ้งทำปชป.เล่นไม่เต็มสูบ

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ไม่ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ตาม “เซี่ยงเส้าหลง” เชื่อว่าทุกคนคงจะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ก็คือ ไพ่ใบสุดท้าย ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทิ้งลงมาเพื่อ เดิมพัน กับทั้ง การแก้ปัญหาวิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ การแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล และในระยะเฉพาะหน้ามันออกจะ ได้ผล เพราะดูจาก ผลโพล แล้วจะพบว่าเป็นครั้งแรกในรอบสองสามเดือนที่ แสดงผลเชิงบวกต่อการกระทำของรัฐบาล ข่าวใหญ่ ๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ที่หายไปในทันทีคือ ข่าวคอร์รัปชั่นต่าง ๆ (โดยเฉพาะ ข่าวยี่เจ๊), ข่าวเศรษฐกิจขาลง อย่างน้อยก็พอที่จะทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 พี่ชายยี่เจ๊ มีข้ออ้างอย่างไม่น่าเกลียดเท่าไรนักที่จะ ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับสื่อมวลชน โดยแสดงเป็นนัย ๆ ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจเอาเองว่า ไม่ใส่ใจกับเรื่องไร้สาระจากพวกขาประจำ – มุ่งหน้าทำงานในเรื่องที่สำคัญกว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อดนึกไปถึงคำกล่าวที่มีชื่อเสียงก้องโลกของ Samuel Johnson (ค.ศ. 1709 – 1784) ตั้งแต่เมื่อ 230 ปีก่อนโน้น วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1775 ความว่า “...Patriotism is the last refuge of a scoundrel.” แปลเป็นภาษาไทยกันได้เอง สัตว์โลกสายพันธุ์เดมาก็อก ไม่ว่าชาติใดภาษาใดหากอยู่ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อของชาติและสังคมมักจะใช้ ความรักชาติ มาเป็น มุก ในกระบวนการ แสวงหาคะแนนนิยมจากสังคม, กลบขี้ ด้วยกันทั้งนั้น เกษม ศิริสัมพันธ์ เคยแปล เดมาก็อก เป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่ายว่า นักปลุกระดมที่หาเสียงหาความนิยมโดยการปลุกเร้าหลอกลวง ประเด็นนี้ท่านเคยเขียนไว้หลายปีมาแล้วว่า “...มักเกิดในสังคมที่กำลังเผชิญกับการปรับเปลี่ยน เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ เผชิญกับวิกฤติทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ประชาชนกำลังขาดความมั่นใจในอนาคตของบ้านเมือง พวกเดมาก็อกจะฉวยโอกาสเสนอแนวทางซึ่งไม่สลับซับซ้อน เป็นทางออกง่าย ๆ หรือสร้างความเกลียดชังคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เป็นการปลุกระดมให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมเชิงลบ เป็นการล่อใจประชาชนให้หลงนิยมและคล้อยตามเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์.” ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ที่ท่านยกมาก็คือ ฮิตเลอร์, มุสโสลินี, โปแลนด์ ค.ศ. 1990, รัสเซีย ค.ศ. 1993 และแน่นอนว่ารวมทั้ง ประเทศไทยในช่วง 4 ปีมานี้ ด้วย

•• เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้มักจะ ได้ผล เพราะอย่างน้อยทั้ง สื่อมวลชน, นักสิทธิมนุษยชน จะต้องมารุมกันยำใหญ่ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ทั้งเชิง หลักการ และ รายละเอียดต่อเนื่อง ซึ่งก็ถูกต้องเหมาะสมเพราะจริง ๆ แล้วนี่คือ สารัตถะของชาติบ้านเมือง ในที่สุด ข่าวยี่เจ๊ ที่ปกติก่อนหน้านี้ก็ให้บังเอิญที่ รุมยำกันน้อยเป็นพิเศษอยู่แล้ว มีแต่จะ ถูกลืม ในเวลาอันไม่ช้าไม่นาน

•• ซึ่งก็จะ เจือสม กับการเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาลที่จะต้อง แก้เกม ซึ่งก็แพลม ๆ ออกมากันแล้วว่าอาจจะ ผ่อนกระแส ด้วย การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ – เพื่อบรรจุวาระอนุมัติพระราชกำหนด ตามการให้สัมภาษณ์ของวิษณุ เครืองาม เพื่อเล่นกลให้เห็นว่า ไม่หลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากระบบรัฐสภา ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ในมุ้งแล้วว่า กุมเสียงข้างมากเด็ดขาด อภิปรายอย่างไรมติออกมาก็ ผ่านขาดลอย อยู่แล้ว

•• จริง ๆ แล้วพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ 2 ด้าน เนื้อหา และ รูปแบบ หลายคนที่ยอมรับในเนื้อหากลับรับไม่ได้ในรูปแบบที่ใช้ พระราชกำหนด แทนที่จะเป็น พระราชบัญญัติ เรื่องนี้มีความเป็นมา

•• ปัญหาสำคัญของการตรากฎหมายในรูปแบบ พระราชกำหนด คือ ตรวจสอบไม่ได้ เรื่องในรัฐสภานั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะ รัฐบาล มี เสียงข้างมากเด็ดขาด แต่ประเด็น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ ถูกล็อก โดย รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ยึดหลักการ มอบอำนาจตัดสินใจให้ฝ่ายบริหาร ดังที่จะขอแจกแจงในย่อหน้าต่อไป

•• เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ใน มาตรา 219 ที่ว่าด้วย การยื่นตีความพระราชกำหนด นั้นกำหนดไว้ชัดเจนให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพียงว่า ขัด หรือ ไม่ขัด กับ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ระบุว่า “ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ....” เท่านั้น มาตรา 219 ทั้ง 4 วรรค เขียนระบุไว้แต่ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนเรื่อง เร่งด่วน, ฉุกเฉิน นั้น คนละเรื่องกัน เพราะอยู่ใน มาตรา 218 วรรคสอง ที่ระบุไว้ว่า “...การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบ ด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้.” ไม่มีมาตราใด ให้อำนาจ แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ (หรือ องค์กรอื่นใด) ที่จะไป ตีความ, วินิจฉัย ถือเป็นการให้ เอกสิทธิ์ แก่ ดุลพินิจของฝ่ายบริหาร โดยตรง

•• รัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่ ฉบับแรก ที่แยก เงื่อนไขการตราพระราชกำหนด ออกเป็น 2 ส่วน 2 วรรค โดยให้อำนาจ ศาลรัฐธรรมนูญ (หรือ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ) ตีความได้แต่เพียง 1 ส่วน 1 วรรค คือว่าด้วย ความมั่นคงของประเทศ, ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ไม่มีอำนาจไปตีความ กรณีฉุกเฉิน, กรณีรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ นี่เป็นหลักการที่เริ่มบรรจุไว้ตั้งแต่ รัฐธรรมนูญ 2534 ซึ่งถ้าจะวิจารณ์ ความถูกต้อง, ความเหมาะสม ของการบัญญัติแยกเงื่อนไขการตราพระราชกำหนดเช่นนี้และ จำกัดอำนาจการตีความ ไว้เฉพาะประเด็น ความมั่นคง โดยสงวนสิทธิในการวินิจฉัย กรณีฉุกเฉิน-รีบด่วน ไว้ให้เป็น อำนาจเฉพาะ ของ ฝ่ายบริหาร ก็ต้อง แยกการวิพากษ์วิจารณ์ ออกมาเป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหากในเชิง ปรัชญาของกฎหมายมหาชน ซึ่ง “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าพักเอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า

•• ที่ต้องเขียนเล่าไว้ใน 2 – 3 ย่อหน้าก่อนก็เพราะเมื่อ 13 ปีก่อน ช่วงเหตุการณ์ 17 – 20 พฤษภาคม 25435 ก็ ผู้จัดการรายวัน นี่แหละที่ดำเนินการ วิพากษ์ อย่าง ถึงแก่น เพราะบทบัญญัติเช่นนี้ใน รัฐธรรมนูญ 2534 ทำให้ พระราชกำหนดนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ 17 – 20 พฤษภาคม 2535 ของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร สามารถ ผ่านมติ ของ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ออกมาได้

•• นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ที่พูดกันมากในประเด็น มุมมองทางกฎหมาย ไม่ว่า เนื้อหา หรือ รูปแบบ แล้วอีกประเด็นที่ขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อตัดสินใจตรากฎหมายฉบับนี้ออกมาก็เท่ากับ ตัดข้อได้เปรียบแต่เดิม ที่ยกปัญหาวิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ให้กับ อานันท์ ปันยารชุน จนเสมือนเป็น รัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติในทางปฏิบัติ ไปแล้วโดย กลับเข้ามาเผชิญหน้ากับปัญหาเอง ซึ่งในอนาคตไม่ว่าจะ ได้ผล หรือ ไม่ได้ผล ก็จะต้อง รับผลนั้นด้วยตัวเอง จะโบ้ยไปให้ใครต่อใครอีกไม่ได้แล้ว

•• เคยเสนอไปว่า อานันท์ ปันยารชุน และ กอส. – คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ มี ข้อดี ตรงที่รัฐบาลโดยภาพรวมแล้วจะสามารถ ถอนตัวออกจากปัญหาที่ไม่ประสบความสำเร็จมาตลอดแล้วบำเพ็ญเป็นเพียงผู้ปฏิบัติและผู้สนับสนุนที่ดี – ปล่อยให้เรื่องยุทธศาสตร์เป็นหน้าที่ของรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติในทางปฏิบัติ และได้เตือนไปว่าอย่าไปตีคุณค่าเสมอเพียง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อย่าลืมว่าแม้ด้านหนึ่งคนอย่าง อานันท์ ปันยารชุน จะมีความเป็นตัวของตัวเองและ ฯลฯ เพียงพอที่จะ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายปรปักษ์ทางการเมืองของรัฐบาล แต่คน ๆ นี้ก็ไม่ยอมมาเป็น หุ่นเชิด ให้ใครง่าย ๆ หากวันใดพบเห็น ความไม่จริงใจ, ความดื้อรั้นไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ เชื่อเถอะว่าคน ๆ นี้ไม่ ออมปากออมคำ แล้ว นั่งนิ่ง ๆ ร่วมมือต่อไป เหมือนนักการเมืองบางคนใน พรรคไทยรักไทย เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง ที่ ไม่มีทางเลือก อย่างแน่นอน

•• ความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับ อานันท์ ปันยารชุน นับจากนี้ไปจะเป็นประเด็นที่ ต้องจับตา พอ ๆ กับที่จะต้องจับตาว่า กอส. - คณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ จะ แสดงบทบาทใหม่ ต่อไปอย่างไร

•• วันนี้ วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2548 มีทั้งการระดมสมองในหมู่ สื่อมวลชน ในช่วงสาย ๆ ที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และในตอนเย็นยังมีการพบปะระหว่าง กอส.กับสื่อมวลชน คงจะมีข่าวคืบหน้าในวันต่อไป

•• เอาละ พักประเด็นหลักการ ไว้ก่อนดีกว่า เรื่องสนุกสนาน ยังมีมาเล่าสู่กันฟังในวันที่มีพอมีพื้นที่ให้นำเสนอกว้างขวางอย่างวันนี้

•• จริง ๆ แล้วแม้จะเป็น สารัตถะของชาติบ้านเมือง แต่กรณีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นี้เป็นประเด็นที่ ดิ้นได้ สังคมจะมีความเห็นแตกต่างเป็น 2 ทางและความถูกความผิดนั้นขึ้นอยู่กับภูมิหลังแห่งองค์ความรู้ แตกต่าง กับประเด็น ข่าวยี่เจ๊ ที่ ดิ้นไม่ได้ ประชาชนไม่ว่ามีแนวคิดทางการเมืองแบบไหนองค์ความรู้ระดับใดต่าง รับไม่ได้กับพฤติกรรมที่เสมือนแก๊งตกทอง คิดประสา “เซี่ยงเส้าหลง” เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลือกที่จะเผชิญหน้ากับ ประเด็นแรก มากกว่า

•• องค์ประกอบที่ทำให้ ข่าวยี่เจ๊ ถูกทำให้ เล็กลง นั้นน่าจะมีหลายเหตุผลประกอบกัน ความไม่บริสุทธิ์, การไม่เปิดเผยตัวออกมาต่อสู้โดยตรง ของ ลัทธพล เกษโกทิน เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้สื่อมวลชนที่มีทั้ง เอกสาร, วีซีดี อยู่ในมืออยู่ก่อนแล้วค่อนข้างจะ แหยง โดยเฉพาะเมื่อมีการทำงานมวลชนมาจากเครือข่ายของรัฐบาลตลอดมาตั้งแต่ ก่อนเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 แล้วว่าเรื่องนี้ เคลียร์กันแล้ว, คืนเงินกันหมดแล้ว ยิ่งเมื่อมาเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ แสดงทีท่า กั๊ก, ไม่เอาจริง เพราะคนที่ออกมาเล่นเรื่องนี้มีคนเดียวคือ อลงกรณ์ พลบุตร ที่ออกจะ ช้ำ ต่างก็เลยพร้อมใจกัน ดูท่าที เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ก็ไม่รู้ว่าที่เขากระซิบกระซาบกันว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้า ไม่เต็มสูบ นั้นไม่ใช่เพียงเพราะเห็นว่าในทางข้อเท็จจริงได้มีกระบวนการ เคลียร์กันแล้ว, คืนเงินกันหมดแล้ว แต่เป็นเพราะ Human Factor ที่ว่า เพื่อนรัก, เพื่อนร่วมรุ่นมช. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ – เลขาธิการพรรค บังเอิ้นบังเอิญไปเป็น เพื่อนใจคนปัจจุบัน ของ ยี่เจ๊ (ที่มีข่าวรู้กันทั่ววงการว่า เพื่อนใจคนปัจจุบัน ของเธอเป็น นักบริหารการเงินชื่อดัง) เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะมีคำตอบออกมาได้แค่ไหนเพียงใดจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และไหน ๆ ก็พูดเรื่อง เพื่อนร่วมรุ่นมช. กันทั้งทีก็ต้องขอถามดัง ๆ ในปัญหาที่ค้างคาใจมานานว่าเหตุผลสำคัญที่ พรรคประชาธิปัตย์ ออกจะมีท่าทีให้ความสำคัญน้อยไปสักนิดกับกรณีแนวโน้ม โกงยกกำลัง 3 กล้ายางพารา 1 ล้านไร่ นั้นเป็นเพราะว่า ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ – อธิบดีกรมวิชาการเกษตร คนสำคัญในเรื่องนี้น่ะเป็นทั้ง รุ่นน้องมช. และ เพื่อนร่วมงานในสภานักศึกษามช. ด้วยหรือเปล่า การเมืองไทย ในที่สุดก็ปน ๆ แยกไม่ออกอยู่กับ การมุ้ง และ เครือข่ายระบบอุปถัมภ์ ที่พันกันไปมาทั้ง รัฐบาล, ฝ่ายค้าน อย่างนี้แหละ

•• เรื่อง ข่าวยี่เจ๊ นี้ “เซี่ยงเส้าหลง” อยากให้นักเขียนนวนิยายดัง ๆ อย่าง กิ่งฉัตร (ที่ปัจจุบันมีหน้า นวนิยายออนไลน์ ทั้ง เรื่องเก่า และกำลังจะมี เรื่องใหม่ ๆ สด ๆ อยู่ใน www.manager.co.th) เอาไปเป็น พล็อตนวนิยายเรื่องใหม่ จริง ๆ รับรองว่า เรื่องจริง เรื่องนี้เด็ดกว่า เรื่องจินตนาการ หลายเท่าทวีคูณ รัก, โลภ, อิจฉาริษยา มีพร้อมมูล นายผู้ชาย, นายผู้หญิง, ยี่เจ๊, ซาเจ๊ และ ฯลฯ แถมโยงไปทั้ง รัฐบาล, ฝ่ายค้าน และ เมกะโปรเจ็ค อย่างน่าตื่นเต้น

•• ฉากใหญ่ของนวนิยายเรื่องข้างต้นจะ สวยงาม, โรแมนติค เพราะเป็นพื้นที่ เชียงใหม่ ทั้ง มช., มงฟอร์ด, ปริ้นส์รอย, ดาราวิทยาลัย และ ฯลฯ ในตอนกลางของเรื่องยังจะมีฉากต่างประเทศที่สวยงามพอกันอย่างเช่น นิวซีแลนด์, แคนาดา และดีไม่ดีในตอนจบจิตนาการของผู้ประพันธ์อาจวาดภาพให้ตัวละครทั้งหมดไป กอดคอนอกมาตุภูมิด้วยกัน ก็ได้

•• ไม่ต้องห่วงว่า ช่อง 3 หรือ ช่อง 7 จะไม่ซื้อนวนิยายเรื่องนี้ไปทำเป็นบทละคร ไอทีวี ยังมีอยู่

•• แกนกลางของเรื่องน่าจะเริ่มต้นจาก วัยรุ่น – เด็กหญิงนุ่งกระโปรงแดงเสื้อขาวถักเปีย น่ารัก ๆ ท่าสนิทสนมรักใคร่กันกลุ่มหนึ่ง 5 คน ที่รู้จักกันในนาม ดาวดัง ของ ดาราฯ 2511 ตั้งชื่อให้เสียเลยก็ได้ว่า นาย, ต่าย, สาว, อรพิมล และคนสำคัญคือ ยี่เจ๊ ที่จะต้องหานักแสดงที่ สวย, เปรี้ยว และมีลักษณะเป็น ผู้นำกลุ่ม ตัวละครที่จะเพิ่มเข้าในตอนที่ผู้นำกลุ่มมีอันต้อง อำลาจากดาราฯ 2511 ก่อนกำหนด เข้ามาเรียนใน กรุงเทพฯ, ต่างประเทศ และ ทำงานแล้ว ก็คือ อ้อย (ที่ทำหน้า แนวรุก), นิด (ที่ทำหน้าที่ คนสนิท) ในขณะที่เพื่อนกลุ่มเดิมที่ยังมีบทบาทอยู่คือ สาว ในฐานะ แนวหลัง – ทำหน้าที่เคลียร์ปัญหา โดยมีตัวละครเป็นผู้ชายเข้ามามีบทบาทในด้านการงาน 2 คน ปัญญา, ชยันต์ ส่วนตัวละครฝ่ายชายที่เป็นเสมือน เพื่อนใจ ของ ยี่เจ๊ นั้นมี หลายคน คนสำคัญในวัยกลางคนเมื่อขึ้นต้นอายุด้วย เลข 5 เป็นหนุ่มใหญ่รุ่นพี่จาก ปริ้นส์รอย ที่วันหนึ่ง นายผู้หญิง เรียกเข้าไปคุยว่า “...รักกันจริงไหมจ๊ะ ถ้าจริงก็ให้เป็นเรื่องเป็นราว จะได้ส่งคุณไปช่วยชาติดูแลโครงการใหญ่.” แน่นอนว่าจะต้องมี ฉากการเมือง แทรกเป็นระยะ ๆ ตรงที่หนุ่มใหญ่คนนี้จะต้องนั่งคุยกับ เพื่อนรักเลขาธิการพรรคการเมืองเก่าแก่ตามควรแก่กรณี รถยนต์ประกอบฉาก คันสำคัญจะต้องเป็น เฟอร์รารี่ ที่นางเอกคนสำคัญนำ ลาภมิควรได้ ไปถอยออกมาให้ บุตรชาย ขับไปขับมาจน กลายเป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ และส่งผลสะเทือนให้ เรื่องที่ควรจะเคลียร์ได้มีอันต้องยืดเยื้อออกไป “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยว กิ่งฉัตร เธอจะงอนที่คนเขียนนวนิยายไม่เป็นดันทะลึ่งไปคิดดัง ๆ แทนเธอเสียทั้งหมด
กำลังโหลดความคิดเห็น