ขณะที่สถานการณ์โดยรวมในรอบเดือนมิถุนายน 2548 ประชาชนเริ่มเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาล
เพราะพบว่าเสียสัจจะในการปราบคอร์รัปชั่น
ยังมีสถานการณ์ทางด้านพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยพบว่ารัฐบาลเสียสัจจะในเรื่องสำคัญแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยอ้างพระอาการประชวรเป็นเหตุ
ภาพอย่างน้อย 3 ภาพที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2548 วันที่ 7 มิถุนายน 2548 และล่าสุดวันที่ 20 มิถุนายน 2548 ก็คือใบเสร็จยืนยัน
โปรดพิจารณาดูภาพที่นำมาลงประกอบ
วันที่ 3 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จพระดำเนินไปยังวัดประดู่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธาในรัชกาลที่ 5 และหุ่นปั้นดินสอพองรูปเจ้าอาวาสวัดประดู่ตั้งแต่อดีต รวมทั้งเก๋งเรือพระราชทาน เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม
วันที่ 6 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเสด็จมาร่วมพิธีเคารพศพหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต จังหวัดหนองคาย ณ วัดเทพศิรินทราวาส
วันที่ 19 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานในการพระราชทานน้ำหลวงสรงศพหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ณ วัดเทพศิรินทราวาส



จริงอยู่ พุทธศาสนิกชนทราบดีว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประชวรมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 – 2545
แต่ก็เป็นการประชวรด้วยพระโรคชรา
ภาพที่ปรากฏหลายต่อหลายครั้งในรอบหลายปีมานี้ พระองค์ทรงมีพระอาการไม่ถึงขั้นเสียสมณสารูป ไม่ถึงขั้นไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง – ไม่ถึงขั้นที่จะไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้
แต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลับแสดงออกตรงกันข้าม
ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ครั้งแรก -- รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยนายวิษณุ เครืองาม ได้ลงนามในประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและคณะผู้ช่วย เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 โดยให้มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน
ครั้งที่สอง – ครั้นเมื่อครบกำหนด 6 เดือนแล้ว สำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของนายวิษณุ เครืองาม ได้ออกประกาศเผยแพร่พระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่คณะแพทย์หลวงที่ถวายการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช มิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยืนยันในประกาศดังกล่าว และสำนักนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจหน้าที่ใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะไปก้าวล่วงความเจ็บไข้ได้ป่วยอันเป็นเรื่องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 เพื่ออ้างเป็นเหตุให้ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไข 2535 แล้วสนับสนุนให้มหาเถรสมาคมแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซ้อนกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่พระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
กล่าวได้ว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง เพราะได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกถึง 2 ประการ นับแต่ราชอาณาจักรสยามตั้งมั่นอยู่บนแผ่นดินสุวรรณภูมิประเทศ
ประการที่ 1 ท่านเป็น “สามัญชนคณะแรก” ที่บังอาจสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมาใหม่ซ้อนพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา
ประการที่ 2 ท่านเป็น “ฆราวาสคณะแรก” ที่บังอาจอวยชัยให้พรสมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาให้หายจากพระอาการประชวร
..........................
ไม่เพียงแต่ภาพ 3 ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะในเดือนมิถุนายน 2548 นี้หรอก เป็นเวลาร่วม 1 ปีมาแล้วที่ได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ บ่งชี้ว่าพระอาการประชวรของสมด็จพระญาณสังวรสมด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นที่จะปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชต่อไปไม่ได้
วันที่ 18 กรกฎาคม 2547 สมเด็จพระญาณสังวรสมด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาปฏิบัติศาสนกิจตามปกติ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยพระพักตร์ผ่องใส ภาพปรากฏอยู่ในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ฉบับประจำวันที่ 19 กรกฎาคม 2547
วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 สำนักพระราชวังได้ออกข้อปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช กรณีแขกที่มาเข้าเฝ้า และการลงพระนามในหนังสือต่าง ๆ
วันที่ 14 สิงหาคม 2547 เวลาประมาณ 18.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเยี่ยมและสนทนาธรรมกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นเวลานานกว่า 30 นาที เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว ไม่ปรากฏว่าคณะแพทย์หลวงได้แถลงการณ์เกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์แต่อย่างใด
ระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม 2547 สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระบัญชา ให้พระเทพสารเวที เลขานุการในพระองค์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช ไปถวายการสักการะ อดีตสมเด็จพระสังฆราชและบุพพาจารย์ของพระองค์ ตามสถานที่ต่าง ๆ จนครบถ้วน
ฯลฯ
..............................
ถ้ามีเพียงเหตุผลพระอาการประชวรเท่านั้น -- โดยไม่มี “วาระซ่อนเร้น” อื่นใด
บัดนี้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรก็สมควรดำเนินการเพื่อคืนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชให้แก่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้แล้ว
เพราะเหตุที่นำมาอ้างนั้น – หมดไปแล้ว
...................................
ปัญหาก็คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางมี “วาระซ่อนเร้น” อยู่
วาระซ่อนเร้นที่จะ “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
เพราะถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรก็คงไม่ดำเนินการปรักปรำกลุ่มพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วย ในลักษณาต่าง ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2546
กลุ่มพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลนั้น มีข้อเสนอในเชิงหลักการ 2 ประการ
หนึ่ง -- แก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ให้ทั้งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กลับไปอยู่ที่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ ชนิดไม่มีข้อจำกัด เหมือนเมื่อครั้งก่อนปี 2535
สอง – ถวายพระราชอำนาจแด่พระมหากษัตริย์ในอันที่จะปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชในทุกกรณี
....................................
ต้องเข้าใจความจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดในกรณีว่า
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชลำดับที่ 29 ตั้งแต่ ปี 2532 นั่นคือก่อนปี 2535 ครั้งยังบังคับใช้ด้วยกฎหมายเก่า ที่บัญญัติว่า “...พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช.” ไม่ใช่กฎหมายใหม่ที่แก้ไขขึ้นในปี 2535 ที่เพิ่มเติมเข้าไปอีก 1 วรรคต่อท้ายว่า “...นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช.” จึงเท่ากับเป็นการสถาปนาโดยพระราชอำนาจสมบูรณ์
หากจะมีการกระทำใด ๆ ให้เกิดความเข้าใจขึ้นในหมู่พุทธศาสนิกชนและพสกนิกรชาวไทยว่าเกิดมี “สมเด็จพระสังฆราช 2 องค์” การกระทำนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ
เพราะประชาชนชาวไทยอาจเข้าใจผิดไปว่ารัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกำเริบเสิบสานเหิมเกริมอหังการในอำนาจเสียงข้างมากเด็ดขาดที่มีอยู่
ถึงขนาดจะต้องจัดให้มี “สมเด็จพระสังฆราชของรัฐบาล” ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลเอง
โดยมิพักต้องนำพา “สมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา” แม้แต่น้อย
ประชาชนอาจจะรำลึกย้อนภาพเก่า ๆ ได้ว่า.....
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรปฏิบัติตนแตกต่างไปจากนายกรัฐมนตรีคนก่อน ๆ ในรอบ 20 ปีมานี้
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ค่อยไปถวายสักการะสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกในวาระสำคัญทางพระพุทธศาสนาบ่อยนัก
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรสะดวกที่ตาม “ครอบครัวดามาพงศ์” ไปถวายสักการะสมเด็จพระราชาคณะที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลัง
................................
ไม่เพียงแต่จะทรงเป็น “สมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา” เท่านั้น
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ ยังทรงเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชเมื่อปี 2499
การจะปฏิบัติใด ๆ ต่อพระองค์ โดยสามัญสำนึกทั่วไปจึงมิใช่เพียงแต่จะอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ก็ยังมีข้อถกเถียงอีกมากมายว่าถูกต้องหรือเป็นโมฆะ หากแต่จะต้องกระทำด้วยความเคารพ ด้วยความยำเกรงในพระเกียรติที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาโดยพระราชอำนาจสมบูรณ์ และไม่ควรก้าวล่วงโดยถือความชราภาพหรืออาการประชวร อันจะเป็นผลให้เกิดกรณีพิพาทที่จะทำให้เข้าใจไปได้แม้แต่น้อยว่าเป็นการแต่งตั้งประมุขคณะสงฆ์ไทยซ้อนขึ้นมาเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่ล้ำลึกบางอย่าง
เพราะนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่อนันตริยกรรม
คือการสร้างสภาวะสังฆเภท
วิธีการที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกระทำกับเรื่องนี้ โดยให้นายวิษณุ เครืองามออกหน้า เป็นวิธีการที่ผิดมาตั้งแต่ต้น
เริ่มตั้งแต่ไปกล่าวหาคณะสงฆ์วัดป่าภาคอีสานที่รณรงค์แก้ไขกฎหมายหมายคณะสงฆ์ว่ามีวัตุประสงค์เพื่อตั้งพระสังฆราช 2 พระองค์ ในช่วงปลายปี 2546
ตามด้วยการผลักดันให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ออกแถลงการณ์ว่าด้วยพระอาการประชวร เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547
ต่อเนื่องด้วยการรื้อฟื้นเรื่องไม่ชอบมาพากลในอดีตของผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
แต่ในแถลงการณ์ดังกล่าวก็เป็นได้แต่เพียงกระทำในนามของโรงพยาบาล ไม่มีแพทย์คนหนึ่งคนใดสมัครใจจะออกความเห็น เพราะไม่ต้องการจาบจ้วงล่วงเกินสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช เพราะต่างถือว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมสามัญ ไม่อาจเข้าใจในพระภิกษุผู้มีภูมิธรรมสูงกว่าอย่างสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ได้
มันจะชักดิ้นชักงอตายไปต่อหน้าต่อตาหรือ หากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะใช้ความอดทน รอเวลา เพื่อให้การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นการลงพระนามในพระบัญชา โดยพระองค์เอง
หรือถ้ามั่นใจว่าพระองค์ไม่อาจปฏิบัติศาสนกิจใด ๆ ได้เลย
(ซึ่งไม่จริง -- เพราะในประกาศฉบับ 13 มกราคม 2547 เองก็ไม่มั่นใจ จึงเขียนกำกวมไว้)
ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์
เรื่องก็จะจบลงอย่างงดงาม ไม่ต้องกลายมาเป็นรัฐบาลคณะแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ในเชิงลบขึ้นมาอย่างที่เป็นอยู่
ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันได้รับการสถาปนาโดยพระราชอำนาจเต็มในพระมหากษัตริย์
หากจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
ก็ควรนำเรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนั้นเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบเสียก่อน
การไม่ทำเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้มีสติปัญญาคิดไปได้ว่า – เพราะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเกรงว่าจะไม่เป็นไปตาม “สเปก” ที่ “ล็อก” กันไว้
และเมื่อกาลเวลาผ่านมา 6 เดือน เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นเรื่องร้อนแรง และส่งผลสะเทือนใหญ่หลวงต่อสังคม ทั้งยังเป็นเรื่องเปลืองตัวรัฐบาลโดยใช่เหตุ ถึงขนาดมีการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่ก็ยังมีแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช ออกมาอีกเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547
ทั้ง ๆ ที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามีแต่จะสร้างความขัดแย้ง ไม่ต่างไปจากประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติวันที่ 13 มกราคม 2547 ที่เพิ่งหมดอายุ
แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการถางทางและสร้างเหตุผลให้กับการต่ออายุให้สมเด็จพระราชาคณะองค์เดิมผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม
ข้าราชการระดับซี 9 คนหนึ่งถูกใบสั่งการเมืองให้ย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ โทษฐานไม่ให้ความร่วมมือกับระดับบิ๊กเมื่อครั้งที่มีการส่งแถลงการณ์ฉบับนี้เพื่อออกโทรทัศน์ของรัฐ เพราะเขาเห็นว่าการแถลงอาการประชวรสมเด็จพระสังฆราชเป็นเรื่องของสำนักพระราชวัง จะละเมิดมิได้ จึงสั่งให้ระงับการออกประกาศโดยลงชื่อกำกับไว้
แต่ก็มีบิ๊กสั่งให้ออกอากาศจนได้ แล้วนำผลนั้นไปออกพระราชกำหนดให้มหาเถรสมาคมตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในที่สุด รัฐบาลก็เลือกใช้อำนาจของฝ่ายบริหารตราพระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์มาตรา 10 เปิดช่องให้มหาเถรสมาคมสามารถดำเนินการ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ได้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
เป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารชนิดที่เก็บลับ และไม่มีการแถลงข่าว
มิหนำซ้ำยังเป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารที่ผ่านการทำงานมวลชนรอบด้าน ด้วยการเชิญนักกฎหมายจากทุกสำนัก เข้าไปรับทราบถึงความจำเป็นในการตราพระราชกำหนด โดยแสดงข้อมูลไม่เปิดเผยที่เกี่ยวเนื่องกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช จนเกิดอาการเห็นดีเห็นงามกันถ้วนหน้า
เมื่อผ่านปฏิบัติการขั้นสุดท้ายในมหาเถรสมาคม จึงมีแต่ภาพของความเห็นพ้องต้องกันเป็นฉันทมติ
ฆราวาสหรือพระที่คัดค้านก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกดื้อรั้น หรือพวกมีวาระซ่อนเร้น
จึงไม่มีแถลงการณ์คัดค้าน-ท้วงติงจากนักกฎหมายทุกสำนัก ถึงประเด็นที่ว่า พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 นั้นมีความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 218 แล้วหรือไม่
วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 จึงเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เพราะเป็น “การยึดอำนาจในคณะสงฆ์ไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย” หรือนัยหนึ่ง Constitutional Coup d’Eta รูปแบบหนึ่ง
.......................................
อะไรคือวาวะซ่อนเร้น ?
ทำไมต้อง “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ?
เมื่อทำไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติเสียแล้ว ก็ชอบที่จะให้ประชาชนคิดไปต่าง ๆ นานา
.....................................
ประชาชนจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า.....
เพราะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต้องการ “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นครูบาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของคนในตระกูลดามาพงศ์ และตระกูลปลั่งศิริ
ในขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า....
รัฐบาลคิดใหม่ทำใหม่ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่คิดอะไรตื้น ๆ ง่าย ๆ และส่วนตัวขนาดนั้น
แม้จะเป็นเรื่อง “สร้างหลักประกัน” และ “ล็อก” ก็ตาม แต่เป้าประสงค์สุดท้ายไม่ใช่เพียงแค่สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นครูบาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของ 2 ตระกูลเท่านั้น
เป้าประสงค์สุดท้ายก็คือชัยชนะเด็ดขาดของพรรคไทยรักไทยทุกยุคทุกทุกสมัยเป็นสำคัญเท่านั้น
ผ่านประโยชน์ร่วมที่ลงตัวกับลัทธินิกายใหญ่ในพระพุทธศาสนาที่ก่อตัวเติบใหญ่ขึ้นมาก มีทั้งกำลังศรัทธา และกำลังเงินจากการบริจาค แต่ประสบวิกฤตทางด้านกฎหมายบ้านเมืองเมื่อปี 2540 จึงต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อปกป้องและขยายเครือข่าย
เป็นประโยชน์ร่วมระหว่าง “เจ้าแห่งการตลาดการเมือง” กับ “เจ้าแห่งการตลาดการศาสนา” อย่างเหมาะเจาะ
กำลังหลักของสงฆ์ที่ร่วมเคลื่อนไหวอยู่ใน “ศูนย์คุณธรรม” บ่งบอกการร่วมมือของพันธมิตรคู่นี้ได้ดี
เรื่องนี้ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ในทางลึกไปถึงเมื่อปี 2540 หรือก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2535 – 2539 ถึงมูลเหตุที่เจ้าสำนักลัทธินิกายใหญ่ในพระพุทธศาสนาที่มีทั้งกำลังศรัทธาและกำลังเงินจากการบริจาค ต้องมาประสบเภทภัยถึงขั้นถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จะต่อภาพติดเห็นภาพชัด
ในเมื่อปณิธานแรงกล้าต้องการสร้าง “วาติกันของพุทธศาสนา” ขึ้นมาให้ได้ ก็มีแต่จะต้องขยายตัวให้เติบใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งกำลังเงิน กำลังคน และขอบเขตวงเครือข่าย
ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับภาคการเมือง
รวมทั้งการเมืองระดับสูง
ถ้าความสัมพันธ์ราบรื่นก็จะสามารถขยายตัวได้ทบเท่าทวีคูณ แต่ถ้าสะดุดเพราะเหตุนอกเหนือการควบคุม โอกาสล่มสลายไม่ใช่ว่าไม่มี
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นหลักในการดำเนินการกับ “สิ่งแปลกปลอมในพระพุทธศาสนา” คณะนี้ โดยนัยคำอรรถาธิบายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) ในช่วงปี 2540
แต่ไม่ราบรื่น เพราะสมเด็จพระราชาคณะบางรูปดำเนินการไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขณะนี้การดำเนินคดียังคงอยู่ในชั้นศาล
............................
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยังคงแก้ไขกรณีนี้ให้ถูกต้องได้ – หากไม่มี “วาระซ่อนเร้น” ไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใดหรือทุกทาง
หนึ่ง – ถวายคืนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชให้แก่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก โดยดำเนินการให้มหาเถรสมาคมยกเลิกตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชตามมติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
สอง – ถวายพระราชอำนาจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอันที่จะปฏิบัติต่อสมด็จพระสังฆราชในทุกกรณี
ต้องไม่ลืมว่า กาลครั้งหนึ่งสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ได้ทรงประทานพระวรธรรมคติไว้ว่า....
“ความจริง บ้านเมืองไทยนี้เป็นของสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับเป็นพระราชมรดกจากสมเด็จพระบรมราชบุพการีที่ทรงสร้างเป็นบ้านเมืองไว้เป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว และมาตั้งพระผู้ทรงสืบสายโลหิตเป็นลำดับมา จนถึงสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐของเรา...
“ผู้มีสัมมาทิฐิย่อมแลเห็นความจริงนี้ชัดเจนว่า ผู้เป็นพสกนิกรไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เป็นผู้ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้มีสิทธิ์ในบ้านเมืองของพระองค์ เหมือนดังบ้านของตนเอง เมื่อเข้าใจความจริงข้อนี้ ก็คงเข้าใจหน้าที่ต่อตน ต่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระผู้มีพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น”
เพราะพบว่าเสียสัจจะในการปราบคอร์รัปชั่น
ยังมีสถานการณ์ทางด้านพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยพบว่ารัฐบาลเสียสัจจะในเรื่องสำคัญแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช โดยอ้างพระอาการประชวรเป็นเหตุ
ภาพอย่างน้อย 3 ภาพที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเช้าวันที่ 4 มิถุนายน 2548 วันที่ 7 มิถุนายน 2548 และล่าสุดวันที่ 20 มิถุนายน 2548 ก็คือใบเสร็จยืนยัน
โปรดพิจารณาดูภาพที่นำมาลงประกอบ
วันที่ 3 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จพระดำเนินไปยังวัดประดู่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อทอดพระเนตรพิพิธภัณฑ์เครื่องราชศรัทธาในรัชกาลที่ 5 และหุ่นปั้นดินสอพองรูปเจ้าอาวาสวัดประดู่ตั้งแต่อดีต รวมทั้งเก๋งเรือพระราชทาน เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม
วันที่ 6 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเสด็จมาร่วมพิธีเคารพศพหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เจ้าอาวาสวัดอรัญบรรพต จังหวัดหนองคาย ณ วัดเทพศิรินทราวาส
วันที่ 19 มิถุนายน 2548 เวลา 16.00 น. พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นประธานในการพระราชทานน้ำหลวงสรงศพหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ณ วัดเทพศิรินทราวาส
จริงอยู่ พุทธศาสนิกชนทราบดีว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงประชวรมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2544 – 2545
แต่ก็เป็นการประชวรด้วยพระโรคชรา
ภาพที่ปรากฏหลายต่อหลายครั้งในรอบหลายปีมานี้ พระองค์ทรงมีพระอาการไม่ถึงขั้นเสียสมณสารูป ไม่ถึงขั้นไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง – ไม่ถึงขั้นที่จะไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้
แต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลับแสดงออกตรงกันข้าม
ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ครั้งแรก -- รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยนายวิษณุ เครืองาม ได้ลงนามในประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและคณะผู้ช่วย เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 โดยให้มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน
ครั้งที่สอง – ครั้นเมื่อครบกำหนด 6 เดือนแล้ว สำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลของนายวิษณุ เครืองาม ได้ออกประกาศเผยแพร่พระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่คณะแพทย์หลวงที่ถวายการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช มิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยืนยันในประกาศดังกล่าว และสำนักนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจหน้าที่ใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะไปก้าวล่วงความเจ็บไข้ได้ป่วยอันเป็นเรื่องส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 เพื่ออ้างเป็นเหตุให้ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไข 2535 แล้วสนับสนุนให้มหาเถรสมาคมแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซ้อนกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่พระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
กล่าวได้ว่า รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกล้าหาญชาญชัยอย่างยิ่ง เพราะได้สร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกถึง 2 ประการ นับแต่ราชอาณาจักรสยามตั้งมั่นอยู่บนแผ่นดินสุวรรณภูมิประเทศ
ประการที่ 1 ท่านเป็น “สามัญชนคณะแรก” ที่บังอาจสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมาใหม่ซ้อนพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา
ประการที่ 2 ท่านเป็น “ฆราวาสคณะแรก” ที่บังอาจอวยชัยให้พรสมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาให้หายจากพระอาการประชวร
..........................
ไม่เพียงแต่ภาพ 3 ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะในเดือนมิถุนายน 2548 นี้หรอก เป็นเวลาร่วม 1 ปีมาแล้วที่ได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ บ่งชี้ว่าพระอาการประชวรของสมด็จพระญาณสังวรสมด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นที่จะปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชต่อไปไม่ได้
วันที่ 18 กรกฎาคม 2547 สมเด็จพระญาณสังวรสมด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จมาปฏิบัติศาสนกิจตามปกติ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ด้วยพระพักตร์ผ่องใส ภาพปรากฏอยู่ในหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ฉบับประจำวันที่ 19 กรกฎาคม 2547
วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 สำนักพระราชวังได้ออกข้อปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช กรณีแขกที่มาเข้าเฝ้า และการลงพระนามในหนังสือต่าง ๆ
วันที่ 14 สิงหาคม 2547 เวลาประมาณ 18.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเยี่ยมและสนทนาธรรมกับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นเวลานานกว่า 30 นาที เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว ไม่ปรากฏว่าคณะแพทย์หลวงได้แถลงการณ์เกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระองค์แต่อย่างใด
ระหว่างวันที่ 16 - 18 สิงหาคม 2547 สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ได้มีพระบัญชา ให้พระเทพสารเวที เลขานุการในพระองค์ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช ไปถวายการสักการะ อดีตสมเด็จพระสังฆราชและบุพพาจารย์ของพระองค์ ตามสถานที่ต่าง ๆ จนครบถ้วน
ฯลฯ
..............................
ถ้ามีเพียงเหตุผลพระอาการประชวรเท่านั้น -- โดยไม่มี “วาระซ่อนเร้น” อื่นใด
บัดนี้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรก็สมควรดำเนินการเพื่อคืนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชให้แก่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้แล้ว
เพราะเหตุที่นำมาอ้างนั้น – หมดไปแล้ว
...................................
ปัญหาก็คือรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางมี “วาระซ่อนเร้น” อยู่
วาระซ่อนเร้นที่จะ “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
เพราะถ้าไม่มีวาระซ่อนเร้น รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรก็คงไม่ดำเนินการปรักปรำกลุ่มพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วย ในลักษณาต่าง ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2546
กลุ่มพระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชนที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลนั้น มีข้อเสนอในเชิงหลักการ 2 ประการ
หนึ่ง -- แก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ให้ทั้งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช กลับไปอยู่ที่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ ชนิดไม่มีข้อจำกัด เหมือนเมื่อครั้งก่อนปี 2535
สอง – ถวายพระราชอำนาจแด่พระมหากษัตริย์ในอันที่จะปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชในทุกกรณี
....................................
ต้องเข้าใจความจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดในกรณีว่า
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราชลำดับที่ 29 ตั้งแต่ ปี 2532 นั่นคือก่อนปี 2535 ครั้งยังบังคับใช้ด้วยกฎหมายเก่า ที่บัญญัติว่า “...พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช.” ไม่ใช่กฎหมายใหม่ที่แก้ไขขึ้นในปี 2535 ที่เพิ่มเติมเข้าไปอีก 1 วรรคต่อท้ายว่า “...นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช.” จึงเท่ากับเป็นการสถาปนาโดยพระราชอำนาจสมบูรณ์
หากจะมีการกระทำใด ๆ ให้เกิดความเข้าใจขึ้นในหมู่พุทธศาสนิกชนและพสกนิกรชาวไทยว่าเกิดมี “สมเด็จพระสังฆราช 2 องค์” การกระทำนั้นจะต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ
เพราะประชาชนชาวไทยอาจเข้าใจผิดไปว่ารัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกำเริบเสิบสานเหิมเกริมอหังการในอำนาจเสียงข้างมากเด็ดขาดที่มีอยู่
ถึงขนาดจะต้องจัดให้มี “สมเด็จพระสังฆราชของรัฐบาล” ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลเอง
โดยมิพักต้องนำพา “สมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา” แม้แต่น้อย
ประชาชนอาจจะรำลึกย้อนภาพเก่า ๆ ได้ว่า.....
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรปฏิบัติตนแตกต่างไปจากนายกรัฐมนตรีคนก่อน ๆ ในรอบ 20 ปีมานี้
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่ค่อยไปถวายสักการะสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกในวาระสำคัญทางพระพุทธศาสนาบ่อยนัก
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรสะดวกที่ตาม “ครอบครัวดามาพงศ์” ไปถวายสักการะสมเด็จพระราชาคณะที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลัง
................................
ไม่เพียงแต่จะทรงเป็น “สมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา” เท่านั้น
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ ยังทรงเป็นพระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชเมื่อปี 2499
การจะปฏิบัติใด ๆ ต่อพระองค์ โดยสามัญสำนึกทั่วไปจึงมิใช่เพียงแต่จะอ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ก็ยังมีข้อถกเถียงอีกมากมายว่าถูกต้องหรือเป็นโมฆะ หากแต่จะต้องกระทำด้วยความเคารพ ด้วยความยำเกรงในพระเกียรติที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาโดยพระราชอำนาจสมบูรณ์ และไม่ควรก้าวล่วงโดยถือความชราภาพหรืออาการประชวร อันจะเป็นผลให้เกิดกรณีพิพาทที่จะทำให้เข้าใจไปได้แม้แต่น้อยว่าเป็นการแต่งตั้งประมุขคณะสงฆ์ไทยซ้อนขึ้นมาเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่ล้ำลึกบางอย่าง
เพราะนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่อนันตริยกรรม
คือการสร้างสภาวะสังฆเภท
วิธีการที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกระทำกับเรื่องนี้ โดยให้นายวิษณุ เครืองามออกหน้า เป็นวิธีการที่ผิดมาตั้งแต่ต้น
เริ่มตั้งแต่ไปกล่าวหาคณะสงฆ์วัดป่าภาคอีสานที่รณรงค์แก้ไขกฎหมายหมายคณะสงฆ์ว่ามีวัตุประสงค์เพื่อตั้งพระสังฆราช 2 พระองค์ ในช่วงปลายปี 2546
ตามด้วยการผลักดันให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ออกแถลงการณ์ว่าด้วยพระอาการประชวร เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547
ต่อเนื่องด้วยการรื้อฟื้นเรื่องไม่ชอบมาพากลในอดีตของผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระญาณสังวรพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก
แต่ในแถลงการณ์ดังกล่าวก็เป็นได้แต่เพียงกระทำในนามของโรงพยาบาล ไม่มีแพทย์คนหนึ่งคนใดสมัครใจจะออกความเห็น เพราะไม่ต้องการจาบจ้วงล่วงเกินสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช เพราะต่างถือว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมสามัญ ไม่อาจเข้าใจในพระภิกษุผู้มีภูมิธรรมสูงกว่าอย่างสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ได้
มันจะชักดิ้นชักงอตายไปต่อหน้าต่อตาหรือ หากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรจะใช้ความอดทน รอเวลา เพื่อให้การแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นการลงพระนามในพระบัญชา โดยพระองค์เอง
หรือถ้ามั่นใจว่าพระองค์ไม่อาจปฏิบัติศาสนกิจใด ๆ ได้เลย
(ซึ่งไม่จริง -- เพราะในประกาศฉบับ 13 มกราคม 2547 เองก็ไม่มั่นใจ จึงเขียนกำกวมไว้)
ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์
เรื่องก็จะจบลงอย่างงดงาม ไม่ต้องกลายมาเป็นรัฐบาลคณะแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ในเชิงลบขึ้นมาอย่างที่เป็นอยู่
ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันได้รับการสถาปนาโดยพระราชอำนาจเต็มในพระมหากษัตริย์
หากจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน
ก็ควรนำเรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนั้นเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบเสียก่อน
การไม่ทำเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้มีสติปัญญาคิดไปได้ว่า – เพราะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเกรงว่าจะไม่เป็นไปตาม “สเปก” ที่ “ล็อก” กันไว้
และเมื่อกาลเวลาผ่านมา 6 เดือน เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นเรื่องร้อนแรง และส่งผลสะเทือนใหญ่หลวงต่อสังคม ทั้งยังเป็นเรื่องเปลืองตัวรัฐบาลโดยใช่เหตุ ถึงขนาดมีการเปลี่ยนแปลงรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่ก็ยังมีแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช ออกมาอีกเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547
ทั้ง ๆ ที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ามีแต่จะสร้างความขัดแย้ง ไม่ต่างไปจากประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติวันที่ 13 มกราคม 2547 ที่เพิ่งหมดอายุ
แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการถางทางและสร้างเหตุผลให้กับการต่ออายุให้สมเด็จพระราชาคณะองค์เดิมผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม
ข้าราชการระดับซี 9 คนหนึ่งถูกใบสั่งการเมืองให้ย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการ โทษฐานไม่ให้ความร่วมมือกับระดับบิ๊กเมื่อครั้งที่มีการส่งแถลงการณ์ฉบับนี้เพื่อออกโทรทัศน์ของรัฐ เพราะเขาเห็นว่าการแถลงอาการประชวรสมเด็จพระสังฆราชเป็นเรื่องของสำนักพระราชวัง จะละเมิดมิได้ จึงสั่งให้ระงับการออกประกาศโดยลงชื่อกำกับไว้
แต่ก็มีบิ๊กสั่งให้ออกอากาศจนได้ แล้วนำผลนั้นไปออกพระราชกำหนดให้มหาเถรสมาคมตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในที่สุด รัฐบาลก็เลือกใช้อำนาจของฝ่ายบริหารตราพระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์มาตรา 10 เปิดช่องให้มหาเถรสมาคมสามารถดำเนินการ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ได้ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
เป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารชนิดที่เก็บลับ และไม่มีการแถลงข่าว
มิหนำซ้ำยังเป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารที่ผ่านการทำงานมวลชนรอบด้าน ด้วยการเชิญนักกฎหมายจากทุกสำนัก เข้าไปรับทราบถึงความจำเป็นในการตราพระราชกำหนด โดยแสดงข้อมูลไม่เปิดเผยที่เกี่ยวเนื่องกับพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช จนเกิดอาการเห็นดีเห็นงามกันถ้วนหน้า
เมื่อผ่านปฏิบัติการขั้นสุดท้ายในมหาเถรสมาคม จึงมีแต่ภาพของความเห็นพ้องต้องกันเป็นฉันทมติ
ฆราวาสหรือพระที่คัดค้านก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกดื้อรั้น หรือพวกมีวาระซ่อนเร้น
จึงไม่มีแถลงการณ์คัดค้าน-ท้วงติงจากนักกฎหมายทุกสำนัก ถึงประเด็นที่ว่า พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 นั้นมีความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 218 แล้วหรือไม่
วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 จึงเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เพราะเป็น “การยึดอำนาจในคณะสงฆ์ไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย” หรือนัยหนึ่ง Constitutional Coup d’Eta รูปแบบหนึ่ง
.......................................
อะไรคือวาวะซ่อนเร้น ?
ทำไมต้อง “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่ง โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ?
เมื่อทำไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติเสียแล้ว ก็ชอบที่จะให้ประชาชนคิดไปต่าง ๆ นานา
.....................................
ประชาชนจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า.....
เพราะรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต้องการ “สร้างหลักประกัน” ในเชิง “ล็อก” ให้ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตกอยู่แก่สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นครูบาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของคนในตระกูลดามาพงศ์ และตระกูลปลั่งศิริ
ในขณะที่ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่า....
รัฐบาลคิดใหม่ทำใหม่ของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรไม่คิดอะไรตื้น ๆ ง่าย ๆ และส่วนตัวขนาดนั้น
แม้จะเป็นเรื่อง “สร้างหลักประกัน” และ “ล็อก” ก็ตาม แต่เป้าประสงค์สุดท้ายไม่ใช่เพียงแค่สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นครูบาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ของ 2 ตระกูลเท่านั้น
เป้าประสงค์สุดท้ายก็คือชัยชนะเด็ดขาดของพรรคไทยรักไทยทุกยุคทุกทุกสมัยเป็นสำคัญเท่านั้น
ผ่านประโยชน์ร่วมที่ลงตัวกับลัทธินิกายใหญ่ในพระพุทธศาสนาที่ก่อตัวเติบใหญ่ขึ้นมาก มีทั้งกำลังศรัทธา และกำลังเงินจากการบริจาค แต่ประสบวิกฤตทางด้านกฎหมายบ้านเมืองเมื่อปี 2540 จึงต้องการอำนาจทางการเมืองเพื่อปกป้องและขยายเครือข่าย
เป็นประโยชน์ร่วมระหว่าง “เจ้าแห่งการตลาดการเมือง” กับ “เจ้าแห่งการตลาดการศาสนา” อย่างเหมาะเจาะ
กำลังหลักของสงฆ์ที่ร่วมเคลื่อนไหวอยู่ใน “ศูนย์คุณธรรม” บ่งบอกการร่วมมือของพันธมิตรคู่นี้ได้ดี
เรื่องนี้ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ในทางลึกไปถึงเมื่อปี 2540 หรือก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2535 – 2539 ถึงมูลเหตุที่เจ้าสำนักลัทธินิกายใหญ่ในพระพุทธศาสนาที่มีทั้งกำลังศรัทธาและกำลังเงินจากการบริจาค ต้องมาประสบเภทภัยถึงขั้นถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จะต่อภาพติดเห็นภาพชัด
ในเมื่อปณิธานแรงกล้าต้องการสร้าง “วาติกันของพุทธศาสนา” ขึ้นมาให้ได้ ก็มีแต่จะต้องขยายตัวให้เติบใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งกำลังเงิน กำลังคน และขอบเขตวงเครือข่าย
ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับภาคการเมือง
รวมทั้งการเมืองระดับสูง
ถ้าความสัมพันธ์ราบรื่นก็จะสามารถขยายตัวได้ทบเท่าทวีคูณ แต่ถ้าสะดุดเพราะเหตุนอกเหนือการควบคุม โอกาสล่มสลายไม่ใช่ว่าไม่มี
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นหลักในการดำเนินการกับ “สิ่งแปลกปลอมในพระพุทธศาสนา” คณะนี้ โดยนัยคำอรรถาธิบายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต) ในช่วงปี 2540
แต่ไม่ราบรื่น เพราะสมเด็จพระราชาคณะบางรูปดำเนินการไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขณะนี้การดำเนินคดียังคงอยู่ในชั้นศาล
............................
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรยังคงแก้ไขกรณีนี้ให้ถูกต้องได้ – หากไม่มี “วาระซ่อนเร้น” ไม่ว่าจะทางหนึ่งทางใดหรือทุกทาง
หนึ่ง – ถวายคืนตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชให้แก่สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก โดยดำเนินการให้มหาเถรสมาคมยกเลิกตำแหน่งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชตามมติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
สอง – ถวายพระราชอำนาจแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอันที่จะปฏิบัติต่อสมด็จพระสังฆราชในทุกกรณี
ต้องไม่ลืมว่า กาลครั้งหนึ่งสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์นี้ได้ทรงประทานพระวรธรรมคติไว้ว่า....
“ความจริง บ้านเมืองไทยนี้เป็นของสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับเป็นพระราชมรดกจากสมเด็จพระบรมราชบุพการีที่ทรงสร้างเป็นบ้านเมืองไว้เป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว และมาตั้งพระผู้ทรงสืบสายโลหิตเป็นลำดับมา จนถึงสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐของเรา...
“ผู้มีสัมมาทิฐิย่อมแลเห็นความจริงนี้ชัดเจนว่า ผู้เป็นพสกนิกรไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เป็นผู้ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้มีสิทธิ์ในบ้านเมืองของพระองค์ เหมือนดังบ้านของตนเอง เมื่อเข้าใจความจริงข้อนี้ ก็คงเข้าใจหน้าที่ต่อตน ต่อสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระผู้มีพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น”