xs
xsm
sm
md
lg

ดำเนินคดี 10 ขวบลักทรัพย์ .... ทำเกินกว่าเหตุ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รายการคนในข่าว (15 มี.ค.48) เสนอเรื่อง “ดำเนินคดี 10 ขวบลักทรัพย์ .... ทำเกินกว่าเหตุ?” หลังจากที่เกิดการขโมยขนมของเด็ก 10 ขวบในร้านของเจ๊เล้ง โดยได้เชิญ “น้องปอ” และคุณแม่มาร่วมรายการ พร้อมทั้งฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจาก “วันชัย รุจนวงศ์” อธิบดีกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน และ “มะโน ทองปาน” กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย จากสภาทนายความ ว่าตามกฎหมายแล้ว การที่ตำรวจขังเด็กไว้ในห้องขังนั้น ถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุหรือเปล่า และจุดจบที่ดีที่สุดของคดีนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามได้จากรายการวันนี้

รายการคนในข่าว ออกอากาศทางช่อง 11 News 1 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 21.05-22.00 น. ดำเนินรายการโดยจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ

จินดารัตน์ – สวัสดีค่ะ คุณผู้ชมคะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคนในข่าวค่ะ จากภาพที่เห็นคงจะเป็นข่าวที่คุณผู้ชมคงให้ความสนใจอยู่ใช่ไหมคะ ต้องเรียกได้ว่าเป็นคดีสะเทือนสังคมกันพอสมควรทีเดียว เนื่องจากเด็กวัยเพียงแค่ 10 ขวบ จะถูกดำเนินคดีเรื่องของการเข้าไปขโมยขนม ราคา 34 บาทจากร้านเจ๊เล้ง แถวๆย่านดอนเมืองนะคะ ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางสังคมที่คนพูดถึงมาก ตกลงว่าใครผิดใครถูก ใครทำรุนแรงเกินไป ใครทำเกินเหตุ หรือว่าตำรวจนั้นไม่เข้าใจกระบวนการในการที่จะกักขังเด็กเอาไว้ในห้องขังบนโรงพัก มีสิทธิที่จะทำได้หรือไม่

จริงๆแล้ววันนี้เราจะมาคุยกันในเรื่องนี้ก็คงจะไม่ได้ตัดสินนะคะ ว่าใครผิดใครถูก ใครรุนแรงมากเกินไป แต่เราจะมาดูว่าขั้นตอนกระบวนการในการดำเนินคดีกับเด็กอายุ 10 ขวบนั้น ควรจะทำอย่างไร แล้วเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่เองควรจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมายบ้างในเบื้องต้นนะคะ เราจะคุยเรื่องนี้กับแขกรับเชิญของเรา 4 ท่านด้วยกัน ท่านแรกคุณวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนค่ะ ท่านต่อมานะคะอาจารย์มะโน ทองปาน กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย จากสภาทนายความค่ะ

และที่เป็นข่าวเป็นคราวกัน น้องปอเป็นนามสมมุตินะคะ เด็กชายอายุ 10 ขวบที่ไปขโมยขนมจากร้านเจ๊เล้งที่ว่านี่แหละค่ะ และก็คุณแม่ของน้องปอก็มาด้วย ดิฉันขออนุญาตสงวนนามนะคะ สวัสดีค่ะทั้ง 4 ท่าน ขอบพระคุณค่ะที่มาคุยกันวันนี้นะคะ ก่อนที่เราจะไปดูว่าขั้นตอนกระบวนการในทางกฎหมาย ในแง่ของหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ควรทำกันอย่างไร สำหรับตำรวจ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ เราลองมาฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจากน้องปอกันก่อนนะคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น น้องปอวันนั้นไปที่ร้านเจ๊เล้งใช่ไหมคะ ไปกันกี่คนคะ

ปอ – 6 คนครับ

จินดารัตน์ – ไป 6 คนกับเพื่อนๆ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

ปอ – ไม่ครับ

จินดารัตน์ – เขาโตกว่าหรือว่ายังไงคะ

ปอ – บางคนก็โตกว่า

จินดารัตน์ – มีโตกว่ากี่คนคะ

ปอ – มี 3 คนครับ

จินดารัตน์ – 3 คนที่โตกว่า อีก 3 คนนั้นอายุไล่ๆกับเรา ถูกต้องไหมคะ เข้าไปวันนั้น ตั้งใจไปร้ายเจ๊เล้ง ไปทำอะไรเอ่ย ไปซื้อขนมหรืออะไร

ปอ – ไปซื้อขนม

จินดารัตน์ – ปกติไปร้านนี้บ่อยไหมคะ

ปอ – ไม่บ่อย

จินดารัตน์ – แล้วเพื่อนๆเขาชวนไป หรือว่าเราชวนเพื่อนไป

ปอ – ชวนไปครับ

จินดารัตน์ – เราชวนไป อยากไปซื้อขนมนะคะ คุ้นเคยกับร้านนั้นดี

ปอ – ไม่ครับ

จินดารัตน์ – ไม่นะคะ นานๆไปทีหนึ่ง วันนั้นไปรอบแรกเข้าไปเกิดอะไรขึ้น

ปอ – รอบแรกก็ไปเดินซื้อของ

จินดารัตน์ – เดินไปดูขนมตามปกตินี่นะคะ อย่างที่เคยไปมา แล้วได้ซื้อขนมอะไรออกมาไหมคะ

ปอ – ได้ซื้อ

จินดารัตน์ – ซื้อขนมออกมากี่อย่าง

ปอ – 2 อย่าง

จินดารัตน์ – ราคาเยอะไหมคะ ซักกี่บาทวันนั้นที่ซื้อไปรอบแรก

ปอ – 16 บาท

จินดารัตน์ – 16 บาท และเพื่อนๆล่ะ เขาซื้อขนมออกมาด้วยไหม

ปอ – ก็ซื้อ

จินดารัตน์ – แล้วพอออกมาจากร้าน แล้วยังไงต่อคะ

ปอ – ผมก็เดินไป แล้วก็เดินกลับมาอีก

จินดารัตน์ – รอบสองกลับมานี่ ตั้งใจกลับมาซื้ออีกไหม หรือยังไง

ปอ – ก็เดินมาดูแล้วค่อยกลับบ้าน

จินดารัตน์ – แล้วเกิดอะไรขึ้น

ปอ – ก็ขโมย

จินดารัตน์ – ทำไมถึงขโมยคะ น้องปอ

ปอ – อยากได้ครับ

จินดารัตน์ – อยากได้ มีสตางค์ไหมคะตอนนั้น

ปอ – หมดแล้ว

จินดารัตน์ – หมดแล้ว แม่ให้ไปเท่าไหร่วันนั้น

ปอ – ให้ 20 บาท

จินดารัตน์ – ให้ 20 ซื้อไป 16 บาท เหลือแค่ 4 บาท เพื่อนๆชวนกลับไปที่ร้านใหม่ แล้วเพื่อนๆล่ะคะ ใครเป็นคนชวนใครก่อน ปอ

ปอ – ผมชวน

จินดารัตน์ – ชวนเพื่อนๆเข้าไปในร้านรอบสอง แล้วใครเป็นคนต้นคิดว่า เอาล่ะ เดี๋ยวไปหยิบของเข้ามา

ปอ – ก็เพื่อนครับ

จินดารัตน์ – เพื่อนที่เป็นรุ่นโตกว่า หรือว่ารุ่นเดียวกับเราคะ

ปอ – ก็รุ่นเดียวกัน

จินดารัตน์ – รุ่นเดียวกัน เขาว่ายังไง

ปอ – บอกว่าจะขโมยของครับ

จินดารัตน์ – เพื่อนบอกเราว่าจะขโมยขนมแล้วนะเหรอคะ เขาบอกอย่างนั้นเหรอ แล้วเขาชวนเราอย่างไรคะ

ปอ – ให้เอาขนมออกไปจากร้านคะ

จินดารัตน์ – เอาของที่อยากกินหรือว่าอย่างไร

ปอ – ของที่อยากได้

จินดารัตน์ – เขาบอกไหม ว่าเขาเคยทำหรือเปล่า ยังไง

ปอ – บางคนก็เคยทำ บางคนก็ไม่เคยทำ

จินดารัตน์ – ปอกลัวไหม ตอนที่เขาบอกนี่

ปอ – ก็กลัว

จินดารัตน์ – กลัวผู้ใหญ่จับได้ไหมคะ

ปอ – กลัวเหมือนกันครับ

จินดารัตน์ – แสดงว่าเพื่อนๆที่ทำมา เขาไม่เคยโดนจับได้เลย เขาทำมากี่ครั้งแล้วคะ

ปอ – ก็ 3 ครั้ง

จินดารัตน์ – แล้วครั้งนี้เข้าไปเหมือนเดิม 6 คน หยิบทุกคนเลยหรือเปล่าคะ

ปอ – บางคนก็ไม่หยิบ บางคนก็จะซื้อครับ

จินดารัตน์ – แล้วคนที่ซื้อเขารู้ไหมว่าเราจะขโมยของเขา

ปอ – ก็ไม่รู้ครับ

จินดารัตน์ – ค่ะ เราหยิบขนมมา 2 อย่างใช่ไหมคะ ราคารวมกันแล้ว 34 บาท ถูกไหมคะ

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – แล้วหยิบออกมา หยิบมาทั้งหมดกี่คนคะ ที่ไปขโมย

ปอ – ก็แยกทางกัน ก็ต่างคนต่างไม่รู้ครับ

จินดารัตน์ – อ๋อ หยิบแล้วก็แยกกันเลย คือต่างคนต่างวิ่งล่ะ

ปอ – ก็เดินลงบันได

จินดารัตน์ -เดินลงบันไดแล้วยังไงต่อคะ

ปอ – กำลังจะเดินลงก็โดนพนักงานจับได้ครับ

จินดารัตน์ – เพื่อนๆเขาวิ่งกันหมดแล้ว

ปอ – ก็ไม่รู้ครับ ต่างคนต่างไป ผมก็ไม่รู้

จินดารัตน์ – แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเขามาเจอ เขาจับเราไว้ น้องปอตกใจไหม

ปอ – ตกใจครับ

จินดารัตน์ – ตอนหยิบของๆเขา นี่รู้ไหมว่ามันเป็นความผิด

ปอ – รู้ครับ

จินดารัตน์ – รู้ว่ามันไม่ดีใช่ไหม

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ -คุณน้าขออนุญาตถามทำไมถึงทำ

ปอ – อยากได้ของเขา

จินดารัตน์ – แค่อยากได้ แล้วเห็นว่าเพื่อนๆทำมาหลายครั้งไม่โดนจับอย่างนั้นหรือเปล่า

ปอ – ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ

จินดารัตน์ – นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าคะ

ปอ – ครั้งแรก

จินดารัตน์ – ไม่กลัวหรือ ตอนหยิบน่ะ

ปอ – ก็กลัว

จินดารัตน์ – พอโดนจับได้แล้วยังไงคะ เขาทำยังไงกับเรา

ปอ – ก็พาไปพบที่ร้านเจ๊เล้ง

จินดารัตน์ – ไปพบเจ๊เล้ง แล้วเจ๊เล้งว่ายังไงคะ

ปอ – ก็บอกว่าจะปรับขนมนี้เป็น 10 เท่า

จินดารัตน์ – เจ๊เล้งบอกกับเราอย่างนี้ บอกว่าจะปรับค่าขนมนี่เป็น 10 เท่า

ปอ – แล้วก็จะโทรแจ้งตำรวจ

จินดารัตน์ – แล้วยังไง

ปอ – ก็พาไปที่ สน.

จินดารัตน์ – สน.ดอนเมือง

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – พอไปที่ สน. แล้วตำรวจเขาว่าอย่างไรคะ

ปอ – บอกให้อยู่ที่นี่ก่อน

จินดารัตน์ – อยู่ที่นี่ก่อนนี่ เขาพาเราไปที่ห้องไหนยังไงไหมคะ

ปอ – อยู่ที่ห้องจับคนน่ะ

จินดารัตน์ – ห้องขังนี่หรือคะ ที่เป็นลูกกรงนี่เหรอ

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – เห็นตำรวจเขาบอกว่า เขาพาน้องปอไปที่ห้อง เหมือนกับห้องทำงานธรรมดาห้องหนึ่งจริงหรือเปล่า

ปอ – ตอนแรกก็ไปอยู่ในห้องนั้นก่อน

จินดารัตน์ – อยู่นานไหมคะ

ปอ – 5 ชั่วโมง

จินดารัตน์ – ประมาณ 5 ชั่วโมงที่อยู่ในห้องนั้น แล้วยังไงต่อคะ

ปอ – แล้วก็ค่อยออกไปที่ห้องตำรวจ

จินดารัตน์ – ห้องตำรวจหมายถึง

ปอ – ไว้นอน

จินดารัตน์ – ด้านนอก แต่ว่าน้องปอไม่ได้เข้ามาอยู่ในห้องที่เป็นลูกกรงจริงหรือเปล่า

ปอ – อยู่ครับ

จินดารัตน์ – อยู่หลังจากนั้นเหรอคะ

ปอ – อยู่ก่อนครับ

จินดารัตน์ – ก่อนจะเข้าไปในห้องที่เหมือนห้องทำงานนั้น ไปอยู่ในห้องขังก่อน

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – มีผู้ใหญ่คนอื่นอยู่กันเยอะไหมครับ

ปอ – ก็ 10 คนได้

จินดารัตน์ – แล้วเขาถามเรา เขาคุยกับเราไหม

ปอ – เขาถามว่าไปทำอะไรมา

จินดารัตน์ – อยู่ตรงนั้นนานไหมคะ

ปอ – 5 ชั่วโมง

จินดารัตน์ – หมายถึงอยู่ในห้องขังนะ

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – แล้วอยู่ในห้องเล็กๆนั้นอีกกี่ชั่วโมง

ปอ – ก็ถึงตอนเช้าครับ

จินดารัตน์ – หลังจากที่แม่มาแล้วหรือเปล่าคะ

ปอ – แม่มาก่อนแล้ว

จินดารัตน์ – แม่มาก่อน ตอนนั้นเรายังอยู่ในห้องขังอยู่

ปอ – ครับ

จินดารัตน์ – ตำรวจสอบปากคำเราหรือยัง

ปอ – ก็สอบแล้วครับ

จินดารัตน์ – คุณแม่ได้รับข่าวน้องหลังจากที่โดนจับไปที่สน. หลังจากนั้นนานไหมคะ

แม่ – ก็ตำรวจเขาคงจะจับเสร็จแล้วนะคะ เขาก็เอาไปที่สน. เขาก็ไปที่บ้านก็ไป 2 คน ก็ไปถามว่า เป็นแม่น้องปอหรือเปล่า แล้วเขาถามหาพ่อน้องปอด้วย บอกว่าใช่ไหม ใช่ค่ะ เห็นตำรวจก็คิดว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องตรงนี้เลย เพราะลูกไม่มีปัญหาตรงนี้ ทีนี้เขาก็บอกว่าลูกมีปัญหา คือไปหยิบขนมที่ร้านเจ๊เล้งเขา เจอเขาจับได้ เขาพามาที่สน.ดอนเมือง ให้คุณแม่ไปที่สน.ดอนเมืองด้วย ก็เลยไปกับคุณพ่อเขา

จินดารัตน์ – ตกใจไหมคะ

แม่ – ตกใจมากเลย จนน้ำหูน้ำตาจะไหล

จินดารัตน์ – ลูกเคยมีพฤติกรรมแบบนี้หรือไม่คะ

แม่ – ไม่มีเลยค่ะ ตอนที่ตำรวจไปไม่ได้คิดเรื่องนี้ คิดว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ถามตำรวจด้วยว่า เขาถามว่าแม่น้องปอหรือเปล่า ใช่ค่ะ เห็นตำรวจเสร็จก็คิดว่า น้องปอเป็นอะไรคะ มีเรื่องอะไร มีอุบัติเหตุอะไรกับน้องปอ น้องเป็นอะไร ก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ใจเย็นๆ คือน้องปอไปหยิบขนมที่เจ๊เล้ง แล้วทางเจ๊เล้งเขาจับได้ แล้วตอนนี้อยู่ที่สน.ดอนเมือง ให้คุณแม่กับคุณพ่อไปด้วยกัน

จินดารัตน์ – พอไปแล้วยังไงคะ น้องปอตอนนั้นอยู่ในห้องไหน

แม่ – อยู่ชั้นล่างค่ะ คือเป็นห้องที่บันทึกประจำวัน แล้วก็มียามอีกสองคน แล้วก็มีของกลางคือขนม

จินดารัตน์ – แต่ว่าลูกยังไม่ได้อยู่ในห้องขัง

แม่ – ยังค่ะ ตอนนั้นยังนั่งด้วยกันอยู่ นั่งด้วยกันเสร็จทางเจ้าหน้าที่เขาก็เขียนบันทึกประจำวัน ว่าเกิดตอนไหนอย่างไร ก็อย่างที่พูด แล้วเขาก็พาขึ้นไปชั้นบน ไปชั้นบนเสร็จเขาก็คุยว่า ทางเจ๊เล้งเขาไม่ยินยอม แล้วคุณแม่ก็เลยขอร้องเขาว่า ตอนก่อนที่จะขึ้นไปอีกห้องข้างบน เพราะมันมีอีกฝั่งหนึ่งทางนี้ ที่มันเป็นห้องเล็กๆที่จะต้องมาเซ็นเรื่องนี้ ทำไม ยังไง ก็เดินคุยกับยาม เขาบอกว่ายามขอร้องเถอะ เขาบอกว่าเจ๊เล้งไม่มา เขามาเป็นตัวแทนเจ๊เล้ง เราก็บอกว่าขอเถอะ เขาคิดเท่าไหร่ ยามบอกว่า 100 เท่าก็จะยอมเสีย ไม่มีเงินก็จะไปยืมมา แต่แม่ต้องการตรงนี้ให้มันจบไป รู้ว่าลูกผิดก็จะยอมรับชดใช้ตรงนี้ ค่าเสียหาย

ทีนี้ยามเขาก็ไม่พูดอะไร พอขึ้นไปชั้นที่เป็นห้องสารวัตร ก็คุยกันอีกพักหนึ่ง คุณแม่ก็เข้าใจว่าตรงนี้เขาคุยเสร็จ เขาก็คงจะให้จ่ายเงินตรงที่ว่าค่าเสียหาย ก็เลยมันก็นาน เขาก็พูดว่าจะเอายังไงกัน จะจ่ายเงินอะไร คิดยังไงก็ถามทางยามเขา ยามเขาพูดขึ้นมาเลยบอกว่า เจ๊เขาไม่ยอม เจ๊เขาจะให้เอาเรื่องถึงที่สุด ก็เลยบอกว่าเอาเรื่องยังไง เมื่อเราก็ยอมใช้ทุกอย่าง จะเอาเรื่องยังไง

จินดารัตน์ – ตำรวจอธิบายให้ฟังไหมคะ

แม่ – ตำรวจเขาบอกว่า เขาก็พูดคำเดียวว่า เจ๊เขาไม่ยอม ทางผมก็ต้องทำตามขั้นตอนของตำรวจ

จินดารัตน์ – แล้วเขาอธิบายให้คุณแม่ฟังไหมคะว่า ขั้นตอนของตำรวจนี่ต้องทำอะไรบ้าง

แม่ – ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก็คือแบบว่า คุณแม่ต้องเข้าใจนะ เด็กโดนจับ มีปัญหาไปขโมยของเขา คือทางเจ้าทุกข์เขาไม่ยอม ทางเจ้าหน้าที่เขาก็ต้องทำเป็นขั้นตอนของพนักงานของเขา

จินดารัตน์ – แล้วเขาทำอย่างไรกับลูกเราต่อไปคะ

แม่ – ทีนี้เขาก็บอกว่า ถ้าคุยกันอย่างนี้แล้ว ก็คือเจ๊เขาไม่ยอม เด็กก็ต้องเข้าห้องขัง

จินดารัตน์ – ตำรวจบอกว่าต้องจับเข้าห้องขัง แล้วเขาจับไปที่ห้องขังเลยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง

แม่ – ก็คุณแม่ก็ขอร้องเขาก่อน คุณแม่ก็บอกว่า คุณตำรวจอย่าเอาลูกเข้าได้ไหม ขอให้ลูกอยู่ข้างนอก แบบว่าแม่ก็อยู่นี่แหละ

จินดารัตน์ – แล้วตำรวจว่าอย่างไรคะ

แม่ – เขาบอกว่าไม่ได้ ยืนยันว่าต้องเข้าไปอยู่ข้างใน

จินดารัตน์ – ยืนยันว่าต้องเอาเข้าห้องขัง ตำรวจยืนยันอย่างนั้นหรือคะ แต่จากที่ได้คุยกับตำรวจสน.ดอนเมือง เขาบอกว่าเขาเอาไปอยู่ในห้อง เหมือนห้องสี่เหลี่ยมธรรมดา เหมือนห้องทำงานธรรมดา ไม่ได้เอาไปอยู่ในห้องขัง แต่ด้วยการร้องขอของคุณแม่เอง ว่าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นแล้วไม่เห็นลูก ขอให้ลูกออกมาอยู่ในห้องขังจริงหรือเปล่าคะ

แม่ – ไม่ใช่ค่ะ คือเข้าไปห้องนั้นแหละ คือห้องขัง เพียงแต่ว่าห้องขังมันจะมีอีกอย่างหนึ่ง คือเข้าไปลึกก็ยิ่งเป็นห้องแบบปิดกั้นเลย แต่ตรงนี้คือห้องขังคือเข้าไปปุ๊บก็เป็นห้อง เป็นตาข่าย คือคนอยู่คนละฝั่งกับแม่แล้ว คือไม่ใช่เป็นห้องข้างนอก เป็นห้องสารวัตรหรือเป็นห้องตำรวจที่ว่าจะดูแลข้างนอกกัน ไม่ใช่ คือเข้าไปเปิดประตูเข้าไปเขาก็จะมีกุญแจล็อกข้างนอก และก็ให้อยู่ข้างใน ที่คุณแม่ขอร้องบอกว่า ตรงนั้นคือไม่ใช่ข้างนอก แต่อยู่ข้างนอกตรงที่ว่า แต่เข้าไปในห้องขังแล้ว คือไม่อยากให้ลูกเข้าไปลึกกว่านั้น อยากให้เห็นลูกอยู่ตลอดเวลา ก็เลยบอกว่าหนูนั่งอยู่ตรงนี้นะ แต่ไม่ใช่ข้างนอก แต่เป็นห้องขังแล้ว

จินดารัตน์ – ก็คือหลังลูกกรงแล้วล่ะ

แม่ – ค่ะ

จินดารัตน์ – แล้วตำรวจอย่างไรคะ อธิบายขั้นตอนกระบวนการ ว่าเราจะต้องดำเนินการยังไงต่อไหม หรือว่าตำรวจจะต้องทำอะไรต่อ

แม่ – ท่านสารวัตรเขาก็บอกว่า คุณแม่ไม่ต้องตกใจ สารวัตรต้องทำตามหน้าที่ ต้องทำตามขั้นตอน คุณแม่ไม่ต้องตกใจ คุณแม่ให้กลับบ้านไป ก็พรุ่งนี้เช้าประมาณซัก 4 โมงเช้าก็มา และก็จะเอาลูกไปที่บ้านเมตตา

จินดารัตน์ – สถานพินิจนะคะ ไปที่บ้านเมตตา ตอนนั้นกี่โมงคะ

แม่ – ตอนนั้นก็คุยกันเรื่องนี้แหละค่ะ เอาน้องปอเข้าไปเสร็จแล้ว ก็คุยกันว่าท่านสารวัตรก็คุย เพราะว่าคุณแม่ไม่ยอมกลับบ้าน

จินดารัตน์ – กี่โมงคะตอนนั้น

แม่ – ตอนนั้นก็ประมาณซัก 6 โมงได้แล้วค่ะ

จินดารัตน์ – 6 โมงเย็น แล้วเขาบอกว่ามาตอนเช้า

แม่ – พรุ่งนี้ตอนประมาณ 4 โมงเช้า ท่านสารวัตรจะพาที่บ้านเมตตา

จินดารัตน์ – นั่นเหมายความว่าลูกจะต้องอยู่ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึง 10 โมงเช้า วันพรุ่งนี้ วันรุ่งขึ้น แล้วถึงจะเอาตัวไปที่สถานพินิจ แล้วไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป คุณแม่ก็นั่งเฝ้าลูก

แม่ – นั่งเฝ้าลูกถึง 5 ทุ่ม ทีนี้ลูกสาวรู้ข่าวว่าน้องมีเรื่องก็มาที่สน. ก็บอกว่าแม่ไม่ต้องอยู่หรอก แม่อยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาก็เอาเข้าไปแล้ว แม่มานั่งอย่างนี้ก็เหนื่อยเปล่าๆ และพรุ่งนี้สารวัตรบอกว่า 10 โมงค่อยมา ก็จะไปที่บ้านเมตตากัน แม่ก็เลยคิดว่าเขาอยู่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางพี่สาวโทรมาว่าเป็นยังไงก็เลยให้กลับบ้านก่อน กลับบ้านเสร็จพี่สาวก็เพื่อนก็มาถามเรื่องน้องปอว่าทำไมน้องปอไม่กลับ คุณแม่ก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังว่า ความเป็นมาเป็นอย่างไร ทีนี้คุณแม่ก็เลยถาม เพราะไม่รู้กฎหมายว่า เด็ก 10 ขวบนี่ต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังไหม

จินดารัตน์ – อันนี้สงสัยเหมือนกัน

แม่ – คือความรู้สึกและความคิดของคุณแม่นี่คือ ถ้าใครทำผิดต้องเข้าห้องขังหมด ไม่ได้ว่าจำกัดว่าเด็กแค่ไหน คือเข้าใจอย่างเดียวว่าใครทำผิดต้องเข้าห้องขัง ก็เลยไม่รู้ตรงนี้ คือสารวัตรเขาว่าเอาเข้าก็คือเอาเข้า

จินดารัตน์ – สุดท้ายก็ต้องไปขอทาง สวพ.ให้ช่วย

แม่ – แต่ตัวคุณแม่เองนี่ไม่รู้เรื่อง แต่พี่สาวบอกว่าต้องคุยกับคนที่เขารู้จักกัน เขาก็เลยไป สวพ. ตรงนั้นแหละค่ะ แล้วตอนที่เขาโทรไปเสร็จทางสวพ.เขาก็โทรกลับมาบอกว่า ให้กลับไปที่สถานี กลับไปเสร็จก็ให้เขาเอาออก ไปบอกเขา

จินดารัตน์ – เขาส่งเจ้าหน้าที่มาช่วยหรือคะ

แม่ – ยังค่ะ ตอนนั้นกลับไปเสร็จ เป็นเปลี่ยนนายเวรแล้ว เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง พี่สาวก็ไปขอร้อง คุณแม่ก็ไปขอร้อง เขาก็บอกว่าไม่ได้ มันไม่ใช่หน้าที่ของผม ไม่ใช่เรื่องของผม ผมทำไม่ได้ ผมไปปล่อยไม่ได้ คุณก็ต้องรอก่อนก็แล้วกัน แล้วทีนี้พี่สาวก็บอกว่า ช่วยหน่อยก็แล้วกัน คิดว่าเห็นว่าสงสารเด็ก

จินดารัตน์ – ลูกก็ยังนอนอยู่ในนั้น ยังเห็นกันอยู่

แม่ – ตอนนี้มันอยู่ชั้นล่างค่ะ แต่ลูกนี่จะอยู่ชั้นบน ก็เลยบอกว่าเห็นใจคุณแม่หน่อยก็แล้วกัน นึกว่าสงสารใจเด็กด้วย ขอร้องหน่อยได้ไหม ให้เอาออกให้เถอะ และก็ไม่ได้ไปไหนก็อยู่ตรงนั้น คุณแม่ก็จะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ทั้งคืน จะไม่ไปไหน

จินดารัตน์ – ตำรวจก็ยังไม่ยอม

แม่ – ไม่ยอม เจ้าหน้าที่ก็คนที่เปลี่ยนเวรก็ไม่ยอม

จินดารัตน์ – จนสุดท้ายต้องรอเจ้าหน้าที่ของ สวพ.

แม่ – ซักพักหนึ่งคุณแม่ก็ได้ยินทางเจ้าหน้าที่เขารับโทรศัพท์ว่าเด็กคนไหนๆ พักหนึ่งมีตำรวจอีกคนหนึ่งก็จูงน้องปอลงมา

จินดารัตน์ – ก็เลยได้กลับบ้านก่อนเลย

แม่ – ไม่ได้กลับค่ะ เขาก็เอาลงมาไว้ห้องอีกห้องหนึ่ง คือห้องสารวัตรอีกห้องหนึ่ง ก็ได้มานานตรงนั้น

จินดารัตน์ – กี่ชั่วโมงคะที่ลูกต้องนอนอยู่ในห้องควบคุม

แม่ – 5 เกือบ 6 ชั่วโมงค่ะ

จินดารัตน์ – ฟังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวช่วงหน้าอาจารย์กับท่านอธิบดีคงจะต้องตอบคำถาม เพราะมีคุณผู้ชมทางบ้านสงสัยกันเยอะ ว่าอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันผิดขั้นตอนกระบวนการตรงไหน ทำไมเด็กตัวแค่นี้จำเป็นจะต้องไปนอนในห้องขังนานถึง 6 ชั่วโมง แล้วจริงๆแล้วกระบวนการที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร คุณผู้ชมทางบ้านถ้าหากว่าสงสัยตรงไหน อยากจะร่วมแสดงความคิดเห็น หมายเลขโทรศัพท์ค่ะ 02-6294433 พักกันซักครู่ก่อนค่ะ

***************************************************************

เจ๊เล้ง – ดิฉันบอกได้เลยว่า ตอนที่จับเด็กขโมยได้ ไม่ได้ดุมูลค่าของสินค้าหรือของ มองแค่ว่าเด็กตัวแค่นี้ขโมยของ ถามเด็กว่ามาขโมยเองหรือว่ามากับใคร เด็กบอกว่ามากันทั้งหมด 5 คน มีหัวหน้ากลุ่มมา 1 คน แล้ว 4 คนที่หัวหน้ากลุ่มมาขโมยนี่ก็จะมาบอกว่า ถ้าทำไม่ได้ ไม่เก่ง ไม่เจ๋ง เด็กก็ยอมรับเอง ใจไม่ได้คิดว่าเด็กมันจะมาเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ นึกว่ามาคนเดียว พอเด็กบอกว่ามาทั้งหมดนี่ 5 คน แล้วทำมา 6 เดือนแล้วไม่ใช่พึ่งทำ เด็กบอกดิฉันว่าวันนี้มารอบที่สามแล้ว ดิฉันเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ และดิฉันก็กล้ารับผิด ถึงสังคมจะประณามว่า 30 จับ ไม่เป็นไร ดิฉันยอมรับ ดิฉันจับเพราะไม่ใช่ 30 บาท จับเพราะเป็นขโมย

จินดารัตน์ – นั่นคือเสียงของคุณอารยา อภิสิทธิ์อมรกุล หรือว่าเจ๊เล้งนะคะ เจ้าของร้านที่น้องปอเข้าไปขโมยขนมออกมา เอาล่ะค่ะ เจ๊เล้งก็บอกว่าเด็กก็ยอมรับนะคะ ว่าเข้ามารอบที่สามแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตามเราก็จะไม่ไปตัดสินว่าใครผิดใครถูก ใครพูดจริงใครพูดเท็จ แต่ว่าสิ่งที่คาใจคนในสังคมตอนนี้ก็คือ ขั้นตอนกระบวนการต่างหากว่าทำไมเด็กจะต้องนอนในห้องขังบนโรงพักนานถึง 6 ชั่วโมง ในสังคมไทย ในกระบวนการยุติธรรม อาจารย์มะโนคะ จริงๆแล้วขั้นตอนกระบวนการแบบนี้ มันควรจะเป็นยังไงคะ

มะโน – กฎหมายเขาเขียนไว้ชัดนะครับ ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเด็ก และวิธีพิจารณาความในศาลเด็ก ก็คือว่าถ้าหากว่าเด็กถูกจับมาอยู่ที่โรงพัก หรืออยู่ที่ในอำนาจการดูแลของพนักงานสอบสวนแล้วนี่นะครับ จะต้องดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จ และส่งสถานพินิจให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง หรือถ้ามีความจำเป็นที่ไม่สามารถที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง อาจจะต้องรอนักสังคมสงเคราะห์ รออัยการ รอทนายความอะไรมานั่งฟังนี่นะ ก็ต้องส่งก่อน ส่วนเรื่องการสอบสวนเด็กก็ว่ากันภายหลังได้

จินดารัตน์ – หมายถึงว่าถ้ามีความจำเป็น ก็ส่งเด็กไปที่สถานพินิจก่อนได้เลย แล้วค่อยตามไปสอบทีหลัง

มะโน – ทีหลังได้

จินดารัตน์ – ในการสอบสวนนี่นะคะ ของตำรวจสอบปากคำจะต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ต้องครบทั้ง 2 ท่าน

มะโน – ต้องครบหมดครับ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ต้องมีองค์ประกอบของบุคลากรเหล่านี้ มานั่งฟังการสอบสวน ถึงจะทำให้การสอบสวนนั้นสมบูรณ์ ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการควบคุมตัวเด็ก เขาเขียนไว้ขัดว่าห้ามไม่ให้ควบคุมตัวเด็กนั้นรวมกับผู้ใหญ่ คือผู้ต้องหาที่เป็นผู้ใหญ่นะครับ ในห้องกักขังหรือห้องขังของผู้ใหญ่ และในขณะเดียวกันแม้จะไม่รวมกับผู้ใหญ่ แต่เป็นห้องขังของผู้ใหญ่นี่นะครับ กฎหมายก็ห้ามไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่ต้องนำตัวเด็กมา คือ 24 ชั่วโมงนี่นะครับ ต้องดูแลเขาให้อยู่ในสถานที่ซึ่งไม่ใช่ห้องขังนะครับ ถ้าตีความโดยรวมอย่างนั้นนะ ต้องไม่ใช่เป็นสถานที่ที่เป็นห้องขัง

จินดารัตน์ – นั่นแสดงว่าครั้งนี้นี่ตำรวจพลาด ตั้งแต่นำเด็กไปไว้ในห้องขังรวมกับผู้ใหญ่ หรืออยู่ในห้องขังจะแยกก็แล้วแต่

มะโน – ผมได้คุยกับทางคุณแม่นะครับ คือผมไม่ได้เข้าไปดูนะ ว่าห้องขังสภาพเป็นอย่างไร ไม่ได้เข้าไปดู แต่คุยเขาบอกว่ามันก็คือห้องขัง เพราะฉะนั้นกรณีตรงนี้นี่นะครับ ถ้าเรามองตีความกันตามตัวบทกฎหมายแล้วนี่นะครับ มันไม่ได้ มันน่าจะผิดตรงนี้นะครับ

จินดารัตน์ – แล้วก็ไม่ได้ส่งไปให้สถานพินิจ

มะโน – ถ้าถามว่าระยะเวลาระหว่างที่เด็กมาอยู่ที่พนักงานสอบสวน กับระยะเวลาที่จัดส่ง ก็ยังอยู่ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง

จินดารัตน์ – ยังไม่เกินนะคะ

มะโน – ยังไม่เกิน ตรงนี้ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะพลาดจะผิดจริงๆ ก็คือการนำตัวเด็กเข้าไปอยู่ในห้องควบคุมที่เป็นลูกกรงตรงนี้อยู่

จินดารัตน์ – แสดงว่าพอจะเริ่มสอบปากคำ หรือว่าจะสอบสวนเด็กนี่ ตำรวจเองต้องแจ้งทางสังคมสงเคราะห์ถูกไหมคะ ท่านอธิบดีคะ

วันชัย – ไม่ครับ เราต้องไปทางกรมพัฒนาสังคม จะมีนักสังคมสงเคราะห์อยู่ นักจิตวิทยาคนใดคนหนึ่ง และก็มีพนักงานอัยการมาร่วมด้วย

จินดารัตน์ – แจ้งได้ตลอด 24 ชั่วโมงหรือเปล่าคะ

วันชัย – อันนั้นรู้สึกว่าทางกระทรวงการพัฒนาสังคมจะมีหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถจะติดต่อกันได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะมาสอบปากคำกันในเวลาราชการ แต่สำหรับสถานพินิจนี่ เราเปิด 24 ชั่วโมง คือทางพนักงานสอบสวนจะส่งตอนไหนก็ได้ เราจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับ เมื่อรับแล้วก็จะดำเนินการในเรื่องของการประกันตัว

จินดารัตน์ – นั่นหมายถึงว่าเด็กคนนี้นะคะ น้องปอนี่ ตำรวจสามารถมีทางเลือก ก็คือเอาล่ะ เจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาไม่พร้อม ยังมาไม่ได้ ก็ยังสอบปากคำไม่ได้ ถ้าไม่มีห้องขัง หรือว่าห้องแยกไปที่จะเอาน้องปอไปไว้นี่นะคะ ก็สามารถส่งไปที่สถานพินิจได้ 24 ชั่วโมง อันนั้นคือทางเลือกที่ตำรวจสามารถเลือกที่จะทำได้

วันชัย – ครับ

จินดารัตน์ – ทางเลือกนั้น อาจารย์มะโน ถ้ามันคือมองภาพแล้ว ตำรวจน่าจะเลือกทำแบบไหนถึงจะถูกต้องตามกระบวนการคะ อาจารย์

มะโน – คือผมดูแล้ว ระยะเวลานี่นะครับ พูดถึงว่าถ้าจะเอาตัวน้องเอาไว้ที่โรงพัก ก็สามารถทำได้ อาจจะไม่ต้องขวนขวายที่จะส่งกันในเวลากลางคืน ก็สามารถทำได้ แล้วโดยเฉพาะทุกโรงพักนะ ท่านอธิบดีครับ มันจะมีสิบเวรอยู่ใช่ไหมครับ มีสิบเวรที่คอยนั่งรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน นั่งอยู่ตรงนั้นหรือนอนอยู่ตรงนั้นก็น่าจะทำได้นะ ไม่จำเป็นจะต้องไปให้นอนอยู่ชั้นสองอะไรอย่างนี้ ก็น่าจะทำได้ แล้วโดยเฉพาะนี่นะครับ ทราบจากคุณแม่และเพื่อนๆของคุณแม่เขา ก็บอกว่าไปขอว่าขออยู่กับลูกตรงนี้ จะไปหนีไปไหนเป็นอันขาด ผมคิดว่าด้วยสามัญสำนึกตรงนั้น ความเป็นผู้พิทักษ์การใช้กฎหมาย ก็ต้องถือว่าเป็นจุดที่สำคัญ แต่ว่าก็ต้องมีหลักของความเมตตาธรรมอยู่ด้วย มีวิจารณญาณตามสมควร

จินดารัตน์ – อย่างกรณีคุณแม่น้องปอไปถึงโรงพัก ตำรวจต้องบอกอะไรผู้ปกครองเด็ก ผู้ปกครองต้องทำอะไรบ้าง ต้องบอกไหมคะ

มะโน – น่าจะต้องชี้แจงให้กับท่านผู้ปกครองทราบนะครับ ว่าขณะนี้นี่นะ เรากำลังรอบุคคลที่จะต้องมานั่งฟังการสอบสวนอยู่นะ ยังไงยังกลับไปไม่ได้นะ เดี๋ยวต้องส่งสถานพินิจนะ แล้วค่อยไปขอรับตัว ขอประกันตัวจากสถานพินิจไปนะครับ ผมคิดว่าประชาชนส่วนมากยังไม่รู้ขั้นตอนตรงนี้

จินดารัตน์ – ตำรวจบอกหรือเปล่าคะ คุณแม่

แม่ – ตอนที่ว่าเขาเอาเข้าห้องขังไปแล้ว หรือก่อนเขาก็พูด ก่อนที่จะเอาเข้าห้องขัง เขาพูดบอกว่าให้คุณแม่กลับบ้าน เพราะว่าน้องปอนี่ต้องเข้าไป แล้วพรุ่งนี้คุณแม่มาประมาณ 10 โมง และก็สารวัตรก็จะไปที่บ้านเมตตา และก็ไปทำเรื่องให้เสร็จเรียบร้อย แล้วก็ประกันตัวออกมา ท่านก็บอกอย่างนี้

จินดารัตน์ – แต่ให้เด็กอยู่ในห้องขังก่อน

แม่ – ค่ะ

มะโน – แสดงว่าท่านก็ชี้แจง เพียงแต่ว่าต้องเอาเด็กไว้ในห้องขังก่อน

จินดารัตน์ – อย่างในกรณีแบบนี้เอง คุณแม่เองก็บอกว่า เขาจะยอมชดใช้ให้ อย่างที่บอกว่า 100 เท่าก็จะยอมชดใช้ให้สำหรับค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แต่กรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำไมถึงยอมความกันไม่ได้คะ อาจารย์คะ

มะโน – คือการกระทำความผิดทางอาญา ที่เป็นอาญาแผ่นดินนี่นะครับ ไม่มีการที่จะมาบอกว่า จะจ่ายให้ 10 เท่า 100 เท่าแล้วก็เลิกกันนะ ทำอย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ความผิดบางความผิดนั้น มันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่ใช่ว่าทำผิดปั๊บใช้เงินก็จบ อย่างนี้ไม่ได้นะ

วันชัย – ถ้าผู้เสียหายตัดสินใจไปแจ้งความเป็นทางการแล้วนี่นะครับ มันก็เหมือนกับเป็นการไปลงทะเบียนว่า อันนี้เป็นความผิด เมื่อเป็นความผิดแล้ว พอลงทะเบียนไปแล้วนี่ มันเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน มันก็มีกระบวนการต่อไป

จินดารัตน์ – อย่างนี้กระบวนการต่อไปที่น้องปอจะต้องเจอนี่ มีอะไรบ้างคะ ท่านอธิบดีคะ

วันชัย – กระบวนการต่อไป ก็คงจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือทางตำรวจนี่ก็จะสอบสวนในเรื่องของคดีว่า เกิดอะไรขึ้น มีพยานเห็นเหตุการณ์ มีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง มีของกลางเป็นอะไรต่ออะไรอย่างนี้นะครับ เพื่อพิสูจน์ว่าผิดหรือไม่ผิด แต่สำหรับในประเด็นนี้ก็คงจะไม่มีปัญหา เพราะว่าทุกฝ่ายรับสารภาพกันหมด เพราะฉะนั้นก็ว่าไป ดังนั้นส่วนของกรมพินิจนี่ เราจะสืบเสาะหาข้อเท็จจริงว่า เพราะอะไรเด็กถึงไปทำผิด มันมีปัญหาอะไร เด็กมีปัญหาทางด้านของการคิด การตัดสินใจ ทักษะชีวิตหรืออะไรหรือเปล่า สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร อะไรเป็นเหตุจูงใจให้เด็กทำผิด แล้วก็เราจะทำสำนวนอีกอันหนึ่ง เสนอคู่กันไป

จินดารัตน์ – อันนี้ในเชิงของจิตวิทยา

วันชัย – ในเชิงของการสืบเสาะหาสาเหตุ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่เห็นแค่ภาคของเฉพาะความผิดเท่านั้น แต่เห็นต้นตอว่า เด็กเกิดปัญหาอะไรยังไง มีเพื่อนชักจูงไปยังไง ก็เห็นว่าเด็กคนนี้ตั้งใจลักทรัพย์ หรือทำมานานแล้ว หรือว่าเป็นความคิดชั่ววูบนะครับ อันนั้นก็จะทำให้การดำเนินการกับเด็ก เหมาะสมได้เป็นรายๆไป และก็จะมีแบบทดสอบทางจิตวิทยา อะไรต่ออะไรหลายๆอย่างนะครับ อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง หมายถึงว่าถ้าเราดำเนินการไปตามกระบวนการปกตินะครับ

แต่ตอนนี้เรามีกระบวนการอีกอันหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เสียหาย และก็ทางน้องปอนี่นะครับ และก็ทางผู้ปกครองว่า มันมีกระบวนการจัดประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนนะครับ เพราะว่าตอนนี้ผมเข้าใจว่า ทางคุณอารยานี่จะเข้าใจว่ามันมีทางเลือกอยู่ 2 ทางเท่านั้นเอง คือ 1. ไม่ดำเนินคดี ก็คือไม่แจ้งความเป็นต้น หรือว่าไปตกลงกันก่อนที่จะลงประจำวัน คือจะเห็นได้ว่าทางตำรวจจะไม่ลงประจำวัน จนกระทั่งมาเจรจากันแล้วแน่นอนว่า จะแจ้งความแน่นะครับ อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง กับอีกทางหนึ่งก็คือดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด

แต่ในปัจจุบันนี้เรามีทางเลือกที่ 3 เมื่อดำเนินคดีไปแล้วนี่นะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราได้ไปเจรจาผลดีผลเสียว่า สิ่งที่สังคมต้องการ หรือคุณอารยาต้องการคืออะไร อยากให้เด็กได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเป็นความผิด แล้วเขาอาจจะต้องไปทำงานชดใช้ความผิด ทำงานบริการสังคมหรืออะไรต่างๆ 20 ชั่วโมง 40 ชั่วโมงนะครับ แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะมีการขอโทษกัน มีการให้สัญญากันว่า ต่อไปนี้จะไม่ทำผิดอีก แล้วก็อาจจะให้ขอมูลว่ามีเด็กคนไหนกระทำผิดบ้างนะครับ แล้วเราก็จะติดตามดูแลเด็กคนนี้อีก 2 ปี

จินดารัตน์ – อันนี้ก็เป็นวิธีการที่ 3 หนทางที่ 3 ทางออกที่ทางคุณอารยาหรือว่าเจ๊เล้งนั้น ต้องยินยอมด้วย

วันชัย – ครับ ทางผู้เสียหายจะต้องให้ความยินยอม แต่ว่าผมเชื่อว่าคุณอารยาถ้ารู้ว่ามีวิธีการที่ 3 ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเลย แต่มันมีหลักประกันที่จะรับประกันว่า เด็กคนนี้จะไม่กลับมาทำผิดอีก แล้วเขาสามารถจะรู้สำนึกนะครับ และก็แก้ไขตัวเองได้

จินดารัตน์ – ถ้าเจ๊เล้งเลือกทางออกทางที่ 3 อย่างที่ท่านอธิบดีบอก ในแง่ของการดำเนินการกฎหมาย ก็จะมีการดำเนินการกันต่อเช่นเดียวกันหรือเปล่าคะ

วันชัย – ใช่ครับ ก็ถ้าเผื่อสมมุติว่า ทางผู้ต้องหายินยอมนะ ทางคุณแม่กับน้องปอยินยอม เราก็จะจัดให้มีการประชุม โดยเราจะเชิญคุณอารยาหรือตัวแทนนะครับ น้องปอ และก็ผู้ปกครอง อาจจะมีผู้นำชุมชนหรือว่ามีอาจารย์มาด้วย มีพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์เข้ามาช่วยกัน และก็ในนั้นจะช่วยกันอบรมสั่งสอนเด็กคนนี้ และก็ให้ทุกคนพูดแสดงความรู้สึก

จินดารัตน์ – แสดงว่าเรื่องก็ไม่ต้องถึงศาลหรือครับ

วันชัย – ครับ มีการขอโทษกัน และก็ให้ที่ประชุมมีการกำหนดว่า เพื่อจะให้แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะไม่กลับไปกระทำผิดอีก จะต้องให้เด็กไปทำอะไร ไปทำงานบริการสังคมแบบไหน แล้วก็หลังจากนั้นจะดูแลติดตามอะไรยังไง แล้วหลังจากนั้นถ้าเราแน่ใจ ถ้าที่ประชุมตกลงกันเห็นว่า เด็กนี่จะไม่ทำผิดแน่ๆ ก็สามารถที่จะเสนอความเห็นนี้ไปยังพนักงานอัยการ ว่าเด็กสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง

จินดารัตน์ – ให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง

วันชัย – ครับ

จินดารัตน์ – งั้นก็จบในเรื่องของคดีความ

วันชัย – จบเรื่องคดีความ แต่มันจะมีผลต่อเรื่องของชีวิตเด็กค่อนข้างมาก ก็คือว่าเด็กจะไม่มีประวัติว่ากระทำความผิดติดตัวนะครับ เมื่อเรียนจบ โตขึ้น การจะไปเข้าโรงเรียนดังๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับรับราชการทหาร ตำรวจ หรือจะไปรับราชการ อันนั้นก็จะไม่มีปัญหา

จินดารัตน์ – แต่ถ้าหากว่าคดียนี้ถึงขั้นว่า ขึ้นโรงขึ้นศาลกันแล้ว เด็กคนนี้ก็จะมีประวัติติดตัว

วันชัย – ก็จะมีประวัติว่าเคยทำความผิดมาก่อน แต่ว่าผมเชื่อว่าด้วยวัยและของกลางนี่นะครับ คดีนี้ก็จัดเป็นคดีที่ไม่ร้ายแรง น้องเขาก็ยังเรียนหนังสืออยู่ด้วย ผมคิดว่าศาลท่านคงจะไม่ อาจจะว่ากล่าวตักเตือนหรือทำทัณฑ์บนอะไรไว้

จินดารัตน์ – อย่างนี้ท่านอธิบดีจำเป็นต้องส่งตัวแทนไปคุยกับทางผู้เสียหายไหมคะ ว่ามันมีทางออกอีกทางหนึ่งนะ ไม่จำเป็นจะต้องให้เด็กไปถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล

วันชัย – ในขณะนี้อยู่ระหว่างการหาข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อที่เราจะได้มีข้อเท็จจริงที่เพียงพอ ที่จะไปอธิบายให้กับทางคุณอารยา เมื่อเราอธิบายแล้วถึงผลดีผลเสียทั้งหมดแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับคุณอารยาว่าจะตัดสินใจอย่างไร

จินดารัตน์ – ทีนี่มันมีกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า แล้วถ้าหากว่าเป็นเด็กที่กระทำความผิดแบบนี้ซ้ำซาก คือจนกลายเป็นอาชญากรตัวเล็กๆ ต้องเรียกกันแบบนี้นี่นะคะ ถ้าตำรวจจับได้แล้วรู้ว่าประวัติของเด็กคนนี้เป็นอย่างไร มีสิทธิที่จะจับเข้าห้องขังบนสน.เหมือนกันหรือเปล่าคะ หรือว่าต้องปฏิบัติเท่ากันเหมือนกันทุกอย่าง

มะโน – คือแม้จะกระทำผิดซ้ำซ้อน ซ้ำซากก็ตามนะครับ กฎหมายบอกว่าถ้าเด็กถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่เท่าไหร่นะครับ ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพอครั้งที่สองนี่จับเข้าห้องขังได้เลย ไม่ได้นะครับ

จินดารัตน์ – แล้วกำหนดอายุต้องต่ำกว่าเท่าไหร่คะ

มะโน – ใช้คำว่าเยาวชนไม่เกิน 14 แล้วก็ 18 นะครับ ต้องปฏิบัติอย่างนี้เหมือนกันหมดนะครับ เหมือนที่ท่านอธิบดีท่านพูดเรื่องแนวทางในการที่จะประชุมกลุ่มครอบครัว มันก็ยังมีในส่วนของวิธีพิจารณาคดีเด็กนี่นะครับ ถ้า ผอ.สถานพินิจได้พิจารณาดูในเรื่องของตัวเด็กแล้ว เรื่องประวัติ เรื่องอายุ เรื่องความสำนึกอะไรต่างๆนี่นะครับ ดูแล้วเห็นว่าเด็กไม่น่าจะต้องฟ้อง กลับตัวเป็นคนดีได้ ก็อาจจะเสนอไปถึงพนักงานอัยการ ว่าไม่สนควรที่จะฟ้องเด็กคนนี้ ถ้าพนักงานอัยการเห็นด้วย ก็ถือว่าคำสั่งไม่ฟ้องนั้นก็จบกันไป ก็ไม่ต้องนำเด็กขึ้นสู่กระบวนศาลนะครับ

วันชัย – แต่ว่าการจะใช้มาตรการ 63 นี่นะ จะต้องมีการประชุม

มะโน – จะใช้วิธีการจากทุกฝ่ายก่อน

วันชัย – คือเราจะให้ผู้อำนวยการตัดสินใจคนเดียว มันก็ไม่สะดวกนัก เราก็ให้ทุกคนช่วยกันคิด เหมือนกับว่าเป็นการระดมสมองของทุกหน่วย

จินดารัตน์ – ต้องหันกลับมาถามคุณแม่ว่า คุณแม่ ณ วันนี้ ยอมรับว่าลูกตัวเองทำผิดหรือเปล่าคะ

แม่ – ยอมค่ะ ยอมว่าลูกทำผิดจริง

จินดารัตน์ – คุยกับลูกบ้างไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมเขาถึงกล้าที่จะขโมยของ

แม่ – คุยค่ะ คุยว่าก็เวลาลูกอยู่กับเราที่กลับมาแล้ว ก็คุยบอกว่าทำไมหนูไปทำแบบนั้น ไปกับใคร ไปกับเพื่อน เข้าไปครั้งแรกหนูก็ไม่ได้หยิบอะไรออกมา หนูไม่กล้าหยิบ แต่ทีนี้เพื่อนบอกว่า เอ็งไม่ได้อะไรมา เอ็งเข้าไปสิ เข้าไปเอามา น้องปอก็เลยเข้าไปเอามา

จินดารัตน์ – เห็นเพื่อนทำได้

แม่ – ค่ะ ก็เลยไปหยิบออกมา ก็บอกลูกว่า สิ่งที่ลูกทำมันไม่ถูกต้อง ของๆคนอื่นแม้แต่ขนมเม็ดเดียวหนูก็ต้องโดนจับ ก็สอนลูกว่าอย่าไปทำเลย มันไม่ดีลูก แม่ไม่ให้หนูลำบาก อดอยากถึงขนาดนั้น อยากกินอะไรให้หนูมาขอแม่ ทุกครั้งที่หนูมาขอแม่ไม่เคยว่าหรือปฏิเสธ ให้ลูกตลอด ขอให้ลูกไม่ต้องไปหยิบไปลักขโมยของใคร เขาก็ครับๆ เขาก็เชื่อฟัง หนูจะไม่ทำอีกแล้ว หนูกลัว และหนูทำมากี่ครั้งแล้วลูก หนูพูดความจริงกับแม่นะ เขาบอกว่าครั้งแรก แต่เข้าไปเจ๊เล้งนี่เข้าไป 2 ครั้ง

จินดารัตน์ – คุณวัลลภจากขอนแก่นนะคะ ให้ความเห็นมาว่า กฎหมายดีอยู่แล้ว แต่ว่าคนใช้น่าจะมีดุลพินิจหน่อย ถูกต้องไหมคะ กรณีนี้นะคะที่เกิดขึ้น อีกคนบอกว่า เจ๊เล้งรวยอยู่แล้ว แค่ขนม 34 บาทไม่น่าเลย สงสารเด็กนะครับ แต่จริงๆกรณีแบบนี้นะคะ เราจะโทษเจ๊เล้งก็ไม่ถูกนะคะ ก็จะว่ากันไปตามเนื้อผ้าว่า น้องปอเองก็ทำผิด

วันชัย – ผมว่าเราต้องมองในมุมของร้านเจ๊เล้งบ้าง เพราะว่าแกก็คงจะมีของหายไปเยอะ ไม่รู้ว่าใครหยิบไปบ้าง

มะโน – ผมเสริมท่านอธิบดีก็คือว่า ผมเห็นด้วยนะครับที่จะให้มีแจ้งความดำเนินคดีกันตามขั้นตอนของกฎหมายนะครับ เพราะว่าจะได้เป็นเยี่ยงอย่าง สองถ้าสมมุติว่าท่านเปิดกิจการมาแล้วก็หายบ่อย มันก็ไม่ยุติธรรมกับคนค้าขาย อันนี้ก็เห็นด้วย

จินดารัตน์ – อีกท่านหนึ่งบอกว่า ผิดก็คือผิด สังคมต้องยึดถือความถูกต้องด้วย

วันชัย – อันนี้ถูกต้อง

จินดารัตน์ – จะติงก็แค่กระบวนการเท่านั้นเอง

มะโน – อันนี้หนึ่งกระบวนการ สองนี่ผมว่าสิ่งที่สังคมต้องการ คือแน่ใจว่าเด็กจะไม่มาทำผิดอีก แต่ว่าเราคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างว่า ทำอย่างไรเด็กถึงจะรู้สำนึก แต่ว่าในขณะเดียวกันเราไม่ทำลายอนาคตเด็ก

จินดารัตน์ – ต้องให้โอกาสเขานะคะ วันนี้นะคะเป็นประเด็นที่ผู้คนในสังคมให้ความสนใจกันมาก ดูจากหลายๆสายที่โทรศัพท์เข้ามาในรายการของเรา อย่างน้อยที่สุดวันนี้ค่ะ เรารู้แล้วว่านี่เป็นกรณีศึกษาจริงๆ วันใดวันหนึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนในครอบครัวของท่าน ท่านจะเริ่มต้นกันอย่างไร ความคิดแรก สภาทนายความเลยได้ไหมคะ

มะโน - ได้ครับ

จินดารัตน์ – ทางกรมก็ได้ใช่ไหมคะ ท่านอธิบดี โทรไปปรึกษาได้เลย

วันชัย – ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ให้บทเรียนในวันนี้ก็คือว่า การจัดการกับเด็กโตกับเด็กเล็ก ต้องต่างกันนะคะ

จินดารัตน์ – คุณแม่อยากจะฝากอะไรไหมคะ ทิ้งท้าย

แม่ – ก็อยากจะฝากให้ท่านผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่ ให้ดูแลลูกมากกว่านี้ เอาใจใส่ลูกและก็ตักเตือนลูก สิ่งไหนที่มันไม่ดีเราก็ควรจะสอน จะบอกกล่าวเขา คือสิ่งนั้นมันผิดแล้วก็ที่ทางตำรวจหรือว่าอะไร ก็ไม่ได้ผิดจะเอาความอะไรเขา แต่น้อยใจเสียใจตรงที่ว่า ลูกไปอยู่ในห้องขัง เสียใจว่ากลัวลูกจะมีจิตใจที่บอบช้ำ คุณแม่ก็ไม่เคยจากกับลูกเลย สิ่งอะไรก็จะไม่เอาความตำรวจ แต่ทางสื่อมวลชนอะไรอย่างนี้ เขาช่วยเหลือเอง เพราะคุณแม่จะไม่รู้กฎหมายอะไรเลย ก็ขอฝากให้ท่านผู้ปกครอง และก็ลูกๆดูแลกันให้มากกว่านี้ และก็คุณแม่ก็จะดูแลลูกให้ดีกว่าเก่า

จินดารัตน์ – น้องปออย่าทำอีกนะคะ น้องปออยากพูดอะไรไหม เสียใจไหมคะ

ปอ – เสียใจครับ

จินดารัตน์ – อย่าทำอีกนะคะ วันนี้ขอบพระคุณผู้ชมทางบ้านเป็นอย่างสูงเลยค่ะ ที่โทรศัพท์เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นนะคะ วันนี้เราได้ 1 แง่คิดอีกอย่างแล้วของคนในสังคม อย่างน้อยที่สุดในแง่ของกฎหมายเราก็ได้เรียนรู้กันแล้ว จากกรณีนี้นะคะ วันนี้หมดเวลาแล้วสำหรับรายการคนในข่าว ลาไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ
กำลังโหลดความคิดเห็น