•• นิยามประเทศไทยยุคนี้ที่เสนอไป ณ ที่นี้เมื่อวานนี้ว่า ฟ้าเป็นของทักษิณ – ดินเป็นของซีพี มีผู้อ่านร่วมสนุกเข้ามา เสริมต่อ, เติมแต่ง ให้เป็นจำนวนมาก “เซี่ยงเส้าหลง” ประมวลดูแล้วออกจะถูกใจ ฟ้าเป็นของทักษิณ – ดินเป็นของซีพี – หนี้เป็นของคนไทยทั้งมวล เป็นอันดับ 1 (ส่วนอันดับ 2 ที่ไม่อยากจะให้ผ่านเลยไปต้องขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้ด้วยก็คือ ฟ้าเป็นของทักษิณ – ดินเป็นของซีพี – ตายฟรีเป็นของชาว 3 จังหวัดภาคใต้) ต้องเข้าใจว่า ของฟรี – ไม่มีในทางเศรษฐศาสตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งสารพัดนโยบายเอื้ออาทรต่าง ๆ นั้นต่างก็มี ราคาที่ต้องจ่าย สรุปแล้วก็คือ หนี้ สุดแท้แต่จะเป็น หนี้สาธารณะ, หนี้ครัวเรือน หรือ ทั้งหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือน ยกตัวอย่างในกรณีของ โครงการส่งเสริมการปลูกยางพารา 1 ล้านไร่ ดูเสมือนว่าเป็น ของฟรี แต่แท้ที่จริงแล้วประชาชนที่เข้าโครงการต้องเป็น หนี้ และจะถูก หักหนี้ ในรูปแบบต่าง ๆ เมื่อผลผลิตยางพาราออกมาใน 7 ปีข้างหน้า นี่จึงเป็นประเด็นใหญ่ที่หากปล่อยให้มี กล้ายางไม่ได้มาตรฐานปะปนเข้าไปเป็นจำนวนมาก ก็จะ กระทบผลผลิต, กระทบรายได้ของประเทศ และทำให้ประชาชนคนยากคนจนที่ดิ้นรนเข้าโครงการต้อง ตายทั้งเป็น นี่แหละที่เรียกว่า โกงยกกำลัง 3 คือ โกงคนจน, โกงประเทศชาติ และ โกงในอนาคต หากนายกรัฐมนตรีคนนี้มีแต่ออกมา รับประกัน ก็สมแล้วที่รัฐบาลของท่านจะได้รับสมญาว่า รัฐบาลเพชฌฆาต ตามที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน นิยามไว้ล่าสุดในเทศนากัณฑ์ หัวใจชาวพุทธบอบช้ำกันทั้งนั้น หาอ่านดูได้
•• เรามาดูกันทีละฉากทีละช็อตซิว่า หนี้ ที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนคนยากคนจนที่เข้าโครงการ มีอะไรบ้าง
•• เงินในโครงการนี้ที่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ล็อกสเปกการประมูล กีดกันเกษตรกรรายย่อย ประเคนให้ ซีพี ที่ทั้ง ขาดความพร้อม, ขาดความชำนาญ และส่อเค้า ผิดเงื่อนไข รับไปเนื้อ ๆ เจ้าเดียวในการ ต้นยางฯชำถุง 90 ล้านต้น เป็นเงินรวมทั้งหมด 6,800 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็น เงินกู้ จาก คชก. -- กองทุนโครงการช่วยเหลือเกษตรกร เสียรวม 1,440 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็น วงเงินสินเชื่อ จำนวน 5,360 ล้านบาท ไม่ได้มีส่วนไหนมาจากงบประมาณแผ่นดินเลย
•• จำนวนเงินกู้ส่วนแรก 1,440 ล้านบาท นำมาซื้อ ต้นยางฯชำถุง 90 ล้านต้น แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 142,850 ราย เกษตรกรดูเหมือนจะได้ ฟรี แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ฟรี เพราะรัฐบาลจะ เก็บคืน โดยคิดเอาจาก รายได้ค่าธรรมเนียมส่งออกยางฯ หรือที่เรียกว่า CESS ซึ่งเป็นเหมือน ภาษีที่เกษตรกรผู้ปลูกยางฯทุกรายต้องเสียให้กับรัฐ เงินก้อนนี้คือเงินส่วนที่ สกย. – สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เป็นผู้บริหารโดยนำมา ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกยางฯใหม่ – หมุนเวียนกันไป ในแต่ละปีแต่ละรอบอายุของยางฯ
•• จำนวนเงินกู้ส่วนแรก 1,440 ล้านบาท สกย.จะต้อง ชำระคืนทั้งหมดภายใน 10 ปีนับจากปีที่ยางฯให้ผลผลิต นั่นหมายความว่าถ้ายางฯที่ปลูก ให้น้ำยางน้อย ก็จะทำให้ รายได้จากการส่งออกลดลง เงินกู้ที่จะใช้คืนคชก.ก็ต้อง ยืดออกไป อีก
•• ส่วนเงินที่จะใช้เป็น ค่าดูแลรักษาสวนยางที่เข้าร่วมโครงการ ระยะเวลา 6 ปี ในอัตรา 5,360 บาท/ไร่ เกษตรกรจะเป็น ผู้กู้โดยตรง จาก ธกส. – ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในอัตราดอกเบี้ย 8 % ต่อปี เงินส่วนนี้เกษตรกรกู้มาลงทุน ค่าเตรียมดิน, ค่าแรง, ค่าปุ๋ย เมื่อต้นยางฯที่ได้รับไปปลูก ตายไป ก็เท่ากับ เหลือแต่หนี้ – ไม่มียางฯ หากจะ ปลูกใหม่ ก็ต้อง ลงทุนใหม่ อีก
•• เงินในส่วนหลังนี่แหละที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ท่านพูดจา คลุมเครือ ฟังผิวเผินก็เหมือนว่า หากเกิดความเสียหาย – ซีพีชดใช้ให้หมด แต่จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ทั้ง เนวิน ชิดชอบ และ ซีพี พูดตรงกันว่าจะ ไม่มีการชดเชยให้ในส่วนของค่าลงทุนและค่าเสียโอกาส พูดง่าย ๆ ก็คือ ยางตายก็ชดใช้ยางใหม่ให้ -- แต่ค่าลงทุนที่สูญเปล่าไปแล้วก็เป็นหนี้ไป -- ถ้าอยากปลูกยางใหม่ก็ต้องกู้ใหม่ เช่นนี้แล้วไม่ควรจะเรียกขานว่า โครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับรายได้ให้เกษตรกร เพราะน่าจะเป็น โครงการสร้างหนี้ให้เกษตรกร มากกว่า
•• พูดง่าย ๆ ว่าเกษตรกรที่เข้าโครงการ เริ่มต้นด้วยหนี้ และยังไม่รู้ว่าจะมี ปัญญาใช้หนี้ แค่ไหนอย่างไรเพราะต้องขึ้นอยู่กับ ผลผลิตในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าเกิด น้ำยางฯน้อย จากผลงานของ ขบวนไร้ยางอาย ก็เป็นอันว่านอกจากจะ ปลดหนี้ไม่ได้ แล้วก็ยังต้อง สร้างหนี้ใหม่อีกรอบ ในขณะที่ ซีพี ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ภายใน 3 ปี นี้เอง
•• กระทรวงเกษตรฯก็ช่าง เอื้ออาทร ต่อ ซีพี โครงการนี้ในส่วนของการจัดหากล้ายางฯมีระยะเวลา 3 ปี แทนที่จะกำหนด เงื่อนไขการจ่ายเงินล่วงหน้า ให้เป็น 15 % ของแต่ละปี ซึ่งจะทำให้งวดการจ่ายล่วงหน้าเป็น ปีแรก 43 ล้านบาท, ปีที่สอง 64.8 ล้านบาท และ ปีที่สาม 108 ล้านบาท ตามงวดจ่ายเงินปี 2547 – 2549 ตามลำดับคือ 288 ล้านบาท, 432 ล้านบาท และ 720 ล้านบาท ก็กลับกำหนดให้ จ่ายรวดเดียว 15 % ของยอดรวม ซึ่งเป็นเงินที่ต้องจ่ายล่วงหน้าตั้งแต่ปีแรก 209 ล้านบาท เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันจริง ๆ หรือว่ารู้อยู่แล้วว่ากรณีอย่างนี้ ต้องการเงินก้อน เพื่อ ตัดยอด บางประการ
•• ซึ่งก็ตรงกับ ข่าวลือในตลาดยางฯ ที่ว่าเงินก้อนที่ใช้ ตัดยอด ก้อนแรกมีจำนวนประมาณ 270 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3 บาท/ต้น กระจายออกไป 3 ส่วน ด้วยกัน
•• จากขั้นตอน ตัดยอดครั้งที่ 1 ข้างต้นทำให้ราคาที่รัฐรับซื้อกล้ายางฯ 16 บาท/ต้น ซึ่ง สูงมาก ลดลงเหลือ 13 บาท/ต้น ราคานี้จะผ่านกระบวนการ ตัดยอดครั้งที่ 2 อีก 50 สตางค์/ต้น จัดสรรกันในกลุ่มที่เป็น แกนหลัก ในการดำเนินการของ ซีพี ราคาจึงลดลงมาเหลือ 12.50 บาท/ต้น ยังไม่จบแค่นี้เพราะจะไป ตัดยอดครั้งที่ 3 อีก 50 สตางค์/ต้น กระจายให้กับ นายหน้าจัดหากล้ายางฯทั่วประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น นักการเมืองท้องถิ่น รวมการตัดยอดทั้งหมด 3 ครั้งเป็นเงิน 4 บาท/ต้น เหลือเงินที่จะทำการผลิตกล้ายางฯจริง 12 บาท/ต้น แต่แทนที่เงินจำนวนนี้จะถึงมือ เกษตรกรผู้ผลิตกล้ายางฯ ทั้งหมดหรือใกล้เคียงกลับ กดราคาลงไปอีก ราคารับซื้อจริง ๆ บางที่บางเวลาเหลืออยู่เพียง 3.50 – 5.50 บาท/ต้น เท่านั้นเอง
•• การตัดยอดกันเป็นทอด ๆ เยี่ยงนี้เองที่ทำให้ ชส.ยท. – ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ที่เคยทำสัญญารับเป็น นายหน้าจัดหากล้ายางฯ ให้กับ ซีพี รวม 3 ล้านต้น เมื่อทำไปได้สักระยะจำเป็นต้อง บอกเลิกสัญญา ทั้งกับ ซีพี และกับ ผู้ประกอบการเพาะพันธุ์กล้ายางฯทุกราย เพราะนอกจากจะต้องเสีย เบี้ยบ้ายรายทาง แล้วยังต้อง แข่งขันอย่างหนักกับนายหน้ารายอื่น ที่ต่าง เร่งหา ทำให้เกิด การกดราคาอย่างหนัก และที่สุดก็ไม่แปลกที่เกษตรกรที่เคยทำ กล้ายางฯคุณภาพ จะหันมาทำ กล้ายางฯตาสอย ที่มี ต้นทุนถูกกว่า และเกิดกระบวนการ ฮั้วกัน ระหว่าง ผู้ประกอบการเพาะพันธุ์ที่จดทะเบียนถูกต้อง กับ ผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับการรับรอง อย่างที่ทราบกันดีใน ตรัง, นครศรีธรรมราช สถานการณ์เช่นนี้เสมือนเกิด อนาธิปไตยในวงการยางฯ ขึ้นมาทันที
•• เรื่องที่เล่ามานี้ไม่ใช่ พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าจะทำก็ต้อง ทำกันทันที ด้วยการลงพื้นที่ สำรวจสภาพกล้ายางฯที่ตาย และพยายามตรวจดู กล้ายางฯที่เหลืออยู่ เพื่อ วัดขนาด ทั้ง เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น, ความยาวจากตาถึงยอด, จำนวนฉัตร และ ฯลฯ รวมทั้ง สภาพรากของกล้าฯที่ตาย ว่าตรงกับ สเปกในสัญญา ที่กำหนดไว้ ละเอียดพอสมควร หรือไม่
•• แต่ในเมื่อไม่ ทำกันทันที มันก็แทบ ไม่เหลือหลักฐาน จากนี้ไปจะรู้ชัดกันอีกทีก็ 7 ปีข้างหน้า ดูจำนวน น้ำยางฯ ที่จะมีมา
•• ก็อีกนั่นแหละเมื่อถึงวันนั้นก็ โยนบาปให้เกษตรกรที่เข้าโครงการ ได้อีกว่า บำรุงรักษาไม่ดี, ดูแลไม่ดี ยิ่งถ้ามี ภัยธรรมชาติ ไม่ว่า ฝนแล้ง, น้ำท่วม ก็จะยิ่งมาเป็น ตัวช่วย ให้ดูน่าเชื่อถืออีก

•• และก็เหมือนกรณี ซีทีเอ็กซ์ 9000 นั่นแหละว่าในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเป็น นายประกัน – รับรองความถูกต้องให้ เสียแล้วมีหรือที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกรุยาพันธุ์จะ กล้าเอาจริงเอาจัง แม้โดยรวมจะ อึดอัด ที่ต้องอยู่ร่วมกระทรวงเดียวกับ เนวิน ชิดชอบ แต่ในเมื่อรัฐมนตรีช่วยคนนี้มีสภาพไม่ต่างจาก ลูกคนที่ 4 ของผู้เป็น นาย เสียแล้วก็ได้แต่จะต้อง หลับตาเสียข้างหนึ่ง เท่านั้นเอง
•• การเมืองไทยวันนี้เมื่อแผลเน่าเฟะว่าด้วย คอร์รัปชั่น เปิดออกมาไม่ว่ากรณี ซีทีเอ็กซ์ 9000 หรือกรณี ทำมาหากินกับมาตรการพยุงราคาราคาผลผลิตทางเกษตรและความยากจนของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็น ลำไย, ข้าว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้ายางพารา ที่น่าจะหมดไปแล้วเพราะเป็น Primitive Corruption ทำให้สะท้อนสะเทือนใจและนึกถึงคำของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเปรียบเปรยไว้ที่นี่ ผู้จัดการรายวัน ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2537 และ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยนำมาอ้างเมื่อเร็ว ๆ นี้ครั้งหนึ่งแล้ว ณ นาทีนี้เสมือนคนไทยตกอยู่ในยุคของ รากษส หรือพูดให้เต็ม ๆ ว่า รากษสทางวัฒนธรรม ดังข้อความตอนหนึ่งท่านเขียนไว้ว่า “…วัฒนธรรมทางอำนาจการเมืองไทยมีความหน้าด้าน ไร้ยางอาย เอาสีข้างตะแบงไปเรื่อย ๆ สมัยก่อนพวกเจ้าที่ชั่ว ๆ เลว ๆ ก็มีมาก แต่ยังหน้าไม่ด้านเท่าพวกมีอำนาจสมัยนี้ สมัยก่อนที่รู้ตัวว่าชั่วว่าผิดเขาก็หลบหน้าไป อายชาวบ้าน เพราะระบบศักดินาจะดีจะชั่วก็ยังเก่งในการสอนให้คนเชื่อในเกียรติและรู้จักอาย ยุคนี้จึงเป็นยุครากษสทางวัฒนธรรม.” วันนี้ขอขยายความต่อเนื่องว่าเสมือนคนไทยมีชีวิตอยู่แต่กับพวก Trickgreedy และ เคว้ โดยแท้
•• คำว่า เคว้ และ Trickgreedy เป็นศัพท์บัญญัติของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่โด่งดังมาในช่วง ปี 2537 – 2539 ช่วงที่นักการเมืองหน้าใหม่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่างเท้าก้าวผ่าน ทางลัด เข้ามาทาง พรรคพลังธรรม หลังจากก่อนหน้านั้น 3 ปีท่านเรียก ระบอบรสช. ว่า เขี้ย อันมาจาก ขุน + เบี้ย มาแล้ว
•• คำว่า เคว้ มาจาก ควาย + เบ๊ หมายความว่าเป็นพวก ไร้สติปัญญา, ไร้สาระ ทำงานการเมืองให้ใครก็ได้แค่เพียง เสกสรรปั้นแต่งสร้างความชอบธรรม หรือแค่ รับจ้างยกมือในสภา – ตามมติพรรค เวลาโกงกินก็ทำกันแบบ หน้าด้าน, ตรงไปตรงมา ประเภทที่เรียกว่า ไว้หนวด-สักยันต์-คาดผ้าประเจียด-ร้องไอ้เสือเอาวา หากินอยู่กับ แวดวงการเกษตร ถือเป็นพวก คลื่นลูกที่ 1 หรือจะเรียกว่า Primitive Corruption ก็ไม่ผิด
•• ส่วนคำว่า Trickgreedy มาจาก Tricky + Greed ท่านอรรถาธิบายไว้ยาว ๆ ว่า “…การมีไหวพริบที่ดีนั้น หากคุมด้วยสติและรู้จักคำว่าพอและพอดี ก็เป็นสิ่งที่ดีงามและช่วยชาติได้ การพูดเก่งพูดเข้าท่ามีวิสัยทัศน์ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักการเมือง ก็จะทำให้คนบุคลิกดี ไหวพริบดี ที่ไม่โลภ เป็นรัฐบุรุษได้ แต่ถ้านักการเมืองซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยมีไหวพริบดี ฉลาด แต่โกง เพราะมีความโลภอยู่ในกมลสันดาน ก็จะกลายเป็นสัตว์มนุษย์พันธุ์ใหม่.” ช่วงนั้น ต้นปี 2539 มีผู้อ่านพบช่วยกันบัญญัติศัพท์แปลไทยให้หลายคำด้วยกันไล่มาตั้งแต่ โลเพทุบาย (มาจาก เพทุบาย + โลภ) ไปจนถึง กะล่อนโลภ, เหลือบเล่ห์โลภ, โลภิกชนกลโกง, พันธุ์จิ้งเจี้ย (มาจาก จิ้งจอก + เหี้ย) จบลงที่ โฉลง (มาจาก ฉลาด + โกง) และ สวาปูท (มาจาก สมาปาม + สูท) พวกนี้แสวงหาผลประโยชน์จาก คลื่นลูกที่ 2, คลื่นลูกที่ 3 จับทิศจับทางได้ยากหากเปรียบเทียบแล้วก็เหมือน โจรใส่สูท มีภาพเป็น นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่มี ภาพลักษณ์ดี ในสายตา คนชั้นกลางในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ที่เริ่มเข้ามาทดแทน นักการเมืองรุ่นเก่า ประเภท ทุนท้องถิ่น, อิทธิพลท้องถิ่น พวกนี้เข้ามาพร้อม ๆ กับ หน้ากากเทวดา พร้อม ๆ กับความเป็น Mature Capital Force หรือนัยหนึ่ง ทุนชาติที่สัมพันธ์กับทุนนานาชาติ มีทั้งที่เข้าทางตรอกออกตามประตูคือมาจาก การเลือกตั้ง และก็มีทั้งที่ชอบบำเพ็ญตนเป็น พลังสำรองทางการเมือง, รอราชรถมาเกย มีหลายกลุ่มหลายรูปแบบ
•• สถานการณ์ที่เคยคาดคิดว่า ณ วันนี้ ณ นาทีนี้ เคว้ ที่หากินอยู่ใน คลื่นลูกที่ 1 กำลัง ล่มสลาย, ตายยกแก๊ง เปิดพื้นที่ในปริมณฑลการเมืองไทยให้กับ นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แน่นอนว่าย่อมมีเผ่าพันธุ์ Trickgreedy ที่ทำมาหากินอยู่กับ คลื่นลูกที่ 2, คลื่นลูกที่ 3 แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นดังคาดเพราะเคว้ ยังคงดำรงอยู่
•• บ้านนี้เมืองนี้ ณ วันนี้ ณ นาทีนี้จึงมี นักการเมืองทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่ล้วนกำลัง ทำมาหากิน อยู่กับทั้ง คลื่นลูกที่ 1, คลื่นลูกที่ 2 และ คลื่นลูกที่ 3 ไปพร้อม ๆ กัน
•• ที่ใกล้เคียงกับคำ รากษสทางวัฒนธรรม ก็คือคำที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศนาเมื่อ เช้าวานนี้โดยใช้คำว่า รัฐบาลเพชฌฆาต อย่างยิ่ง

•• ลงท้ายวันนี้ถ้าไม่อ้างอิงถึงคำพูดล่าสุดของ เสนาะ เทียนทอง ก็กระไรอยู่ “...ยังเยาว์วัยมากทางการเมือง ยังหลงกับ 377 เสียงอยู่ นึกว่า 377 เสียงจะทำอะไรกับบ้านกับเมืองก็ได้ ไปคิดเสียใหม่ ทบทวนใหม่ มันไม่ใช่แบบนั้น 377 ไม่สามารถทำอะไรเบ็ดเสร็จในบ้านเมืองได้ จะเท่าไรอยู่ที่ความถูกต้องเท่านั้น แม้แต่มีเสียงเดียวถ้าความถูกต้องเกิด มันเกิดตรงนั้น อย่าลืมว่าเราอยู่กับประชาชน 60 ล้านคน มีเสาหลักมีแผ่นดินเป็นสมบัติร่วมกัน อาศัยเกิดอาศัยอยู่อาศัยตายร่วมกัน ต้องอยู่เป็นก๊กเป็นเหล่าและให้สามัคคีร่วมกันได้ แต่คนที่ยังหลงอยู่ว่ามีเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ให้ไปคิดเสียใหม่ แหม...อยากเอามานั่งติวเข้ม ผมผ่านอะไรมาเยอะแล้ว พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถล้มล้างรัฐบาลได้ ถึงเสียงจะสูสีอย่างไรก็แล้วแต่ ความไม่ถูกต้องต่างหากที่จะล้มรัฐบาลได้ -- ขอให้จำไว้แค่นี้ ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ให้กับลูกหลาน.” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่คือวาจากที่ออกจากปาก เสนาะ เทียนทอง เลย
•• แต่บางครั้ง ประวัติศาสตร์ ก็มัก เล่นตลก ส่งคนส่งเครื่องมือที่ นอกเหนือความคาดหมาย ลงมา ทำงานสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ชนิดที่บางคนทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีผลงานน่าจดจำ แต่ก็กลับ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ อย่างไม่น่าเชื่อ
•• ตัวอย่างชัดเจนก็เมื่อ ปี 2535 ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัด พรรคสามัคคีธรรม อย่าง อาทิตย์ อุไรรัตน์ จู่ ๆ ก็ทำให้ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ มีอันต้อง แต่งตัวเก้อ เพราะท่านไป เปลี่ยนชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนเข้าเฝ้าในหลวง เป็น อานันท์ ปันยารชุน คงจะจำกันได้
•• หรือถัดมาใน ปี 2539 จู่ ๆ นักกฎหมายของทุกรัฐบาล มีชัย ฤชุพันธ์ ขณะทำหน้าที่เป็น รองประธานรัฐสภา ก็กลายเป็น ผู้ช่วยคนสำคัญ ของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช – ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ดำเนินการ คลอดร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 211 ก่อให้เกิด สภาร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปแบบที่ ดีพอสมควร อย่างยากที่จะคาดคิดได้ก่อนหน้า
•• เช่นเดียวกับ บทบาท ของ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร ทั้งเมื่อ ปี 2535 และ ปี 2537 คงจะพอจำกันได้
•• หลายครั้งใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย จุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลง มาจาก เรื่องเล็ก ๆ ของ คนตัวเล็ก ๆ, คนแปลก ๆ และ/หรือ คนที่นอกเหนือความคาดหมาย วิญญาณแห่ง ความรักในยุติธรรม เริ่มงอกงามขึ้นในหัวใจของ ประชาชนทุกระดับ และ สื่อมวลชน จากเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นในลักษณะ ความผิดแบบไทย ๆ รวมทั้ง ความยโสโอหัง ที่โดยรวมแล้ว คนไทยยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีที่ ผิดศีล 5 ไล่มาตั้งแต่ ฆ่าสัตว์, โกหก และ ฯลฯ นี่คือ เนื้อนาดินอันอุดม ที่เอื้ออำนวยต่อการเติบกล้าของไม้พันธุ์ ต่อต้านระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ในขั้นตอนต่อมา
•• เรามาดูกันทีละฉากทีละช็อตซิว่า หนี้ ที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนคนยากคนจนที่เข้าโครงการ มีอะไรบ้าง
•• เงินในโครงการนี้ที่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ล็อกสเปกการประมูล กีดกันเกษตรกรรายย่อย ประเคนให้ ซีพี ที่ทั้ง ขาดความพร้อม, ขาดความชำนาญ และส่อเค้า ผิดเงื่อนไข รับไปเนื้อ ๆ เจ้าเดียวในการ ต้นยางฯชำถุง 90 ล้านต้น เป็นเงินรวมทั้งหมด 6,800 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็น เงินกู้ จาก คชก. -- กองทุนโครงการช่วยเหลือเกษตรกร เสียรวม 1,440 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็น วงเงินสินเชื่อ จำนวน 5,360 ล้านบาท ไม่ได้มีส่วนไหนมาจากงบประมาณแผ่นดินเลย
•• จำนวนเงินกู้ส่วนแรก 1,440 ล้านบาท นำมาซื้อ ต้นยางฯชำถุง 90 ล้านต้น แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 142,850 ราย เกษตรกรดูเหมือนจะได้ ฟรี แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ฟรี เพราะรัฐบาลจะ เก็บคืน โดยคิดเอาจาก รายได้ค่าธรรมเนียมส่งออกยางฯ หรือที่เรียกว่า CESS ซึ่งเป็นเหมือน ภาษีที่เกษตรกรผู้ปลูกยางฯทุกรายต้องเสียให้กับรัฐ เงินก้อนนี้คือเงินส่วนที่ สกย. – สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง เป็นผู้บริหารโดยนำมา ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกยางฯใหม่ – หมุนเวียนกันไป ในแต่ละปีแต่ละรอบอายุของยางฯ
•• จำนวนเงินกู้ส่วนแรก 1,440 ล้านบาท สกย.จะต้อง ชำระคืนทั้งหมดภายใน 10 ปีนับจากปีที่ยางฯให้ผลผลิต นั่นหมายความว่าถ้ายางฯที่ปลูก ให้น้ำยางน้อย ก็จะทำให้ รายได้จากการส่งออกลดลง เงินกู้ที่จะใช้คืนคชก.ก็ต้อง ยืดออกไป อีก
•• ส่วนเงินที่จะใช้เป็น ค่าดูแลรักษาสวนยางที่เข้าร่วมโครงการ ระยะเวลา 6 ปี ในอัตรา 5,360 บาท/ไร่ เกษตรกรจะเป็น ผู้กู้โดยตรง จาก ธกส. – ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในอัตราดอกเบี้ย 8 % ต่อปี เงินส่วนนี้เกษตรกรกู้มาลงทุน ค่าเตรียมดิน, ค่าแรง, ค่าปุ๋ย เมื่อต้นยางฯที่ได้รับไปปลูก ตายไป ก็เท่ากับ เหลือแต่หนี้ – ไม่มียางฯ หากจะ ปลูกใหม่ ก็ต้อง ลงทุนใหม่ อีก
•• เงินในส่วนหลังนี่แหละที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ท่านพูดจา คลุมเครือ ฟังผิวเผินก็เหมือนว่า หากเกิดความเสียหาย – ซีพีชดใช้ให้หมด แต่จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้ทั้ง เนวิน ชิดชอบ และ ซีพี พูดตรงกันว่าจะ ไม่มีการชดเชยให้ในส่วนของค่าลงทุนและค่าเสียโอกาส พูดง่าย ๆ ก็คือ ยางตายก็ชดใช้ยางใหม่ให้ -- แต่ค่าลงทุนที่สูญเปล่าไปแล้วก็เป็นหนี้ไป -- ถ้าอยากปลูกยางใหม่ก็ต้องกู้ใหม่ เช่นนี้แล้วไม่ควรจะเรียกขานว่า โครงการส่งเสริมปลูกยางพาราเพื่อยกระดับรายได้ให้เกษตรกร เพราะน่าจะเป็น โครงการสร้างหนี้ให้เกษตรกร มากกว่า
•• พูดง่าย ๆ ว่าเกษตรกรที่เข้าโครงการ เริ่มต้นด้วยหนี้ และยังไม่รู้ว่าจะมี ปัญญาใช้หนี้ แค่ไหนอย่างไรเพราะต้องขึ้นอยู่กับ ผลผลิตในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าเกิด น้ำยางฯน้อย จากผลงานของ ขบวนไร้ยางอาย ก็เป็นอันว่านอกจากจะ ปลดหนี้ไม่ได้ แล้วก็ยังต้อง สร้างหนี้ใหม่อีกรอบ ในขณะที่ ซีพี ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ภายใน 3 ปี นี้เอง
•• กระทรวงเกษตรฯก็ช่าง เอื้ออาทร ต่อ ซีพี โครงการนี้ในส่วนของการจัดหากล้ายางฯมีระยะเวลา 3 ปี แทนที่จะกำหนด เงื่อนไขการจ่ายเงินล่วงหน้า ให้เป็น 15 % ของแต่ละปี ซึ่งจะทำให้งวดการจ่ายล่วงหน้าเป็น ปีแรก 43 ล้านบาท, ปีที่สอง 64.8 ล้านบาท และ ปีที่สาม 108 ล้านบาท ตามงวดจ่ายเงินปี 2547 – 2549 ตามลำดับคือ 288 ล้านบาท, 432 ล้านบาท และ 720 ล้านบาท ก็กลับกำหนดให้ จ่ายรวดเดียว 15 % ของยอดรวม ซึ่งเป็นเงินที่ต้องจ่ายล่วงหน้าตั้งแต่ปีแรก 209 ล้านบาท เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันจริง ๆ หรือว่ารู้อยู่แล้วว่ากรณีอย่างนี้ ต้องการเงินก้อน เพื่อ ตัดยอด บางประการ
•• ซึ่งก็ตรงกับ ข่าวลือในตลาดยางฯ ที่ว่าเงินก้อนที่ใช้ ตัดยอด ก้อนแรกมีจำนวนประมาณ 270 ล้านบาท หรือเท่ากับ 3 บาท/ต้น กระจายออกไป 3 ส่วน ด้วยกัน
•• จากขั้นตอน ตัดยอดครั้งที่ 1 ข้างต้นทำให้ราคาที่รัฐรับซื้อกล้ายางฯ 16 บาท/ต้น ซึ่ง สูงมาก ลดลงเหลือ 13 บาท/ต้น ราคานี้จะผ่านกระบวนการ ตัดยอดครั้งที่ 2 อีก 50 สตางค์/ต้น จัดสรรกันในกลุ่มที่เป็น แกนหลัก ในการดำเนินการของ ซีพี ราคาจึงลดลงมาเหลือ 12.50 บาท/ต้น ยังไม่จบแค่นี้เพราะจะไป ตัดยอดครั้งที่ 3 อีก 50 สตางค์/ต้น กระจายให้กับ นายหน้าจัดหากล้ายางฯทั่วประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็น นักการเมืองท้องถิ่น รวมการตัดยอดทั้งหมด 3 ครั้งเป็นเงิน 4 บาท/ต้น เหลือเงินที่จะทำการผลิตกล้ายางฯจริง 12 บาท/ต้น แต่แทนที่เงินจำนวนนี้จะถึงมือ เกษตรกรผู้ผลิตกล้ายางฯ ทั้งหมดหรือใกล้เคียงกลับ กดราคาลงไปอีก ราคารับซื้อจริง ๆ บางที่บางเวลาเหลืออยู่เพียง 3.50 – 5.50 บาท/ต้น เท่านั้นเอง
•• การตัดยอดกันเป็นทอด ๆ เยี่ยงนี้เองที่ทำให้ ชส.ยท. – ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ที่เคยทำสัญญารับเป็น นายหน้าจัดหากล้ายางฯ ให้กับ ซีพี รวม 3 ล้านต้น เมื่อทำไปได้สักระยะจำเป็นต้อง บอกเลิกสัญญา ทั้งกับ ซีพี และกับ ผู้ประกอบการเพาะพันธุ์กล้ายางฯทุกราย เพราะนอกจากจะต้องเสีย เบี้ยบ้ายรายทาง แล้วยังต้อง แข่งขันอย่างหนักกับนายหน้ารายอื่น ที่ต่าง เร่งหา ทำให้เกิด การกดราคาอย่างหนัก และที่สุดก็ไม่แปลกที่เกษตรกรที่เคยทำ กล้ายางฯคุณภาพ จะหันมาทำ กล้ายางฯตาสอย ที่มี ต้นทุนถูกกว่า และเกิดกระบวนการ ฮั้วกัน ระหว่าง ผู้ประกอบการเพาะพันธุ์ที่จดทะเบียนถูกต้อง กับ ผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับการรับรอง อย่างที่ทราบกันดีใน ตรัง, นครศรีธรรมราช สถานการณ์เช่นนี้เสมือนเกิด อนาธิปไตยในวงการยางฯ ขึ้นมาทันที
•• เรื่องที่เล่ามานี้ไม่ใช่ พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าจะทำก็ต้อง ทำกันทันที ด้วยการลงพื้นที่ สำรวจสภาพกล้ายางฯที่ตาย และพยายามตรวจดู กล้ายางฯที่เหลืออยู่ เพื่อ วัดขนาด ทั้ง เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น, ความยาวจากตาถึงยอด, จำนวนฉัตร และ ฯลฯ รวมทั้ง สภาพรากของกล้าฯที่ตาย ว่าตรงกับ สเปกในสัญญา ที่กำหนดไว้ ละเอียดพอสมควร หรือไม่
•• แต่ในเมื่อไม่ ทำกันทันที มันก็แทบ ไม่เหลือหลักฐาน จากนี้ไปจะรู้ชัดกันอีกทีก็ 7 ปีข้างหน้า ดูจำนวน น้ำยางฯ ที่จะมีมา
•• ก็อีกนั่นแหละเมื่อถึงวันนั้นก็ โยนบาปให้เกษตรกรที่เข้าโครงการ ได้อีกว่า บำรุงรักษาไม่ดี, ดูแลไม่ดี ยิ่งถ้ามี ภัยธรรมชาติ ไม่ว่า ฝนแล้ง, น้ำท่วม ก็จะยิ่งมาเป็น ตัวช่วย ให้ดูน่าเชื่อถืออีก
•• และก็เหมือนกรณี ซีทีเอ็กซ์ 9000 นั่นแหละว่าในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเป็น นายประกัน – รับรองความถูกต้องให้ เสียแล้วมีหรือที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกรุยาพันธุ์จะ กล้าเอาจริงเอาจัง แม้โดยรวมจะ อึดอัด ที่ต้องอยู่ร่วมกระทรวงเดียวกับ เนวิน ชิดชอบ แต่ในเมื่อรัฐมนตรีช่วยคนนี้มีสภาพไม่ต่างจาก ลูกคนที่ 4 ของผู้เป็น นาย เสียแล้วก็ได้แต่จะต้อง หลับตาเสียข้างหนึ่ง เท่านั้นเอง
•• การเมืองไทยวันนี้เมื่อแผลเน่าเฟะว่าด้วย คอร์รัปชั่น เปิดออกมาไม่ว่ากรณี ซีทีเอ็กซ์ 9000 หรือกรณี ทำมาหากินกับมาตรการพยุงราคาราคาผลผลิตทางเกษตรและความยากจนของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็น ลำไย, ข้าว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กล้ายางพารา ที่น่าจะหมดไปแล้วเพราะเป็น Primitive Corruption ทำให้สะท้อนสะเทือนใจและนึกถึงคำของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เคยเปรียบเปรยไว้ที่นี่ ผู้จัดการรายวัน ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2537 และ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยนำมาอ้างเมื่อเร็ว ๆ นี้ครั้งหนึ่งแล้ว ณ นาทีนี้เสมือนคนไทยตกอยู่ในยุคของ รากษส หรือพูดให้เต็ม ๆ ว่า รากษสทางวัฒนธรรม ดังข้อความตอนหนึ่งท่านเขียนไว้ว่า “…วัฒนธรรมทางอำนาจการเมืองไทยมีความหน้าด้าน ไร้ยางอาย เอาสีข้างตะแบงไปเรื่อย ๆ สมัยก่อนพวกเจ้าที่ชั่ว ๆ เลว ๆ ก็มีมาก แต่ยังหน้าไม่ด้านเท่าพวกมีอำนาจสมัยนี้ สมัยก่อนที่รู้ตัวว่าชั่วว่าผิดเขาก็หลบหน้าไป อายชาวบ้าน เพราะระบบศักดินาจะดีจะชั่วก็ยังเก่งในการสอนให้คนเชื่อในเกียรติและรู้จักอาย ยุคนี้จึงเป็นยุครากษสทางวัฒนธรรม.” วันนี้ขอขยายความต่อเนื่องว่าเสมือนคนไทยมีชีวิตอยู่แต่กับพวก Trickgreedy และ เคว้ โดยแท้
•• คำว่า เคว้ และ Trickgreedy เป็นศัพท์บัญญัติของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่โด่งดังมาในช่วง ปี 2537 – 2539 ช่วงที่นักการเมืองหน้าใหม่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย่างเท้าก้าวผ่าน ทางลัด เข้ามาทาง พรรคพลังธรรม หลังจากก่อนหน้านั้น 3 ปีท่านเรียก ระบอบรสช. ว่า เขี้ย อันมาจาก ขุน + เบี้ย มาแล้ว
•• คำว่า เคว้ มาจาก ควาย + เบ๊ หมายความว่าเป็นพวก ไร้สติปัญญา, ไร้สาระ ทำงานการเมืองให้ใครก็ได้แค่เพียง เสกสรรปั้นแต่งสร้างความชอบธรรม หรือแค่ รับจ้างยกมือในสภา – ตามมติพรรค เวลาโกงกินก็ทำกันแบบ หน้าด้าน, ตรงไปตรงมา ประเภทที่เรียกว่า ไว้หนวด-สักยันต์-คาดผ้าประเจียด-ร้องไอ้เสือเอาวา หากินอยู่กับ แวดวงการเกษตร ถือเป็นพวก คลื่นลูกที่ 1 หรือจะเรียกว่า Primitive Corruption ก็ไม่ผิด
•• ส่วนคำว่า Trickgreedy มาจาก Tricky + Greed ท่านอรรถาธิบายไว้ยาว ๆ ว่า “…การมีไหวพริบที่ดีนั้น หากคุมด้วยสติและรู้จักคำว่าพอและพอดี ก็เป็นสิ่งที่ดีงามและช่วยชาติได้ การพูดเก่งพูดเข้าท่ามีวิสัยทัศน์ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักการเมือง ก็จะทำให้คนบุคลิกดี ไหวพริบดี ที่ไม่โลภ เป็นรัฐบุรุษได้ แต่ถ้านักการเมืองซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยมีไหวพริบดี ฉลาด แต่โกง เพราะมีความโลภอยู่ในกมลสันดาน ก็จะกลายเป็นสัตว์มนุษย์พันธุ์ใหม่.” ช่วงนั้น ต้นปี 2539 มีผู้อ่านพบช่วยกันบัญญัติศัพท์แปลไทยให้หลายคำด้วยกันไล่มาตั้งแต่ โลเพทุบาย (มาจาก เพทุบาย + โลภ) ไปจนถึง กะล่อนโลภ, เหลือบเล่ห์โลภ, โลภิกชนกลโกง, พันธุ์จิ้งเจี้ย (มาจาก จิ้งจอก + เหี้ย) จบลงที่ โฉลง (มาจาก ฉลาด + โกง) และ สวาปูท (มาจาก สมาปาม + สูท) พวกนี้แสวงหาผลประโยชน์จาก คลื่นลูกที่ 2, คลื่นลูกที่ 3 จับทิศจับทางได้ยากหากเปรียบเทียบแล้วก็เหมือน โจรใส่สูท มีภาพเป็น นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่มี ภาพลักษณ์ดี ในสายตา คนชั้นกลางในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ที่เริ่มเข้ามาทดแทน นักการเมืองรุ่นเก่า ประเภท ทุนท้องถิ่น, อิทธิพลท้องถิ่น พวกนี้เข้ามาพร้อม ๆ กับ หน้ากากเทวดา พร้อม ๆ กับความเป็น Mature Capital Force หรือนัยหนึ่ง ทุนชาติที่สัมพันธ์กับทุนนานาชาติ มีทั้งที่เข้าทางตรอกออกตามประตูคือมาจาก การเลือกตั้ง และก็มีทั้งที่ชอบบำเพ็ญตนเป็น พลังสำรองทางการเมือง, รอราชรถมาเกย มีหลายกลุ่มหลายรูปแบบ
•• สถานการณ์ที่เคยคาดคิดว่า ณ วันนี้ ณ นาทีนี้ เคว้ ที่หากินอยู่ใน คลื่นลูกที่ 1 กำลัง ล่มสลาย, ตายยกแก๊ง เปิดพื้นที่ในปริมณฑลการเมืองไทยให้กับ นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แน่นอนว่าย่อมมีเผ่าพันธุ์ Trickgreedy ที่ทำมาหากินอยู่กับ คลื่นลูกที่ 2, คลื่นลูกที่ 3 แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นดังคาดเพราะเคว้ ยังคงดำรงอยู่
•• บ้านนี้เมืองนี้ ณ วันนี้ ณ นาทีนี้จึงมี นักการเมืองทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่ล้วนกำลัง ทำมาหากิน อยู่กับทั้ง คลื่นลูกที่ 1, คลื่นลูกที่ 2 และ คลื่นลูกที่ 3 ไปพร้อม ๆ กัน
•• ที่ใกล้เคียงกับคำ รากษสทางวัฒนธรรม ก็คือคำที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เทศนาเมื่อ เช้าวานนี้โดยใช้คำว่า รัฐบาลเพชฌฆาต อย่างยิ่ง
•• ลงท้ายวันนี้ถ้าไม่อ้างอิงถึงคำพูดล่าสุดของ เสนาะ เทียนทอง ก็กระไรอยู่ “...ยังเยาว์วัยมากทางการเมือง ยังหลงกับ 377 เสียงอยู่ นึกว่า 377 เสียงจะทำอะไรกับบ้านกับเมืองก็ได้ ไปคิดเสียใหม่ ทบทวนใหม่ มันไม่ใช่แบบนั้น 377 ไม่สามารถทำอะไรเบ็ดเสร็จในบ้านเมืองได้ จะเท่าไรอยู่ที่ความถูกต้องเท่านั้น แม้แต่มีเสียงเดียวถ้าความถูกต้องเกิด มันเกิดตรงนั้น อย่าลืมว่าเราอยู่กับประชาชน 60 ล้านคน มีเสาหลักมีแผ่นดินเป็นสมบัติร่วมกัน อาศัยเกิดอาศัยอยู่อาศัยตายร่วมกัน ต้องอยู่เป็นก๊กเป็นเหล่าและให้สามัคคีร่วมกันได้ แต่คนที่ยังหลงอยู่ว่ามีเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ให้ไปคิดเสียใหม่ แหม...อยากเอามานั่งติวเข้ม ผมผ่านอะไรมาเยอะแล้ว พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถล้มล้างรัฐบาลได้ ถึงเสียงจะสูสีอย่างไรก็แล้วแต่ ความไม่ถูกต้องต่างหากที่จะล้มรัฐบาลได้ -- ขอให้จำไว้แค่นี้ ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ให้กับลูกหลาน.” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านี่คือวาจากที่ออกจากปาก เสนาะ เทียนทอง เลย
•• แต่บางครั้ง ประวัติศาสตร์ ก็มัก เล่นตลก ส่งคนส่งเครื่องมือที่ นอกเหนือความคาดหมาย ลงมา ทำงานสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ชนิดที่บางคนทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีผลงานน่าจดจำ แต่ก็กลับ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ อย่างไม่น่าเชื่อ
•• ตัวอย่างชัดเจนก็เมื่อ ปี 2535 ประธานสภาผู้แทนราษฎรสังกัด พรรคสามัคคีธรรม อย่าง อาทิตย์ อุไรรัตน์ จู่ ๆ ก็ทำให้ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ มีอันต้อง แต่งตัวเก้อ เพราะท่านไป เปลี่ยนชื่อผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนเข้าเฝ้าในหลวง เป็น อานันท์ ปันยารชุน คงจะจำกันได้
•• หรือถัดมาใน ปี 2539 จู่ ๆ นักกฎหมายของทุกรัฐบาล มีชัย ฤชุพันธ์ ขณะทำหน้าที่เป็น รองประธานรัฐสภา ก็กลายเป็น ผู้ช่วยคนสำคัญ ของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช – ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ดำเนินการ คลอดร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 211 ก่อให้เกิด สภาร่างรัฐธรรมนูญ ในรูปแบบที่ ดีพอสมควร อย่างยากที่จะคาดคิดได้ก่อนหน้า
•• เช่นเดียวกับ บทบาท ของ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร ทั้งเมื่อ ปี 2535 และ ปี 2537 คงจะพอจำกันได้
•• หลายครั้งใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทย จุดเริ่มต้นของ การเปลี่ยนแปลง มาจาก เรื่องเล็ก ๆ ของ คนตัวเล็ก ๆ, คนแปลก ๆ และ/หรือ คนที่นอกเหนือความคาดหมาย วิญญาณแห่ง ความรักในยุติธรรม เริ่มงอกงามขึ้นในหัวใจของ ประชาชนทุกระดับ และ สื่อมวลชน จากเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นในลักษณะ ความผิดแบบไทย ๆ รวมทั้ง ความยโสโอหัง ที่โดยรวมแล้ว คนไทยยอมรับไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีที่ ผิดศีล 5 ไล่มาตั้งแต่ ฆ่าสัตว์, โกหก และ ฯลฯ นี่คือ เนื้อนาดินอันอุดม ที่เอื้ออำนวยต่อการเติบกล้าของไม้พันธุ์ ต่อต้านระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ในขั้นตอนต่อมา