•• ก็เป็นอันว่า มส. – มหาเถรสมาคม ไม่ทบทวนมติเดิมเมื่อ วันที่ 11 เมษายน 2548 ที่จะ ไม่ร่วมจัดงานวันวิสาขบูชา 2548 (หรือชื่อเต็ม ๆ ที่ออกจะ จ๊าบ เข้ากับยุคสมัยว่า รมณียสถานอุทยานธรรมวิสาขบูชา : สนุกได้ทุกวัยในการเรียนรู้) กับ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม หรือ ศูนย์คุณธรรม ที่มีประธานเป็นศิษย์เอกฝ่ายฆราวาสของ สมณะโพธิรักษ์ นาม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หมายความว่าในวันวิสาขบูชาปีนี้ที่จะตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2548 จะมีงานวันวิสาขบูชาโดยการสนับสนุนของมหาเถรสมาคมในนามของคณะสงฆ์ไทยตามกฎหมายบ้านเมืองจัดขึ้นที่ พุทธมณฑล โดยประธานจัดงานยังคงเป็น นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, เลขาธิการสมาเถรสมาคม ในขณะที่ทางอีกด้านหนึ่งการที่แม้จะออกมายิ้มแย้มยอมรับประกาศว่า ไม่ติดใจ แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังคงยืนยันที่จะ แยกไปจัดงานวันวิสาขบูชา ตามแนวคิดเดิม 1 คน 1 สัจจะ ในวันเดียวกันนั้นในนามของ ศูนย์คุณธรรม ที่จะรวบรวมองค์กรและหน่วยงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มหาเถรสมาคมปฏิเสธ อาทิ สำนักสันติอโศก, ภิกษุณี (และอาจจะ เครือข่ายวัดพระธรรมกาย) ไปจัด ณ ที่อื่นที่อาจจะเป็น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม โดยยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงจะเป็น ประธานนำกล่าวสัจจะ ในตอนเย็นของ วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2548 เรื่องนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” เชื่อว่าคงจะ ไม่จบ เพราะสถานที่เป้าหมายใหม่ วัดพระแก้ว, วัดเบญจฯ นั้นเป็น วัดสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เปรียบเทียบแล้วพิจารณาได้ว่า เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าพุทธมณฑล โดยเฉพาะเมื่อผนวกกับการมี นายกรัฐมนตรี ไปร่วมเป็น ประธาน และ ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ด้วย “เซี่ยงเส้าหลง” เชื่อว่าต้องมีผู้กล่าวหาว่านี่เป็น ปฏิบัติการท้าทายมติมหาเถรสมาคมในนามของคณะสงฆ์ไทย และจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องชั่งน้ำหนักการตัดสินใจให้ดี ๆ ในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามลำดับชั้น ของหน่วยงาน วัดพระศรีรัตนศาสนาราม ที่เสมือนเป็น กอง อยู่ใน สำนักพระราชวัง ซึ่งไม่ใช่จะ เปิดให้ใช้จัดงานทั่วไปได้โดยเสรี เรื่องนี้จึงยังต้องติดตามกันต่อไป
•• ขอลำดับ รายละเอียดการดำเนินการทางกฎหมายบ้านเมือง เกี่ยวกับ มหาเถรสมาคม – สำนักสันติอโศก ที่ผ่านมาในอดีต ณ ที่นี้เพื่อเป็น ข้อมูลพื้นฐาน สักเล็กน้อย

•• เริ่มต้นจาก สมณะโพธิรักษ์ และ สำนักสันติอโศก ดำเนินการ ประกาศไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์ไทย หรือที่เรียกว่า นานาสังวาส ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ที่ วัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และได้ดำเนินการปฏิบัติธรรมเผยแพร่ธรรมตลอดจนมีวัตรปฏิบัติในหลายลักษณะที่ แตกต่างจากคณะสงฆ์ไทย เป็นต้นว่า ไม่โกนคิ้ว, ไม่บูชาด้วยไฟ(คือจุดธูปเทียน), ไม่บูชาพระพุทธรูป, ประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์, ประกาศตนเป็นพระอริยบุคคล, ประกาศตนเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด, รู้พระธรรมและพระไตรปิฎกได้ด้วยตนเอง และ ฯลฯ รวมทั้งพื้นฐานเด่นชัดที่สุดคือ มังสะวิรัติ ที่จริง ๆ แล้วก็ได้เริ่มปฏิบัติและเผยแพร่มาเป็นขั้นตอนตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม, พระภิกษุในมหานิกาย และ พระภิกษุในธรรมยุติกนิยาย ในช่วงระหว่าง ปี 2513 – 2517 แต่ไม่มีการดำเนินตอบโต้อย่างจริงจังในระดับ มหาเถรสมาคม จนกระทั่งผ่าน ปี 2528 ที่ศิษย์เอกของสำนักแห่งนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในลักษณะ Landslide ด้วยมีคณะทำงานช่วยเหลือในการหาเสียงและดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในภายหลังในนามของ กลุ่มรวมพลัง (ที่ต่อมาแปลสภาพเป็น พรรคพลังธรรม) ล้วนแต่เป็น ศิษย์ฆราวาส ของ สำนักสันติอโศก การตอบโต้อย่างจริงจังถึงที่สุดจึง เริ่มต้นก่อรูปขึ้น และขึ้นสู่ จุดสูงสุด ใน ปี 2531 - 2532 ปีเดียวกับที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กำลังจะได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร – สมัยที่ 2 หาก “เซี่ยงเส้าหลง” จะพูดว่า การเมืองชักนำเภทภัยมาสู่สำนักสันติอโศก ก็เห็นจะไม่ผิดความจริงเท่าไรนัก
•• ในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 ได้มีมติพิเศษแต่งตั้ง คณะการกสงฆ์ ขึ้นภายใต้การนำของ สมเด็จพระธีรญาณมุนี เพื่อพิจารณากรณีสันติอโศกในฐานะที่มีพฤติกรรม ทำวิปริตจากพระธรรมวินัย, ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต การพิจารณาดำเนินไปเป็นเวลา 6 เดือน จึงได้ข้อยุติ
•• การประชุมครั้งสุดท้ายของ คณะการกสงฆ์ เกิดขึ้นที่ หอประชุมพุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม 2532 มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยข้อความที่ หนักแน่น, รุนแรง ว่า “...ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการกำจัดกวาดล้างเสี้ยนหนามร้ายแห่งพระพุทธศาสนาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป.” จึงมีข้อเสนอต่อ มหาเถรสมาคม, รัฐบาล ให้ดำเนินการรวมทั้งสิ้น 4 ประการ ด้วยกัน
ประการที่ 1 – ขอให้มหาเถรสมาคมใช้อำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ มีคำสั่งให้พระโพธิรักษ์สละสมณเพศเสีย ทั้งนี้โดยฐานประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ และไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง ทั้งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ปรากฏเด่นชัดว่าพระโพธิรักษ์ได้ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ อย่างจงใจและต่อเนื่อง อีกทั้งจงใจทำพระวินัยให้วิปริตคลาดเคลื่อนจากคำสอนของพระศาสนา และได้ประกาศตัวอย่างชัดแจ้งที่จะไม่ขึ้นหรือสังกัดอยู่กับคณะสงฆ์ไทย โดยได้พำนักอาศัยในบ้านแทนวัด แต่เรียกเสียว่าพุทธสถาน
ประการที่ 2 -- สำหรับบุคคลที่เป็นบริวารที่พระโพธิรักษ์จัดทำให้ปรากฏภาวะเสมือนอยู่ในสมณเพศ โดยไม่เอื้อเฟื้อต่อสังฆกรรมตามพระวินัย ให้ประกาศว่าบุคคลเหล่านั้นมิใช่ผู้ที่บวชถูกต้องตามพระวินัย อันมีผลทำให้ถือไม่ได้ว่ามีเพศสมณะ แต่อาจจะมีบางคนอยู่ในฐานะที่ควรแก่ความเมตตากรุณา เพราะหลงเข้าไปยอมรับนับถือโดยรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลอันแยบคาย ถ้าบุคคลเช่นนี้คนใดประสงค์จะได้เพศเป็นสมณะโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย ให้มาแสดงตัว และแสดงความสัตย์จริงต่อพระสังฆาธิการ ตั้งแต่ชั้นเจ้าคณะจังหวัดผู้เป็นการกสงฆ์ขึ้นไป และขอรับการบรรพชาอุปสมบทปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัยอันถูกต้องต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ให้พระสังฆาธิการทดสอบความจริง และให้ความอนุเคราะห์โดยควรแก่กรณีเป็นราย ๆ ไป
ประการที่ 3 -- ให้กระทำประกาศนียกรรมประกาศข้อเท็จจริงให้พุทธบริษัททราบโดยทั่วกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมาแล้วในกรณีพระเทวทัต ตามความในพระวินัยปิฎก ทั้งนี้โดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยความหวังผลอย่างแท้จริง ภายใต้ความสำนึกว่าฝ่ายที่กระทำความผิดนั้นได้สร้างพลังมวลชนห้อมล้อมไว้แล้วอย่างกว้างขวางและเป็นปึกแผ่น
ประการที่ 4 -- ให้กรมการศาสนาแจ้งแก่พระภิกษุสามเณรทั่วพระราชอาณาจักร ให้ทราบข้อเท็จจริง และมิให้คบหาสมาคม หรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ เว้นแต่กรณีที่กล่าวไว้ในข้อยกเว้นในประการที่ 2 ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านั้น ใช้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป
•• จะเห็นได้ว่าเป็นเนื้อหาที่ถือได้ว่า หนักแน่นสูงสุด, รุนแรงสูงสุด เพราะให้กระทำต่อเช่นเดียวกับที่ คณะสงฆ์สมัยพระพุทธเจ้ากระทำต่อพระเทวทัต ใครที่ศึกษา พุทธศาสนา, พุทธประวัติ มาดีคงจำได้ว่า พระเทวทัต พยายาม ปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า, สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ โดยเริ่มต้นจากการบำเพ็ญตนให้ดูเสมือน เคร่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันมังสะวิรัติ ที่ พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการให้ค่า สมณะโพธิรักษ์ ในระดับ พระเทวทัต ทีเดียว
•• ถัดจากนั้น 5 วัน วันที่ 29 พฤษภาคม 2532 ดาบต่อไปก็เกิดขึ้นเมื่อในการประชุมมหาเถรสมาคม รับลูกต่อจากคณะการกสงฆ์ โดยมีมติเอกฉันท์ เห็นชอบตามทั้ง 4 ประการ เพียงแต่เพิ่มเติมว่าด้วย วิธีปฏิบัติตามประการที่ 1 ที่ให้ กรมการศาสนา ไปศึกษาร่วมกับ คณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนั้นยังมีมติแต่งตั้ง คณะกรรมการประกาศนียกรรม ขึ้นมาให้อยู่ภายใต้การนำของ พระธรรมมหาวีรานุวัตร ดำเนินการได้ทันที
•• อีก 5 วันถัดจากนั้น วันที่ 6 มิถุนายน 2532 จึงมี ประกาศนียกรรม บอกเล่าความเป็นมาแห่งคดีทั้งหมดและสรุปจบท้ายว่า “...ขอประกาศให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วกัน และมิให้คบหาสมาคมหรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ ขอให้พระภิกษุสามเณรและพุทธบริษัทได้ร่วมกันมนสิการและพึงสังวรระวัง พร้อมทั้งบอกกล่าวแจ้งให้ทราบต่อ ๆ กันอย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านั้น ใช้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของประเทศชาติต่อไป.” ประกาศนียกรรมมีค่าเท่ากับ บัพพาชนียกรรม นั่นเอง
•• จากนั้นไป 6 เดือน วันที่ 3 มกราคม 2533 เจ้าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สมณะโพธิรักษ์ – และนักบวชชายหญิงแห่งสำนักสันติอโศก รวม 80 คน โดยได้ใช้นามเดิมแทน สมณะโพธิรักษ์ ว่า นายรัก รักพงษ์ ข้อหาที่เป็นฐานความผิดก็คือ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์, สนับสนุนและบวชให้โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ คดีต่อสู้กันอยู่นาน 5 ปี ในที่สุด ศาลฎีกา จึงมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย มีความผิด 27 กระทง – ลงโทษจำคุก 54 เดือน – โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี รวมทั้งคำพิพากษาอื่นเช่น ห้ามกระทำผิดซ้ำอีก, คุมประพฤติ เป็นอันน่าจะปิดฉากไป
•• แม้ว่า สมณะโพธิรักษ์ จะยังคงยืนยัน ปฏิบัติธรรมตามแนวการตีความเดิม และถือว่าเป็น พุทธสาวก แต่ในทางกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ไม่ใช่ แต่ท่านและสานุศิษย์ก็ยังคงสามารถดำเนินวิถีตามความเชื่อต่อไปโดย ไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะเป็น สิทธิ, เสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 38, 73 ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้อ้างอิงไว้แล้วเมื่อวันก่อน
•• เริ่มต้นที่ มาตรา 38 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “...บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน.” ตามด้วย มาตรา 73 ที่ระบุไว้ว่า “...รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต.” คงไม่ต้องตีความ
•• ทางที่ดีที่สุด ศูนย์คุณธรรม (และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) จะดำเนินนโยบาย 1 คน 1 สัจจะ ให้ ใหญ่โต อย่างไรก็ดำเนินต่อไปได้ภายใต้เงื่อนไข หลีกเลี่ยงการเข้ามาเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น วันวิสาขบูชา, วัดพระแก้ว หรือ วัดเบญจฯ เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาโดยตรง เช่นกรณีของ วันวิสาขบูชา ก็มอบให้เป็นเรื่องของ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสียตั้งแต่ต้น
•• ขอลำดับ รายละเอียดการดำเนินการทางกฎหมายบ้านเมือง เกี่ยวกับ มหาเถรสมาคม – สำนักสันติอโศก ที่ผ่านมาในอดีต ณ ที่นี้เพื่อเป็น ข้อมูลพื้นฐาน สักเล็กน้อย
•• เริ่มต้นจาก สมณะโพธิรักษ์ และ สำนักสันติอโศก ดำเนินการ ประกาศไม่ขึ้นต่อคณะสงฆ์ไทย หรือที่เรียกว่า นานาสังวาส ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ที่ วัดหนองกระทุ่ม ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และได้ดำเนินการปฏิบัติธรรมเผยแพร่ธรรมตลอดจนมีวัตรปฏิบัติในหลายลักษณะที่ แตกต่างจากคณะสงฆ์ไทย เป็นต้นว่า ไม่โกนคิ้ว, ไม่บูชาด้วยไฟ(คือจุดธูปเทียน), ไม่บูชาพระพุทธรูป, ประกาศตนเป็นพระโพธิสัตว์, ประกาศตนเป็นพระอริยบุคคล, ประกาศตนเป็นพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิด, รู้พระธรรมและพระไตรปิฎกได้ด้วยตนเอง และ ฯลฯ รวมทั้งพื้นฐานเด่นชัดที่สุดคือ มังสะวิรัติ ที่จริง ๆ แล้วก็ได้เริ่มปฏิบัติและเผยแพร่มาเป็นขั้นตอนตั้งแต่สมัยยังเป็น ฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม, พระภิกษุในมหานิกาย และ พระภิกษุในธรรมยุติกนิยาย ในช่วงระหว่าง ปี 2513 – 2517 แต่ไม่มีการดำเนินตอบโต้อย่างจริงจังในระดับ มหาเถรสมาคม จนกระทั่งผ่าน ปี 2528 ที่ศิษย์เอกของสำนักแห่งนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในลักษณะ Landslide ด้วยมีคณะทำงานช่วยเหลือในการหาเสียงและดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในภายหลังในนามของ กลุ่มรวมพลัง (ที่ต่อมาแปลสภาพเป็น พรรคพลังธรรม) ล้วนแต่เป็น ศิษย์ฆราวาส ของ สำนักสันติอโศก การตอบโต้อย่างจริงจังถึงที่สุดจึง เริ่มต้นก่อรูปขึ้น และขึ้นสู่ จุดสูงสุด ใน ปี 2531 - 2532 ปีเดียวกับที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กำลังจะได้รับเลือกให้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร – สมัยที่ 2 หาก “เซี่ยงเส้าหลง” จะพูดว่า การเมืองชักนำเภทภัยมาสู่สำนักสันติอโศก ก็เห็นจะไม่ผิดความจริงเท่าไรนัก
•• ในการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 ได้มีมติพิเศษแต่งตั้ง คณะการกสงฆ์ ขึ้นภายใต้การนำของ สมเด็จพระธีรญาณมุนี เพื่อพิจารณากรณีสันติอโศกในฐานะที่มีพฤติกรรม ทำวิปริตจากพระธรรมวินัย, ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต การพิจารณาดำเนินไปเป็นเวลา 6 เดือน จึงได้ข้อยุติ
•• การประชุมครั้งสุดท้ายของ คณะการกสงฆ์ เกิดขึ้นที่ หอประชุมพุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม 2532 มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยข้อความที่ หนักแน่น, รุนแรง ว่า “...ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการกำจัดกวาดล้างเสี้ยนหนามร้ายแห่งพระพุทธศาสนาเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป.” จึงมีข้อเสนอต่อ มหาเถรสมาคม, รัฐบาล ให้ดำเนินการรวมทั้งสิ้น 4 ประการ ด้วยกัน
ประการที่ 1 – ขอให้มหาเถรสมาคมใช้อำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ มีคำสั่งให้พระโพธิรักษ์สละสมณเพศเสีย ทั้งนี้โดยฐานประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ และไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง ทั้งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะจากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ปรากฏเด่นชัดว่าพระโพธิรักษ์ได้ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ อย่างจงใจและต่อเนื่อง อีกทั้งจงใจทำพระวินัยให้วิปริตคลาดเคลื่อนจากคำสอนของพระศาสนา และได้ประกาศตัวอย่างชัดแจ้งที่จะไม่ขึ้นหรือสังกัดอยู่กับคณะสงฆ์ไทย โดยได้พำนักอาศัยในบ้านแทนวัด แต่เรียกเสียว่าพุทธสถาน
ประการที่ 2 -- สำหรับบุคคลที่เป็นบริวารที่พระโพธิรักษ์จัดทำให้ปรากฏภาวะเสมือนอยู่ในสมณเพศ โดยไม่เอื้อเฟื้อต่อสังฆกรรมตามพระวินัย ให้ประกาศว่าบุคคลเหล่านั้นมิใช่ผู้ที่บวชถูกต้องตามพระวินัย อันมีผลทำให้ถือไม่ได้ว่ามีเพศสมณะ แต่อาจจะมีบางคนอยู่ในฐานะที่ควรแก่ความเมตตากรุณา เพราะหลงเข้าไปยอมรับนับถือโดยรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลอันแยบคาย ถ้าบุคคลเช่นนี้คนใดประสงค์จะได้เพศเป็นสมณะโดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย ให้มาแสดงตัว และแสดงความสัตย์จริงต่อพระสังฆาธิการ ตั้งแต่ชั้นเจ้าคณะจังหวัดผู้เป็นการกสงฆ์ขึ้นไป และขอรับการบรรพชาอุปสมบทปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัยอันถูกต้องต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ให้พระสังฆาธิการทดสอบความจริง และให้ความอนุเคราะห์โดยควรแก่กรณีเป็นราย ๆ ไป
ประการที่ 3 -- ให้กระทำประกาศนียกรรมประกาศข้อเท็จจริงให้พุทธบริษัททราบโดยทั่วกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมาแล้วในกรณีพระเทวทัต ตามความในพระวินัยปิฎก ทั้งนี้โดยวิธีการต่าง ๆ ด้วยความหวังผลอย่างแท้จริง ภายใต้ความสำนึกว่าฝ่ายที่กระทำความผิดนั้นได้สร้างพลังมวลชนห้อมล้อมไว้แล้วอย่างกว้างขวางและเป็นปึกแผ่น
ประการที่ 4 -- ให้กรมการศาสนาแจ้งแก่พระภิกษุสามเณรทั่วพระราชอาณาจักร ให้ทราบข้อเท็จจริง และมิให้คบหาสมาคม หรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ เว้นแต่กรณีที่กล่าวไว้ในข้อยกเว้นในประการที่ 2 ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านั้น ใช้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของประเทศอีกต่อไป
•• จะเห็นได้ว่าเป็นเนื้อหาที่ถือได้ว่า หนักแน่นสูงสุด, รุนแรงสูงสุด เพราะให้กระทำต่อเช่นเดียวกับที่ คณะสงฆ์สมัยพระพุทธเจ้ากระทำต่อพระเทวทัต ใครที่ศึกษา พุทธศาสนา, พุทธประวัติ มาดีคงจำได้ว่า พระเทวทัต พยายาม ปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า, สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ โดยเริ่มต้นจากการบำเพ็ญตนให้ดูเสมือน เคร่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันมังสะวิรัติ ที่ พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการให้ค่า สมณะโพธิรักษ์ ในระดับ พระเทวทัต ทีเดียว
•• ถัดจากนั้น 5 วัน วันที่ 29 พฤษภาคม 2532 ดาบต่อไปก็เกิดขึ้นเมื่อในการประชุมมหาเถรสมาคม รับลูกต่อจากคณะการกสงฆ์ โดยมีมติเอกฉันท์ เห็นชอบตามทั้ง 4 ประการ เพียงแต่เพิ่มเติมว่าด้วย วิธีปฏิบัติตามประการที่ 1 ที่ให้ กรมการศาสนา ไปศึกษาร่วมกับ คณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนั้นยังมีมติแต่งตั้ง คณะกรรมการประกาศนียกรรม ขึ้นมาให้อยู่ภายใต้การนำของ พระธรรมมหาวีรานุวัตร ดำเนินการได้ทันที
•• อีก 5 วันถัดจากนั้น วันที่ 6 มิถุนายน 2532 จึงมี ประกาศนียกรรม บอกเล่าความเป็นมาแห่งคดีทั้งหมดและสรุปจบท้ายว่า “...ขอประกาศให้พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนได้ทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วกัน และมิให้คบหาสมาคมหรือให้ความร่วมมือใด ๆ แก่พระโพธิรักษ์ และคณะที่พระโพธิรักษ์บวชให้ ขอให้พระภิกษุสามเณรและพุทธบริษัทได้ร่วมกันมนสิการและพึงสังวรระวัง พร้อมทั้งบอกกล่าวแจ้งให้ทราบต่อ ๆ กันอย่างทั่วถึง ทั้งนี้เพื่อมิให้ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลเหล่านั้น ใช้บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของประเทศชาติต่อไป.” ประกาศนียกรรมมีค่าเท่ากับ บัพพาชนียกรรม นั่นเอง
•• จากนั้นไป 6 เดือน วันที่ 3 มกราคม 2533 เจ้าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง สมณะโพธิรักษ์ – และนักบวชชายหญิงแห่งสำนักสันติอโศก รวม 80 คน โดยได้ใช้นามเดิมแทน สมณะโพธิรักษ์ ว่า นายรัก รักพงษ์ ข้อหาที่เป็นฐานความผิดก็คือ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์, สนับสนุนและบวชให้โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ คดีต่อสู้กันอยู่นาน 5 ปี ในที่สุด ศาลฎีกา จึงมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย มีความผิด 27 กระทง – ลงโทษจำคุก 54 เดือน – โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี รวมทั้งคำพิพากษาอื่นเช่น ห้ามกระทำผิดซ้ำอีก, คุมประพฤติ เป็นอันน่าจะปิดฉากไป
•• แม้ว่า สมณะโพธิรักษ์ จะยังคงยืนยัน ปฏิบัติธรรมตามแนวการตีความเดิม และถือว่าเป็น พุทธสาวก แต่ในทางกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ไม่ใช่ แต่ท่านและสานุศิษย์ก็ยังคงสามารถดำเนินวิถีตามความเชื่อต่อไปโดย ไม่ขัดต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะเป็น สิทธิ, เสรีภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 38, 73 ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้อ้างอิงไว้แล้วเมื่อวันก่อน
•• เริ่มต้นที่ มาตรา 38 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “...บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน.” ตามด้วย มาตรา 73 ที่ระบุไว้ว่า “...รัฐต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งสนับสนุนการนำหลักธรรมของศาสนามาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต.” คงไม่ต้องตีความ
•• ทางที่ดีที่สุด ศูนย์คุณธรรม (และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) จะดำเนินนโยบาย 1 คน 1 สัจจะ ให้ ใหญ่โต อย่างไรก็ดำเนินต่อไปได้ภายใต้เงื่อนไข หลีกเลี่ยงการเข้ามาเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น วันวิสาขบูชา, วัดพระแก้ว หรือ วัดเบญจฯ เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาโดยตรง เช่นกรณีของ วันวิสาขบูชา ก็มอบให้เป็นเรื่องของ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เสียตั้งแต่ต้น