xs
xsm
sm
md
lg

น่าเสียดายเกียรติประวัติงามหรู"โภคิน พลกุล"

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระ ให้ความเห็นชอบผู้ซึ่งสมควรจะได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ 2 วันก่อน ภาพรวม ไม่ตื่นเต้นไม่มีอะไรน่าสนใจมากนักเพราะ พรรคไทยรักไทยมีคะแนนเสียงท่วมท้น แต่กลับมี ภาพเฉพาะ อยู่ 2 – 3 ภาพที่เป็น จุดโฟกัส ขอ “เซี่ยงเส้าหลง” เรียงลำดับความสำคัญจากท้ายขึ้นไปดังนี้ การออกเสียงเห็นชอบของ 2 ส.ส.พรรคมหาชน, การออกเสียงไม่เห็นชอบของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และที่สำคัญที่สุดชนิดตกเป็น ข่าวอันดับ 1 หัวหน้าการเมือง หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับก็คือ การใช้สิทธิออกเสียงเห็นชอบของประธานสภาผู้แทนราษฎรขณะนั่งบัลลังก์ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วันนี้ขอพูดถึงสักเล็กน้อย

•• เหตุการณ์แรกไม่น่าประหลาดใจเท่าไรเพราะ พรรคมหาชน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คิดเก่า-ทำเก่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการแสดงตนอย่าง ออกนอกหน้า ว่าเป็น พันธมิตร กับ รัฐบาล สุดแท้แต่จะ เมตตาเลือกใช้งาน ภาพลักษณะนี้เราเห็นกันมาจน ชินตา, ชินชา แล้ว

•• เหตุการณ์ที่สองก็ไม่น่าประหลาดใจมากเพราะนี่คือ บุคลิกภาพเฉพาะ, จุดขาย ของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นสำคัญ

•• เหตุการณ์ที่สามนี่แม้พอจะพูดได้ว่า ไม่น่าประหลาดใจ เพราะ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในยุคนี้ พูดก็พูดเถอะ เหตุการณ์ที่แย่กว่านี้ยังเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อหวนนึกถึง เกียรติประวัติ ของ โภคิน พลกุล แล้วบอกตามตรงว่า “เซี่ยงเส้าหลง” สติปัญญาจำกัดทำให้ ไม่เข้าใจ จริง ๆ ว่าไฉนจะต้องมาทำให้ เสียของ แทนที่จะเริ่มต้นวันแรกบนบัลลังก์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ประธานรัฐสภา ได้อย่าง สง่างาม ชนิด ไม่จำเป็นต้องให้เวลาและเหตุการณ์ในอนาคตเป็นผู้พิสูจน์ ท่านกลับตัดสินใจ สร้างประเพณีการเมืองใหม่ โดย ไม่มีความจำเป็น มองให้ลึกซึ้งและยาวไกลสักหน่อย ฐานภาพทางเปิด ที่แสดงออกถึง ความพยายามเป็นกลางให้มากที่สุดของผู้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา น่าจะเป็น ประโยชน์สูงสุด ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีบนตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีหลักประกันอะไรรับรองได้ว่าจะไม่มี สถานการณ์พิเศษ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้อง ออกแรง, เปลืองตัว หรือพูดจาภาษาเกมโชว์ก็ต้องบอกว่า เป็นตัวช่วย การตัดสินใจใช้สิทธิออกเสียง “...เห็นชอบด้วย.” ของ โภคิน พลกุล เมื่อวานซืนนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดย่อมมีผลให้ตัวท่านเองต้อง สง่างามน้อยลง, ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ตนเองอีกพอสมควร และมีผลให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยเทอม 2 เสมือน ใช้ตัวช่วยในสถานการณ์ที่ไม่มีความจำเป็นแม้แต่น้อย พูดง่าย ๆ ว่า เสียของ อยากให้ย้อนดู 4 ปีที่แล้วของ อุทัย พิมพ์ใจชน แม้ว่าจะ มึนตึง กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็น สถานที่ตั้งรัฐสภาแห่งใหม่ แต่ในยามที่จวนเจียนจะเกิด วิกฤตรัฐสภา ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ท่านก็ทำหน้าที่ ตัวช่วย อย่าง ได้ผล หากย้อนไปดูการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระเดียวกันนี้เมื่อ 4 ปีก่อน ท่านได้เลือกใช้สิทธิ “...งดออกเสียง.” ตาม ประเพณีการเมืองที่เคยเป็นมา นี่คือความแตกต่างที่เกิดขึ้นที่ไม่อาจชี้นิ้วพิพากษาได้ว่า ใครถูก, ใครผิด ความเหมาะสมในแต่ละยุคแต่ละช่วงเวลาและรวมทั้ง มุมมองของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

•• ภูมิหลังของ โภคิน พลกุล กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มี ต้นทุนสูง เพราะไม่ใช่แค่เป็น ด็อกเตอร์อังดรัวต์ หากแต่ยังเพราะได้รับการยอมรับนับถือในฐานะ นักวิชาการกฎหมายมหาชนระดับท็อปไฟว์ของประเทศ – ที่มีอนาคตยาวไกลให้เลือกได้หลายทาง ในทางสายเลือดแล้วเป็น หลาน ของอดีตนักหนังสือพิมพ์และนักต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย อุทธรณ์ พลกุล เจ้าของนามปากกา งาแซง ทำให้ในช่วงที่ไปเรียนปริญญาเอกที่ฝรั่งเศสนั้นได้มีโอกาสใกล้ชิดกับ ท่านปรีดี พนมยงค์ – รัฐบุรุษอาวุโส ที่อยู่ในช่วง บั้นปลายของชีวิต จนกล่าวได้ว่าเป็นทั้ง ศิษย์ และ หลาน ที่ได้รับถ่ายทอด มรดกทางปัญญาและประสบการณ์การเมือง มาในระดับที่กล่าวได้ว่า มากที่สุดคนหนึ่ง และเมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองครั้งแรกในยุค บรรหาร ศิลปอาชา ก็ได้รังสรรค์ผลงาน พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางการปกครอง พ.ศ. 2539, พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. 2539 ที่ถือเป็น เสาหลักของระบบกฎหมายปกครองไทย การดำรงตำแหน่งทางการเมืองครั้งต่อ ๆ มาก็ ไม่มีอะไรเสียหาย ทำให้ได้รับการคาดหมายว่าจะ สร้างเกียรติคุณ ขึ้นมาจากตำแหน่ง ประธานรัฐสภา ได้ไม่ยาก

•• เมื่อ โภคิน พลกุล ยืนยันว่าเป็นมิติใหม่ของ การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา – ไม่ปิดบัง ก็ต้อง เคารพ และคอยติดตามดู การปฏิบัติหน้าที่นับจากนี้ไป อย่างเอาใจช่วย

•• แต่ขอ “เซี่ยงเส้าหลง” เสนอแนะ โภคิน พลกุล จากสติปัญญาอันจำกัดไว้ ณ ที่นี้สักเล็กน้อยว่าตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ประธานรัฐสภา นั้นไม่ควรจะตัดสิน คุณค่า, เกียรติคุณ กันเพียงจากมาตรวัด ครบถ้วนตรงตามรัฐธรรมนูญทุกประการ, ไม่มีการขัดรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย เท่านั้น

•• เพราะความเป็นนักเรียนประวัติศาสตร์ทำให้ “เซี่ยงเส้าหลง” นึกถึง พึ่ง ศรีจันทร์ นักการเมืองที่ได้รับการยกย่องอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็น ประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ทรงเกียรติคุณที่สุดเท่านี้ประเทศไทยเคยมีมา แม้จะอยู่ในตำแหน่งเพียง ไม่เต็ม 1 ปี แต่การปฏิบัติหน้าที่ทั้งในยาม ปกติ และยาม วิกฤต ทั้งในยาม มีรัฐธรรมนูญ และ ไม่มีรัฐธรรมนูญ ควรถือเป็น แบบอย่าง ศึกษากันไปชั่วลูกชั่วหลาน

•• เกียรติคุณของ พึ่ง ศรีจันทร์ ในตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะต้องศึกษากันชั่วลูกชั่วหลานเกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2490 ที่ขณะนั้นบ้านเมืองเพิ่งผ่านพ้น รัฐประหาร – ฉีกรัฐธรรมนูญ มาได้เพียง 3 วัน ในทางกฎหมายและในทางรัฐธรรมนูญถือว่า ไม่มีสภา, ไม่มีรัฐธรรมนูญ และ ไม่มีตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องราวในวันประวัติศาสตร์เมื่อ 58 ปีก่อน ได้แยกบันทึกไว้ในล้อมกรอบใกล้ ๆ กันนี้แล้ว

•• เหลืออีกเพียง 5 วันสุดท้าย ที่จะจองหนังสือ เมืองไทยรายสัปดาห์ : 1 ชุด 3 เล่ม + วีซีดีช็อตเด็ดและเบื้องหลังการถ่ายทำ ในราคาเพียง 750 บาท สะดวกที่สุดก็คือเดินทางไปที่ทุกสาขาของ B2S (ที่อยู่ในบริเวณ ห้างเซนทรัล) และทุกสาขาของ SE-ED Book Center หรือที่ สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ – ชั้น 3 บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ สอบถามวิธีการโอนเงินและส่งหลักฐานยืนยันการโอนเงินมาได้ที่ โทรศัพท์ 0-2629-4488 ต่อ 2208, 2209 และ โทรสาร 0-2281-9912 นอกจากจะได้ของแถมคัดสรรพิเศษ เสื้อยืดโปโลเมืองไทยรายสัปดาห์สีขาวสะอาดตา 1 ตัว แล้วในหนังสือทุกชุดที่คุณได้รับจะมี ลายเซ็นขอบคุณ โดย สนธิ ลิ้มทองกุล, สโรชา พรอุดมศักดิ์ หมดเขต วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2548 ยืนยันว่า ไม่มีการยืดเส้นตายออกไปอีก แน่นอน

•• และคืนนี้ วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2548 เวลาเดิมประมาณ 22.00 – 23.00 น. ยังคงติดตามรายการสด เมืองไทยรายสัปดาห์ ได้ตามปกติที่ โมเดิร์นไนน์ 9 ห้วงเวลาพอเหมาะอย่างนี้หนึ่งในหัวข้อสนทนาของ สนธิ ลิ้มทองกุล – สโรชา พรอุดมศักดิ์ เห็นจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ คณะรัฐมนตรีทักษิณ 2/1 ที่ ณ เวลานั้นเชื่อว่า คลอดแล้ว โปรดติดตามได้

•• พรุ่งนี้ วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2548 ครึ่งวันเช้า 09.00 – 12.00 น. แฟนานุแฟน ภาคอีสาน โดยเฉพาะ จังหวัดหนองคาย ไปรับฟัง สนธิ ลิ้มทองกุล พูดในประเด็น ปัจจัยจีน : กับการพัฒนาไทย-ลาว-เวียดนาม ได้ที่ วิทยาลัยประชาคมนานาชาติหนองคาย ภายใต้การดำเนินงานของนักวิชาการประชาธิปไตยอาวุโส ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ได้

นายพึ่ง ศรีจันทร์
วันที่ 12พฤศจิกายน 2490 เวลา 10.00 น.

นายพึ่ง ศรจันทร์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2489 สังกัดพรรคสหชีพ อันเป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่สนับสนุนท่านปรีดี พนมยงค์ และเป็นพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

ท่านได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2490

พล.ต.หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2490 และได้รับการบรรจุเข้าวาระ ใช้เวลาอภิปรายซักฟอกรัฐบาลในหลายประเด็นอยู่ 7 วัน 7 คืน ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2490 เป็นต้นไป

นายพึ่ง ศรีจันทร์ทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเที่ยงธรรม โดยไม่คำนึงถึงพรรค ยึดถือแต่ระเบียบข้อบังคับ จนแม้แกนนำพรรคฝ่ายค้านที่มีอุดมการณ์แตกต่างกัน ก็ยังเขียนบันทึกคำชมเชยไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

เพราะท่านยึดถือว่าขณะทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ท่านไม่ได้สวมหมวกสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล

แต่สวมหมวกประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ


อย่าว่าแต่จะเปิดโอกาสให้ส.ส.พรรคฝ่ายค้านแสดงความคิดเห็น หากทำถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ

ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล รัฐมนตรี หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี หากกระทำการไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตรงตามระเบียบข้อบังคับ นายพึ่ง ศรีจันทร์ก็ไม่เคยละเว้นที่จะเตือน

แม้แต่นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็เคยถูกประธานสภาผู้แทนราษฎรท่านนี้ห้ามไม่ให้พูดนอกประเด็น

เกิดรัฐประหารล้มรัฐบาลฝ่ายสนับสนุนท่านปรีดี พนมยงค์เมื่อคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490

แต่ก่อนหน้านั้น 1 วัน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2490 นายพึ่ง ศรีจันทร์สั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรออกหนังสือเชิญประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามปกติในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2490

ท่านจึงไม่หนีไปไหน


เมื่อถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2490 นายพึ่ง ศรีจันทร์เดินทางไปยังที่ทำการรัฐสภาในขณะนั้น คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม ขึ้นนั่งบัลลังก์ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรงตามกำหนดนัดเวลา 10.00 น. โดยไม่ยอมรับรู้อำนาจของคณะรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นรถถังยังคงตรึงกำลังอยู่ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าหน้าที่ทำการรัฐสภา และมีกำลังทหารอยู่ภายในบริเวณที่ทำการรัฐสภาด้วย

มีส.ส.เข้าร่วมประชุมวันนั้นประมาณ 20 คน

นายพึ่ง ศรีจันทร์สั่งเลิกการประชุม เพราะองค์ประชุมไม่ครบ

ขณะที่กำลังดำเนินการประชุมชั่วช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้น พล.ท.หลวงกาจสงคราม รองหัวหน้าคณะรัฐประหาร เดินทางมาเชิญตัวนายพึ่ง ศรีจันทร์ รวมทั้งนายเจริญ ปัณฑโร และนายประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการและรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น ไปกักตัวไว้ที่กระทรวงกลาโหม และสอบสวนเพื่อเอาผิดในข้อหากบฏ

นายพึ่ง ศรีจันทร์ชี้แจงว่ากำหนดนัดประชุมมีขึ้นโดยอำนาจที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2490 ก่อนวันรัฐประหาร 1 วัน

ท่านในฐานะผู้สั่งการให้มีการประชุม ต้องรับผิดชอบ จะไม่มาประชุมได้อย่างไร


นายพึ่ง ศรีจันทร์ชี้แจงว่ากระทำไปโดยอำนาจตามกฎหมาย จะหาว่ากบฏได้อย่างไร คณะรัฐประหารเองต่างหากที่กระทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ละเมิดกฎหมายของบ้านเมือง เข้าลักษณะกบฏ

นายพึ่ง ศรีจันทร์ ถูกกักตัวอยู่ 3 วัน ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระโดยคณะรัฐประหารไม่ได้ตั้งข้อหาอะไร ภายใต้การวิ่งเต้นช่วยเหลือของม.จ.นิตยากร วรวรรณ อดีตส.ส.พระนครศรีอยุธยาผู้มีสมญาว่า “เห่าหม้อ” ที่เคารพนับถือกันมานานวัน

นายพึ่ง ศรีจันทร์ ยุติบทบาททางการเมืองอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนั้น แต่ก็ยังคงมีบทบาทเคลื่อนไหวรับใช้ส่วนรวมในท้องถิ่นตามโอกาสอันควร ตราบจนสิ้นลมปราณตามอายุขัยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2535 สิริอายุได้ 85 ปี

ทิ้งไว้แต่ “ตำนาน” ให้คนรุ่นหลังได้พิจารณา !
กำลังโหลดความคิดเห็น