•• ก็คงจะจบลงไปแล้วกับ อีกฉากหนึ่ง ของ เสนาะ เทียนทอง เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมา ยอมรับผิดต่อสาธารณะ ที่ไม่ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยพร้อมทั้ง เน้น ด้วยว่า “...เรื่องนี้คุณหญิงพจมานก็ตำหนิผมด้วย.” เมื่อประกอบกับท่าทีเมื่อคืนวันก่อนของผู้เฒ่าก็บอกอยู่แล้วว่า “...ท่านนายกฯน่ะไม่เท่าไหร่หรอก.” แต่ที่ออกจะยัง ติดใจ ก็คือพฤติกรรมของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ คนแรกน่ะออกมาให้สัมภาษณ์ถึง 2 ครั้งซ้อนในรอบ 3 วันในทำนองว่า “...ต้องแยกความเคารพนับถือในฐานะผู้ใหญ่ออกจากการทำงาน.” ซึ่งถ้าตีความแล้วอาจเข้าใจไปได้ว่าตัวท่านนั้น ณ นาทีนี้ ไร้ความสามารถ – ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานเสียแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าเป็นแค่ คนแก่คนหนึ่ง ขณะที่คนหลังในฐานะ ด่านสุดท้ายก่อนถึงตัวนายกรัฐมนตรี นั้นเสมือน กีดกัน – ไม่ให้คนที่เคารพนับถือกันได้มีโอกาสสนทนากัน ถึง 2 ครั้ง ทีเดียว
•• กล่าวเฉพาะกรณี ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ในรอบ 4 ปีมานี้ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก ในพฤติการณ์ที่เสมือน เป็นเจ้าของตัวนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อว่าครั้งนี้ ไม่สะเทือน เพราะอย่าว่าแต่ เสนาะ เทียนทอง แม้แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เคยวิพากษ์วิจารณ์โดยนัยมาแล้วเมื่อ ปลายปี 2545 แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
•• เหตุที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา ณ เวลานั้นเป็นเสมือน สัญญาณเตือน ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พิจารณา กระบวนการทำงาน อย่าง แรง เพราะคือคำเตือนจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในเรื่อง คนใกล้ชิด, คนสนิท ประโยคที่ว่า “...การเป็นคนสนิทของนายกฯนั้น ถูกต้องแล้วที่ต้องคอยกันคนนั้นคนนี้ แต่ต้องพิจารณาด้วย ไม่ใช่กันไปหมด ต้องดูว่าเขาหวังดี ต้องการพูดเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เมื่อไม่มีโอกาสพูดให้นายกฯรับรู้ นายกฯก็พลาดโอกาสไป อย่างนี้คนสนิทต้องคิดว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ได้คุยบ้าง ไม่ใช่อะไร ๆ ก็รบกวนเวลานายกฯหมด." นั้นน่าจะไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะ พลาดโอกาส พูดคุยเรื่อง ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ คนที่รู้จักบุคลิกภาพ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มาพอสมควรคาดการณ์ว่านั่นเป็น ฟางเส้นสุดท้าย ที่พิจารณาแล้วว่า ถึงเวลา ต้องออกมา เตือนอย่างแรง หลังจากได้รับฟัง ปัญหา เกี่ยวกับ ด่านสุดท้ายก่อนถึงตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คือ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ในอดีตแม้จะเคยเป็น จุดเด่น, จุดแข็ง แต่เวลาผ่านมาน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าเริ่มเป็น จุดอ่อน ไม่ใช่เพียงเพราะ กันคนอื่น แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บทบาทสังเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดก่อนถึงตัวนายกรัฐมนตรี ที่มีลักษณะ บายพาส รวมทั้ง บทบาทตัวเชื่อม เนื่องเพราะเขาเป็นคนที่อยู่ ใกล้ชิด ที่มีโอกาส พูดคุย, สนทนา แม้กระทั่งเวลาอยู่ใน รถยนต์ เป็นทั้ง ด่านแรก ที่ป้อนข้อมูลโดยสรุป ณ ห้วงเวลาแรก ๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับจากต่างประเทศ, กลับจากต่างจังหวัด ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อ อัตตวินิจฉัย ของผู้เป็น นาย ที่มีบุคลิกภาพ คิดเร็ว, ทำเร็ว และ พูดเร็ว นอกจากนั้นการเป็น ด่านสุดท้าย ที่จะตัดสินใจให้ ใคร เข้าพบยังค่อนข้าง อันตราย หาก ใช้วิจารณญาณส่วนตัว โดย ไม่ถามไถ่ ผู้เป็น นาย อย่าลืมว่าคนที่เข้าไปหาผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้นั้นมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่ง เอามลภาวะไปให้ อีกประเภทหนึ่ง เอาของดีไปให้ ประเภทแรกนั้นต่อให้ถูก กัน, มึนตึง หรือ รอแล้วรอเล่า เขาก็จะ อดทน และรู้จัก สร้างสัมพันธ์กับคนสนิท แต่ประเภทหลังเมื่อเจอเข้ากับ มลภาวะหน้าห้อง เขาก็ เอือมระอา และเริ่ม ล่าถอย หากนายกรัฐมนตรีไม่ จงใจเรียกหา ก็จะ ไม่เสนอหน้า คำพูดของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ครั้งนั้นจึง แทนใจ, ถูกใจ คนจำนวนมากที่ปรารถนาดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเดิม
•• ครั้งนั้น บารมี ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยัง ล้นเหลือ นอกจากจะ ให้สัมภาษณ์ แล้วยังได้ใช้ เครือข่าย พบปะทำความเข้าใจหรือนัยหนึ่ง แปลไทยให้เป็นไทย ให้กับ สื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง ได้รับรู้ว่า สาส์น ที่ สื่อ ออกมานั้นหมายถึง ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ และเชื่อว่าเป็นการสะสมข้อมูลมาจาก พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์ ผู้เคยดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอาจจะมีบางส่วนจาก สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ด้วย
•• ถึงที่สุดแล้ว “เซี่ยงเส้าหลง” เคยอาจหาญเสนอไปในครั้งนั้นว่าหนึ่งใน คนสนิท ที่ควรจะอยู่ข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นไปได้ไหมที่จะมีสักคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือน เหว่ยเจิง ขุนนางชั้นสูงในยุคต้น ราชวงศ์ถัง หลังการเถลิงอำนาจของ หลี่ซื่อหมิน หรือ ถังไทจงฮ่องเต้ มีชื่อตำแหน่งว่า ขุนนางทัดทาน มีหน้าที่คอย ทัดทาน, ท้วงติง, แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ทิศทางการบริหารงานได้อย่างเต็มที่ พูดง่าย ๆ ว่าให้มี หน้าที่คัดค้าน โดยไม่ต้องเกรง อาญาแผ่นดิน เพราะเห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ยุค ราชวงศ์สุย และ พระบิดา – หลี่เอียน แล้วว่าต่อให้เต็มไปด้วย อัจฉริยภาพ แค่ไหนหากมีแต่เสียง “...ได้ครับพี่, ดีครับนาย, สบายครับผม, เหมาะสมครับท่าน, (ชนะบานครับหัวหน้า).” อึงมี่อยู่ รอบกาย ก็ไม่ไหว ไปไม่รอด แฟนพันธุ์แท้ของ มังกรคู่สู้สิบทิศ คงจะพอจำกันได้ว่า หวงอี้ นำมาใส่ไว้ในเนื้อหาตอนท้ายของ ภาคสมบูรณ์เล่มที่ 11 คน ๆ นี้เป็น คนเก่า ของอดีตรัชทายาทผู้วายชนม์ หลี่เจี้ยนเฉิง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคง เหมือนเดิม – ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเวลาผ่านมาจนถึงบัดนี้ถึงไม่อยากสรุปก็จำเป็นต้องสรุปว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 23 คนนี้ต้องการ “...ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์อย่างที่เป็นผดุง ลิ้มเจริญรัตน์.” อย่างนี้แหละ
•• และอีกประการหนึ่งที่ เสนาะ เทียนทอง ต้องส่องกระจกดูตนเองเหมือนกันว่าตัวท่านนั้นที่ ต้องการพบนายกรัฐมนตรี น่ะจัดอยู่ในประเภท เอามลภาวะไปให้ หรือ เอาของดีไปให้ กันแน่
•• การบริหารจัดการคนอย่าง เสนาะ เทียนทอง นั้นพิสูจน์แล้วว่า ไม่ยาก แต่ที่น่าสนใจกว่านี้ก็คือภายใต้สถานการณ์ใหม่ที่ในภาพรวมขณะนี้ไม่มีก๊วนไม่มีวังไหน ๆ นอกจาก วังทักษิณ กับ วังนักเลือกตั้ง คำถามที่ 1 เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีคนเก่งของเราจะ บริหารจัดการวังนักเลือกตั้ง ไปได้ตลอดรอดฝั่ง 4 ปี คำถามที่ 2 เป็นไปได้หรือไม่ที่บรรดาหัวขบวนของวังนักเลือกตั้งอย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน, พินิจ จารุสมบัติ และ ฯลฯ จะเรียนรู้บทเรียน ความผิดพลาด จาก เสนาะ เทียนทอง หรือว่าเรียนรู้แล้วก็พลิกบทบาท 180 องศากลับไปเอาอย่าง เนวิน ชิดชอบ เริ่มต้นจากเป็นเด็กเกาะรอบรั้ววังทักษิณก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างอดทนโดยจดจำ โอวาทหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ – ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2547 ไว้ให้ขึ้นใจ “...ถ้าไปอยู่กับไอ้ทักษิณ มันว่าอะไร แนะนำพร่ำสอนอะไร ก็อย่าไปตีตนเสมอท่าน ถ้าตีตัวเสมอท่านเมื่อไร ไม่แตกก็หัก ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน – ไปอยู่กับไอ้ทักษิณ ต้องวางตัวให้เหมาะสม ให้รู้กาลเทศะ.” เพื่อรอคอยโอกาสที่จะ เข้าไปเป็นเด็กรับใช่ในวังทักษิณ ก่อนจะ จบชีวิตทางการเมืองอย่างสงบ ภายใน 4 – 8 ปีข้างหน้า น่าคิดนะ
•• ประเด็นนี้จะชัดเจนมากหากมองในบริบท พัฒนาการของสังคม ที่ฐานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นยืนอยู่บนด้านที่ ก้าวหน้า มองจากมุมนี้จะพบว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ การบริหารจัดการทั้งของรัฐและของพรรคไทยรักไทย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ขั้นตอนรุก ที่ แข็งกร้าว ของ ทุนใหญ่ส่วนกลาง ที่เข้าไปทำลายฐานที่มั่นสำคัญของ ทุนท้องถิ่น การรุกขั้นที่ว่านี้มี ผลรวมทางการเมือง เป็นกระบวนการ ตัดเสบียงกรังของนักการเมืองท้องถิ่นลงโดยเกือบจะสิ้นเชิง อันจะมีผลทำให้การเข้าสู่ สนามการเมือง ของ นักเลือกตั้ง มีแต่จะต้องหันมา สวามิภักดิ์, พึ่งพิง และ ขึ้นต่อ สิ่งที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เรียกว่า ทุนส่วนกลางยุคใหม่ หรือนัยหนึ่ง ทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและทุนจากหุ้น (ที่มี วิธีการระดมทุน ได้ทั้ง ง่ายกว่า, ถูกต้องตามกฎหมายกว่า และโดยรูปแบบแล้วได้รับการยอมรับว่า อารยะกว่า) ชนิด เบ็ดเสร็จเด็ดขาด การถือกำเนิดขึ้นของ พรรคไทยรักไทย และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลและกระบวนการบริหารจัดการภายในพรรคไทยรักไทยต่าง ๆ ไล่มาตั้งแต่ ปราบปรามยาเสพติด, ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มาจนถึง ปราบปรามหวยใต้ดิน และแม้แต่กระทั่งล่าสุด การจัดคณะรัฐมนตรี, การวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร – ประธานวิปรัฐบาล หรือแม้แต่ การจัดวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองระดับกรรมาธิการ – เลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ด้านหนึ่งคือ การปฏิบัติตามกฎหมาย, การทำความสะอาดสังคม และ การทำให้การเมืองโกอินเตอร์ แต่อีกด้านหนึ่งที่เป็น ผลที่ติดตามมาโดยไม่อาจจะแยกออกไปได้ ก็คือ การเข้าตีฐานทุนเก่า นั่นเอง
•• แต่ความจริงที่ยังไม่อาจปฏิเสธคือ 377 เสียง ของ พรรคไทยรักไทย นั้น เกินครึ่ง ที่เป็น นักเลือกตั้ง หากกีดกันพวกเขาออกจาก เวทีอำนาจ – แม้แต่ในพื้นที่สุดท้ายคือสภาผู้แทนราษฎร เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะได้เห็น ปฏิบัติการที่คาดไม่ถึง ของบรรดา หมูไม่กลัวน้ำร้อน หรือว่า ณ วันนั้นจะเหลืออยู่แต่ มนุษย์พันธุ์เนวิน ชิดชอบ เท่านั้น
•• ถ้าจนถึง ปี 2552 ยังไม่มี หมูไม่กลัวน้ำร้อน มีแต่ มนุษย์พันธุ์เนวิน ชิดชอบ นวัตกรรมใหม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศออกมาคือ การเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อคัดตัวผู้สมัครส.ส.ในนามพรรคไทยรักไทย จะเป็น แดนประหาร ของ ผู้ที่ไม่ปรารถนาจะสวมวิญญาณเนวิน ชิดชอบ อย่างแน่นอน
•• นี่เป็น โจทย์ใหญ่ ที่คนติดตามการเมืองอย่างพวกเราจะต้อง อ่านให้ออก, ตีให้แตก ก่อนขึ้น นั่งบนภู ด้วยความสำราญในหทัย
•• ความยิ่งใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นอย่าว่าแต่ เสนาะ เทียนทอง จะต้อง สยบ แม้แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ตลอดระยะเวลา 2 – 3 ปีที่ผ่านมา รักษาระยะชิดระยะห่าง แต่ถึงที่สุดแล้วก็ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า บทบาทของท่านในฐานะ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านทรัพยากรมนุษย์ และ ประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ที่ออกมาเป็นหัวหอกในการรณรงค์ ต่อต้านเบียร์ช้างเข้าตลาดฯ ก็เป็นเรื่อง วิน – วิน มองในทางการเมืองแล้วท่านมหา 5 ขันได้มีโอกาส สำแดงพลัง ขณะที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ในฐานะตัวแทนของ ทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและทุนจากหุ้น ก็สามารถ ตัดหนทางนิวคัมเมอร์ ไปโดยปริยาย “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ได้บอกนะว่าระหว่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง – พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น รู้กัน, บงการกัน แต่เป็นเรื่องที่นักการเมืองคนหลังผู้แจ้งเกิดทางการเมืองทางลัดจากการเปิดโอกาสให้ของนักการเมืองคนแรกน่ะ ฉลาดปราดเปรื่อง – อ่านทางออกเหมือนตาเห็น ว่าถ้าโยนลูกจากปีกอย่างเหมาะเหม็งมาตรงกลางประตูด้วยวิธีการ มอบหมายศูนย์คุณธรรม – พร้อมงบประมาณปี 2548 จำนวน 226 ล้านบาทให้ แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ศูนย์หน้านักทำประตูประเภทสไตรเกอร์แม้จะเริ่มสูงวัยแต่สถานการณ์เยี่ยงนี้ ไม่มีวันพลาดโอกาสทอง เรื่องก็มีอยู่แค่นี้

รวมเล่ม “พายัพ วนาสุวรรณ” แล้ว – จากคอลัมน์ “คุณถาม พายัพตอบ” นำมาจัดหมวดหมู่รวมเล่มได้ 3 เล่ม จะวางตลาดเป็นปฐมฤกษ์ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2548 ไปจนถึงวันที่ 6 เมษายน 2548 ปกที่นำมาโชว์นี้เป็นเล่ม 1 “เปลือยอเมริกา” ราคา 180 บาท ทั้งชุดราคาเท่าไรและจะมีโปรโมชั่นอย่างไรบ้าง ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่นี่ หรือใจร้อนก็สอบถามที่ “สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์” โทรศัพท์ 0-2629-4488 ต่อ 2208, 2209 และ/หรือ โทรสาร 0-2281-9912 ในเวลาทำงาน
•• กล่าวเฉพาะกรณี ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ในรอบ 4 ปีมานี้ ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาก ในพฤติการณ์ที่เสมือน เป็นเจ้าของตัวนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อว่าครั้งนี้ ไม่สะเทือน เพราะอย่าว่าแต่ เสนาะ เทียนทอง แม้แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เคยวิพากษ์วิจารณ์โดยนัยมาแล้วเมื่อ ปลายปี 2545 แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
•• เหตุที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา ณ เวลานั้นเป็นเสมือน สัญญาณเตือน ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พิจารณา กระบวนการทำงาน อย่าง แรง เพราะคือคำเตือนจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในเรื่อง คนใกล้ชิด, คนสนิท ประโยคที่ว่า “...การเป็นคนสนิทของนายกฯนั้น ถูกต้องแล้วที่ต้องคอยกันคนนั้นคนนี้ แต่ต้องพิจารณาด้วย ไม่ใช่กันไปหมด ต้องดูว่าเขาหวังดี ต้องการพูดเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เมื่อไม่มีโอกาสพูดให้นายกฯรับรู้ นายกฯก็พลาดโอกาสไป อย่างนี้คนสนิทต้องคิดว่าน่าจะเปิดโอกาสให้ได้คุยบ้าง ไม่ใช่อะไร ๆ ก็รบกวนเวลานายกฯหมด." นั้นน่าจะไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะ พลาดโอกาส พูดคุยเรื่อง ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ คนที่รู้จักบุคลิกภาพ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มาพอสมควรคาดการณ์ว่านั่นเป็น ฟางเส้นสุดท้าย ที่พิจารณาแล้วว่า ถึงเวลา ต้องออกมา เตือนอย่างแรง หลังจากได้รับฟัง ปัญหา เกี่ยวกับ ด่านสุดท้ายก่อนถึงตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คือ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ในอดีตแม้จะเคยเป็น จุดเด่น, จุดแข็ง แต่เวลาผ่านมาน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าเริ่มเป็น จุดอ่อน ไม่ใช่เพียงเพราะ กันคนอื่น แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บทบาทสังเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดก่อนถึงตัวนายกรัฐมนตรี ที่มีลักษณะ บายพาส รวมทั้ง บทบาทตัวเชื่อม เนื่องเพราะเขาเป็นคนที่อยู่ ใกล้ชิด ที่มีโอกาส พูดคุย, สนทนา แม้กระทั่งเวลาอยู่ใน รถยนต์ เป็นทั้ง ด่านแรก ที่ป้อนข้อมูลโดยสรุป ณ ห้วงเวลาแรก ๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับจากต่างประเทศ, กลับจากต่างจังหวัด ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อ อัตตวินิจฉัย ของผู้เป็น นาย ที่มีบุคลิกภาพ คิดเร็ว, ทำเร็ว และ พูดเร็ว นอกจากนั้นการเป็น ด่านสุดท้าย ที่จะตัดสินใจให้ ใคร เข้าพบยังค่อนข้าง อันตราย หาก ใช้วิจารณญาณส่วนตัว โดย ไม่ถามไถ่ ผู้เป็น นาย อย่าลืมว่าคนที่เข้าไปหาผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้นั้นมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่ง เอามลภาวะไปให้ อีกประเภทหนึ่ง เอาของดีไปให้ ประเภทแรกนั้นต่อให้ถูก กัน, มึนตึง หรือ รอแล้วรอเล่า เขาก็จะ อดทน และรู้จัก สร้างสัมพันธ์กับคนสนิท แต่ประเภทหลังเมื่อเจอเข้ากับ มลภาวะหน้าห้อง เขาก็ เอือมระอา และเริ่ม ล่าถอย หากนายกรัฐมนตรีไม่ จงใจเรียกหา ก็จะ ไม่เสนอหน้า คำพูดของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ครั้งนั้นจึง แทนใจ, ถูกใจ คนจำนวนมากที่ปรารถนาดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเดิม
•• ครั้งนั้น บารมี ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยัง ล้นเหลือ นอกจากจะ ให้สัมภาษณ์ แล้วยังได้ใช้ เครือข่าย พบปะทำความเข้าใจหรือนัยหนึ่ง แปลไทยให้เป็นไทย ให้กับ สื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง ได้รับรู้ว่า สาส์น ที่ สื่อ ออกมานั้นหมายถึง ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ และเชื่อว่าเป็นการสะสมข้อมูลมาจาก พล.ท.ปรีชา วรรณรัตน์ ผู้เคยดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอาจจะมีบางส่วนจาก สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ด้วย
•• ถึงที่สุดแล้ว “เซี่ยงเส้าหลง” เคยอาจหาญเสนอไปในครั้งนั้นว่าหนึ่งใน คนสนิท ที่ควรจะอยู่ข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นไปได้ไหมที่จะมีสักคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือน เหว่ยเจิง ขุนนางชั้นสูงในยุคต้น ราชวงศ์ถัง หลังการเถลิงอำนาจของ หลี่ซื่อหมิน หรือ ถังไทจงฮ่องเต้ มีชื่อตำแหน่งว่า ขุนนางทัดทาน มีหน้าที่คอย ทัดทาน, ท้วงติง, แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ทิศทางการบริหารงานได้อย่างเต็มที่ พูดง่าย ๆ ว่าให้มี หน้าที่คัดค้าน โดยไม่ต้องเกรง อาญาแผ่นดิน เพราะเห็นบทเรียนจากประวัติศาสตร์ยุค ราชวงศ์สุย และ พระบิดา – หลี่เอียน แล้วว่าต่อให้เต็มไปด้วย อัจฉริยภาพ แค่ไหนหากมีแต่เสียง “...ได้ครับพี่, ดีครับนาย, สบายครับผม, เหมาะสมครับท่าน, (ชนะบานครับหัวหน้า).” อึงมี่อยู่ รอบกาย ก็ไม่ไหว ไปไม่รอด แฟนพันธุ์แท้ของ มังกรคู่สู้สิบทิศ คงจะพอจำกันได้ว่า หวงอี้ นำมาใส่ไว้ในเนื้อหาตอนท้ายของ ภาคสมบูรณ์เล่มที่ 11 คน ๆ นี้เป็น คนเก่า ของอดีตรัชทายาทผู้วายชนม์ หลี่เจี้ยนเฉิง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคง เหมือนเดิม – ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเวลาผ่านมาจนถึงบัดนี้ถึงไม่อยากสรุปก็จำเป็นต้องสรุปว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 23 คนนี้ต้องการ “...ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์อย่างที่เป็นผดุง ลิ้มเจริญรัตน์.” อย่างนี้แหละ
•• และอีกประการหนึ่งที่ เสนาะ เทียนทอง ต้องส่องกระจกดูตนเองเหมือนกันว่าตัวท่านนั้นที่ ต้องการพบนายกรัฐมนตรี น่ะจัดอยู่ในประเภท เอามลภาวะไปให้ หรือ เอาของดีไปให้ กันแน่
•• การบริหารจัดการคนอย่าง เสนาะ เทียนทอง นั้นพิสูจน์แล้วว่า ไม่ยาก แต่ที่น่าสนใจกว่านี้ก็คือภายใต้สถานการณ์ใหม่ที่ในภาพรวมขณะนี้ไม่มีก๊วนไม่มีวังไหน ๆ นอกจาก วังทักษิณ กับ วังนักเลือกตั้ง คำถามที่ 1 เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีคนเก่งของเราจะ บริหารจัดการวังนักเลือกตั้ง ไปได้ตลอดรอดฝั่ง 4 ปี คำถามที่ 2 เป็นไปได้หรือไม่ที่บรรดาหัวขบวนของวังนักเลือกตั้งอย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน, พินิจ จารุสมบัติ และ ฯลฯ จะเรียนรู้บทเรียน ความผิดพลาด จาก เสนาะ เทียนทอง หรือว่าเรียนรู้แล้วก็พลิกบทบาท 180 องศากลับไปเอาอย่าง เนวิน ชิดชอบ เริ่มต้นจากเป็นเด็กเกาะรอบรั้ววังทักษิณก้มหน้าก้มตาทำงานไปอย่างอดทนโดยจดจำ โอวาทหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ – ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2547 ไว้ให้ขึ้นใจ “...ถ้าไปอยู่กับไอ้ทักษิณ มันว่าอะไร แนะนำพร่ำสอนอะไร ก็อย่าไปตีตนเสมอท่าน ถ้าตีตัวเสมอท่านเมื่อไร ไม่แตกก็หัก ให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน – ไปอยู่กับไอ้ทักษิณ ต้องวางตัวให้เหมาะสม ให้รู้กาลเทศะ.” เพื่อรอคอยโอกาสที่จะ เข้าไปเป็นเด็กรับใช่ในวังทักษิณ ก่อนจะ จบชีวิตทางการเมืองอย่างสงบ ภายใน 4 – 8 ปีข้างหน้า น่าคิดนะ
•• ประเด็นนี้จะชัดเจนมากหากมองในบริบท พัฒนาการของสังคม ที่ฐานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นยืนอยู่บนด้านที่ ก้าวหน้า มองจากมุมนี้จะพบว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ การบริหารจัดการทั้งของรัฐและของพรรคไทยรักไทย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ขั้นตอนรุก ที่ แข็งกร้าว ของ ทุนใหญ่ส่วนกลาง ที่เข้าไปทำลายฐานที่มั่นสำคัญของ ทุนท้องถิ่น การรุกขั้นที่ว่านี้มี ผลรวมทางการเมือง เป็นกระบวนการ ตัดเสบียงกรังของนักการเมืองท้องถิ่นลงโดยเกือบจะสิ้นเชิง อันจะมีผลทำให้การเข้าสู่ สนามการเมือง ของ นักเลือกตั้ง มีแต่จะต้องหันมา สวามิภักดิ์, พึ่งพิง และ ขึ้นต่อ สิ่งที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เรียกว่า ทุนส่วนกลางยุคใหม่ หรือนัยหนึ่ง ทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและทุนจากหุ้น (ที่มี วิธีการระดมทุน ได้ทั้ง ง่ายกว่า, ถูกต้องตามกฎหมายกว่า และโดยรูปแบบแล้วได้รับการยอมรับว่า อารยะกว่า) ชนิด เบ็ดเสร็จเด็ดขาด การถือกำเนิดขึ้นของ พรรคไทยรักไทย และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลและกระบวนการบริหารจัดการภายในพรรคไทยรักไทยต่าง ๆ ไล่มาตั้งแต่ ปราบปรามยาเสพติด, ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มาจนถึง ปราบปรามหวยใต้ดิน และแม้แต่กระทั่งล่าสุด การจัดคณะรัฐมนตรี, การวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร – ประธานวิปรัฐบาล หรือแม้แต่ การจัดวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองระดับกรรมาธิการ – เลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ด้านหนึ่งคือ การปฏิบัติตามกฎหมาย, การทำความสะอาดสังคม และ การทำให้การเมืองโกอินเตอร์ แต่อีกด้านหนึ่งที่เป็น ผลที่ติดตามมาโดยไม่อาจจะแยกออกไปได้ ก็คือ การเข้าตีฐานทุนเก่า นั่นเอง
•• แต่ความจริงที่ยังไม่อาจปฏิเสธคือ 377 เสียง ของ พรรคไทยรักไทย นั้น เกินครึ่ง ที่เป็น นักเลือกตั้ง หากกีดกันพวกเขาออกจาก เวทีอำนาจ – แม้แต่ในพื้นที่สุดท้ายคือสภาผู้แทนราษฎร เป็นไปได้หรือไม่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะได้เห็น ปฏิบัติการที่คาดไม่ถึง ของบรรดา หมูไม่กลัวน้ำร้อน หรือว่า ณ วันนั้นจะเหลืออยู่แต่ มนุษย์พันธุ์เนวิน ชิดชอบ เท่านั้น
•• ถ้าจนถึง ปี 2552 ยังไม่มี หมูไม่กลัวน้ำร้อน มีแต่ มนุษย์พันธุ์เนวิน ชิดชอบ นวัตกรรมใหม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศออกมาคือ การเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อคัดตัวผู้สมัครส.ส.ในนามพรรคไทยรักไทย จะเป็น แดนประหาร ของ ผู้ที่ไม่ปรารถนาจะสวมวิญญาณเนวิน ชิดชอบ อย่างแน่นอน
•• นี่เป็น โจทย์ใหญ่ ที่คนติดตามการเมืองอย่างพวกเราจะต้อง อ่านให้ออก, ตีให้แตก ก่อนขึ้น นั่งบนภู ด้วยความสำราญในหทัย
•• ความยิ่งใหญ่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นอย่าว่าแต่ เสนาะ เทียนทอง จะต้อง สยบ แม้แต่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ตลอดระยะเวลา 2 – 3 ปีที่ผ่านมา รักษาระยะชิดระยะห่าง แต่ถึงที่สุดแล้วก็ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า บทบาทของท่านในฐานะ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านทรัพยากรมนุษย์ และ ประธานศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ที่ออกมาเป็นหัวหอกในการรณรงค์ ต่อต้านเบียร์ช้างเข้าตลาดฯ ก็เป็นเรื่อง วิน – วิน มองในทางการเมืองแล้วท่านมหา 5 ขันได้มีโอกาส สำแดงพลัง ขณะที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ในฐานะตัวแทนของ ทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและทุนจากหุ้น ก็สามารถ ตัดหนทางนิวคัมเมอร์ ไปโดยปริยาย “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่ได้บอกนะว่าระหว่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง – พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น รู้กัน, บงการกัน แต่เป็นเรื่องที่นักการเมืองคนหลังผู้แจ้งเกิดทางการเมืองทางลัดจากการเปิดโอกาสให้ของนักการเมืองคนแรกน่ะ ฉลาดปราดเปรื่อง – อ่านทางออกเหมือนตาเห็น ว่าถ้าโยนลูกจากปีกอย่างเหมาะเหม็งมาตรงกลางประตูด้วยวิธีการ มอบหมายศูนย์คุณธรรม – พร้อมงบประมาณปี 2548 จำนวน 226 ล้านบาทให้ แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ศูนย์หน้านักทำประตูประเภทสไตรเกอร์แม้จะเริ่มสูงวัยแต่สถานการณ์เยี่ยงนี้ ไม่มีวันพลาดโอกาสทอง เรื่องก็มีอยู่แค่นี้
รวมเล่ม “พายัพ วนาสุวรรณ” แล้ว – จากคอลัมน์ “คุณถาม พายัพตอบ” นำมาจัดหมวดหมู่รวมเล่มได้ 3 เล่ม จะวางตลาดเป็นปฐมฤกษ์ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2548 ไปจนถึงวันที่ 6 เมษายน 2548 ปกที่นำมาโชว์นี้เป็นเล่ม 1 “เปลือยอเมริกา” ราคา 180 บาท ทั้งชุดราคาเท่าไรและจะมีโปรโมชั่นอย่างไรบ้าง ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่นี่ หรือใจร้อนก็สอบถามที่ “สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์” โทรศัพท์ 0-2629-4488 ต่อ 2208, 2209 และ/หรือ โทรสาร 0-2281-9912 ในเวลาทำงาน