xs
xsm
sm
md
lg

ทางเลือกของ"ทักษิณ ชินวัตร" ครอบครัวหรือน้องสาว!!?

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง


•• ภาพเด็ดที่บอกเล่าเรื่องราวของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สารัตถะของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปัจจุบัน ได้ดีที่สุดไม่พ้นภาพหน้า 1 ของ เครือเนชั่น ที่ลงตีพิมพ์ทั้งใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ และ นสพ.คมชัดลึก ฉบับประจำวันที่ 28 มิถุนายน 2548 จับภาพไปยัง ที่นั่งของคณะรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร จะพบ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั่งเคียงข้างอยู่กับ วิษณุ เครืองาม และ อดิศร เพียงเกษ และลึกเข้าไปในหลืบห้องด้านหลังเลนส์ซูมสามารถจับภาพ เนวิน ชิดชอบ ที่เป็นเสมือน เสนาธิการใหญ่รับมือพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ได้ ชัดเจน แค่ภาพเดียวภาพนี้ก็ตอบคำถามได้ว่าเหตุไฉน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการพรรคไทยรักไทย จึง หมดลาย, ไร้ศักดิ์ศรี, สูญเสียบุคลิกภาพ จน น่าสมเพชเวทนา ก็เพราะยอมทำตนเป็น หุ่นเชิด มีหน้าที่เพียง อ่าน, อ่าน และ อ่าน แม้แต่ มุกเด็ด, สร้อยคำ อย่าง “...พุดโธ่.” ก็ยังอุตส่าห์ อ่าน ทำให้ จืดชืดไร้ราคาอย่างน่าอเนจอนาถสิ้นดี เพราะลีลาโวหารทั้งหมดมัน ไม่ใช่ตัวตนของตนเอง หากแต่เป็น ตัวตนของคนอื่น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนราษฎรวานซืนนี้ในช่วงการชี้แจงของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจาก ลิปซิงค์ทางการเมือง หรือ Political Lip-sync แค่นั้นเอง “เซี่ยงเส้าหลง” เห็นมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนประมาณ 21.00 – 22.00 น.ที่รัฐมนตรีท่านนี้ ไม่ได้อ่าน – ตอบโต้ออกมาจากอารมณ์และความจริงใจ แม้จะกินเวลาเพียง 1 – 2 นาที แต่ก็ ดูเป็นธรรมชาติกว่า, ชวนเห็นใจกว่า และ ไม่ขัดกับบุคลิกภาพของผู้พูด อยากจะบอกว่าทั้ง เนวิน ชิดชอบ, วิษณุ เครืองาม, อดิศร เพียงเกษ และ คนอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏในภาพ ได้ร่วมกันก่ออนันตริยกรรม ฆาตกรรมทางการเมือง เลขาธิการพรรคของพวกท่านไปเรียบร้อยแล้ว

•• แต่ก็นั่นแหละเมื่อเริ่มต้นด้วย หลอกลวง ก็ต้อง หลอกลวงให้ถึงที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายจึงเป็นเรื่องของกระบวนการ ตกแต่งศพ, จับศพขึ้นนั่งบัลลังก์ให้สง่างามไปสักพัก ไว้ก่อนแล้วค่อย คิดอ่านใหม่ กันต่อไป

•• ไฮไลต์ทางการเมืองวันนี้และเร็ว ๆ นี้จึงไม่ใช่ประเด็นที่ว่า ส.ส.พรรคไทยรักไทยจะโหวตอย่างไร หากแต่มีอยู่ 2 ประการ หนึ่ง -- ส.ส.กลุ่มเสนาะ เทียนทองจะโหวตอย่างไร และ สอง – พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะบริหารจัดการกับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจต่อไปอย่างไร ต่างหาก

•• ในประการแรกนั้นไม่ว่า เสนาะ เทียนทอง จะตัดสินใจ ยกมือสวนมติพรรค อย่างที่ สรวงศ์ เทียนทอง ได้ออกมากล่าวเป็นนัยไว้ว่า “...มีหลายคำถามเป็นคำถามทางเทคนิคที่รัฐมนตรียังตอบไม่เข้าใจ โดยเฉพาะผมยังติดใจเรื่องการโอนเงินจำนวน 1,500 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่เครื่องซีทีเอ็กซ์ยังไม่มา แต่มีการโอนเงิน และยังเห็นว่าฝ่ายค้านข้อมูลแม่นกว่า ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลน่าจะตอบได้ดีกว่านี้ ผมไม่กังวลใจหากผลการสำรวจของชาวสระแก้วขัดต่อมติพรรค เพราะเราได้รับเลือกจากประชาชน ประชาชนต้องเป็นใหญ่ที่สุด อย่าลืมว่าตอนที่ออกไปหาเสียง เขาฝากความไว้วางใจกับเรา เราน่าจะให้ตามจุดยืนของประชาชน มติพรรคออกมาอย่างไร เราก็ควรยึดเสียงประชาชนมากที่สุด จุดยืนต้องอยู่ จุดยืนต้องทำตามเสียงประชาชน.” ทั้งนี้โดยอ้าง ผลสำรวจของวิทยุชุมชนที่จังหวัดสระแก้ว หรือไม่ ณ นาทีนี้ก็ ไม่สร้างความหนักใจ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะ ไร้พลังในพรรค อย่างมากก็มีคนร่วมหัวจมท้าย ไม่เกิน 5 คน เท่านั้น

•• แต่ในประการหลังนั้นน่าสนใจตรงที่ว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ คนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ กำจัดบทบาท ของ เสนาะ เทียนทอง เขาจึงได้ทั้งตำแหน่ง เลขาธิการพรรค และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็น กระทรวงเกรด A ไม่เพียงแต่เท่านั้นเขายังเป็น กำลังหลัก ให้กับ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ – น้องสาวหัวหน้าพรรค ที่กำลัง สะสมบารมีอย่างเร่งรัด กำลังคนของส่วนนี้เมื่อรวมกับส่วนของ พินิจ จารุสมบัติ – ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ, สมศักดิ์ เทพสุทิน และ ฯลฯ ก็น่าจะ เกิน 150 คน ส่วนกำลังเงินนั้นไม่ต้องพูดถึงว่า ไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะเมื่อรวมส่วนของ สุริยา ลาภวิสุทธิสิน ทั้งหมดนี้จะว่าไปแล้วแม้จะดูเสมือน ขึ้นต่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่แกนหลัก เพราะแกนหลักจริง ๆ ของนายกรัฐมนตรีหัวหน้าพรรคไทยรักไทยคนนี้อยู่ที่ บ้านจันทร์ส่องหล้า แกนสำคัญจริง ๆ คือ นายหญิง – คุณหญิงพจมาน ชินวัตร และ บุญคลี ปลั่งศิริ ซึ่งถ้าไล่รายชื่อนักการเมืองในกลุ่มแล้วก็ประเภท สมชาย สุนทรวัฒน์, น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, เนวิน ชิดชอบ, พงศ์เทพ เทพกาญจนา และ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นคนประเภท จับวางที่ไหน -- ก็ได้ ถ้าจะว่ากันให้ลึกที่สุดจริง ๆ แล้วยังมี ความแปลกแยกใหญ่ ระหว่าง 2 นางพญา เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ด้วยซ้ำ “เซี่ยงเส้าหลง” จึงว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะปฏิบัติต่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยเพลงอาวุธ “...เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล.” เหมือนที่ปฏิบัติต่อ เสนาะ เทียนทอง แน่

•• อย่ามองว่าต่างเป็น ชินวัตร ต้องไม่ลืมว่า ความสำเร็จในทางธุรกิจ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มต้นเมื่อ 10 ปีก่อน นั้นเป็นไปในทาง เฉพาะครอบครัวตนเอง ไม่ได้เผื่อแผ่ไปถึง น้องสาว, น้องชาย คิดดูก็แล้วกันขณะเมื่อตัวเอง รวยแล้วเป็นพันล้าน น้องชายคนสำคัญยังคง มีหนี้เฉียดพันล้าน อยู่เลย

•• ในมุมหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ณ วันนี้ถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ จึง ไม่อยากขัดใจน้องสาว และยิ่งเมื่อต้อง รักษาภาพลักษณ์ทางการเมือง ด้วยความจำใจ ไม่ให้น้องสาวรับตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ยิ่งต้อง ไม่อยากขัดใจน้องสาว ในเรื่องอื่น ๆ ปัญหาก็คือในรอบ 3 – 4 ปีมานี้ น้องสาวคนนี้ ของนายกรัฐมนตรีคนนี้ค่อนข้างจะ สะสมบารมีอย่างเร่งรัด จนสังคมเริ่มจะมองเห็นว่า เกินไป และในหลายลักษณะหลายกรณีในเมื่อยังคงเป็นกิจกรรมของ คลื่นลูกที่ 1, คลื่นลูกที่ 2 (ไม่ใช่กิจกรรมใน คลื่นลูกที่ 3 ของกลุ่ม บ้านจันทร์ส่องหล้า) มันจึงส่ง ผลเสีย แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อท่าน ผลักภาระในการดูแลส.ส. – โดยเฉพาะส.ส.ต่างจังหวัด ให้กับ น้องสาวคนนี้ เสียแล้วนี่

•• ข้างหนึ่งก็ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อีกข้างหนึ่งก็ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (หรือเขียนอีกอย่างหนึ่งว่าข้างหนึ่งก็ ครอบครัว อีกข้างก็ น้อง) นาทีนี้ ไม่ง่ายเลย สำหรับคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คนนี้

•• เรื่องนี้จะไม่เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแน่ถ้า อภิมหาเศรษฐี อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาทำงานการเมืองโดย ตัดยอดเงินก้อนหนึ่ง ออกมาจาก กองทรัพย์สินของตนเอง โดย ไม่อาศัยคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น น้อง, เพื่อน หรือ กลุ่มทุนอื่น แต่ดูเหมือนท่านจะอาศัยแต่ ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อแนวคิดใหม่ ๆ ของตัวเอง – เป็นหลัก แม้ปากท่านจะบอกว่า ไม่ต้องตอบแทนคุณผู้ใด แต่การจัดคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง ให้ภาพตรงกันข้าม ประชาชนไม่ว่าอะไรใน เทอม 1 แต่พอขึ้น เทอม 2 การณ์ยังคง เหมือนเดิม ศรัทธาและความเชื่อถือที่เคยมีจึงเริ่ม ลดลง ใน อัตราเร่ง อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่

•• ต้องยอมรับความจริงกันว่า รายจ่ายทางการเมือง เฉพาะในส่วน ส.ส. นั้นยิ่งเป็น พรรคใหญ่ ก็ยิ่งต้อง มีมาก พูดกันสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า ส.ส.ส่วนใหญ่ มี เงินเดือนซองที่ 2 เป็น เงินสด, เงินนอกระบบ หมายถึง ไม่ผ่านการคำนวณภาษี จากต้นสังกัดที่เป็น พรรค หรือไม่ก็ มุ้ง อยู่แล้วเป็น รายได้ประจำ ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายที่ได้กันเป็นปกติกลายเป็น ประเพณี เฉลี่ยสักเดือนละ 50,000 – 100,000 บาท หรือ 200,000 บาท แล้วแต่ เงื่อนเวลา, เงื่อนสถานการณ์ ค่าใช้จ่ายนี้จะมาจากไหนถ้าไม่ใช่จาก เงินนอกระบบ ที่จะไม่สามารถ สืบสาวหาที่มา ในระยะแรกมักจะตกเป็นภาระของ นักธุรกิจที่ประสงค์มีตำแหน่งทางการเมือง ที่เดี๋ยวนี้เข้ามาเป็น นักการเมือง เสียเอง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ เกิด มาจากจุดนี้โดยเริ่มต้นที่ พรรคกิจสังคม ยุค มนตรี พงษ์พานิช, สมศักดิ์ เทพสุทิน หรือถ้าจะหันไปทาง พรรคชาติพัฒนา ยุคเดียวกันก็จะพบ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล, ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ไม่เว้นแม้แต่ พรรคประชาธิปัตย์ ที่อุดมไปด้วย นักธุรกิจ เพียงแต่มี Good Image เท่านั้นเลยกลายเป็น นักธุรกิจผู้เสียสละเข้ามาช่วยเหลือการเมือง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้แหละคือ ที่มา ของ Corruption และ Abuse of Power เพราะน่าเสียดายที่ไม่มีใคร ควักสด ๆ ออกมาจาก กระเป๋าส่วนตัว แต่จะแสวงหาจาก ส่วนเกินในโครงการต่าง ๆ ภาครัฐ และก็กลายเป็นที่ ยอมรับ ถือเป็นปกติเป็น ประเพณี แต่ทว่าปัญหาก็คือ ความโลภไม่เคยปรานีใคร การแสวงหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพื่อมาเป็น ค่าใช้จ่ายทางการเมือง หากแต่ยัง หาเกิน เพื่อ กันเข้ากระเป๋าส่วนตัว และกลายเป็น กำไร กลายเป็น วงจรอุบาทว์ทางการเมือง เริ่มต้นจากนักธุรกิจที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการเมืองเหล่านี้ได้ ผลประโยชน์ต่างตอบแทน เป็น รัฐมนตรี, รัฐมนตรีช่วย เขาก็จะใช้ตำแหน่งนั้น หาเงินคืน เพื่อ ทดแทนส่วนที่จ่ายไป โดยการจะหาเงินได้ก็ต้องพึ่ง ข้าราชการประจำ ที่จะจัดการ ตั้งแท่น ที่สุดใน ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง-ราชการประจำ ของบางยุคล้วน มีราคา และกลายเป็น ประเพณี ที่ รู้ ๆ กันอยู่ คนดีคือคนที่แสวงหาอย่าง รู้ประมาณ ขอแค่ เท่าทุน คนไม่ดีคือ ไม่บันยะบันยัง และ กำไรมากเกินไป เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น

•• และนี่คือ จุดอ่อน อย่างหนึ่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเมื่อมี ส.ส. ถึงระดับ 300 คนขึ้นไป นั่นหมายถึงเฉพาะ เงินเดือนซองที่ 2 ของส.ส.พรรคไทยรักไทย จะตกอย่างขี้หมูขี้หมาก็ระดับ เดือนละ 30 ล้านบาท หรือ ปีละ 360 ล้านบาท ที่เมื่อบวกค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมกันเป็น ค่าใช้จ่ายทางการเมือง ก็จะตกเฉลี่ยอย่างต่ำ เดือนละ 50 ล้านบาท หรือ ปีละ 600 ล้านบาท ซึ่งหากจะผ่องถ่ายให้เป็นภาระของแต่ละ กลุ่ม, มุ้ง ก็จะขาดลักษณะ รวมศูนย์ ขาด เอกภาพ แต่หากจะรับมาที่ หัวหน้าพรรค คำถามก็คือจะแสวงหา เงินนอกระบบปีละ 500 – 600 ล้านบาท จาก ที่ไหน สุดท้ายก็คงขึ้นอยู่กับ ศิลปในการบริหาร ให้เกิด ดุลยภาพ ระหว่าง การเมืองในอุดมคติ กับ การเมืองตามที่เป็นจริง เพราะถึงที่สุดแล้วสภาพทาง สังคมวิทยาการเมือง ของบ้านเราก็ยังไม่ยอมรับ ระบบการบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมือง อย่าง เต็มรูปแบบ อย่างในบางประเทศ

•• ทางแก้หรือ “เซี่ยงเส้าหลง” ว่ามิใช่ ไม่มี ก็ลองถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จับเข่าคุยกับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ดึงขนหน้าแข้งออกมากองไว้สัก ปีละไม่เกิน 1,000 ล้านบาท แล้ว เริ่มต้นใหม่ จัดผู้คนเข้าทำงานโดย คำนึงถึงความสามารถและความเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นหลัก ไม่ต้องกังวลถึง เสียง ถึง การแบ่งเบาภาระในการดูแลส.ส. เรื่องอื่น ๆ ก็จะ ง่ายขึ้น เชื่อเหอะ

•• จริง ๆ แล้ว การเมืองที่เป็นจริง ในขณะนี้ยังไม่ใช่ การเมือง 2 ขั้ว ระหว่าง พรรคไทยรักไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ เพราะขั้วหลังนั้นนอกจาก ยังไม่มีทางสู้ แล้วในทางนโยบายยังไม่ได้บำเพ็ญตนเป็น ขั้วตรงข้าม, ขั้วทางเลือก อย่างน้อยก่อนหน้านี้ก็ได้เลือกที่จะเข้ามา ต่อสู้ในบริบททางนโยบายของพรรคไทยรักไทย คือไม่ได้ชู เสรีนิยม – คัดค้านประชานิยม แต่หันมาใช้ นโยบายคล้าย ๆ กัน เรียกชื่อใหม่ปรับแต่งรายละเอียดใหม่และคุยว่าคิดมาก่อนทำมาก่อน สารัตถะทางการเมือง จริง ๆ ณ วันนี้จึงอยู่ที่ การเมืองหลายขั้วภายในขั้วเดียว ปัญหาใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่ ยอดส.ส.รวม หากแต่อยู่ที่ การบริหารจัดการเกลี่ยผลประโยชน์ระหว่างมุ้งต่าง ๆ ภายในให้ได้ดุล ซึ่งจะ ยากกว่าเดิม เพราะนอกจากมุ้งต่าง ๆ จะ ไม่เกรงใจเหมือน 4 ปีแรก เพราะรู้อยู่ว่า 4 ปีหลังนี้เป็น ช่วงเวลาสุดท้ายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตัวหัวหน้าพรรคเองยังจะต้อง ดุล ผลแห่งการบริหารจัดการที่ว่านั้นกับ ความคาดหวังของประชาชน, สัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน คำพูดและการแสดงออกก่อนเลือกตั้ง 2548 ในทำนองว่า ครม.สมัยหน้า จะมีแต่ คนทำงานที่มีประสิทธิภาพ – ไม่คำนึงถึงมุ้ง สมมติว่า เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นเสมือน บั่นทอนเสถียรภาพตนเองในระบบรัฐสภา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าหาก ไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะยิ่ง บั่นทอนเสถียรภาพตนเองนอกระบบรัฐสภา ซึ่งเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะไปผนวกรวมศูนย์อยู่ที่ การบั่นทอนเสถียรภาพตนเองในระบบรัฐสภา ในที่สุด

•• ที่พูดว่า “...พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีทางสู้ เพราะในทางนโยบายไม่ได้บำเพ็ญตนเป็นขั้วตรงข้าม.” นั้นไม่ได้หมายความว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำได้ ไม่ดีพอ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ตรงกันข้ามเป็นการทำงานที่ ดีที่สุดแล้ว แต่นั่นก็เพียงทำให้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ ยังไม่ได้ทำให้เกิดภาพของ พรรคที่พร้อมเป็นรัฐบาลในเร็ววัน คงต้องให้เวลา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำงานทางด้านนโยบายร่วมกับ กรณ์ จาติกวณิช ไปอีกระยะหนึ่ง

•• ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ระบุชื่อ กรณ์ จาติกวณิช ไว้ในย่อหน้าก่อนก็เพราะมีโอกาสฟังเขา ร่วมจัดรายการวิทยุคลื่นหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2548 ที่ผ่านมา ต่อยอด แนวคิดว่าด้วย มายาภาพของจีดีพี ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล แสดงไว้ในรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งล่าสุด ไม่บ่อยนักที่คนที่เติบโตมาจาก ผู้บริหารวาณิชธนกิจรายใหญ่ จะออกมา วิจารณ์ตนเอง, วิจารณ์จุดอ่อนของระบบทุนนิยม พัฒนาการทางความคิดของเขาเป็นเรื่องที่เราจะต้องค่อย ๆ ติดตาม กันต่อไป

•• แม้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จะยังคงอภิปรายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ เพียง 70 % แต่ ลูกจาก ของเขานั้น ไม่ควรมองข้าม, ไม่ควรปล่อยให้ถูกกลืนไปกับเสียงหัวเราะ เขาเตือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ มือในสภา เพราะเมื่อใดก็ตามที่ มือในสภายกสวนทางความรู้สึกของประชาชน สิ่งที่จะต้องระวังก็คือ มือนอกสภา – ที่มีมากกว่ามหาศาล ที่พร้อมจะ ตบหน้า ได้ในทุกเมื่อ

•• ก็อยากจะขอ เพิ่มเติม สักหน่อยว่าไม่ใช่แต่เพียง มือ เท่านั้น ตีน ก็สำคัญไม่แพ้กัน ขรรค์ชัย บุนปาน หนึ่งในกัลยาณมิตรของนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เคยเขียนประโยคอมตะเตือนใจไว้ว่า “...19 ล้านคนเท่ากับ 38 ล้านตีน.” อย่าลืม

•• ข่าวล่าสุด ณ เวลาปิดต้นฉบับชิ้นนี้ จะมีการรวมพลคนต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ หน้ารัฐสภา ตั้งแต่ เช้าวันที่ 29 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป
กำลังโหลดความคิดเห็น