xs
xsm
sm
md
lg

"สุวิทย์"ปัดข่าวห้ามพระธุดงค์ในป่าสงวน แจงแค่ให้ขออนุญาตตั้ง"สำนักสงฆ์"ให้ถูกต้อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"สุวิทย์ คุณกิตติ” รมว. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวใน"สภาท่าพระอาทิตย์" (21 ก.พ.48) กรณีกระแสข่าวที่ว่ากระทรวงฯ ออกกฎให้พระที่ต้องการไป"ธุดงค์"ต้องขอใบอนุญาตก่อนว่า ไม่เป็นความจริงและไม่ได้ห้ามไม่ให้มี"วัดป่าหรือสำนักสงฆ์"ในเขตป่าสงวน เพียงแต่ให้มีการขออนุญาตจัดตั้งให้เรียบร้อย ชี้ ที่"ธรณีสงฆ์" ไม่สามารถจะยึดครองได้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีการยินยอมจาก"เจ้าอาวาส" พร้อมวอน ขอให้"ฝ่ายสงฆ์" ช่วยดูแลรับผิดชอบที่ดีและไม่ทำลายป่าไม้


รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2548 ดำเนินรายการโดยคำนูณ สิทธิสมาน และบัณฑิต ปิ่นมงคลกุล

บัณฑิต – เอาล่ะครับ มาถึงช่วงนี้นะครับ คงจะไปดูเรื่องเกี่ยวกับพระธุดงค์ในป่า

คำนูณ -เทศน์กัณฑ์ผสมน้ำตาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน สืบเนื่องมาจากร่างพระราชบัญญัติเหตุเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งมีวิธีการได้มาซึ่งที่ดินของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายทาง ก็คือ สามารถจะเอาที่ราชพัสดุ ที่ป่าสงวน ที่อะไรต่อมิอะไร คือตามกฎหมายเขามีอยู่นี่ เอามาได้หมดเลยรวมทั้งที่ธรณีสงฆ์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ก็คือวิธีการที่ได้มา ซึ่งง่ายกว่าเดิมนี่เรื่องนึง

อีกเรื่องนึงก็เป็นเรื่องที่ว่า พระธุดงค์จะเข้าไปธุดงค์ในป่า ต่อไปจะต้องขอใบอนุญาตก่อน อันนี้เป็นสืบเนื่องมาจากข่าวที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 นี้นะครับ บอกว่าคุณสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ ท่านได้ลงนามในคำสั่ง 2 ฉบับเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 เรื่องนโยบายและมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ ก็พูดตรงๆว่าคือกำหนดให้ต่อไปว่า พระสงฆ์ที่ต้องการธุดงค์ในเขตป่าสงวน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตอุทยานแห่งชาติต้องขอใบอนุญาตก่อนเข้า ก็คือไม่ได้ห้ามแต่ต้องขอใบอนุญาตก่อน

บัณฑิต – คือต่อไปจะแบกกลดเดินดุ่ยๆเข้าไปไม่ได้แล้ว ต้องไปขอที่ไหนล่ะครับ ถ้าอย่างนั้น

คำนูณ – ก็คงที่กระทรวงทรัพยากร ก็มีข่าวจากกระทรวงบอกว่า ปัจจุบันนี่มีการตั้งที่พักสงฆ์ในพื้นที่ป่ารวมทั้งสิ้น 4199 แห่ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่มากที่สุด เรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดปัญหาการลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ใกล้เคียงที่พระสงฆ์เหล่านั้นพักอยู่

บัณฑิต – ตอนนี้เราจะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนะครับ คุณสุวิทย์ คุณกิตติ เกี่ยวกับความจริงในเรื่องนี้

คำนูณ – สวัสดีครับ

สุวิทย์ – สวัสดีครับ คุณคำนูณ คุณบัณฑิตครับ

คำนูณ – ท่านรัฐมนตรีได้อ่านเทศน์กัณฑ์เคล้าน้ำตาของหลวงตามหาบัวหรือยังครับ เมื่อเช้าวานนี้

สุวิทย์ – อ่านแล้วครับ

คำนูณ – รู้สึกยังไงครับ ว่ามันจะเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นไหม

สุวิทย์ – รู้สึกว่าคนเข้าใจผิดจริงๆ คือที่เข้าใจผิดเพราะว่า ประเด็นที่หนังสือพิมพ์มติชนนี่เอาไปลงข่าว แล้วโดยที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แล้วเอาประเด็นตรงนี้ไปถามหลวงตา

คำนูณ – ก็คือมีลูกศิษย์นี่ คือปกติเทศน์ทุกเช้าก็มีลูกศิษย์ก็จะอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ ประเด็นต่างๆขึ้นมา แล้วหลวงตาท่านก็จะเทศน์ไปตามที่ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์นั้น ได้ฟังจากหนังสือพิมพ์นั้น ทีนี้ข้อเท็จจริงก็คือว่า กระทรวงทรัพยากรมีนโยบายอย่างไรในกรณีพระธุดงค์เข้าไปในป่าสงวน หรือว่าพระที่เข้าไปตั้งถิ่นที่พำนัก หรือว่าสำนักอยู่ในป่าสงวนครับ

สุวิทย์ – เรื่องของพระธุดงค์ที่เข้าไปธุดงค์ในป่านี่นะครับ ปกติให้ท่านเข้าไปธุดงค์ได้อยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นว่าห้ามไม่ให้พระเข้าไปธุดงค์ในป่า อันนี้คืออันแรก ประเด็นที่สองเรื่องของสำนักสงฆ์นี่นะครับ เรื่องของสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในป่านี่ จริงๆแล้วผมเองก็เป็นลูกศิษย์วัดป่านะครับ และตอนบวชก็บวชอยู่ที่วัดป่าด้วย วัดป่าเขาสวนกวาง ที่ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ก็เป็นสายของหลวงตามหาบัวนั่นแหละ ไม่ใช่ใครอื่นเลย แล้ววัดป่านี่เรามาดูจริง วัดป่าที่พระเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ ท่านช่วยกันดูแลบรักษาป่าอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นที่เรามีประกาศออกไปนี่นะครับ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมานี่ จริงๆแล้วเป็นเรื่องเดิมตั้งแต่ปี 2538 นะครับ ได้มีการหารือระหว่างพระกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าการดำเนินการในการช่วยกันดูแลรักษาป่าโดยสำนักสงฆ์ที่อยู่ในป่านี่ เราคงต้องมีการกำหนดรูปแบบ และมีการให้พระด้วยกันได้ช่วยกลั่นกรอง แล้วก็เป็นแรงสนับสนุนให้พระที่อยู่ในป่าดูแลรักษาป่า

แล้วก็ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าว มีเจ้าคณะภาคฝ่ายธรรมยุติ เจ้าคณะภาคฝ่ายมหานิกาย ในระดับจังหวัดก็มีเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุติ กับเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกาย ในระดับอำเภอก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นคณะกรรมการกลั่นกรองที่จะทำให้สำนักสงฆ์ที่อยู่ในป่า ได้มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องนะครับ เพราะฉะนั้นในส่วนของสงฆ์เอง ในส่วนธรรมจักรนี่ จะได้ช่วยกันดูแลได้ ตรงนี้คือวัตถุประสงค์ ไม่ได้ว่าออกระเบียบมาเพื่อที่จะห้ามพระไม่ให้เข้าไปธุดงค์ในป่า เพราะฉะนั้นประเด็นที่หนังสือพิมพ์เอาไปลงนี่มันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

คำนูณ – คือต่อไปนี้ พระธุดงค์ท่านก็ยังเข้าไปธุดงค์ในป่าได้ตามปกติหรือเปล่าครับ

สุวิทย์ – ได้ตามปกติครับ

คำนูณ – ไม่ต้องไปขออนุญาตที่ไหน

สุวิทย์ – ไม่ต้องครับ

คำนูณ – ไม่ต้องขอใบอนุญาต

สุวิทย์ – ไม่ต้องครับ ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรที่ใหม่เลย เราไม่ได้เขียนเลยครับ เรื่องพระที่ไปธุดงค์ต้องขออนุญาตก็ไม่มีนะครับ

คำนูณ – อันนี้ถือว่าผิดข้อเท็จจริง ส่วนสำนักสงฆ์ที่ตั้งอยู่อยู่แล้วก็อยู่ต่อไป

สุวิทย์ – ก็อยู่ต่อไปครับ แต่ว่าต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง

คำนูณ – ก็เพียงแต่ว่ามาดำเนินการแจ้งเสีย แล้วมีนโยบายอะไรที่จะมีการผลักดันหรือว่าเคลื่อนย้ายสำนักสงฆ์ออกจากเขตป่าสงวนไหมครับ

สุวิทย์ – ไม่มีครับ ไม่มีเลย

คำนูณ – ถ้าเป็นอย่างนี้ ท่านรัฐมนตรีก็คงต้องไปกราบนมัสการหลวงตามหาบัว

สุวิทย์ – ผมได้ให้คนเข้าไปกราบหลวงตาเพื่อชี้แจงแล้วครับ ผมเข้าใจว่าประเด็นอีกเรื่อง คือเรื่องของเขตเศรษฐกิจนี่นะครับ ที่อยู่ๆไปบอกว่าจะเอาที่ธรณีสงฆ์มาดำเนินการ อันนั้นก็ไม่ตรงข้อเท็จจริงเหมือนกัน

คำนูณ – ประเด็นนี้เป็นอย่างไรครับ เพราะเท่าที่ผมอ่านตัวร่างกฎหมายมานี่ มันก็เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าจู่ๆจะไปเอามาได้ง่ายๆ แต่ว่ามันก็ง่ายกว่าตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับเดิม

สุวิทย์ – มันไม่ได้หรอกครับ ที่ธรณีสงฆ์นี่ผมคิดว่าประเด็นตรงนี้ ใครจะเอา อย่างเรานี่นะครับจะเอาที่ธรณีสงฆ์มาทำอะไร อย่างไร จริงๆแล้วในเรื่องนี้นี่ ทางพระสงฆ์นี่นะครับ พระสงฆ์ที่จะต้องดูแลในเรื่องของที่ธรณีสงฆ์ด้วยนี่ ท่านต้องให้ความเห็นชอบด้วยเท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่ความเห็นชอบด้วย อยู่ดีๆจะไปเอามาคงไม่ได้หรอกครับ

บัณฑิต – แล้วทำไมเนื้อหามันบิดเบือนไปอย่างนั้นล่ะครับ

สุวิทย์ – ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมคิดว่าจะดึงพระเข้ามาเล่นการเมือง นี่คงไม่ถูกหรอกครับ

คำนูณ – หมายความว่ายังไงครับ

สุวิทย์ – ผมคิดว่าประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่ จริงๆแล้วการนำเสนอข่าวก็ดี ผมคิดว่าควรดูข้อเท็จจริงก่อน แล้วถ้ามีข้อสงสัยก็ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงนะครับ ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร แล้วก็เขาชี้แจงแล้ว ประเด็นข้อเท็จจริง รายละเอียดในทางปฏิบัติ ผมคิดว่าตรงนั้นจะทำให้มันชัดเจนขึ้นนะครับ เพราะว่าถ้านำเสนอข่าวนี่ แล้วก็บอกว่ามันจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้นี่ ดูตามข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่ แล้วรายละเอียดเองก็ไม่ได้มี ไม่ได้มีข้อใดเลยนะครับ ที่บอกว่าจะห้ามไม่ให้พระเข้าไปอยู่ในป่า หรือว่าพระที่จะเข้าไปธุดงค์ต้องขออนุญาต เหล่านี้ไม่มีเลยครับ

คำนูณ – ประเด็นเรื่องนี้คงจะชัดเจนแหละ เพราะว่ามันดูโดยประกาศ ดูโดยอะไรก็คงพอจะบอกเล่าได้ ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง แต่ส่วนเรื่องประเด็นร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ คงต้องว่ากันยาว

สุวิทย์ – อันนั้นบังเอิญผมบอกได้แต่เพียงหลักการเท่านั้นครับ ในรายละเอียดนี่ผมก็ยืนยันว่า ไม่ได้หมายความจะทำอะไรก็ได้

คำนูณ – ผมเคยอ่านมาบ้าง ว่าจะมียกเว้นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เดิม แต่นั่นก็คือยังอีกไกลแหละ ถ้าเพียงแต่ว่าครม. ผ่านหลักการมาแล้ว ขั้นต่อไปก็ยังมีตัวร่างกฎหมายที่จะต้องผ่านไปยังสภาอีกทีหนึ่ง

บัณฑิต – ท่านครับ ในส่วนของพระที่เข้าไปธุดงค์ในป่านี่ คุณสุวิทย์ไม่สบายใจตรงไหนบ้างไหมครับ ถ้าพระจะเข้าไปในป่านี่

สุวิทย์ – จริงๆถ้าพระจะเข้าไปในป่า ไปธุดงค์นี่นะครับ จริงๆแล้วก็เป็นการปฏิบัติของสงฆ์ ซึ่งในส่วนของท่านเมื่อท่านมีภารกิจต้องไปธุดงค์ ท่านก็สามารถเข้าไปธุดงค์ได้นะครับ อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็ที่สำคัญก็คือว่า เมื่อท่านเข้าไปแล้วถ้ามีพระ มีสำนักสงฆ์ที่อยู่ในป่า แล้วก็มีการดูแลรับผิดชอบที่ดีนะครับ ป่าไม้ก็อยู่ และป่าไม้ก็มีความสมบูรณ์ ตรงนั้นก็มีความสำคัญอย่างยิ่งนะครับ แต่บางทีก็มีการแอบแฝงเข้ามาโดยไม่ใช่พระ เป็นคนห่มจีวรมากกว่าจะเป็นพระ ตรงส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่ขอให้พระสงฆ์เข้ามาช่วยตรวจสอบพระสงฆ์ด้วยกัน ไม่ใช่ฝ่ายอาณาจักรจะไปตรวจสอบพระสงฆ์นะครับ

คำนูณ – พูดง่ายๆก็คือมาตรการต่างๆที่จะออกมาก็คือ เพื่อป้องกันพระแปลกปลอม

สุวิทย์ – อันนั้นก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือว่าจะทำอย่างไร ถึงจะให้สำนักสงฆ์ที่อยู่ในป่า แล้วช่วยกันดูแลรักษาป่า อันนี้เป็นมาตรการนะครับ ที่เราได้ดำเนินการมานี่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการส่งเสริมให้วัดและสำนักสงฆ์ช่วยดูแลด้านป่าไม้ เราได้ทดลองกันมาตั้งแต่ปี 2532-2534 ก็ได้ผลดี เมื่อได้ผลดีจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2538 และก็มีมติ ครม. ออกมา เพื่อสนับสนุนการนี้ ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ก็อยู่ตรงนี้เอง ส่วนคณะกรรมการที่ผมเซ็นไปต้นเดือน ก็เป็นคณะกรรมการชุดเดียวกัน กับคณะกรรมการที่ตั้งเมื่อปี 2538 แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพียงแต่ว่าเราเปลี่ยนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นเองครับ

คำนูณ – แต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระธุดงค์สามารถแบกกลดเข้าป่าได้ตามปกติ ไม่ต้องขออนุญาตที่ไหน

สุวิทย์ – ไม่ต้องครับ อันนั้นชัดเจนครับ

บัณฑิต – ช่วงหลังมานี้มีสำนักสงฆ์มาขอจัดตั้งใหม่ในป่าเยอะไหมครับ

สุวิทย์ – ส่วนใหญ่เป็นสำนักสงฆ์เดิมที่ยังไม่ได้ขออนุญาตครับ ผมก็อนุญาตไปหลายรายแล้ว แล้วก็ตั้งวัดในป่าได้ครับ ไม่ใช่ว่าสำนักสงฆ์อย่างเดียว เราดูว่ามีความเหมาะสมและไม่ไปกระทบกับพื้นที่อนุรักษ์จริงๆ ที่ควรกับการอนุรักษ์อย่างยิ่งที่ไม่ให้คนเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยในบริเวณนั้น อันนั้นเราจะไม่ให้ แต่ว่าในพื้นที่ที่ควรแก่การให้ หรือสามารถให้ได้นี่เราให้อยู่แล้วครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการตั้งวัด ตั้งสำนักสงฆ์นี่ ที่จะไปช่วยกันดูแลรักษาป่านี่ แล้วถ้าเราสังเกตดู ถ้าพื้นที่ไหนที่เป็นวัดป่า เป็นสำนักสงฆ์นี่นะครับ ต้นไม้จะอุดมสมบูรณ์กว่า แล้วดีไม่ดีจะเหลืออยู่เขตนั้นเท่านั้น

คำนูณ – เอาล่ะครับ ขอบคุณมากครับ ท่านรัฐมนตรีครับ

สุวิทย์ – ครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น