เชียงใหม่/คนแม่ขนิลใต้ชี้กรมชลสร้างเขื่อนแม่ขานเพื่อแก้ภัยแล้งเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เผยพื้นที่ไม่เคยแล้งถึงขั้นวิกฤต แนะรัฐสร้างเขื่อนแก้ปัญหาชาวบ้านได้จริงหรือไม่ พร้อมเสนอทางเลือกอื่นในการจัดการน้ำ นักสิทธิชุมชนย้ำต้องให้คนแม่ขนิลใต้ตัดสินใจเองไม่ใช่ให้กรมชลคิดแทน
วานนี้(8 ก.ย.) ที่หมู่บ้านแม่ขนิลใต้ ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านแม่ขนิลใต้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง สิทธิชุมชนที่ถูกย่ำยีกรณีโครงการเขื่อนแม่ขานขึ้น เวทีเสวนาดังกล่าวประประชาชนทั้งชาวบ้านแม่ขนิลใต้และชุมชนใกล้เคียงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
กรมชลประทานมีแนวคิดสร้างเขื่อนแม่ขานมาตั้งแต่ปี 2530 ต่อมาในปี 2537 จึงว่าจ้างบริษัทปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัทพรีดีเวลลอปเมนต์ และบริษัทซัลยู คอนซัลแตนท์ ทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการซึ่งแล้วเสร็จในปี 2540 แต่โครงการดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการต่อได้เพราะชุมชนบ้านแม่ขนิลใต้เป็นชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะทั้ง 56 ครัวเรือนต้องถูกอพยพออกจากพื้นที่ จึงคัดค้านอย่างหนัก
นายพันธ์ จันทร์แก้ว ผู้ใหญ่บ้านแม่ขนิลใต้ กล่าวว่า โครงการเขื่อนแม่ขานเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเริ่มเข้ามาสำรวจพื้นที่ประมาณปี 2537-2538 การเข้ามาครั้งนั้นชาวบ้านก็รู้สึกเป็นกังวล เพราะทราบมาว่าหากสร้างเขื่อนชาวบ้านทั้งหมดจำนวน 56 หลังคาเรือน จะถูกอพยพออกจากพื้นที่เพราะถูกน้ำท่วม หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการคัดค้านมาโดยตลอด มีการยื่นหนังสือถึง อบต.รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดให้ยุติโครงการ แต่การยื่นหนังสือเหล่านั้นไม่มีผลในการปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะเจ้าหน้าที่กรมชลยังเข้ามารังวัดสำรวจพื้นที่อยู่เป็นระยะ
"ชาวบ้านลงมติร่วมกันแล้วว่าเราจะไม่ย้ายไปไหนเด็ดขาด เราอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีมีวิถีชีวิตผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้ ดังนั้นโครงการนี้เราจึงต่อสู้คัดค้านมาโดยตลอดเพื่อให้มีการยุติการดำเนินการ ชาวบ้านไม่อยากให้น้ำท่วมป่าไม้เพราะจะเป็นการทำลายผืนป่าระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งไม่อยากให้วิถีชีวิตของชาวบ้านต้องถูกทำลายลงเพราะเขื่อน" นายพันธ์กล่าว
ในตอนท้าย ผู้ใหญ่บ้านแม่ขนิลใต้ กล่าวว่า เหตุผลที่กรมชลประทานแจ้งว่าต้องสร้างเขื่อนแม่ขานเพราะจะแก้ปัญหาภัยแล้งนั้นตนเห็นว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะในช่วงฤดูแล้งปริมาณน้ำก็อาจลดลงบ้างตามฤดูกาล แต่ก็ไม่ถึงขั้นวิกฤตแต่อย่างใด ดังนั้นตนเห็นว่าอยากให้ทางกรมชลประทานรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองพิจารณาทางเลือกอื่นๆที่ไม่กระทบชุมชนรวมทั้งสิ่งแวดล้อมดูบ้าง เช่น ขุดลอกตะกอนลำเหมืองให้น้ำไหลสะดวกขึ้น การทำฝายแม้ว หรือหากยังดื้อดันที่จะสร้างเขื่อนก็ให้ไปสร้างในพื้นที่อื่นที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นายชัยพันธ์ ประภาสวัต ผอ.สถาบันเพื่อสิทธิชุมชน กล่าวว่า ปัญหาความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนนั้นปัจจุบันยังมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบที่ยังต้องเดินขบวนชุมนุมเรียกร้องกันอยู่หลายพื้นที่โดยที่ปัญหาเหล่านี้ยังมิได้รับการแก้ไข แต่ในขณะเดียวกันรัฐกำลังผลักดันการสร้างเขื่อนใหม่ๆขึ้นมาอีก ดังนั้นกรณีนี้รัฐต้องทบทวนแล้วว่าเขื่อนสามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านจริงหรือไม่
นายชัยพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างเขื่อนแม่ขาน ตนเห็นว่ารัฐต้องทบทวนผลได้ผลเสียกันใหม่เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าแถบนี้ถือว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดใน ต.น้ำแพร่ก็ว่าได้ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวแถบนี้ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานฯออบขานก็สวยงาม มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าชมนับแสนคนต่อปี และที่สำคัญหากสร้างเขื่อนแล้วต้องอพยพชาวบ้านแม่ขนิลใต้ออกจากพื้นที่นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ทั้งในแง่วิถีชีวิต วัฒนธรรมที่อาจถูกทำลาย รวมทั้งพื้นที่รองรับแห่งใหม่มีศักยภาพในการใช้อยู่อาศัยและทำมาหากินได้แค่ไหน
"ผมเห็นว่าไม่มีพื้นที่ใดในประเทศไทยที่เหมาะแก่การสร้างเขื่อนอีกต่อไป เพราะการสร้างเขื่อนที่ผ่านๆมาไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตของเกษตรกรดีขึ้นเลย อีกทั้งเมื่อมีการสร้างรัฐไม่เคยถามชาวบ้านเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่ ดังนั้นโครงการเขื่อนแม่ขานคนแม่ขนิลใต้ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้กรมชลประทานมาคิดแทน" ผอ.สถาบันเพื่อสิทธิชุมชนกล่าว
ทั้งนี้ โครงการสร้างเขื่อนแม่ขาน เป็นโครงการเขื่อนเอนกประสงค์ขนาดกลาง มีที่ตั้งสันเขื่อนบริเวณบ้านห้วยโท้ง ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง เป็นเขื่อนชนิดหินถม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ขานตอนล่างและพื้นที่บางส่วนของโครงการชลประทานแม่แตง เขื่อนดังกล่าวมีระดับเก็บน้ำสูงสุดที่ 381 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง มีความจุที่ 80.90 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ผิวเขื่อนเก็บน้ำที่ระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่ 3.15 ตารางกิโลเมตร(1,968 ไร่) ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,893.22 ล้านบาท มีพื้นที่รับน้ำทั้งหมดประมาณ 68,370 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่ลำน้ำขานตอนล่าง 25,000 ไร่ และพื้นที่โครงการชลประทานแม้แตง 43,370 ไร่
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านแหล่งน้ำ และโครงการนี้ได้ถูกบรรจุไว้ในโครงการจัดทำแผนรวม(Integrated Plan) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง โดยกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
ชาวห้วยปลาหลดไม่เข้าใจหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่
ย้ำโครงการต้องไม่ขัดวิถีชีวิตคนในป่า
ตาก/ชาวมูเซอบ้านห้วยปลาหลด ชี้โครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ทำมา 8 เดือนชาวบ้านยังไม่รู้รายละเอียด เผยตั้งแต่เปิดเจ้าหน้าที่เข้ามาแค่ครั้งเดียว แจงแนวคิดดีแต่หวั่นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่อาจกระทบวิถีชีวิตชุมชนโดยเฉพาะด้านที่ดินทำกิน แนะก่อนดำเนินการเจ้าหน้าที่ต้องทำการบ้านก่อน และต้องเร่งทำความเข้าใจรายละเอียดโครงการให้ชาวบ้านรู้ด้วย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ตามแนวพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน สมดุลและยั่งยืน โครงการนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับความเห็นชอบตามที่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2547 โดยกำหนดแผนดำเนินการทั้งหมดจำนวน 10,866 หมู่บ้านใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ
ปัจจุบันโครงการนี้มีการดำเนินการนำร่องขึ้นที่หมู่บ้านห้วยปลาหลด หมู่ 8 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก ขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย.2547 ที่ผ่านมา โดยหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตากสิน
ผู้สื่อข่าวรายงานการลงพื้นที่หมู่บ้านห้วยปลาหลดตรวจสอบข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน พบว่า ชาวบ้านบ้านห้วยปลาหลดเกือบทั้งหมู่บ้านยังไม่รู้รายละเอียดว่าโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดวัตถุประสงค์อย่างไร จะดำเนินการอะไรบ้าง และชุมชนจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงการนี้
นายจักรพงษ์ มงคลคีรี ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลด กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบรายละเอียดของโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่คือเป็นโครงการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งดำเนินงานตามแนวพระราชดำริฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งแนวคิดนี้โดยภาพรวมตนเห็นว่าดี แต่ปัจจุบันการเข้ามาดำเนินการของทางป่าไม้กลับไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆในตัวโครงการให้ชาวบ้านรับรู้ว่าโครงการนี้จะทำอะไรกับชุมชน ชุมชนต้องปรับตัวอย่างไร และชุมชนจะได้อะไรจากโครงการนี้บ้าง
"แม้ว่าโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่จะประกาศนำร่องที่บ้านห้วยปลาหลดมาตั้งแต่เดือน กันยายน 2547 แต่ปัจจุบันคนห้วยปลาหลดเกือบทั้งหมดแทบไม่รู้เรื่องเลยว่าโครงการนี้เขาจะทำอะไรกันบ้าง ชาวบ้านเห็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาที่หมู่บ้านเพียงครั้งเดียวตอนมาเปิดป้ายโครงการและบอกชาวบ้านเพียงว่าให้ลดพื้นที่ทำกินลงเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ชาวบ้านต่างวิตกกันว่าอาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตได้" นายจักรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลด กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลที่จะเกิดขึ้นจากโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่นี้ปัจจุบันตนยังมองไม่ออกอย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะโครงการอยู่ในช่วงเริ่มต้นซึ่งคงต้องใช้เวลาในการติดตามผลต่อไปแต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือการจำกัดพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน
"โดยหลักการโครงการหมู่บ้านแผนใหม่ให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืนแต่เมื่อชาวบ้านถูกจำกัดที่ดินทำกินเช่นนี้แล้ว ผลสุดท้ายเหลือแต่ป่าคนตายหมด” ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลดกล่าว
ในตอนท้าย นายจักรพงษ์ เสนอแนะว่า โครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่นั้นโดยหลักการถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ในทางปฏิบัติควรทำความเข้าใจกันให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ก่อนจะลงมาทำงานตรงนี้ต้องศึกษารายละเอียดทำความเข้าใจโครงการให้ชัดเจนก่อน เพราะหากทำผิดหลักการไปคนที่ได้รับผลกระทบคือชาวบ้าน อีกทั้งก่อนประกาศโครงการนี้ทั่วประเทศต้องเตรียมแผนรองรับในการแก้ปัญหาให้รัดกุม เช่น ปัญหาเรื่องที่ทำกิน การส่งเสริมอาชีพ ส่วนเรื่องการดูแลรักษาป่าชาวบ้านโดยเฉพาะคนบนพื้นที่สูงนั้นมีชีวิตอยู่กับป่า ย่อมดูแลรักษาป่าอยู่แล้ว ดังนั้นจะให้คนออกจากป่าคงไม่ได้
นายไพรรัตน์ กีรติยุคคีรี สมาชิก อ.บ.ต.ห้วยปลาหลด กล่าวว่า กรณีบ้านห้วยปลาหลดนั้นหลังมีการประกาศเป็นหมู่บ้านต้นแบบโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ของประเทศตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการใดๆในพื้นที่ รวมทั้งทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการเองก็ยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆของโครงการนี้ให้ชาวบ้านห้วยปลาหลดได้รับรู้อย่างละเอียดแต่อย่างใด ส่งผลให้ชาวบ้านสับสนกันว่าโครงการนี้แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่ เพราะหากแค่การรักษาป่านั้นปัจจุบันชาวบ้านก็จัดการดูแลรักษากันมาเกือบ 100 ปีแล้วและก็ถือว่าได้ผล เพราะสภาพป่าในพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
"ผมเห็นว่าในแง่การรักษาป่า หรือการอยู่ร่วมกันกับป่าอย่างยั่งยืนนั้น โครงการนี้จะมีหรือไม่มีก็ค่าเท่ากัน เพราะกรณีนี้ชาวบ้านทำมานานแล้ว แต่หากมองในภาพรวมของประเทศผมเห็นว่าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ดีที่ควรส่งเสริม แต่ที่สำคัญคือในแง่การปฏิบัติก็ควรดำเนินการเป็นกิจจะลักษณะให้มากกว่านี้ บอกรายละเอียดให้ชาวบ้านรู้บ้างเพื่อเขาจะได้เตรียมตัวว่าต้องทำอะไรบ้าง นอกจากนี้การดำเนินการต้องเป็นไปแบบสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละพื้นที่ด้วย ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ และที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือเจ้าหน้าที่ต้องมาทำความเข้าใจชี้แจงรายละเอียดกับชาวบ้านด้วยว่าโครงการนี้คืออะไร จะทำอะไรกันบ้าง" นายไพรรัตน์กล่าว.
วานนี้(8 ก.ย.) ที่หมู่บ้านแม่ขนิลใต้ ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านแม่ขนิลใต้ร่วมกับองค์กรพันธมิตรได้จัดเวทีเสวนาเรื่อง สิทธิชุมชนที่ถูกย่ำยีกรณีโครงการเขื่อนแม่ขานขึ้น เวทีเสวนาดังกล่าวประประชาชนทั้งชาวบ้านแม่ขนิลใต้และชุมชนใกล้เคียงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
กรมชลประทานมีแนวคิดสร้างเขื่อนแม่ขานมาตั้งแต่ปี 2530 ต่อมาในปี 2537 จึงว่าจ้างบริษัทปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัทพรีดีเวลลอปเมนต์ และบริษัทซัลยู คอนซัลแตนท์ ทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการซึ่งแล้วเสร็จในปี 2540 แต่โครงการดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการต่อได้เพราะชุมชนบ้านแม่ขนิลใต้เป็นชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะทั้ง 56 ครัวเรือนต้องถูกอพยพออกจากพื้นที่ จึงคัดค้านอย่างหนัก
นายพันธ์ จันทร์แก้ว ผู้ใหญ่บ้านแม่ขนิลใต้ กล่าวว่า โครงการเขื่อนแม่ขานเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเริ่มเข้ามาสำรวจพื้นที่ประมาณปี 2537-2538 การเข้ามาครั้งนั้นชาวบ้านก็รู้สึกเป็นกังวล เพราะทราบมาว่าหากสร้างเขื่อนชาวบ้านทั้งหมดจำนวน 56 หลังคาเรือน จะถูกอพยพออกจากพื้นที่เพราะถูกน้ำท่วม หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการคัดค้านมาโดยตลอด มีการยื่นหนังสือถึง อบต.รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดให้ยุติโครงการ แต่การยื่นหนังสือเหล่านั้นไม่มีผลในการปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะเจ้าหน้าที่กรมชลยังเข้ามารังวัดสำรวจพื้นที่อยู่เป็นระยะ
"ชาวบ้านลงมติร่วมกันแล้วว่าเราจะไม่ย้ายไปไหนเด็ดขาด เราอยู่ที่นี่มากว่า 200 ปีมีวิถีชีวิตผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้ ดังนั้นโครงการนี้เราจึงต่อสู้คัดค้านมาโดยตลอดเพื่อให้มีการยุติการดำเนินการ ชาวบ้านไม่อยากให้น้ำท่วมป่าไม้เพราะจะเป็นการทำลายผืนป่าระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งไม่อยากให้วิถีชีวิตของชาวบ้านต้องถูกทำลายลงเพราะเขื่อน" นายพันธ์กล่าว
ในตอนท้าย ผู้ใหญ่บ้านแม่ขนิลใต้ กล่าวว่า เหตุผลที่กรมชลประทานแจ้งว่าต้องสร้างเขื่อนแม่ขานเพราะจะแก้ปัญหาภัยแล้งนั้นตนเห็นว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะในช่วงฤดูแล้งปริมาณน้ำก็อาจลดลงบ้างตามฤดูกาล แต่ก็ไม่ถึงขั้นวิกฤตแต่อย่างใด ดังนั้นตนเห็นว่าอยากให้ทางกรมชลประทานรวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองพิจารณาทางเลือกอื่นๆที่ไม่กระทบชุมชนรวมทั้งสิ่งแวดล้อมดูบ้าง เช่น ขุดลอกตะกอนลำเหมืองให้น้ำไหลสะดวกขึ้น การทำฝายแม้ว หรือหากยังดื้อดันที่จะสร้างเขื่อนก็ให้ไปสร้างในพื้นที่อื่นที่มีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นายชัยพันธ์ ประภาสวัต ผอ.สถาบันเพื่อสิทธิชุมชน กล่าวว่า ปัญหาความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนนั้นปัจจุบันยังมีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบที่ยังต้องเดินขบวนชุมนุมเรียกร้องกันอยู่หลายพื้นที่โดยที่ปัญหาเหล่านี้ยังมิได้รับการแก้ไข แต่ในขณะเดียวกันรัฐกำลังผลักดันการสร้างเขื่อนใหม่ๆขึ้นมาอีก ดังนั้นกรณีนี้รัฐต้องทบทวนแล้วว่าเขื่อนสามารถแก้ปัญหาให้ชาวบ้านจริงหรือไม่
นายชัยพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างเขื่อนแม่ขาน ตนเห็นว่ารัฐต้องทบทวนผลได้ผลเสียกันใหม่เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าแถบนี้ถือว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดใน ต.น้ำแพร่ก็ว่าได้ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวแถบนี้ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานฯออบขานก็สวยงาม มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าชมนับแสนคนต่อปี และที่สำคัญหากสร้างเขื่อนแล้วต้องอพยพชาวบ้านแม่ขนิลใต้ออกจากพื้นที่นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ทั้งในแง่วิถีชีวิต วัฒนธรรมที่อาจถูกทำลาย รวมทั้งพื้นที่รองรับแห่งใหม่มีศักยภาพในการใช้อยู่อาศัยและทำมาหากินได้แค่ไหน
"ผมเห็นว่าไม่มีพื้นที่ใดในประเทศไทยที่เหมาะแก่การสร้างเขื่อนอีกต่อไป เพราะการสร้างเขื่อนที่ผ่านๆมาไม่ได้ทำให้วิถีชีวิตของเกษตรกรดีขึ้นเลย อีกทั้งเมื่อมีการสร้างรัฐไม่เคยถามชาวบ้านเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่ ดังนั้นโครงการเขื่อนแม่ขานคนแม่ขนิลใต้ต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้กรมชลประทานมาคิดแทน" ผอ.สถาบันเพื่อสิทธิชุมชนกล่าว
ทั้งนี้ โครงการสร้างเขื่อนแม่ขาน เป็นโครงการเขื่อนเอนกประสงค์ขนาดกลาง มีที่ตั้งสันเขื่อนบริเวณบ้านห้วยโท้ง ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง เป็นเขื่อนชนิดหินถม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ขานตอนล่างและพื้นที่บางส่วนของโครงการชลประทานแม่แตง เขื่อนดังกล่าวมีระดับเก็บน้ำสูงสุดที่ 381 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง มีความจุที่ 80.90 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่ผิวเขื่อนเก็บน้ำที่ระดับน้ำสูงสุดอยู่ที่ 3.15 ตารางกิโลเมตร(1,968 ไร่) ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 1,893.22 ล้านบาท มีพื้นที่รับน้ำทั้งหมดประมาณ 68,370 ไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่ลำน้ำขานตอนล่าง 25,000 ไร่ และพื้นที่โครงการชลประทานแม้แตง 43,370 ไร่
ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านแหล่งน้ำ และโครงการนี้ได้ถูกบรรจุไว้ในโครงการจัดทำแผนรวม(Integrated Plan) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง โดยกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
ชาวห้วยปลาหลดไม่เข้าใจหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่
ย้ำโครงการต้องไม่ขัดวิถีชีวิตคนในป่า
ตาก/ชาวมูเซอบ้านห้วยปลาหลด ชี้โครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ทำมา 8 เดือนชาวบ้านยังไม่รู้รายละเอียด เผยตั้งแต่เปิดเจ้าหน้าที่เข้ามาแค่ครั้งเดียว แจงแนวคิดดีแต่หวั่นการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่อาจกระทบวิถีชีวิตชุมชนโดยเฉพาะด้านที่ดินทำกิน แนะก่อนดำเนินการเจ้าหน้าที่ต้องทำการบ้านก่อน และต้องเร่งทำความเข้าใจรายละเอียดโครงการให้ชาวบ้านรู้ด้วย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ตามแนวพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน สมดุลและยั่งยืน โครงการนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับความเห็นชอบตามที่คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2547 โดยกำหนดแผนดำเนินการทั้งหมดจำนวน 10,866 หมู่บ้านใน 70 จังหวัดทั่วประเทศ
ปัจจุบันโครงการนี้มีการดำเนินการนำร่องขึ้นที่หมู่บ้านห้วยปลาหลด หมู่ 8 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จ.ตาก ขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย.2547 ที่ผ่านมา โดยหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตากสิน
ผู้สื่อข่าวรายงานการลงพื้นที่หมู่บ้านห้วยปลาหลดตรวจสอบข้อเท็จจริงจากชาวบ้าน พบว่า ชาวบ้านบ้านห้วยปลาหลดเกือบทั้งหมู่บ้านยังไม่รู้รายละเอียดว่าโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดวัตถุประสงค์อย่างไร จะดำเนินการอะไรบ้าง และชุมชนจะได้ประโยชน์อะไรจากโครงการนี้
นายจักรพงษ์ มงคลคีรี ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลด กล่าวว่า เท่าที่ตนทราบรายละเอียดของโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่คือเป็นโครงการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งดำเนินงานตามแนวพระราชดำริฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่า ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งแนวคิดนี้โดยภาพรวมตนเห็นว่าดี แต่ปัจจุบันการเข้ามาดำเนินการของทางป่าไม้กลับไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆในตัวโครงการให้ชาวบ้านรับรู้ว่าโครงการนี้จะทำอะไรกับชุมชน ชุมชนต้องปรับตัวอย่างไร และชุมชนจะได้อะไรจากโครงการนี้บ้าง
"แม้ว่าโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่จะประกาศนำร่องที่บ้านห้วยปลาหลดมาตั้งแต่เดือน กันยายน 2547 แต่ปัจจุบันคนห้วยปลาหลดเกือบทั้งหมดแทบไม่รู้เรื่องเลยว่าโครงการนี้เขาจะทำอะไรกันบ้าง ชาวบ้านเห็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาที่หมู่บ้านเพียงครั้งเดียวตอนมาเปิดป้ายโครงการและบอกชาวบ้านเพียงว่าให้ลดพื้นที่ทำกินลงเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ชาวบ้านต่างวิตกกันว่าอาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตได้" นายจักรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลด กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านผลที่จะเกิดขึ้นจากโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่นี้ปัจจุบันตนยังมองไม่ออกอย่างชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะโครงการอยู่ในช่วงเริ่มต้นซึ่งคงต้องใช้เวลาในการติดตามผลต่อไปแต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือการจำกัดพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน
"โดยหลักการโครงการหมู่บ้านแผนใหม่ให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืนแต่เมื่อชาวบ้านถูกจำกัดที่ดินทำกินเช่นนี้แล้ว ผลสุดท้ายเหลือแต่ป่าคนตายหมด” ผู้ใหญ่บ้านห้วยปลาหลดกล่าว
ในตอนท้าย นายจักรพงษ์ เสนอแนะว่า โครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่นั้นโดยหลักการถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ในทางปฏิบัติควรทำความเข้าใจกันให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ก่อนจะลงมาทำงานตรงนี้ต้องศึกษารายละเอียดทำความเข้าใจโครงการให้ชัดเจนก่อน เพราะหากทำผิดหลักการไปคนที่ได้รับผลกระทบคือชาวบ้าน อีกทั้งก่อนประกาศโครงการนี้ทั่วประเทศต้องเตรียมแผนรองรับในการแก้ปัญหาให้รัดกุม เช่น ปัญหาเรื่องที่ทำกิน การส่งเสริมอาชีพ ส่วนเรื่องการดูแลรักษาป่าชาวบ้านโดยเฉพาะคนบนพื้นที่สูงนั้นมีชีวิตอยู่กับป่า ย่อมดูแลรักษาป่าอยู่แล้ว ดังนั้นจะให้คนออกจากป่าคงไม่ได้
นายไพรรัตน์ กีรติยุคคีรี สมาชิก อ.บ.ต.ห้วยปลาหลด กล่าวว่า กรณีบ้านห้วยปลาหลดนั้นหลังมีการประกาศเป็นหมู่บ้านต้นแบบโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ของประเทศตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการใดๆในพื้นที่ รวมทั้งทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการเองก็ยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดใดๆของโครงการนี้ให้ชาวบ้านห้วยปลาหลดได้รับรู้อย่างละเอียดแต่อย่างใด ส่งผลให้ชาวบ้านสับสนกันว่าโครงการนี้แท้จริงแล้วต้องการอะไรกันแน่ เพราะหากแค่การรักษาป่านั้นปัจจุบันชาวบ้านก็จัดการดูแลรักษากันมาเกือบ 100 ปีแล้วและก็ถือว่าได้ผล เพราะสภาพป่าในพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
"ผมเห็นว่าในแง่การรักษาป่า หรือการอยู่ร่วมกันกับป่าอย่างยั่งยืนนั้น โครงการนี้จะมีหรือไม่มีก็ค่าเท่ากัน เพราะกรณีนี้ชาวบ้านทำมานานแล้ว แต่หากมองในภาพรวมของประเทศผมเห็นว่าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ดีที่ควรส่งเสริม แต่ที่สำคัญคือในแง่การปฏิบัติก็ควรดำเนินการเป็นกิจจะลักษณะให้มากกว่านี้ บอกรายละเอียดให้ชาวบ้านรู้บ้างเพื่อเขาจะได้เตรียมตัวว่าต้องทำอะไรบ้าง นอกจากนี้การดำเนินการต้องเป็นไปแบบสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละพื้นที่ด้วย ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ และที่สำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการคือเจ้าหน้าที่ต้องมาทำความเข้าใจชี้แจงรายละเอียดกับชาวบ้านด้วยว่าโครงการนี้คืออะไร จะทำอะไรกันบ้าง" นายไพรรัตน์กล่าว.


