กระบี่ / เผยโรงงานแปรรูปไม้ยางสุดชุ่ยทำสารเคมีอบเนื้อไม้ไหลออกสู่สภาพแวดล้อม สวนยางรอบโรงงานตายระนาวนับร้อยไร่ เจ้าของโรงงานโบ้ยไม่เกี่ยวเหตุอยู่ไกลกัน ชาวบ้านจี้โรงงานจ่ายค่าชดเชย พร้อมสร้างมาตรการป้องกันสารเคมีแพร่สู่สภาพแวดล้อม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันชาวบ้านห้วยน้ำขาว หมู่ 1 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ กำลังประสบปัญหาจากการที่โรงงานแปรรูปไม้ยางพาราซึ่งตั้งโรงงานอยู่ในชุมชนที่ได้ปล่อยสารเคมีที่ใช้ในการอบไม้ยางพาราลงสู่พื้นดินจนเกิดปัญหาสารเคมีเหล่านั้นปนเปื้อนลงสู่สวนยางพาราของชาวบ้านจนเกิดปัญหาสวนยางพาราเหล่านั้นยืนต้นตายเป็นเนื้อที่หลายสิบไร่ ส่วนต้นยางพาราที่ยังไม่ตายก็ให้ผลผลิตน้ำยางน้อยมาก กรณีปัญหาดังกล่าวสร้างปัญหาความเดือดร้อนต่อชาวบ้านห้วยน้ำขาวอย่างหนัก
นายพงศกร บุญรัตนะ ประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน(ทสม.) บ้านห้วยน้ำขาว ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เปิดเผยว่า โรงงานดังกล่าวชื่อโรงงานไม้ยางพาราวู๊ดเวิร์ค เครดิชั่น จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานของกลุ่มทุนนอกพื้นที่ได้เข้ามาตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปไม้ยางพาราในชุมชนห้วยน้ำขาวตั้งแต่ปี 2541 มีพื้นที่โรงงานประมาณ 10 ไร่มีคนงานในโรงงานนับร้อยคน ส่วนปัญหาสารเคมีจากโรงงานดังกล่าวสร้างปัญหากระทบชาวบ้านตั้งแต่ปี 2545
นายพงศกร กล่าวต่อว่า ในกระบวนการแปรรูปไม้ยางพารานั้น ทางโรงงานต้องมีการอบเนื้อไม้ซึ่งกระบวนการนี้จะมีการใช้สารเคมีเพื่อป้องกันปลวก แมลง เชื้อราด้วย ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นและกระทบชุมชนจึงมาจากกระบวนการที่มีการใช้สารเคมีในการอบเนื้อไม้ เพราะสารเคมีเหล่านี้มีการแพร่กระจายออกสู่สภาพแวดล้อมจนปนเปื้อนไปสู่สวนยางพาราของชาวบ้านบริเวณรอบๆโรงงานเป็นพื้นที่กว้างนับร้อยไร่จนต้นยางเหล่านั้นเหี่ยวเฉาและยืนต้นตายไป สำหรับพื้นที่บางส่วนที่ได้รับสารเคมีไม่มาก แม้ต้นยางพาราไม่ตายแต่ต้นยางก็ให้ผลผลิตน้ำยางน้อยมาก
นายหม้อหราด หวังสบ ชาวบ้านห้วยน้ำขาว กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโรงงานไม่มีระบบบำบัดและมาตรการป้องกันน้ำเสียที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีไหลลงสู่สภาพแวดล้อม ทั้งนี้เพราะนำเสียจากการอบเนื้อไม้จนถูกเก็บไว้ในสระน้ำที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 งานที่อยู่ภายในโรงงานเท่านั้น ซึ่งสระเก็บน้ำเสียดังกล่าวก็มิได้ก่ออิฐถือปูนเพื่อป้องกันน้ำเสียไหลซึมลงสู่น้ำใต้ดินแต่อย่างใด ขณะที่ชั้นดินบริเวณหมู่บ้านมีความลึกแค่ 6 เมตรเท่านั้น ส่วนที่ลึกกว่านั้นจะเป็นทราย ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นน้ำเสียจากโรงงานจึงไหลซึมปนเปื้อนสู่สวนยางพาราของชาวบ้านจนได้รับความเสียหาย
นายหม้อหราด กล่าวต่อว่า อย่างกรณีสวนยางพาราของตนก็เช่นเดียวกันมีอยู่ 30 ไร่ แต่ปัจจุบันได้รับความเสียหายไปแล้วกว่า 90% แห้งตายไปเกือบหมดจนปัจจุบันเหลือพื้นที่ส่วนที่ยังไม่ตายประมาณ 5 ไร่เท่านั้นกรณีที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อยู่รอบๆโรงงานแปรรูปไม้ยางพาราอย่างหนัก
“ช่วง 2-3 ปีมานี้เดือดร้อนกันมากยางตายเกือบหมด ที่เหลือก็ไม่มีน้ำยางเลย อย่างเมื่อก่อนยางราคากิโลกรัมละ 37 ไร่ ของผมมี 30 ไร่มีรายได้ตกวันละ 1,000-1,200 บาท แต่ปัจจุบันแม้ยางราคากิโลกรัมละ 56 บาทแต่ผมมีรายได้เพียงวันละ 100-200 บาทเท่านั้น ลูกจะเอาเงินไปโรงเรียนก็ยังไม่พอ” นายหม้อหราดกล่าว
นายหม้อหราด กล่าวต่อในตอนท้ายว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ช่วงปี 2547 ชาวบ้านเคยเจรจากับเจ้าของโรงงานซึ่งได้ข้อสรุปว่าจะแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีเรื่องใดคืบหน้า ครั้นเมื่อชาวบ้านไปทวงถามความคืบหน้ากับเจ้าของโรงงานกลับได้รับคำตอบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงงานเพราะอยู่ไกลกัน ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นทางหน่วยงานภาครัฐกลับมิได้มีมาตรการช่วยเหลือแต่อย่างใด ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นชาวบ้านจึงมีข้อเรียกร้องร่วมกันว่าทางโรงงานต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน รวมทั้งต้องมีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของน้ำเสียที่เกิดจากการอบเนื้อไม้มิให้ไหลลงสู่สภาพแวดล้อมต่อไปด้วย .
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันชาวบ้านห้วยน้ำขาว หมู่ 1 ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ กำลังประสบปัญหาจากการที่โรงงานแปรรูปไม้ยางพาราซึ่งตั้งโรงงานอยู่ในชุมชนที่ได้ปล่อยสารเคมีที่ใช้ในการอบไม้ยางพาราลงสู่พื้นดินจนเกิดปัญหาสารเคมีเหล่านั้นปนเปื้อนลงสู่สวนยางพาราของชาวบ้านจนเกิดปัญหาสวนยางพาราเหล่านั้นยืนต้นตายเป็นเนื้อที่หลายสิบไร่ ส่วนต้นยางพาราที่ยังไม่ตายก็ให้ผลผลิตน้ำยางน้อยมาก กรณีปัญหาดังกล่าวสร้างปัญหาความเดือดร้อนต่อชาวบ้านห้วยน้ำขาวอย่างหนัก
นายพงศกร บุญรัตนะ ประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน(ทสม.) บ้านห้วยน้ำขาว ต.ห้วยน้ำขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เปิดเผยว่า โรงงานดังกล่าวชื่อโรงงานไม้ยางพาราวู๊ดเวิร์ค เครดิชั่น จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานของกลุ่มทุนนอกพื้นที่ได้เข้ามาตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปไม้ยางพาราในชุมชนห้วยน้ำขาวตั้งแต่ปี 2541 มีพื้นที่โรงงานประมาณ 10 ไร่มีคนงานในโรงงานนับร้อยคน ส่วนปัญหาสารเคมีจากโรงงานดังกล่าวสร้างปัญหากระทบชาวบ้านตั้งแต่ปี 2545
นายพงศกร กล่าวต่อว่า ในกระบวนการแปรรูปไม้ยางพารานั้น ทางโรงงานต้องมีการอบเนื้อไม้ซึ่งกระบวนการนี้จะมีการใช้สารเคมีเพื่อป้องกันปลวก แมลง เชื้อราด้วย ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นและกระทบชุมชนจึงมาจากกระบวนการที่มีการใช้สารเคมีในการอบเนื้อไม้ เพราะสารเคมีเหล่านี้มีการแพร่กระจายออกสู่สภาพแวดล้อมจนปนเปื้อนไปสู่สวนยางพาราของชาวบ้านบริเวณรอบๆโรงงานเป็นพื้นที่กว้างนับร้อยไร่จนต้นยางเหล่านั้นเหี่ยวเฉาและยืนต้นตายไป สำหรับพื้นที่บางส่วนที่ได้รับสารเคมีไม่มาก แม้ต้นยางพาราไม่ตายแต่ต้นยางก็ให้ผลผลิตน้ำยางน้อยมาก
นายหม้อหราด หวังสบ ชาวบ้านห้วยน้ำขาว กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะโรงงานไม่มีระบบบำบัดและมาตรการป้องกันน้ำเสียที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมีไหลลงสู่สภาพแวดล้อม ทั้งนี้เพราะนำเสียจากการอบเนื้อไม้จนถูกเก็บไว้ในสระน้ำที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 งานที่อยู่ภายในโรงงานเท่านั้น ซึ่งสระเก็บน้ำเสียดังกล่าวก็มิได้ก่ออิฐถือปูนเพื่อป้องกันน้ำเสียไหลซึมลงสู่น้ำใต้ดินแต่อย่างใด ขณะที่ชั้นดินบริเวณหมู่บ้านมีความลึกแค่ 6 เมตรเท่านั้น ส่วนที่ลึกกว่านั้นจะเป็นทราย ดังนั้นกรณีที่เกิดขึ้นน้ำเสียจากโรงงานจึงไหลซึมปนเปื้อนสู่สวนยางพาราของชาวบ้านจนได้รับความเสียหาย
นายหม้อหราด กล่าวต่อว่า อย่างกรณีสวนยางพาราของตนก็เช่นเดียวกันมีอยู่ 30 ไร่ แต่ปัจจุบันได้รับความเสียหายไปแล้วกว่า 90% แห้งตายไปเกือบหมดจนปัจจุบันเหลือพื้นที่ส่วนที่ยังไม่ตายประมาณ 5 ไร่เท่านั้นกรณีที่เกิดขึ้นสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อยู่รอบๆโรงงานแปรรูปไม้ยางพาราอย่างหนัก
“ช่วง 2-3 ปีมานี้เดือดร้อนกันมากยางตายเกือบหมด ที่เหลือก็ไม่มีน้ำยางเลย อย่างเมื่อก่อนยางราคากิโลกรัมละ 37 ไร่ ของผมมี 30 ไร่มีรายได้ตกวันละ 1,000-1,200 บาท แต่ปัจจุบันแม้ยางราคากิโลกรัมละ 56 บาทแต่ผมมีรายได้เพียงวันละ 100-200 บาทเท่านั้น ลูกจะเอาเงินไปโรงเรียนก็ยังไม่พอ” นายหม้อหราดกล่าว
นายหม้อหราด กล่าวต่อในตอนท้ายว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น ช่วงปี 2547 ชาวบ้านเคยเจรจากับเจ้าของโรงงานซึ่งได้ข้อสรุปว่าจะแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีเรื่องใดคืบหน้า ครั้นเมื่อชาวบ้านไปทวงถามความคืบหน้ากับเจ้าของโรงงานกลับได้รับคำตอบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงงานเพราะอยู่ไกลกัน ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นทางหน่วยงานภาครัฐกลับมิได้มีมาตรการช่วยเหลือแต่อย่างใด ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นชาวบ้านจึงมีข้อเรียกร้องร่วมกันว่าทางโรงงานต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน รวมทั้งต้องมีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของน้ำเสียที่เกิดจากการอบเนื้อไม้มิให้ไหลลงสู่สภาพแวดล้อมต่อไปด้วย .