ผู้นำฝ่ายค้านถล่มการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด “ซีทีเอ็กซ์ 9000” เป็นการทุจริตแบบพิสดาร ที่ให้ผู้ขายเป็นผู้เสนอราคา ไม่มีการประเมินราคา ไม่มีราคากลาง และมีการล็อกสเปกล่วงหน้า ทำให้มีการเสียเงินของประชาชนไปถึง 1,500 ล้านบาท โดยที่ไม่มีโอกาสได้รับเครื่องตรวจวัตถุระเบิดแม้แต่เครื่องเดียว ชี้ละเลยไม่สอบนักการเมือง
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า “กระผม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เนื่องด้วยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้บริหารราชการแผ่นดินจนเกิดความผิดพลาดอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติภูมิของประเทศชาติ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก และกระทบต่อความเชื่อมั่นในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศโดยรวม กล่าวคือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงคมนาคม และรับผิดชอบโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ประพฤติ ปฏิบัติ บกพร่องต่อหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินดังต่อไปนี้
1.บริหารโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิบกพร่อง ผิดพลาด จนเกิดการทุจริตในโครงการระบบสายพานและระบบตรวจวัตถุระเบิด 2.เมื่อมีการเปิดเผยข่าวการทุจริตดังกล่าว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กลับละเลยไม่ใส่ใจดำเนินการให้เกิดการตรวจสอบเพื่อให้ได้ผู้กระทำความผิด และยังล้มเหลวในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา 3.นอกจากความผิดพลาดใน 2 ข้อข้างต้นแล้ว นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังมีพฤติกรรมปกป้องการกระทำที่ผิดพลาดของตนเองและพวกพ้อง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการตรวจสอบตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยเหตุจากการบริหารราชการแผ่นดินของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในกรณีดังกล่าว หากปล่อยให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง และกระทบต่อนโยบายการปราบปรามการทุจริตของรัฐบาลอย่างยิ่ง
ท่านประธานที่เคารพ การอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งเกิดขึ้นวันนี้ ถือเป็นการทำหน้าที่ของตัวแทนของประชาชน ซึ่งจะต้องติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่กระผมกราบเรียนท่านประธานในเบื้องต้นว่า การอภิปรายครั้งนี้ค่อนข้างจะพิเศษสักนิดหนึ่ง ครั้งนี้ไม่มีเสียงค่อนขอดแม้จากท่านนายกฯ ว่า เป็นการเปิดอภิปรายตามฤดูกาล เพราะครั้งนี้ก็ค่อนข้างที่จะผิดปกติจริงๆ ถ้าท่านประธานไปตรวจสอบดูว่าเมื่อใดที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่เปิดอภิปรายในสมัยประชุมแรก เพราะเราถือว่ารัฐบาลเพิ่งเข้ามาทำหน้าที่ และเราก็เชื่อว่าความผิดพลาดในการบริหารราชการคงไม่เกิดขึ้นรุนแรงถึงขั้นที่จะต้องใช้มาตรการที่แรงที่สุดในรัฐธรรมนูญ คือการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น ที่ต้องเป็นข้อยกเว้นเพราะว่า เหตุปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการสุวรรณภูมิที่โด่งดังไปทั่วโลกนั้น กระทบต่อชื่อเสียงของประเทศเป็นอย่างมาก และเรื่องนี้เมื่อได้ติดตามตรวจสอบเอกสารหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว กราบเรียนท่านประธานว่า บ่งบอกชัดเจนถึงปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าฝ่ายค้านไม่ดำเนินการ และถ้าจากนี้รัฐบาลไม่ดำเนินการต่อไป เราคงหวังอะไรไม่ได้จากนโยบายการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
การอภิปรายครั้งนี้จึงเป็นการอภิปรายท่านรัฐมนตรีเพียงท่านเดียว และเป็นการอภิปรายเรื่องเดียวด้วย กราบเรียนท่านประธานผ่านไปยังท่านรัฐมนตรีล่วงหน้าเลยว่า เราพูดเฉพาะเรื่องนี้จริงๆ เรื่องอื่นๆ จะมีอะไรอีกมากมายก็ตาม แต่วันนี้เราจะชี้ให้เห็นชัดว่าเกิดปัญหาขึ้นในโครงการนี้ ในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง เกี่ยวข้องกับเครื่องตรวจวัตถุระเบิด และกระผมกราบเรียนว่าก่อนที่พวกกระผมจะมีโอกาสทำหน้าที่ในวันนี้ ผมได้ฟังเสียงตอบโต้ สบประมาทมากมายว่าจะเป็นเรื่องของสำนวนโวหาร จะเป็นเรื่องของการเอาข้อมูลเก่าๆ มา อีกไม่กี่ชั่วโมงจากนี้ไปครับท่านประธานครับ จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่ แต่กราบเรียนก่อนว่า ยุคนี้พวกกระผมทำงานกันบนพื้นฐานของข้อมูล และท่านไม่ต้องห่วงเลยครับท่านลุกขึ้นมาชี้แจงท่านพูดไม่เก่งท่านว่าอย่างนั้น
กระผมกราบเรียนว่า พวกกระผมไม่ถือสาหรอกครับ ถ้าท่านจะพูดจาตะกุกตะกักหรือไม่ชัด แต่กระผมขอให้ท่านพูดความจริง และกระผมขอให้ท่านตอบตรงประเด็น และสำคัญที่สุด ข้อมูลการชี้แจงทั้งหลายขอให้ท่านนำเสนอโดยมีหิริโอตตัปปะ มีความรู้สึกละอายต่อสิ่งที่เป็นความผิดทั้งหลายที่เกิดขึ้น ท่านประธานที่เคารพครับ ผมให้ความมั่นใจกับท่านประธานในเบื้องต้นเลยว่า การอภิปรายของพวกกระผมนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เราได้ไปเสาะแสวงหามา และเราจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัดทุกประการ ผมอยากให้กระบวนการการทำหน้าที่ของทั้ง 2 ฝ่ายในวันนี้เป็นกระบวนการที่สร้างสรรค์ที่ทำให้ประชาชนเห็นคุณค่าของวิถีทางในระบบรัฐสภา ผมหวังว่าจะไม่มีการใช้ระบบการเมืองเก่าๆ ระบบน้ำเน่า หรือการทำอะไรที่ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเราวันนี้ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ท่านประธานครับผมขออนุญาตว่าในการอภิปรายของกระผมในเบื้องต้นนั้นจำเป็นจะต้องใช้เอกสารในบางช่วงบางขณะก็จำเป็นจะต้องอ่านเอกสาร และขณะเดียวกันจะขออนุญาตใช้สื่อคอมพิวเตอร์ในการให้ท่านสมาชิกทั้งหลาย และประชาชนทางบ้านได้มองเห็นเอกสารชัดเจนยิ่งขึ้น
ท่านประธานครับ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์เป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมา หรือถูกเปิดโปงออกมาครั้งแรกไม่ใช่ประเทศไทย เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา เหตุผลที่เรื่องนี้ไปโด่งในสหรัฐอเมริกาเพราะว่าบริษัทที่ผลิตและขายอุปกรณ์ชิ้นนี้คือ บริษัท อินวิชั่น เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ บังเอิญในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทนี้จะมีการดำเนินการควบรวมกิจการกับบริษัท จีอี ในช่วงของการควบรวมกิจการนั้น ในช่วงที่ต้องมีการตรวจสอบทางบัญชีทั้งหมดก็ได้ปรากฏการณ์ร้องเรียนเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาว่า บริษัท อินวิชั่น ได้กระทำการละเมิด หรือฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการทุจริตในต่างประเทศ ที่สหรัฐฯเรียกย่อๆ ว่า เอฟซีพีเอ จากการร้องเรียนว่ามีการกระทำกฎหมายฉบับนั้นก็นำไปสู่การตรวจสอบภายในบริษัท และนำสู่การสืบสวนสอบสวนของหน่วยงานสหรัฐฯ 2 หน่วยงาน คือ .กระทรวงยุติธรรม และ ก.ล.ต. จนกระทั่งปลายปีที่แล้วทางกระทรวงยุติธรรมจึงมียุติกับบริษัทเกี่ยวกับเรื่องคดีนี้ ซึ่งจะเรียนต่อไป และเมื่อ ก.พ.ที่ผ่านมา ก็มีข้อยุติที่เกิดกับ ก.ล.ต.เช่นกัน ข้อยุติทางคดีที่ว่า นำไปสู่การปรับหรือลงโทษ ซึ่งหมายถึงเกิดการกระทำความผิดตามกฎหมายสหรัฐฯ และเป็นเหตุให้พวกเราติดตามว่าความผิดที่เกิดขึ้นมาเกี่ยวข้องกับคนของเราหรือไม่
ส่วนกฎหมายว่าด้วยการทุจริตนั้น เขาบัญญัติขึ้นมาเพราะว่าเขาต้องการให้ระบบธุรกิจของเขาเป็นระบบที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเขารู้ว่าบริษัทเขาต้องทำธุรกิจไปทั่วโลก สิ่งใดๆ ที่เขาไม่ยอมรับให้เกิดในประเทศของเขาในแง่ทุจริต เช่น การติดสินบน การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในลักษณะการไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ เขาไม่ต้องการให้บริษัทเขาทำสิ่งนั้นในต่างประเทศ เพราะฉะนั้น ความผิดที่เกิดจึงเป็นเรืองความผิดของการทุจริตจริงๆ และเชื่อว่าตั้งแต่เรื่องนี้เป็นข่าวคราวมาเมื่อเดือน ก.พ. มี.ค. เม.ย.ปีนี้ พี่น้องคนไทย แม้กระทั่งท่านประธานคงได้เห็นเอกสารหลายฉบับ ทั้งที่เป็นเอกสารแถลงข่าว แม้กระทั่งเอกสารที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่ ก.ล.ต.ดำเนินการ แต่มันมีเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งผมถือเป็นหัวใจ เป็นเอกสารซึ่งยังไม่มีการเผยแพร่ต่อประชาชนไทย แม้จริงๆไม่ใช่เอกสารลับ เอกสารฉบับนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญที่สุดที่จะใช้ตรวจสอบเรื่องทุจริต เอกสารที่ว่าคือข้อตกลงระหว่างกระทรวงยุติธรรม กับบริษัท อินวิชั่น และจีอี ซึ่งทำการตกลงกันเมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว เป็นเอกสารที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทำข้อตกลงกับบริษัทฯ โดยมีเงื่อนไขจากทั้ง 2 ฝ่าย ในฝ่าย ยธ.คือภายใต้ข้อตกลงนี้จะไม่ดำเนินคดีกับ อินวิชั่น หรือจีอี แต่อาจมีการดำเนินคดีเมื่อใดก็ได้หากฝ่ายบริษัทละเมิดข้อตกลง ขณะเดียวกัน แม้ ยธ.สหรัฐฯ จะไม่ดำเนินคดีกับบริษัทก็ยังมีสิทธิ์ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่ละเมิดกฎหมาย เอกสารแบ่งเป็น 3 ส่วน มีจดหมายนำ มีเป็นข้อตกลง และที่สำคัญคือมีภาคผนวก
ผมขออนุญาตหยิบข้อความบางตอนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเอกสารฉบับนี้สำคัญอย่างไร ในส่วนจดหมายนำเขาเขียนชัดเจนว่า ข้อตกลงนี้มีผลทำให้ ก.ยุติธรรมตกลงที่จะไม่ดำเนินคดีกับอินวิชั่น ภายใต้กฎหมายการทุจริตในต่างประเทศ ทั้งที่มีพฤติกรรมซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายดังกล่าว โดยพฤติกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นในประเทศไทย จีน และฟิลิปปินส์ ซึ่งรายละเอียดจะอยู่ในภาคผนวก ในข้อตกลงนี้ยังมีการระบุต่อไปด้วยว่า บริษัท จีอี ยอมรับข้อเท็จจริงทั้งหลายที่ปรากฏในภาคผนวก นั่นคือข้อมูลที่ปรากฏในภาคผนวกจะไม่มีการโต้แย้งจากบริษัท และตกลงด้วยว่า จีอีจะไม่เสนอข้อมูลอะไรต่อสาธารณะที่เป็นการขัดข้อเท็จจริง ที่ปรากฏในภาคผนวก ที่ได้แนบมา ข้อตกลงนี้เมื่อเราดูตัวเอกสารข้อตกลงจริงก็จะลงไปในรายละเอียดมากขึ้น
ได้บอกว่า มีการบรรยายถึงพฤติกรรมทั้ง 3 ประเทศแยกจากกัน ฉะนั้น ใครที่เข้าใจว่าเอกสารสหรัฐฯ บอกมีการทุจริตพูดรวมๆ 3 ประเทศไม่ใช่นะ เขาแยกเป็นแต่ละประเทศว่าในแต่ละประเทศมีพฤติกรรมอย่างไร แล้วเขาก็บอกว่าโดยสรุปกระทรวงยุติธรรมเชื่อว่า อินวิชั่น โดยการดำเนินงานของพนักงาน ของตัวแทน หรือผู้จัดการจำหน่าย ได้ใช้วิธีการอันเป็นการทุจริตในการเสนอ ในการสัญญาที่จะจ่ายเงิน หรือสิ่งอื่นใดที่มีมูลค่าแก่เจ้าหน้าที่ในต่างประเทศ เพื่อจะประกอบธุรกิจได้ในประเทศไทย จีน และฟิลิปปินส์ และภายใต้ข้อตกลงนี้ผูกมัดเลยว่า สำหรับกรณีประเทศไทย ถ้าบริษัทยังจะขายสินค้าตัวนี้กับไทย จะต้องขายตรงเท่านั้นไม่มีการขายผ่านตัวแทน เหตุผลปรากฏชัดเจนว่าอะไรเมื่อไรดูในภาคผนวก สิ่งที่ผมอยากกราบเรียนย้ำว่า ข้อตกลงนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ กว่าจะมาสรุปเป็นข้อตกลงนี้ เขาก็สืบสวนสอบสวนหาพฤติกรรม ข้อเท็จจริงต่างๆ และเอกสารฉบับนี้ไม่ใช่แค่ตกลงแล้วแล้วกันไป
เอกสารฉบับนี้ยังเขียนต่อว่า ถ้าเมื่อใดก็ตามบริษัทละเมิดข้อตกลงนี้ให้ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในภาคผนวกนั้นเป็นคำสารภาพที่ผูกมัดบริษัทในการดำเนินคดีต่อไป ท่านประธานต้องเข้าใจนะครับ นั่นหมายความว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในข้อตกลงนี้ ภาคผนวกนี้ ผ่านกระบวนการการกลั่นกรองสืบสวนสอบสวนมาดีเพียงพอที่บริษัทต้องไม่โต้แย้ง และถ้าหากในช่วงที่มีการทำข้อตกลงนี้บริษัทละเมิดข้อตกลงเขาจะถือว่า เป็นคำสารภาพที่ผูกมัดในการดำเนินคดีต่อไปได้เลย ไม่เรียกว่าเป็นข้อตกลงที่มาจากการสอบสวนเบื้องต้นอะไรหรอกครับ พูดง่ายๆ ข้อตกลงนี้เหมือนกับว่าบริษัทสารภาพและขอลดหย่อนผ่อนโทษจึงนำไปสู่การปรับ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงต้องไปดูไงครับว่า ในภาคผนวกเขาบรรยายว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ผมขออนุญาตใช้เวลาตรงนี้ซักนิดนะครับท่านประธานครับ ในการที่จะอ่านหรือแปลเอกสารที่เป็นภาคผนวกเอ และบรรยาย
กระผมกราบเรียนว่า ผมจะแปลอย่างเคร่งครัด และเมื่อผมพูดถึงบริษัทหรือตัวบุคคลแล้วปรากฏเป็นอักษรย่อไม่ใช่กระผมทำเอง ภาคผนวกอันนี้เขาใช้อักษรย่อเพราะมันเป็นเอกสารที่ลงลึกไปถึงตัวบุคคล และเป็นเอกสารสาธารณะ ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการฟ้องร้อง ส่วนวิธีที่จะเอาชื่อของคนที่มีตัวย่อในนี้ทำอย่างไร กระผมจะกราบเรียนท่านประธานต่อไป เขาบรรยายไว้อย่างนี้ครับท่านประธานครับ
กรณีของประเทศไทย ในปี 2539 รัฐบาลไทยได้เริ่มต้นในการวางแผนก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อการนี้ รัฐบาลไทยได้ตั้งบริษัทขึ้นมาบริษัทหนึ่งเรียกว่า บริษัทเอ ซึ่งมีหน้าที่ในการที่จะทำสัญญาต่างๆ เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสนามบินนี้ บริษัทเอมีรัฐบาลไทยเป็นผู้ควบคุม และเป็นเจ้าของ ในปี พ.ศ.2545 หรือ 2546 บริษัทเอได้ว่างจ้างผู้รับเหมาใหญ่เอเพื่อก่อสร้างอาคารที่พักอากาศยาน และอาคารที่พักผู้โดยสาร ผู้รับเหมาใหญ่เอได้ทำการว่าจ้างช่วงในเรื่องของการออกแบบผลิต จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ และการทำงานของระบบการตรวจสอบกระเป๋าสำหรับอาคาร ระบบนี้จะรวมไปถึงการตรวจวัตถุระเบิดในระบบของการตรวจกระเป๋าทั้งหมด ผู้รับเหมาช่วงเอ โดยการคาดคะเนว่าจะได้รับการว่าจ้างตรงนี้ ได้ทำสัญญาในช่วงประมาณเดือน พ.ค.2546 และต่อมามีการแก้ไขสัญญาในปี 2547 กับบริษัท อินวิชั่น โดยผู้รับเหมาช่วงเอจะได้รับการแต่งตั้งจากอินวิชั่นให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์
สำหรับระบบการตรวจสอบกระเป๋า ประมาณเดือน มี.ค.2547 ผู้รับเหมาใหญ่เอได้ทำสัญญากับผู้รับเหมาช่วงเอสำหรับการดำเนินงานระบบตรวจสอบกระเป๋านี้ และเดือน เม.ย.2547 ผู้รับเหมาช่วงเอก็จึงทำสัญญากับบริษัท อินวิชั่น ในการซื้อ จัดส่ง ติดตั้ง ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ตรวจสอบกระเป๋า 26 เครื่อง รวมทั้งบริการที่เกี่ยวข้อง โดยมีราคาที่คิดประมาณ 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเจรจาในสัญญานี้ สำหรับอินวิชั่น คือผู้บริหารเอ และผู้จัดการเอ ส่วนผู้รับเหมาช่วงเอมีผู้เจรจา คือ ประธาน และเจ้าของบริษัท คือตัวแทนเอ ตรงนี้สำคัญนะครับต่อจากนี้ไป มีหลักฐานที่เพียงพอและเชื่อถือได้ว่าอินวิชั่นโดยผู้บริหารเอและผู้จัดการเอได้รู้ว่ามีโอกาสสูงมากว่าจะมีการใช้เงินเพื่อเสนอหรือสัญญาว่าจะให้ ซึ่งกระทำโดยตัวแทนเอไปยังเจ้าหน้าที่โดยอาศัยส่วนต่างของราคาที่ซื้อจากอินวิชั่น และไปขายต่อตามสัญญาที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ผู้บริหารเอมิได้ดำเนินการใดๆ เมื่อได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลนี้จึงเสมือนกับเห็นชอบที่จะให้ตัวแทนเอซึ่งตั้งใจที่จะใช้ส่วนต่างของราคานั้นไปจ่ายเงินให้แก่เจ้าหน้าที่ ย่อหน้าสุดท้ายนะครับ
ดังนั้น จึงมีหลักฐานที่เพียงพอและเชื่อถือได้ เริ่มต้นประมาณเดือน ม.ค.2546 ถึงประมาณเดือน ม.ค.2547 ว่า อินวิชั่น โดยการกระทำของผู้บริหารเอและผู้จัดการเอได้ใช้จดหมาย และเครื่องมือการสื่อสารทางการค้าข้ามอาณาเขตอื่นๆ เช่น อีเมล์ และโทรศัพท์ โดยทุจริตเพื่อที่จะให้เกิดการนำเสนอหรือสัญญาว่าจะเสนอ โดยตัวแทนเอในการจ่ายเงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่าให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย และภาษาอังกฤษใช้คำว่า AND พรรคการเมืองพรรคหนึ่งในประเทศไทย (หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองนั้น) ชัดเจนนะครับ ข้อเท็จจริงทั้งหมดไม่ได้เหมารวม 2-3 ประเทศ อย่างที่พูดกัน ไม่ได้บอกหรือ บอกว่าจ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทยและพรรคการเมืองไทย เพื่อที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลต่อการกระทำหรือการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่ เพื่อที่จะทำหรือละเว้นการกระทำ ซึ่งเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ เพื่อให้ได้รับความได้เปรียบโดยมิชอบ และเพื่อจูงใจเจ้าหน้าที่ที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลไทย ในการที่จะช่วยให้อินวิชั่นได้รับหรือคงไว้ซึ่งธุรกิจในประเทศไทย
ท่านประธานที่เคารพครับ เอกสารฉบับนี้รัฐบาลทราบดีว่ามีอยู่ แต่รัฐบาลไม่เคยเอาเอกสารนี้ออกมาเผยแพร่ หรือนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการติดตามตรวจสอบต่อไปว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพื่อที่จะเอาคนที่กระทำความผิดมาลงโทษ และกระผมกราบเรียนว่าเอกสารฉบับนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย และเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงต่อประเทศของเรา และบ่งชี้ถึงความไม่ปกติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเราอย่างมาก ผมไม่เสียเวลาของท่านประธาน ของสภามากหรอกครับ แต่ผมบอกสั้นๆ ว่าผมได้เอกสารนี้มาจากเว็บไซต์เนติบัณฑิตยสภาของสหรัฐฯ ที่มันน่าอายก็คือเอกสารนี้คือเอกสารประกอบหลักสูตรการอบรมเกี่ยวกับกฎหมายการทุจริตในต่างประเทศ โดยใครเข้าอบรมวันนี้ก็แจกจ่ายเอกสารนี้ให้เป็นกรณีศึกษา และในการอบรมนี้มีการอภิปรายผ่านทางเว็บไซต์เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเอฟซีพีเอ ในการบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้หยิบยกกรณีของอินวิชั่นและประเทศไทยขึ้นมาพูดเป็นการเฉพาะว่า กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่ซับซ้อนกว่าปัญหาการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมายการทุจริตของสหรัฐฯ ในอดีต ซับซ้อนกว่า เพราะว่าเขาบอกว่าบริษัทนึกว่าการมาใช้ผู้จัดจำหน่ายมาดำเนินธุรกิจหรือมาทำอะไรผิด สามารถที่จะตัดตอนให้บริษัทของตัวเองพ้นจากความผิดได้ แต่บัดนี้จากข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรม
จากคดีที่ยุติในศาลแขวงแคลิฟอร์เนียกรณีของ ก.ล.ต.นั้น ได้ชี้ชัดแล้วว่าวิธีเลี่ยงกฎหมายของบริษัทของสหรัฐฯ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ บริษัทของสหรัฐฯ ไม่ยอม เวลานี้ท่านถึงเปิดเว็บไซต์ของบริษัทกฎหมายทั้งหลายในสหรัฐฯ กรณีมันจึงเป็นกรณีที่โด่งดังมาก เขาบอกเลยว่ากรณีประเทศไทยเนี่ย การทุจริตมันซับซ้อนกว่าที่อื่น ไม่เหมือนจีน ไม่เหมือนฟิลิปปินส์ แล้วผมจะชี้ให้เห็นว่าทำไมไม่เหมือน จึงมีบริษัทกฎหมายที่เขาไปอธิบายเลยว่าในอดีตที่ผ่านมาการติดสินบนที่ทำให้เกิดปัญหากับบริษัทของสหรัฐฯ ติดสินบนโดยตรงผิดอยู่แล้ว ต่อมาเลี่ยงไปใช้บริษัทที่ปรึกษา ต่อมาเลี่ยงไปใช้สิ่งที่เรียกว่าเอเย่นต์หรือตัวแทนก็ถูกอีก ถูกเล่นงาน แต่ครั้งนี้ผู้จัดจำหน่าย ซึ่งแตกต่างจากตัวแทนคือมาซื้ออุปกรณ์ไปแล้วจากบริษัทแล้วไปขายต่อ ที่เคยนึกว่าตัดตอนกันได้เนี่ยไม่ผิดตามกฎหมาย บัดนี้ สหรัฐฯถือเป็นการทุจริต ผมไม่เสียเวลาอ่านรายละเอียด เรื่องนี้กระทบชื่อประเทศ เมื่อเอกสารเหล่านี้ปรากฎไปแล้ว และเป็นหลักฐานที่ผ่านกระบวนการสืบสวนสอบสวนกลั่นกรองถูกนำไปใช้ในกระบวนยุติธรรมสหรัฐฯ พวกผมต้องดูต่อว่ามันมีการทุจริตจริงหรือไม่ และเมื่อปรากฏข่าวขึ้น ท่าน รมต.หรือผู้เกี่ยวข้องทำอะไร
ผมขอตั้งประเด็นเพื่อจะพิสูจน์ต่อว่า ที่เขากล่าวหาว่ามีการทุจริต ทุจริตจริงๆ คือ 1.จะพาไปดูกระบวนการอนุมัติโครงการนี้ว่าถูกต้องไหม เปิดช่องให้เกิดการทุจริตอย่างที่เขากล่าวหาหรือไม่ เมื่อ บทม.คือบริษัทที่รับผิดชอบเรื่องท่าอากาศยานทั้งหมด ไปว่าจ้างผู้รับเหมาใหญ่ คือ ไอทีโอ ไปว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงคือ บริษัท แพทริออต ไปซื้ออุปกรณ์จากบริษัท อินวิชั่น โดยผู้รับเหมาช่วงคือบริษัท แพทริออต นั้น ผู้ดำเนินการคือวรพจน์ ที่ประชาชนรู้จัก และอินวิชั่นมีผู้บริหารคือ ไดวิท พินเลอ และผู้จัดการที่ชื่อ วี เขาบอกว่าเอาส่วนต่างราคาอินวิชั่นขายให้แพทริออต แพทริออตขายให้ไอทีโอ ไอทีโอขายให้พวกเราคือสนามบิน มีส่วนต่างราคา เอาเงินไปจ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและพรรคการเมืองไทย ผมจะดูว่ากระบวนการอนุมัติโครงการนี้ ทำไมต้องทำอย่างนี้ ต้องซื้อ 2 ทอด 3 ทอด นั่นเป็นประเด็นแรกที่กระผมจะชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติที่เป็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น”
ส่วนประเด็นที่ 2 นั้น ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า “เมื่อเขากล่าวหาว่าสินบนมันออกมาจากส่วนต่างราคา ผมก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่ามีการสร้างส่วนต่างราคาโดยปราศจากเหตุผลจริงๆ จึงมีจำนวนเงินอยู่ 2 ก้อน ที่อาจถูกนำไปใช้ให้สินบนตามแนวทางที่เขาสรุปไว้ในเอกสารที่กราบเรียน ประการที่ 3 ที่กระผมจะพิสูจน์คือ การที่สหรัฐฯ เขายอมตกลงกับบริษัทอินวิชั่น และจีอี เพราะเขานึกว่าเมื่อเขาทำถึงขั้นนี้เขาจะหยุดยั้งการดำเนินการตามโครงการนี้ได้ ก็จะได้ไม่มีเงินจ่ายสินบน แต่เมื่อไปตรวจสอบแม้มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น รัฐบาลเดินหน้าตั้งตาว่าจะต้องจ่ายก้อนนี้ออกมาให้ได้ และประเด็นสุดท้ายที่กระผมจำเป็นจะต้องกราบเรียนท่านประธานก็คือว่า แนวทางการดำเนินงานของท่านรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตรงกันข้ามกับความพยายามที่จะหาคนผิดมาลงโทษ หรือค้นหาความจริง แต่มีการบิดเบือน มีการเบี่ยงเบนด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป แต่ว่าทั้ง 4 ประเด็น จะเป็นการสมคบกันเพื่อให้เกิดการว่าจ้าง จะเป็นการบวกราคาส่วนต่าง จะเป็นการจ่ายเงินโดยไม่ชอบ หรือจะเป็นการบิดเบือน เบี่ยงเบนประเด็นนั้น กระผมยืนยันว่าไม่มีทางเลยที่พวกจะผมจะสามารถไว้วางใจให้ท่านรัฐมนตรีทำงานต่อได้
มาดูประเด็นแรกครับท่านประธานครับ อย่างที่กระผมกราบเรียนว่า โครงการนี้ต้องเริ่มจาก บทม. คือบริษัทที่รับผิดชอบเรื่องของสนามบินซึ่งรัฐบาลได้ตั้งขึ้นมา กระผมกราบเรียนว่า หัวใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า สนามบินจะรองรับคน 30 ล้านคน หรือ 45 ล้านคน หัวใจของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า ท่านจะซื้อยี่ห้อแอล 3 หรือจะซื้อยี่ห้อซีทีเอ็กซ์ หรือว่ายี่ห้อไหนดีกว่ากัน ผมกราบเรียนเพื่อที่จะบอกผ่านไปยังท่านรัฐมนตรีไม่ต้องเสียเวลาชี้แจงสภาฯ เลยนะครับ เรื่อง 30 ล้านเป็น 45 ล้าน คุณสมบัติแอล 3 คุณสมบัติซีทีเอ็กซ์ คำชี้แจงท่านจะได้ไม่ต้องวกวนเหมือนกับสายพานกระเป๋าที่กำลังจะสร้างที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ที่กระผมสนใจก็คือว่า ทำไมโครงการนี้ต้องมีการอนุมัติว่าจ้างแบบนี้ พวกกระผมยืนยันว่าพวกกระผมก็ต้องการสนามบินใหญ่รองรับผู้โดยสารได้มาก พวกกระผมยืนยันว่า พวกกระผมต้องการสนามบินที่ทันสมัย มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นที่มั่นใจของชาวโลก มาตรฐานสูงสุดถ้าเรามีเงินพวกกระผมก็ยินดีสนับสนุนให้เราใช้ พวกกระผมก็สนับสนุนให้การก่อสร้างสนามบินนี้เป็นไปโดยเร็วที่สุดตามนโยบายของรัฐบาลว่า จะต้องเปิดสนามบินนี้ให้ได้ในปลายปีนี้ แต่สิ่งที่พวกกระผมไม่ยอมก็คือ ไม่ยอมให้สนามบินใหม่เป็นแหล่งหากินของนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐ
ส่วนการขยายขนาดของสนามบินให้รองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปีนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน อันนำมาสู่มาตรฐานที่เข้มงวดของการตรวจสอบกระเป๋า ก็ถูกต้องแล้วครับที่บริษัท คือ บทม. คือรัฐบาลจะต้องมีการมาปรับปรุงโครงสร้าง และโครงการนี้ทั้งหมด ฉะนั้นมติที่จะทำเรื่องนี้ในเดือน ม.ค.2546 ไม่มีใครโต้แย้งเลยครับ แต่ว่าเมื่อจะต้องปรับปรุงกันใหม่ควรจะทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไรที่จะให้โครงการโปร่งใส และดีที่สุด เราก็ควรจะยึดถือปฏิบัติตามแนวทางที่เป็นระเบียบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง หรืออย่างน้อยเจตนารมณ์ของมัน นั่นก็คือว่า ในฐานะผู้ซื้อต้องศึกษาออกแบบ ต้องสืบราคา ถ้าแข่งขันประมูลได้ก็ประมูล ถ้าประมูลไม่ได้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็มีข้อมูลในเชิงราคา คุณภาพของสินค้ามาอ้างอิงเพื่อใช้ต่อรองได้ ตั้งต้นรัฐบาลก็ทำอย่างนั้น 23 ม.ค.2546 บทม.มีมติให้ทำอย่างที่กระผมกราบเรียนท่านประธาน ซึ่งเป็นเรื่องที่พึงจะกระทำถ้ารักษาผลประโยชน์ของผู้ซื้อในกรณีนี้ก็คือ ประชาชน เขาก็มีมติครับ บทม.ก็มีมติให้เอ็มเจทีเอไปออกแบบระบบพวกนี้มาทั้งหมด
แต่พอถัดมา 1 เดือน ความผิดปกติเริ่มเกิด เริ่มเกิดครั้งแรกก็คือ 11 ก.พ.2540 ท่านนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ฉบับที่ 2 เพื่อมารองรับการดำเนินงานในโครงการของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยระเบียบนี้ก็จะมีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งผมจะเรียกว่า กทภ. ซึ่งเป็นตัวย่อที่ท่านใช้เป็นทางการอยู่แล้ว ท่านนายกฯ เป็นประธานเอง ท่านรัฐมนตรีเป็นกรรมการ ที่น่าสนใจคือระเบียบนี้ที่ท่านแก้ เพิ่มข้อ 8/1 เข้าไป คือให้คณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจให้ความเห็น และวินิจฉัยชี้ขาด ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการที่บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด จะต้องดำเนินการใดๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 38 แล้วมาถึงมติคณะรัฐมนตรีล่าสุดขณะนั้น คือ 4 ก.พ.2546 ชี้ขาดเรื่องอะไรครับ ในส่วนที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องนำคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี มาใช้บังคับแก่บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำแผนงานและโครงการการก่อสร้าง การบริหารแผนงานและโครงการ การพัสดุ การเงิน การค้าต่างตอบแทน การทำสัญญา การควบคุมแผนงานและโครงการ หรือการดำเนินการอื่นใดเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวก็ตาม
แปลง่ายๆ ระเบียบนี้ก็คือว่า ต่อไปนี้คณะกรรมการชุดนี้ กทภ.มีอำนาจเบ็ดเสร็จ อยากจะทำตามระเบียบไหน คำสั่งไหน มติไหน ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง การเงิน การพัสดุ จะปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ อยู่ที่คณะกรรมการชุดนี้จะชี้ระเบียบก็คงมีความตั้งใจว่า ต้องให้อำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะว่าต้องเร่งแล้ว แต่ระเบียบตัวนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้การดำเนินงานในโครงการหลังจากนี้ไป เปิดช่องโหว่ช่องว่างให้เกิดการทุจริตได้ เพราะว่าหลังจากนั้นแค่ 2 สัปดาห์ 27 ก.พ.2546 บทม.ก็มีมติยกเลิกมติเดือนมกราคม ที่บอกให้เอ็มเจทีเอไปออกแบบระบบสายพาน ออกแบบระบบการตรวจสอบวัตถุระเบิด ตรวจสอบกระเป๋า อ้างว่าถ้าให้เอ็มเจทีเอไปออกแบบ ไปทำเป็นราคามา แล้วต่อมาอาจจะต้องมีการประมูลแข่งขันหรืออะไรก็ตาม จะเกิดความล่าช้า เสียเวลา ประเมินกันไว้ว่า 6 เดือน รัฐบาลต้องการเร่งรัด เพราะฉะนั้นไม่เอาแล้ว ไม่ให้เอ็มเจทีเอไปทำงานนี้ แล้วมีมติว่า งานเฉพาะในส่วนนี้ให้ใครทำ ให้ไอทีโอทำ ไอทีโอคือผู้รับเหมาที่ดำเนินโครงการต่างๆ ในสนามบินอยู่แล้ว เป็นเรื่องแปลกไหมผู้ซื้ออนุมัติให้ผู้ขายเป็นคนประเมินทุกสิ่งทุกอย่างและไปขายให้ ไอทีโอเขาก็ดีเขาบอกไม่อยากทำ ที่เขาไม่อยากทำคือเขาบอกว่าไม่เชี่ยวชาญในการทำเรื่องนี้ ในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยในการตรวจวัตถุระเบิด ในเรื่องการออกแบบเรื่องสายพานลำเลียงกระเป๋า หลังจากที่มีมติให้ไอทีโอไปทำ และเขาไม่อยากทำ ต้องเจรจากันไปมากว่าจะตกลงกันได้ต้องใช้เวลา 4-5 เดือน
ซึ่งผมดูแล้วก็แปลกเพราะว่าเดิมบอก เอ็มเจทำงานช้าใช้เวลา 6 เดือน แต่พอมาให้ไอทีโอทำ 4-5 เดือนยังไม่ถึงไหน มาตกลงให้เขาทำจริงคือ 2 ก.ค.แล้วไอทีโอก็ไปจ้างบริษัทที่จะไปทำการศึกษาเรื่องอุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิด ระบบสายพาน แต่เป็นไอทีโอจ้าง เขาก็ดีบอกว่า ถ้าจะให้เขาทำฝ่ายเดียว เดี๋ยวรัฐไม่มีหลักประกัน เขาบอกว่า เงื่อนไขที่เขารับทำอย่างนี้คือตัวฝ่ายสนามบินต้องไปจ้างบริษัทที่ปรึกษาอีกบริษัทหนึ่งมาช่วยตรวจหรือรับรอง สิ่งที่ไอทีโอจะนำเสนอ เพราะฉะนั้นจาก ก.พ.-ก.ค.มันเหมือนไม่มีอะไรคืบหน้า เพราะกำลังสาละวนจะทำอย่างไร จะไปหาคนออกแบบทำเรื่องนี้ สิ่งที่น่าสนใจว่าระหว่าง 4-5 เดือนเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่า พ.ค.ระหว่าง 4-5 เดือนนี้ว่า แพทริออตไปทำสัญญากับอินวิชั่น และในข้อความที่กระผมอ่านไปเขาสรุปไว้ว่า ที่ทำสัญญานี้เพราะคาดคะเนว่าจะได้มีโอกาสทำงานนี้
ฝ่ายสนามบินยังไม่รู้จะจ้างใดรออกแบบ แต่แพทริออตกล้าที่จะทำสัญญาแล้วกับอินวิชั่น โดยคาดคะเนว่าที่สุดต้องซื้อของจากเขา และในช่วงนี้เช่นกัน คือ มิ.ย.2546 ก็มีบริษัทที่ไปจดทะเบียนที่สหรัฐฯ ชื่อ บริษัทซิสเต็ม ดีไซน์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ อินคอร์ปอเรชั่นจดทะเบียนเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2546 ภายหลังเปลี่ยนเป็นบริษัทคลอโทรเท็ก เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ หลังจาก ก.ค.ทาง บทม.ให้ไอทีโอไปจ้าง บ.เคชออกแบบ แล้วไอทีโอบอกว่าช่วยไปหาบริษัทที่ปรึกษาไปรับรองตรวจการออกแบบนี้ ต่อมา บทม.เลือกที่จะจ้างบริษัท คลอโทรเท็ก ที่เพิ่งตั้งได้ 2 เดือน ที่อ้างว่าบริษัทนี้มีประสบการณ์ 20 กว่าปีไม่ใช่แล้ว เขาตั้ง มิ.ย.ใบจดทะเบียนอยู่ตรงนี้ ประสบการณ์เขาอ้างว่าเป็นตัวบุคคลในบริษัท ไม่ทราบว่าเราถือมาตรฐานอะไร คนทำงานในบริษัทที่มีประสบการณ์ ก็หยิบเป็นประสบการณ์ตัวเองได้หรือไม่ แต่ผมก็พยายามไปดูว่าบริษัท คลอโทรเท็ก เขาเคยได้งานที่อื่นบ้างไหม ก็น่าสนใจเขาได้งานที่ซานฟรานซิสโกจริงๆ ครับ แต่ได้หลังจากที่มาได้ในประเทศไทย 2547 เพราะว่าผมมีบันทึกรายงานการประชุมของกรรมการที่รับผิดชอบสนามบินซานฟรานซิสโก เขาไปจ้างควอเตอร์เทค และในบันทึกการประชุม
ท่านทราบไหมครับทำไมเขาจ้างควอเตอร์เทค เขาบอกว่าเขาได้ชื่อบริษัท ควอเตอร์เทค มาจากบริษัท อินวิชั่น และเป็นบริษัทเดียวด้วยที่ทำข้อเสนอเข้าไปจึงได้งานไป ทั้งหมดที่กระผมกราบเรียนท่านประธานก็คือว่า ในช่วง 4-5 เดือนที่ท่านอ้างเปลี่ยนวิธีทั้งหมดมันเกิดการสมคบขึ้นทั้งในประเทศ ทั้งต่างประเทศ ตั้งท่าไว้แล้วว่าที่สุดก็ต้องไปซื้ออุปกรณ์ซีทีเอ็กซ์จากบริษัท อินวิชั่น ผ่านบริษัท แพทริออต และแน่นอนครับหลังจากนี้เมื่อตั้งบริษัท ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นทำงานซักระยะก็ถึงชงเข้ามาเพื่อจะให้อนุมัติ ก.ค.2546 ปลายเดือน ประชุม กทภ. ท่านรัฐมนตรีเองเลยครับรายงานต่อที่ประชุมว่า มันมีปัญหาเรื่องนึงที่เกิดจากการปรับปรุงเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสาร และอาคารเทียบเครื่องบินให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 45 ล้านคนต่อปี ทำให้ต้องมีการจัดซื้อ จัดจ้างเพิ่มขึ้น ปัญหาคืออะไรท่านทราบมั้ยครับที่ท่านรัฐมนตรีรายงาน ผู้ปฏิบัติงานต่างระวังตัวในการจัดซื้อจัดจ้างจนก่อให้เกิดความล่าช้าเนื่องจากเกรงปัญหาการตรวจสอบความไม่โปร่งใส และระเบียบขั้นตอนต่างๆ เช่น จากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นต้น
ตอนนี้ใครที่สงสัยเรื่องคุณหญิงจารุวรรณวุ่นวายก็เข้าใจนะครับ ที่ทำทั้งหมดเพื่อจะปูทางว่า จัดซื้อจัดจ้างจัดหาด้วยวิธีนี้ ผมไม่เรียกวิธีพิเศษ ผมเรียกวิธีพิสดาร และในที่สุดในเดือน ต.ค. วันที่ 15 ก็มีการนำเรื่องนี้เข้าเสนอที่ประชุม กทภ. คณะกรรมการที่ผมบอกว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ การประชุมครั้งที่ 4/2546 วันพุธที่ 15 ต.ค. 2546 บ่าย 3 โมง ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ที่จริงถ้าดูจากเรื่องที่ผมลำดับให้ท่านประธานเห็นมา การประชุมวันนั้นน่าจะเป็นเรื่องการอนุมัติในหลักการ ว่าเอาหละจะต้องทำโครงการนี้แล้วเบื้องต้นมีข้อมูล ข้อเท็จจริงอย่างไร วันนั้นท่านนายกฯ เป็นประธาน และท่านรัฐมนตรีสุริยะก็อยู่ในที่ประชุม ก็มาถึงระเบียบวาระที่ 4.4 การเพิ่มระบบตรวจสอบอุปกรณ์และงานสาธารณูปโภคสำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สำหรับรองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปี ท่านประธานทราบมั้ยครับว่าใครเป็นคนนำเสนอ ประธานกรรมการ กทภ. ท่านนายกฯ นะครับ อนุญาตให้ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายธีระวัฒน์ ศรีฉัตราภิมุข ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม ชี้แจงรายละเอียดโครงการการเพิ่มระบบตรวจสอบอุปกรณ์และงานสาธารณูปโภคเพื่อรองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคนต่อปี ที่เสนอโดย บทม. ต่อที่ประชุม ปลัดนั้นไม่แปลก เป็นหน้าที่ แต่ผมสนใจว่าท่านที่ปรึกษารัฐมนตรี ท่านมีหน้าที่อะไรที่ต้องเสนอเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
รายงานการประชุมกล่าวต่อไปว่า ท่านปลัดและนายธีระวัฒน์ ได้ชี้แจงรายละเอียดโครงการที่ บทม.เสนอ พร้อมทั้งฉายภาพแบบจำลอง แบบจำลองที่ฉายภาพไปนั้นผมเข้าใจว่าล็อกยี่ห้อเรียบร้อย เดี๋ยวจะมีสมาชิกที่เขามาขยายความเรื่องนี้ แต่ว่าบรรยาย ฉายภาพจำลอง สรุปได้ว่า จะต้องมีการขยายสนามบินจาก 30 ล้าน เป็น 45 ล้าน แล้วก็จะต้องมีการเพิ่มโครงสร้างต่างๆ และเสนอว่าต้องมีการปรับปรุงระบบขนส่งกระเป๋าสัมภาระให้เป็น Single System พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนระบบตรวจสอบความปลอดภัยเป็นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ Hold Package Inline Screening System วงเงิน 4,500 ล้านบาท ไอทีโอไปจ้างเคจ เคจออกแบบ ผู้ขายทั้งนั้น ฝ่ายขายทั้งนั้น ฝ่ายซื้อไม่ทันดูอะไรเลย ควอเตอร์เทคก็ยังไม่ได้จ้างด้วย แม้จะรู้กันอยู่บ้าง แต่ว่าสรุปตัวเลขมา 4,500 ล้านบาท บริษัทที่ปรึกษาของโครงการทั้งหมด คือบริษัทพีเอ็มซี บันทึกเข้าสู่ที่ประชุมด้วยว่า ตัวเลขนี้ยังไม่มีการตรวจสอบรับรอง แต่ลอยมาเลย 4,500 ล้านบาท พอเสนอเสร็จว่าเป็น 4,500 ล้าน
ท่านนายกฯ ท่านก็ดี ขอแจมด้วยคน ประธาน กทภ.ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับระบบเอกซเรย์กระเป๋าและสัมภาระของผู้โดยสารที่จะนำมาใช้ตามโครงการว่าสามารถจะให้ข้อมูลรายละเอียดได้เท่ากับเครื่องเอกซเรย์ที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งจะสามารถประมวลข้อมูลให้เห็นภาพได้ 3 มิติ ถือได้ว่าเป็นระบบที่ทันสมัยมาก เพราะสามารถบอกวัตถุต้องสงสัยได้โดยอาศัยการวัดความเข้มของแสงเอกซเรย์ที่ผ่านวัตถุ และรูปร่าง ลักษณะอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด หรือวัตถุระเบิด สิ่งที่ต้องดำเนินการในการจัดหาระบบ ได้แก่ การซื้อหรือจัดหาระบบที่ทันสมัยล่าสุดมาใช้ เพราะเทคโนโลยีเรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก อย่าจัดหาระบบที่กำลังจะล้าสมัยมาใช้ นอกจากนี้จะต้องมีข้อตกลงเรื่องการช่วยปรับปรุงระบบซอฟต์แวร์ของเครื่องมือให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และการดูแลบำรุงรักษาเครื่องให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ประชุมก็มีมติเห็นชอบให้ บทม.ไปดำเนินการปรับปรุงระบบตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร 4,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจัดหาระบบเพื่อตรวจสอบกระเป๋าและสัมภาระผู้โดยสารที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด พร้อมทั้งมีเงื่อนไขให้ปรับปรุงซอฟต์แวร์ของระบบให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งการบำรุงรักษาตามปกติไว้ด้วย ที่จริงหลังจากวันนั้นแล้วจบแล้วหล่ะครับ เพราะว่างบประมาณที่เขาเสนอเข้าไปเนี่ย ผมไปดู 4,500 ล้านเนี่ย เขาเสนออย่างไร ตัวเครื่องตรวจวัตถุระเบิด เขาเสนอไว้ว่าจะต้องซื้อ 30 เครื่อง เครื่องละ72 ล้านบาท ผมไม่เสียเวลาท่านประธานครับ ผมยืนยันสั้นๆ ว่าถ้าซื้อ 30 เครื่อง มียี่ห้อเดียวเพราะอีกยี่ห้อหนึ่งจะต้องใช้จำนวนเครื่องมากกว่านี้ ราคาต่อเครื่องที่บอก 72 ล้านบาทนี่ ก็ใกล้เคียงยี่ห้อนี้ที่สุด เพราะฉะนั้นที่เหมือนจะอนุมัติหลักการไม่ใช่ครับ ไม่ได้อนุมัติในหลักการเลย
และต่อมาก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจอะไรครับ ไอ้รายงานที่เสนอว่าระบบต้องเป็นอย่างนั้น ทันสมัยอย่างนี้นี่ ควอเตอร์เท็กซ์ ก็รายงานเลยครับ รายงานรัฐบาลเลยว่าที่จะตรวจกระเป๋าได้ 110 ใบต่อนาที เขาเขียนว่า ซีทีเอ็กซ์ 9000 ของอินวิชั่น เป็นยี่ห้อเดียวที่จะสามารถทำตามข้อกำหนดนี้ได้ ในรายงานของควอเตอร์เท็กซ์รายงานต่ออีกครับว่า ซีทีเอ็กซ์ 9000 เป็นอุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิดยี่ห้อเดียวที่ได้รับการรับรองจากทีเอสเอ ที่สามารถตรวจสอบยาเสพติดได้ เพราะฉะนั้นกรรมการที่เบ็ดเสร็จของท่าน ที่บอกอนุมัติหลักการไม่ใช่หรอกครับ วันนั้นอนุมัติไปชัดเจน ซีทีเอ็กซ์ 9000 4,500 ล้านบาท ต่อไปก็ไปมีมติ ครม.รองรับวันที่ 11 พ.ย. และจากนั้น บทม.เขาถึงจะไปเจรจาทำสัญญากับไอทีโอ น่ารักมากครับ คือตอนจะไปทำสัญญาอุตส่าห์ไปต่อรองลดราคาเขา 50 ล้าน เขาลดให้ 29 ล้าน และทำสัญญากันในเดือน มี.ค.2547
ที่กราบเรียนมาทั้งหมด ท่านประธานจะเห็นครับ ว่าการอนุมัติโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ตรงนี้ ไม่ปกติเลย รัฐบาลที่เป็นคนซื้อของเนี่ยไม่มีแบบกลางของตัวเอง ให้คนขายไปออกให้ ไม่มีคณะกรรมการที่จะไปประเมินอะไรทั้งสิ้นว่ามันสมเหตุสมผลมั้ย ไม่มีราคากลาง ทั้งหมดทำตามแนวทางที่เหมือนให้ฝ่ายขายทำตามใจชอบ และระหว่างที่ชุลมุนที่กราบเรียนระหว่างกลางปี 2546 ก็ไปล็อกกันเรียบร้อย ทั้งสหรัฐฯ ทั้งไทยที่กระผมกราบเรียนว่ามีสัญญาเกิดระหว่างอินวิชั่นกับแพทริออต และมีการก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเพื่อรับงานนี้โดยเฉพาะด้วย เพราะฉะนั้นตรงนี้ประเด็นว่า การอนุมัติโครงการไม่ชอบมาพากลไหม มีการสมคบไหมผมว่ามีการชัดเจน และต้องนำมาสู่การซื้ออุปกรณ์นี้แบบนี้ ประเด็นที่ 2 คือ เมื่อตั้งโครงการ อนุมัติตั้งวงเงินมาแล้ว มันมีการไปทำส่วนต่างราคาเป็นทอด เพื่อให้เกิดกำไรที่เอาไปจ่ายในส่วนไม่ถูกต้องหรือไม่
มาดูราคาต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่ รมต.เคยพยายามชี้แจงเรื่องส่วนต่างราคา อธิบายยาว และทำเป็นแผนภูมิขึ้นมา ผมบอกก่อนว่าถ้าวันนี้แจงเหมือนเดิม แผนภูมิที่ท่านเคยทำคงจะยากอยู่ เพราะเดี๋ยวผมจะชี้ให้ชัดเจนว่า ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น และถ้าไม่ชี้แจงตามนี้ ก็ต้องถามว่าวันนั้นทำไมชี้แจงอย่างนั้น ท่านประธานผมไม่ทำให้เกิดความสับสนและท่าน รมต.อย่าทำความสับสน ผมจะดูเฉพาะราคาเรื่องซีทีเอ็กซ์ 6 เครื่อง บวกอุปกรณ์ที่ประกอบ และบริการที่เกี่ยวข้อง ผมไม่พูดสายพาน ก็มาทำความตกลงกันก่อนว่าข้อเท็จจริงที่ 2 ฝ่ายยอมรับตรงกันคือ ซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่อง บริการอุปกรณ์ต่างๆจะมีทั้งหมด 17 รายการตามสัญญาที่ปรากฎระหว่างไอทีโอกับ บทม. ไอทีโอขายให้ บทม.ราคา 2,608 ล้านบาท ไอทีโอไปซื้อจากแพทริออตในราคา 2,003 ล้านบาท และแพทริออตซื้อจากอินวิชั่นในราคา 1,432 ล้าน ตรงนี้เราไม่ต้องโต้แย้งกันเลย เพระราคาที่ บทม.ซื้อจากไอทีโอ ปรากฏในสัญญาชัดเจน และราคาที่แพทริออตซื้อจากอินวิชั่นก็ตามคำให้การที่ปรากฏอยู่ในเอกสารของสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นจากต้นทาง 1,400 ล้าน เพิ่มเป็น 2,600 ล้าน ต่างกัน 1,200 ล้าน ต้องถามว่าจากอุปกรณ์ทั้งหลายที่ออกจากอินวิชั่นมาติดตั้งที่สนามบิน ทำอะไรมากมายถึง 1,200 ล้านหรือ
แผนภูมิท่านพยายามชี้แจงเยอะไปหมด แต่ผมตรวจสอบแล้วผมบอกได้เลยว่ามีการบวกราคาเข้าไปทั้ง 2 ทอด คือไอทีโอก็บวก บวกจากซื้อแพทริออต และแพทริออตก็บวกจากที่ซื้ออินวิชั่น ผมเอาส่วน ไอทีโอ ก่อนซึ่งต่างกัน 600 ล้าน รมต.เคยชี้แจงว่าไอทีโอเขาจะต้องมีค่าใช้จ่าย อโลเคชั่น โอเวอร์เฮด ภาษีหัก ณ ที่จ่าย โปรเจคแอดมินซุปเปอร์วิชั่น อีดีเอ็กซ์ อินดิเกรชั่น ค่าจ้างวิศวกรอิสระ ค่าบริการการค้ำประกัน 2 ปี โอเวอร์เฮดกำไร วิธีที่ดูคือ ดูว่า บทม.ที่ตีมูลค่าลงนามในสัญญา 2,600 ล้าน ได้อะไรบ้างจากไอทีโอ มีทั้งหมด 17 รายการ ผมไม่เสียเวลาอ่าน เริ่มต้นจากตัวเครื่องตรวจวัตถุระเบิดไปจนถึงติดตามวัตถุระเบิด ทำลายวัตถุระเบิด ยานพาหนะขนวัสดุอันตราย และมีรายการทั้งหมด 17 รายการ มูลค่า 2,608 ล้านบาท และผมไปดูอะไร ผมไปดูว่า ไอทีโอเขาทำสัญญากับแพทริออตในราคา 2,003 ล้านบาท ซึ่งต่างกัน 600 ล้าน เขาซื้ออะไร น่าอัศจรรย์ก็คือว่า เขาซื้อ 17 รายการ ถ้อยคำเหมือนกันหมด ไม่มากกว่า ไม่น้อยกว่าเลยครับ
สิ่งที่ไอทีโอได้มาจากแพทริออต ก็คือสิ่งที่ไอทีโอส่งมอบให้ บทม. ไม่ได้เพิ่มไม่ได้ลดแต่มีส่วนต่างราคา 600 ล้านบาท เอาละเราจะบอกว่าเขาอาจจะต้องมีค่าบริหารจัดการ ยอมให้กำไรเขาบ้าง ผมยอมเลยครับ ท่านรัฐมนตรีบอกว่า ให้เขาไม่เกิน 8.6 เอาผมตีให้ บวกค่าบริหารค่าอะไรไปอีกซัก 2 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ 2,000 ล้าน 10 เปอร์เซ็นต์ 200 ล้าน อีก 400 ล้านทำอะไร แต่ว่าเขาเข้าใจทำนะครับในการทำราคาให้มันโป่งขึ้นมา คือรายการแรก คือเครื่องซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่อง ผมทำตารางเปรียบเทียบเลยครับว่าเขาบวกเข้าไปเท่าไหร่ เขาบวก 8.8 เปอร์เซ็นต์ ผมถือว่าไม่ผิดปกติ รายการที่ 2 อุปกรณ์ติดตามวัตถุระเบิด เขาบวกไป 9 เปอร์เซ็นต์ เอาละยอมกันได้ รายการที่ 3 อุปกรณ์ทำลายวัตถุระเบิด เขาบวกไป 8.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่ากัน รายการที่ 4 ยานพาหนะขนวัสดุอันตราย 7.4 เปอร์เซ็นต์ ที่บวกเข้าไป ก็คงไม่ผิดปกติ ที่เขาไม่บวกรายการพวกนี้ครับท่านประธานครับเพราะมันบวกยาก ของพวกนี้มันไปตรวจสอบได้ว่าราคาเท่าไหร่
แต่วิธีที่เขาทำก็คือว่า รายการที่ 5-17 พอไอทีโอไปซื้อจากแพทริออตเขาไม่จำแนกว่าแต่ละรายการราคาเท่าไหร่เขารวมไปเป็นยอดเดียวเลย รายการที่ 5-17 ไอทีโอซื้อจากแพทริออต ราคา 242 ล้านบาท แต่เขามาขายให้ บทม. ราคา 692 ล้านบาท บวกราคาเข้าไป 450 ล้านบาท กำไรเท่าไหร่ทราบมั๊ยครับ 186 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 8.6 นะครับ เอาจุดทศนิยมออกไปเอาเลข 1 ใส่ข้างหน้าอีกครับ 186 เปอร์เซ็นต์ ต้องตอบให้ได้นะครับว่าที่เขียนเหมือนกันทุกรายการมันเพิ่มอะไรนักหนาขึ้นมา 186 เปอร์เซ็นต์ นี่คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มราคาในตอนที่ไอทีโอเอามาขายให้ บทม. คราวนี้ลองย้อนกลับไปดูว่าแล้วที่ไอทีโอซื้อจากแพทริออต แพทริออตซื้อจากอินวิชั่น บวกด้วยหรือเปล่า อันนี้ก็ต่างกันอยู่ประมาณ 600 ล้านเหมือนกัน เพราะจาก 1,400 ขึ้นมาเป็น 2,000 ก่อนที่จะไปขายให้เป็น 2,600 ตรงนี้ท่านรัฐมนตรีก็พยายามชี้แจงว่ามันมีอุปกรณ์ เครื่องตรวจละอองระเบิดต่างๆ ซอฟต์แวร์อะไรเยอะแยะไปหมด ผมก็บอกว่าวิธีบวกตรงนี้ไม่เหมือนกับที่บวกในช่วงเมื่อกี้ วิธีบวกช่วงนี้คือว่า เอารายการมานับซ้ำ รัฐมนตรียิ้ม คงรู้ว่าจริง
ทำไมถึงนับซ้ำ คือรายการที่เขาบอกว่า มาขายให้กับทางไอทีโอ เขาจะมีเขียนในรายการที่ไม่ใช่ตัวเครื่อง Multiplexing Network, HPS System Software, System Program Application อะไรต่างๆ ผมก็อยากรู้ว่า ของพวกนี้มันเพิ่มจากอุปกรณ์ตัวแรก คือ ตัวเครื่อง 26 เครื่องหรือเปล่า เพราะตัวเครื่องมันมีราคาที่บ่งบอกชัดเจน ถามว่าผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาตีราคาตัวเครื่องตรงนั้นมันรวมอะไรบ้าง ผมไปเอาใบอนุญาตการส่งออกที่สหรัฐฯ มา ใบอนุญาตการส่งออกของที่สหรัฐฯ ซึ่งตีมูลค่าของที่ส่งออก 1,400 กว่าล้าน เขาเขียนชัดเจนว่าไม่ได้มีเฉพาะ 26 เครื่อง มี MUX Product, System Software, Hardware ที่ Connect Multiple CTX 9000 System มี Multiple Work Stations มี Work Stations และรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ คือโดยสรุป ที่บอก 1,400 มาเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็น 1,600 มันไม่ใช่เฉพาะตัวเครื่อง มันรวมของพวกนี้อยู่แล้ว แต่มาทำรายการพวกนี้แตกออกมาอีก เพื่อมาคิดเงินเพิ่ม ไม่ได้มีเฉพาะตัวนี้ จดหมายจีอีที่ตอบรัฐบาลมา ไปถามเขาว่า ราคาที่ขายซีทีเอ็กซ์ 9000 เท่าไร เขาก็ตอบมาเลย 35.8 ล้านเหรียญ มีเครื่องซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่อง บวกผลิตภัณฑ์และบริการอื่นๆ รวมทั้ง Software, Multiplexing Intigration Service and Maintenance Service แต่รายการย่อยๆ พวกนี้มาแตกออก คิดเพิ่มอีกรอบ
ทนายความของบริษัท แพทริออต มาให้การ บอกว่าแพทริออตซื้อระบบเครื่องตรวจวัตถุระเบิด 26 เครื่อง รวมอุปกรณ์ประกอบ และ option ต่างๆ และอะไหล่สำรอง 2 ปี ในมูลค่า 33 กว่าล้านเหรียญ แต่เวลาที่ท่านมาแจกแจง อุปกรณ์ต่างๆ แม้กระทั่งอะไหล่สำรอง 2 ปี มาคิดแยกเป็นอีกรายการ เหมือนบอกขายมือถือแล้วแถมหูฟัง แต่เวลาวางบิล เก็บค่าหูฟังอีก เพราะฉะนั้น 2 ส่วนนี้ เดี๋ยวมีเพื่อนสมาชิกมาคำนวณให้เห็น รวมกันแล้วมีเงินที่อธิบายไม่ได้ประมาณ 600 ล้าน เพราะฉะนั้นประเด็นที่ 2 ที่กระผมกราบเรียนท่านประธานก็คือว่า นอกจากสมคบกันขายของเรียบร้อยแล้วก็ขายกันเป็นทอดๆ แล้วบวกราคากันเข้าไปเพื่อมีช่องว่างที่จะไปจ่ายเงินสินบนที่เป็นการทุจริต ก็มาถึงประเด็นที่สาม ว่าเมื่อทำกันมาอย่างนี้แล้วสรุปแล้วมีการจ่ายเงินมั๊ย รัฐบาลชอบมากเลยครับเวลาที่ไปถามเขาแล้วให้บริษัทเขาตอบมาให้รัฐบาลเขาตอบมาบอกว่า เขาไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินของบริษัท จีอี มาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่สินบน แต่ที่ผมลำดับเรื่องมาให้ท่านประธานมันไม่มีเงินออกมาจากจีอีอยู่แล้ว มันไม่เหมือนที่ฟิลิปปินส์ ที่จีน ผมเล่าให้ฟังสั้นๆ ที่ฟิลิปปินส์ ที่จีนเวลาติดสินบนเขาไปขอตัดเอาจากกำไรที่บริษัทได้แล้วบริษัทก็เลยต้องไปตกแต่งบัญชีว่าให้ค่าใช้จ่ายมันเพิ่มขึ้น
นั่นคือเงินออกจากบริษัทไปเป็นสินบน แต่กรณีของประเทศไทยที่เขาบรรยายไว้เงินไม่ทันถึงมือจีอี อินวิชั่น เพราะเงินออกจากประเทศไทย น่าเจ็บใจว่างานนี้ไม่ได้ไปแบ่งกำไรฝรั่ง เอาเงินประชาชนไปให้ ถามว่า จ่ายเงินกันรึยัง ในโครงการ 4,500 ล้าน โดยสรุปคือ จ่ายเงินไปแล้วประมาณ 2,900 ล้าน เฉพาะ 17 รายการที่ผมพูดว่ามันโป่งขึ้นมาเป็น 2,600 ล้าน จ่ายไปแล้ว 1,500 ล้าน ท่านรัฐมนตรีเคยชี้แจงว่า ไม่ใช่ที่จ่ายไปมันมีเรื่องอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ใช่ครับ ผมมีสรุปการจ่ายเงินของทีซีเอส ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบติดตาม จ่ายค่าเครื่องซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่อง 1,099 ล้าน จ่ายรายการที่ 2-17 ที่กระผมพูดเมื่อสักครู่อีก 403 ล้าน รวมกันประมาณ 1,500 ล้าน บทม.จ่ายให้ไอทีโอ 1,500 ล้าน ไอทีโอจ่ายให้แพทริออตรึยังครับ จ่ายแล้วครับผมมีบันทึกสรุปการจ่ายเงินจากไอทีโอถึงแพทริออตเป็นรายเดือน โดยสรุปแล้วไอทีโอจ่ายเงินไปให้แพทริออตแล้ว 644 ล้าน ก็แปลว่าเงินอยู่ที่ไอทีโอ หรือที่ไอทีโอไปให้คนอื่นอยู่ 900 แพทริออตจ่ายให้อินวิชั่นรึยังครับ
บริษัทฝรั่งไม่ได้แม้แต่บาทเดียว เพราะว่ากระทรวงยุติธรรมห้ามไม่ให้เขารับเงิน เพราะมาขายให้แพทริออตไม่ได้ สรุปก็คือ เอาเงินของรัฐจ่ายออกไป 1,500 ล้าน นี่ผมไม่นับส่วนสายพานที่จ่ายออกไปอีก 1,500 ล้าน อยู่ในมือไอทีโอประมาณ 900 อยู่ในมือคุณเช 600 ฝรั่งไม่ได้แม้แต่บาทเดียว ของอยู่ที่ไหนครับ ระบบตรวจสอบวัตถุระเบิดอยู่ที่สุวรรณภูมิรึเปล่าครับไม่มีแม้แต่เงาครับ เครื่อง 26 เครื่องอยู่ในประเทศไทยมั๊ยครับ ไม่อยู่ครับยังอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ผมไม่รู้ว่านี่เรียกค่าโง่หรือค่าแกล้งโง่ เอาเงินออกไปแล้ว 1,500 ล้าน ของไม่เห็นครับ เอามาก็ไม่ได้ ท่านรัฐมนตรีก็คงจะต้องมาบอกว่า ทำยังไงได้ ต้องจ่ายตามสัญญา สัญญาเขียนดีหรือไม่ดี ผมไม่อยากไปลงลึก เดี๋ยวจะแตกประเด็นไปอีก เอาตามสัญญานี่แหละ
ท่านประธานไปดูภาคผนวก 5 ตามสัญญา จะมีสิ่งที่เรียกว่า Interim Payment Schedules คือตารางการจ่ายเงิน เขากำหนดการจ่ายเงินเป็นรายเดือน เดือนที่เท่าไร จ่ายเงินเท่าไร เงินบาทเท่าไร เงินเยนเท่าไร และคอลัมน์สุดท้าย เขาจะเขียนว่า กิจกรรมที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนั้น จากหลักฐานการจ่ายเงินทั้งหมดนี้ ถือว่าได้มีการจ่ายเงินไปแล้วในเดือน ของสัญญา คือเดือนที่ 36 ถ้านับเป็นงวดเข้าใจว่าเป็นงวดที่ 15 ผมสนใจงวดที่ 14-15 เดือนที่ 35-36 เพราะอะไร เพราะในตารางนี้เขาเขียนว่า จะจ่ายเงินเดือนที่ 35 กิจกรรมที่ต้องทำ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า First shipment of ten sets of tested EDS machines แปลเป็นไทยว่า มีการส่งของ 10 เครื่อง ที่ได้ตรวจสอบ ทดสอบแล้ว ส่งเมื่อไรถึงได้จ่ายเงินไป งวดถัดมา Second shipment of ten sets of tested EDS machines ให้มาอีก 10 เครื่อง อีกงวดหนึ่ง ส่งมาเมื่อไรครับ แล้วจ่ายไปได้อย่างไร
ท่านก็อุตส่าห์ไปอ้างว่า ตารางนี้เขาไม่ดูกัน ทั้งๆ ที่อยู่ในสัญญา ให้ดูเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า Mile Stone หรือความสำเร็จของงาน ซึ่งบังเอิญมีแค่ 4 ช่อง ไม่ใช่ล่ะครับ ผมไปสอบถามมาหมดแล้ว นักกฎหมาย คนทำธุรกิจ ถ้าสัญญาเขียนอย่างนี้ต้องจ่ายอย่างนี้ เป็นเดือนๆ เดือนนี้เสร็จถึงจ่าย เดือนนี้เสร็จถึงจ่าย ส่วนที่เรียกว่า Mile Stone เขาเขียนไว้เพื่ออะไร คือเป็นจุดคอยเช็คงานเท่านั้นว่า ถ้าเกิดทำไม่ได้จริงๆ อย่าเพิ่งถึงขั้นยกเลิกสัญญากัน มาทบทวนตารางการจ่ายเงินได้ มาเจรจากันได้ มาปรับ มาเปลี่ยน หรือเสียค่าปรับกันได้ แต่ที่จ่ายเงินต้องจ่ายตามนี้ ผมรู้ว่าต้องจ่ายตามนี้เพราะอะไร เพราะทุกงวดที่เบิกจ่าย เขาต้องมีขั้นตอน เอาบริษัททีซีเอส มารับรองว่า กิจกรรม ทำรายงานประจำเดือนว่าทำอะไรไปบ้าง เสนอคณะกรรมการตรวจรับงานก่อนจะเซ็นอนุมัติ
ถ้าบอกว่าถึง Mile Stone แล้ว ต่อไปทุกเดือนจ่ายอัตโนมัติ ก็ไม่ต้องทำสิ่งนี้ วันที่ 1 ก็จ่ายกันไปเลย แต่ไม่ใช่ นี่ทุกเดือนเขาต้องรายงานความคืบหน้ามา แล้วมีการตรวจสอบโดยกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง เสนอมาให้ เพื่ออนุมัติการจ่ายเงิน ผมขออนุญาตนิดเดียว ชี้แจงประเด็นนี้ ขอความกรุณาท่านรัฐมนตรีอย่าเอาหนังสือของซีทีเอส ที่พยายามแก้ตัวเรื่องนี้มาใช้นะครับ เพราะหลังจากเกิดเรื่อง คนโวยเรื่องนี้ขึ้นมา บริษัททีซีเอสต้องทำหนังสือแก้ตัว เพราะเขาเป็นคนส่งใบรับรอง ส่งใบรับรองว่าจ่ายเงินได้แล้ว เขาต้องแก้ตัวว่าที่เขาทำไปนั้นถูกต้อง แต่ว่าเขาพิสดารจริงๆ ครับ เขาอุตส่าห์ไปตีความคำว่า shipment ว่าไม่ได้แปลว่าต้องส่ง เขาบอกว่าให้แปลว่าของที่จะส่ง ผมไม่ทราบว่าพจนานุกรมฉบับไหน แต่ว่าถ้าท่านรัฐมนตรีเชื่อตามนี้ก็ ผมไม่แน่ใจว่าท่านจบจากต่างประเทศจริงหรือเปล่า
และที่สำคัญก็คือว่า ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าคำว่า shipment แปลว่าของ ซึ่งเขาเทียบให้เห็น คำว่า lot ไม่ใช่ครับ เพราะในสัญญาฉบับเดียวกัน ตารางถัดมาไม่กี่อัน เขาใช้คำว่า lot ทำไมเขาไม่ใช้คำว่า shipment และถ้าคำว่า shipment แปลว่า lot ประโยคนี้ผิดไวยากรณ์ครับ อย่ามาอ้างนะครับฉบับนี้ขอร้อง แถมยังบอกว่าไม่ต้องดูอะไร ดูมายสโตนและทุกเดือน ก็หลับหูหลับตาจ่ายไป ไม่ใช่อย่าไปตีความอย่างนั้น ผมสงสัยอะไรกันนักหนา ของก็ยังไม่มาทำไมต้องรีบจ่ายเงิน ทราบไหมว่า 2 งวดที่พูดถึงจ่ายเมื่อไร งวด 14 ที่บอกว่าของส่งมา 10 ชิ้นแรก ของยังไม่มาอนุมัติจ่าย 4 ม.ค.2548 งวดต่อมาของ 10 ชิ้นที่ 2 ต้องมาก็ไม่มา จริงๆงวดแรกก็ยังไม่มาจ่ายวันที่ 8 ก.พ.48 อนุมัติ 4 ก.พ. 48 นี่ไม่ได้จ่ายตามสัญญา จ่ายตามฤดูกาล ฤดูฝนห่าใหญ่ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องจ่ายเงิน 2 ก้อน รวมแล้ว 400-500 ล้านในช่วงนั้น แล้วถามว่าตอนที่อนุมัติให้จ่ายเงินออกไปรู้ไหมว่าของไม่มา และรู้ด้วยไหมว่ายังไงของก็ไม่มา มีหลักฐานเยอะที่บอกว่ารู้ เพราะเมื่อ พ.ย.เขาเชิญคณะ บทม.ไปโรงงาน เพื่อไปดูเครื่องที่กำลังทดสอบเขาไปดูเรียบร้อย
เมื่อเดินทางกลับมา หนึ่งในคนที่เดินทางไปนายอดิเทพ นาคะวิสุทธิ์ มาให้การกับคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของสภาฯ ให้การว่า เมื่อ พ.ย.ที่ผ่านมาผมกับท่านกรรมการผู้จัดการ และบริษัทที่คุมงานก่อสร้าง และตัวแทนไอทีโอไปตรวจสอบ เพราะทางอินวิชั่นแจ้งว่า ของผลิตเสร็จแล้ว 26 เครื่องพร้อมที่จะส่งก็ไปตรวจ ในขณะนั้นยังไม่ทราบปัญหาแค่ทราบข่าวลือว่ามีปัญหาจะส่งของไม่ได้ แต่ปัญหาจริงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พอถึงที่โรงงานเขาก็พาดูโรงงาน ดูของซึ่งผลิตแล้ว คนที่มีหน้าที่เทคนิคไปดูเครื่อง คนที่มีหน้าที่เรื่องการเงินคือเป็นตัวแทนอินวิชั่นก็คุยเรื่องเงิน ผมกับพล.อ.สมชัยถูกเรียกตัวไปนั่งคุยกับซีอีโอของบริษัท ซึ่งคุมด้านนี้อยู่เป็นฝรั่ง 2 คน เขานั่งในห้องประชุมด้วยกันทั้งหมด 4 คน เขาก็แจ้งให้ทราบว่า เขามีปัญหาเรื่องรวมบริษัทกับจีอี ซึ่งจีอีมาซื้อแล้วก็ตรวจสอบบัญชีบริษัท ตรวจสอบสถานะบริษัทก็ไปพบว่าอาจมีแนวโน้มในการจ่ายเงินไม่ถูกต้องตามที่เป็นข่าว เขาก็แจ้งว่านี่คือปัญหาที่เขาไม่สามารถส่งเครื่องให้เราได้
เขาได้มาติดต่อกับไทยนานแล้ว โดยเขาทางสถานทูต ทางรัฐบาลไทยก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามีปัญหานี้เกิดขึ้น และรัฐบาลเราก็ดำเนินการตรงนี้อยู่ ช่วงนั้นนะ เราก็ทราบแค่นั้นว่ามีปัญหาตามข่าว และส่งของให้ไม่ได้ กลับมาก็เรียนให้ทางผู้บังคับบัญชาทราบว่าปัญหาเป็นอย่างนี้ พ.ย.2547 บทม.ทราบแล้วว่าของไม่มีทางเดินทางออกมา ท่านนายกฯ ให้สัมภาษณ์นะครับ ผมรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เดือน พ.ย. แปลว่าท่านรู้ บทม.ก็รู้ ผู้บังคับบัญชาของคนนี้ก็รู้ ท่านรัฐมนตรีสุริยะทราบมั๊ยครับ พยักหน้าว่าทราบนะครับ เพราะผมนึกว่าถ้าไม่ทราบมีได้ 2 เหตุผล 1. คือท่านบกพร่อง 2. แม้แต่ท่านนายกฯ และผู้ใช้บังคับบัญชายังไม่ไว้วางใจท่าน แสดงว่าท่านทราบ ทราบตั้งแต่เดือน พ.ย.แล้วท่านยังมายิ้มปล่อยเงินของประชาชนออกไป 1,500 ล้าน ทำได้อย่างไรครับ เดือน ธ.ค.สหรัฐฯ เขาแถลงข่าวเรื่องทำข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรมแล้วระบุชัดในข้อตกลงนั้นว่าไม่ให้อินวิชั่นขายของให้แพทริออต แล้วท่านไปทำอะไรอยู่ครับ
อนุมัติออกไปเดือน ม.ค. เดือน ก.พ.ได้ แปลกมั๊ยล่ะครับ คนอื่นใครรู้บ้าง ผมเห็นมีจดหมายจากจีอีมาถึงคุณเช เดือน ธ.ค.วันที่ 28 เขาบอกชัดเลยว่า จีอีไปทำข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรมแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเขายังขายของให้แพทริออตเขาจะละเมิดข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรมแล้วอาจจะถูกดำเนินคดี เพราะฉะนั้นอินวิชั่นไม่สามารถส่งของมาได้เพราะจะเป็นการละเมิดกฎหมาย เขาบอกด้วยครับว่ากระทรวงยุติธรรมพยายามสอบสวนเรื่องนี้เพิ่มเติม เชิญคุณเชไปเพื่อไปให้การกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ซึ่งทางอินวิชั่นพยายามจะขอให้คุณเชให้ความร่วมมือแต่ปรากฏว่าเชิญไปทุกครั้ง และเขาติดตามเรื่องกันยายนวันที่ 13 วันที่ 24 วันที่ 27 วันที่ 28 ต.ค.วันที่ 7 วันที่ 8 วันที่ 23 วันที่ 27 ผมนับไม่ถ้วนเลยครับว่ากี่ครั้ง แต่คุณเชไม่ยอมไปในเรื่องของการให้การที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ผมทราบว่าภายหลังตัวบริษัทก็ต้องมาพยายามสอบถาม ซักถามจากคุณเชที่นี่แต่ว่าไม่ได้เข้าไปสู่กระบวนการตรงนั้น
เพราะฉะนั้น ประเด็นที่กระผมกราบเรียนก็คือว่า ท่านก็ทราบกันอยู่แล้วว่าของมันส่งมาไม่ได้แต่ก็ยังจ่ายเงินไปให้ไอทีโอ 2 งวดนี้ และท่านทราบมั๊ยครับไอทีโอซึ่งมีสัญญากับแพทริออต ระบุเงื่อนไขการจ่ายเงินเป็นงวด ที่ล้อกัน 2 งวดนี้เขาไม่จ่ายแพทริออต เขาไปให้ใครล่ะครับ ท่านตอบก็ได้นะครับประเด็นนี้ ของก็ไม่เห็น ฝรั่งไม่ได้เงินซักบาท เงินอยู่ที่แพทริออต 600 กว่าล้าน อยู่ที่ไอทีโอ 900 กว่าล้าน นี่คือสิ่งที่กระผมกราบเรียนท่านประธานว่ามันน่าจะชัดแล้วละครับว่าโครงการนี้มีการทุจริตหรือไม่ กระผมถามท่านประธานว่า หลังจากเรื่องนี้เป็นข่าว ท่านรัฐมนตรีอยู่ในสถานะดีกว่าพวกกระผมเยอะเลยนะครับที่จะทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมด ท่านทำอะไรครับ ทำไมชี้แจงด้วยการเบี่ยงเบน ทำไมปิดบังข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทำไมไม่ดำเนินการครับ มีแต่อะไรครับ เริ่มต้นครั้งแรกส่งที่ปรึกษาไปคุยกับทูตพาณิชย์ ก็ที่ปรึกษาผมก็บอกแล้วเป็นคนเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเอง แล้วทูตพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องอะไร มีการทำรูปแบบการทูตรูปแบบใหม่ เรียกว่า ทูตนิรนาม หรือทูตนิจจา อยู่ดีๆ มีการแถลงข่าวในสถานทูตขอร้องไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร และบอกว่าไม่มีสินบน
มีการไปขอบริษัทที่เขาอยากขายของให้เขายืนยันมาว่า เขาไม่ได้จ่ายสินบน ก็มันจะจ่ายได้อย่างไรเมื่อเงินยังไปไม่ถึงมือเขา ที่ถูกท่านต้องทำอย่างไร พฤติกรรมที่ระบุไว้ในเอกสารของสหรัฐฯ ที่กราบเรียนตอนต้น มันผิดกฎหมายอาญาไทยอยู่แล้ว ผู้ใดเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงาน หรือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสภาเทศบาลด้วยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแต่ประการใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 143 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 ผู้ใดขอให้หรือรับจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือ สมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือ ประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ พฤติกรรมที่ถูกระบุในภาคผนวกมีความผิดเกิดแล้ว และเมื่อมีความผิดเกิดรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือกันทางอาญา และมีกฏหมายไทยที่รองรับเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 รัฐบาลเพียงแค่เริ่มต้นกระบวนการใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการทางอาญา หรือ กระบวนการยุติธรรมก็สามารถใช้สนธิสัญญาและกฎหมายนั้น ขอความร่วมมือจากสหรัฐฯส่งข้อมูลมา เพียงแต่ช่องทางที่ต้องทำคือ กฎหมายและสนธิสัญญากำหนดไว้ว่า ต้องมีผู้ประสานงานที่ทำ ซึ่งประเทศไทยเป็นอัยการสูงสุด ไม่ได้ทำ ที่จริงจะกราบเรียนว่า สิ่งแรกที่จะต้องรีบขอเขาคืออะไรทราบไหม เอกสารที่ผมอ่านเมื่อสักครู่เขาเรียกภาคผนวกเอ ภาคผนวกบี คือเอกสารที่จะบอกว่า อักษรย่อทั้งหมดคือใคร แต่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่ได้ เพราะเขาจะมีปัญหาเรื่องฟ้องร้อง แต่รัฐบาลไทยขอได้ถ้าใช้สนธิสัญญาทางอัยการไป ไม่ได้ทำ รัฐบาลทำอะไร รัฐให้กระทรวงยุติธรรม โดยปลัด ก.ยุติธรรมร่างจดหมายถามสหรัฐฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศส่งไป มีเอกสารเหมือนที่ผมมีทั้งหมดอยู่ในมือ
ขอถามแค่ 1 คำถาม 1 คำถามที่ว่าในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ทำการสอบสวนอินวิชั่นเทคโนโลยี เกี่ยวข้องกับการขายของในประเทศไทยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ใช้คำว่าออฟฟิเชียล ออฟเดอะรอยัลไทยกัฟเวอเมนท์ ที่ถูกพบว่าได้รับเงิน หรือยอมรับข้อเสนอที่เป็นการจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ผมก็ตอบได้ ถ้าถามแค่นี้เขาก็ต้องบอกว่าไม่มี จะมีได้อย่างไร และตั้งใจถามเหลือเกิน ออฟฟิเชียล ออฟเดอะรอยัลไทยกัฟเวอเมนท์ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการ อาจรวมราชการเมืองด้วย อย่างท่านปลัด ท่านเป็นออฟฟิเชียล ออฟเดอะรอยัลไทยกัฟเวอเมนท์ แต่ภรรยาท่านที่เป็น ส.ส.ไม่ใช่ ท่านถามไปอย่างนี้เขาก็ต้องตอบมา เขาก็ตอบว่าจนถึงวันนี้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการจ่ายเงินโดยอินวิชั่น หรือตัวแทน คำว่าตัวแทนซึ่งต่างจากผู้จัดจำหน่าย ที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่ไทย หรือมีข้อเสนอที่ได้รับการตอบรับ
แน่นอนที่ผมลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด เขาต้องตอบอย่างนี้ แต่เขาไม่ธรรมดา ก.ยุติธรรมร่างหนังสือ ก.ต่างประเทศส่งหนังสือถามเขา เขาตอบใคร ท่านทราบไหม เขาตอบอัยการสูงสุดครับ แล้วเวลาเขาตอบหนังสือ ท่านประธานกับผมเคยทำหนังสือไปถึงใครต่อใคร เขาอ้างถึงจดหมายที่ส่งไป ไม่ครับ เขาอ้างถึงสนธิสัญญาความร่วมมือในทางคดีอาญา ผมถือว่าเขาตบหน้าอย่างแรงนะครับ และความจริงสถานทูตไทยในสหรัฐฯ ก็เชิญเจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรม เขาก็บอกหมดแล้ว ว่าอยากได้ข้อมูล ให้อัยการในฐานะผู้ประสานงานกลาง ขอไป เขาก็อัศจรรย์ใจว่าอยู่ดีๆ ส่งหนังสือกระทรวงการต่างประเทศไป เขาก็อุตส่าห์ตอบมาที่อัยการ แล้วยังสำทับต่อด้วยว่า เขาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือถ้ามีการสอบสวนใดๆ ในเรื่องนี้ และพร้อมที่จะให้หลักฐานทั้งหมดที่เขามีอยู่ และนอกจากฉบับนี้แล้ว ซึ่งเมื่อตอบมาท่านอัยการก็เพิ่งมาให้การกับกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ว่า ตอบถึงเขา แต่เขายังไม่ทันได้รับหนังสือ เขารู้จากรัฐบาลเอาไปแถลงข่าวก่อน
ที่จริงเขาตามมาอีกฉบับหนึ่งนะครับ ซึ่งเขาบอกเลยว่า เรื่องนี้เขาพร้อมให้ความร่วมมือแม้กระทั่งในเรื่องของการติดตามปราบปรามการฟอกเงิน และคงกลัวว่าที่นี่ไม่เอาจริง บอกด้วยว่า การยึดทรัพย์จากเรื่องนี้ สหรัฐฯ จะถือเป็นเรื่องอาญา อยู่ภายใต้สนธิสัญญา ไม่ถือเป็นเรื่องแพ่ง ทำไมล่ะครับ ทำไมข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเจนอย่างนี้ ช่องทางทางกฎหมายก็มีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลไม่คิดจะเอาจริงเอาจังและปราบปรามการทุจริต ท่านรัฐมนตรีบริหารงานโครงการนี้มา ปล่อยให้มีการสมคบกันจนเกิดการทุจริต ปล่อยให้ประเทศต้องซื้อของด้วยเงินของประชาชนที่ต้องเสียส่วนต่างไปให้ บริหารโครงการทั้งๆ ที่รู้ว่าของมาไม่ได้แล้ว จ่ายเงินออกไปอีก และเมื่อเรื่องปรากฏมีแต่บิดเบือน เบี่ยงเบนตลอด ไม่ใช้ทางที่ควรจะใช้ แต่พยายามทำทุกวิถีทางหาทางกลบกระแสให้เรื่องมันจบ
ท่านประธานครับ ถ้าเราปล่อยอย่างนี้ เป็นไปได้หรือครับที่เราจะประสบความสำเร็จในการปราบปรามการทุจริตที่รัฐบาลบอกเป็นนโยบายสำคัญ เรามาไกลนะครับ ปี 44 ท่านนายกฯ พูดว่า สำหรับท่านไม่ต้องมีใบเสร็จ แค่สงสัยก็ปลดแล้ว ผมถามว่าเอกสารทั้งหมดนี้ไม่ทำให้ท่านสงสัยแม้แต่นิดเดียวเลยหรือครับ หรือวันนี้นโยบายการปราบปรามการทุจริตก็เป็นว่า ถ้าใครโกงวัดก็เอาเงินไปคืนวัด ถ้าใครโกงเงินโคก็ไปด่าว่าเป็นเปรต จะเป็นไปได้อย่างไรครับ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พวกกระผมจำเป็นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรี เพื่อที่จะบอกว่ากระบวนการทางการเมืองของเรา ไม่สามารถยอมรับความบกพร่องที่นำไปสู่การทุจริตอย่างนี้ เสียหายต่อชื่อเสียงของประเทศได้ พวกกระผมมีไม่กี่เสียงหรอกครับ ผมทำได้ คือฟ้องประชาชน ผมทำได้ คือถามสำนึกของรัฐมนตรี ถามสำนึกของท่านนายกฯ ถามสำนึกของ ส.ส.ที่อยู่ในฟากรัฐบาลทั้งหมด แต่พวกกระผมไม่มีความลังเลใจใดๆ ที่จะบอกว่าไม่ไว้วางใจท่านรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ครับ ขอบพระคุณครับ”