xs
xsm
sm
md
lg

3จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ควรมีเลือกตั้งส.ส.!?

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ข้อเขียนของ อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เรื่อง บทสรุปความพ่ายแพ้กลุ่มวาดะห์ ตีพิมพ์เมื่อวานนี้ใน มติชน น่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ อ่าน และ ปิดห้องจับเข่าคุย เพื่อเสริมการรับฟังความคิดเห็นจาก ข้าราชการ ข้อเขียนชิ้นนี้ระบุสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งชนิด เกม 0 ไว้รวม 3 ประการ ในประการแรกก็คือการบอกเล่าว่า กลุ่มวาดะห์ตกเป็นจำเลยของสังคม แม้จะลงพื้นที่ก็ยังคง ถูกติดตามพฤติกรรม เป็นผลให้ต้อง พ่ายแพ้ต่อกลยุทธของปรปักษ์ทางการเมือง แต่ที่สำคัญที่สุดคือผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า เงินไม่ใช่หนทางแห่งการแก้ปัญหา ในประโยคที่ว่า “...สิ่งที่รัฐบาลทุ่มเทการพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมโหฬารนั้น ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนเชียวหรือ ผู้เขียนได้ยินชาวบ้านพูดว่า ความกลัวความตายไม่สามารถหาสิ่งอื่นมาชดเชยได้.” และตบท้ายด้วยคำของอดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมาเจ๋อตง ที่เคยกล่าวกับ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สมัยที่บินไปสถาปนาสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ ปี 2518 โน้นว่า “...คอมมิวนิสต์อย่าไปฆ่ามัน ถ้าฆ่ามันแล้วเราจะแพ้.” นอกจากสมควรอย่างยิ่งที่จะ ปิดห้องจับเข่าคุย กับ กลุ่มวาดะห์ แล้ว “เซี่ยงเส้าหลง” ยังขอเสนอแนะว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะต้องเป็นผู้ริเริ่ม ปิดห้องจับเข่าคุย กับ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์, ส.ส. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วย

•• ที่เสนอมานี้ก็ด้วยความเชื่อมั่นว่าทั้ง กลุ่มวาดะห์ ทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะมีส่วนผิดส่วนถูกอย่างไรแต่โดยเนื้อแท้แล้ว ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดนในทุกรูปแบบ นี่คือ วาระแห่งชาติ ที่ไม่อาจจะ ขาดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไปได้

•• แต่อย่างน้อย ข้อมูล ที่เสนอออกมาโดย อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ก็ตอกย้ำสิ่งที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยเสนอไปแล้วหลายครั้ง ณ ที่นี้ว่า การเมืองเรื่องการเลือกตั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ – ที่มีลักษณะพิเศษ ก่อให้เกิด ผลเสียหาย ถ้าสถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้โดย ไม่มีแก้ไขชนิดยกเครื่อง ทั้ง พรรคไทยรักไทย, พรรคประชาธิปัตย์, กลุ่มวาดะห์, ประเทศไทยโดยรวม และไม่เว้นแม้แต่ ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะล้วนตกเป็น ผู้แพ้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องเริ่มต้นคิดกันอย่างจริงจังถึง การเมืองรูปแบบพิเศษ ที่ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงขั้น เขตวัฒนธรรมพิเศษ ที่มีนัยส่อให้คิดไปถึง เขตปกครองพิเศษ ที่วันนี้โดยจินตภาพของคนโดยทั่วไปยังเข้าใจว่าเป็น จุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกดินแดน ความจริงพื้นฐานที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับกันก็คือประการหนึ่ง คนไทยทั้งประเทศไม่ยอมสูญเสียแผ่นดินได้ง่าย ๆ ประการต่อมา ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะยกประเด็นนี้ขึ้นสู่องค์การระหว่างประเทศ และประการสุดท้าย ความรุนแรงจะทำลายทุกฝ่าย เริ่มต้น จับเข่าคุยกัน เสียเถอะ กองพลทหารราบที่ 15 ที่จะจัดตั้งขึ้นนั้นแม้จะ จำเป็น แต่พร้อม ๆ กันไปกับ การใช้งบประมาณ 4 ปี 16,770 ล้านบาท (โดยแยกเป็นปีแรก 2,670 ล้านบาท, ปีที่สอง 3,715 ล้านบาท, ปีที่สาม 3,306 ล้านบาท และปีที่สี่ 7,078 ล้านบาท นี่เป็นตัวเลขเบื้องต้นที่ทางฝ่ายทหารเสนอขึ้นมาในการประชุมร่วมและบรรยายสรุปเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2548 ซึ่งกว่าจะถึงบทสรุปจัดตั้งขึ้นมาจริง ๆ ตัวเลขนี้อาจ ปรับเปลี่ยน) โดยมีอัตรากำลังพลรวม 12,045 นาย (โดยแยกเป็น นายทหาร 893 นาย, นายสิบ 5,855 นาย และ พลทหาร 5,297 นาย จากข้อมูลเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2548) บวกกับ งบประมาณพัฒนา อีกรวมแล้วก็น่าจะ ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทในรอบ 4 ปีจากนี้ไป ก็สมควร สร้างหลักประกันความสำเร็จ ด้วย งานมวลชน อย่างน้อยเมื่อไม่นานมานี้ยังจำได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดถึงรูปแบบ สภาประชาชน ไว้บ้างแล้วไม่ใช่ฤา

•• เป็นไปได้ไหมว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้รับการบริหารจัดการด้วย รูปแบบพิเศษ ที่ แตกต่างจาก พื้นที่อื่นของประเทศ รูปแบบที่ว่านี้คือ ไม่มีการเลือกตั้งส.ส. เพราะเท่าที่ผ่านมา “เซี่ยงเส้าหลง” อยากจะขอพูดว่า การเลือกตั้งส.ส. คือตัวการ ซ้ำเติมสถานการณ์ ที่นั่น

•• เคยพูดถึง ภาพรวม มาแล้วว่าระบบการเมืองของบ้านเราว่าไปแล้วมันคือ กับดักการเลือกตั้ง เป็นจุดอ่อนสำคัญที่เสมือนทำให้บุคคลที่แม้มีความปรารถนาดีประสงค์จะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำประเทศ ก็เสมือน ต้องคำสาป ให้เดินวนเวียนอยู่ใน วงจรอุบาทว์ใหม่ ที่ประกอบด้วย หาเงิน, เลือกตั้ง, หาเงิน, เลือกตั้ง, หาเงิน, ...... ที่ก้าวเข้ามาแทนที่ วงจรอุบาทว์เดิม ที่ประกอบด้วย เลือกตั้ง, รัฐประหาร, ร่างรัฐธรรมนูญ, นองเลือด, เลือกตั้ง, ..... ทั้งนี้ก็เพราะ รัฐธรรมนูญที่ทันสมัยที่สุดในโลก อย่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไม่สามารถ รังสรรค์สังคมการเมืองในอุดมคติ ขึ้นมาได้ดั่ง ฝัน และต่อให้ แก้ไข, ร่างใหม่ อีกกี่ครั้งกี่ฉบับก็จะได้ ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่าง กับดักที่ว่านี้ในขอบเขตทั่วประเทศไม่ได้ส่งผลร้ายให้ เห็นทันตา แต่กับในพื้นที่ที่ มีความสลับซับซ้อนของปัญหาเช่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ปี 2535 – 2548 ควรพิจารณาอย่างไม่หลอกตัวเองว่าใกล้เคียงขั้น เห็นทันตา คนที่จะเป็น นักการเมือง จำเป็นที่จะต้องมี ฐานในระบบอุปถัมภ์ คนดี ๆ สีขาวแต่แรกเริ่มอย่าง กลุ่มวาดะห์ เมื่อกระโดดเข้าสู่ กับดักการเลือกตั้ง แม้จะด้วยเจตนาดีเพื่อ แก้ปัญหาในแนวทางสันติ แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องเสริมเติมแต่งตนเองด้วย สีเทา เพราะไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะ ชนะการเลือกตั้ง ข้างฝ่ายปรปักษ์ทางการเมืองก็ต้องพยายามดำเนินการ ทุกวิถีทาง เพื่อ ชนะการเลือกตั้ง เช่นกัน

•• อันว่า กับดักการเลือกตั้ง ที่เป็น ความจริงแห่งชีวิต ก็คือการจะ ได้ที่นั่ง, รักษาที่นั่ง และ เพิ่มที่นั่ง ล้วนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ วิถีสีเทา ที่เกี่ยวข้องกับ ผลประโยชน์, เครือข่าย เช่นเดียวกับ นักการเมืองจังหวัดอื่นทั่วประเทศ จะมีปัญหาไม่ถูกไม่ต้องใดก็เกิดขึ้น ณ จุดนั้นเป็นสำคัญ

•• สถานการณ์เช่นนี้ เปิดช่องโหว่ ให้ผู้ที่มีแนวคิด แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง สามารถ ตอกลิ่ม, สร้างสถานการณ์ ได้ไม่ยากนัก พรรคประชาธิปัตย์ นั้นถึงขั้นเสนอ คำประกาศปัตตานี ซึ่งรู้ทั้งรู้อยู่ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก็เสนอเพื่อให้เป็น ขั้วตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทย, แหล่งระบายความไม่พอใจของประชา ชนใส่พรรคไทยรักไทย โดยผู้ที่ รับกรรม คือ กลุ่มวาดะห์ หรือที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยให้สมญา ณ ที่นี้มาตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม 2547 แล้วว่า มุสลิมปฏิรูป โดยชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ที่แกนนำรัฐบาล อ่านโจทย์ผิด จะเท่ากับ “...โดดเดี่ยวมิตร สร้างเงื่อนไขให้ศัตรู จากนี้ไปจะไม่มีที่ยืนให้มุสลิมปฏิรูป เหลือแต่มุสลิมปฏิวัติกับมุสลิมยอมจำนนเท่านั้น.” วันนี้สถานการณ์เช่นนั้นเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

•• เหตุ วิกฤต 3 จังหวัดภาคใต้ นั้นเสมือนมา ประทุ ขึ้นเมื่อ ปี 2547 แต่จริง ๆ แล้วเริ่มมาตั้งแต่ ปี 2544 – 2545 มีเหตุการณ์หลายประการที่ ไม่ชอบมาพากล แสดงให้เห็นถึง พลัง ของ กลุ่มอำนาจเก่า ที่เคยได้ดิบได้ดีและฝังรากลึกอยู่ในพื้นที่ในยุค พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่ พรรคไทยรักไทย จะขึ้นมา เถลิงอำนาจ แต่ก็ไม่เคยมีใครในรัฐบาลชุดนี้เข้าไป คุ้ย, แคะ ตรงกันข้ามในบางระดับยัง นำมาใช้งาน อีกด้วย

•• คงจะจำกันได้ว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ขณะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์เสมือน รู้แจ้งแทงตลอด ถึง เบื้องหลังเหตุการณ์ ประโยคทีเด็ดที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับ วันที่ 4 กรกฎาคม 2545 คือ “...ผู้ที่มีตำแหน่งมีอำนาจอยู่ในมือ แทนที่จะให้เกียรติกับชาติกำเนิดของตัวเอง กลับทำร้ายตัวเองด้วยการทุจริต อย่างเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้ ผมไม่ได้เจาะจงหมายถึงช่วงใดช่วงหนึ่ง มีปัญหาว่าคนของรัฐเองเป็นคนวางระเบิดประเทศของตัวเอง ทั้งที่คนเหล่านั้นปฏิญาณตนไว้ว่าจะปกป้องแผ่นดินนี้ จะรักษาประเทศตัวเอง แต่ยังทำได้ มันน่าสมเพช พอจะโยกย้ายทีก็มีการลูบหน้าปะจมูก โยนกันว่าสีโน้นสีนี้ทำ ไม่มีสีไหนสำคัญกว่าสีธงชาติ ต้องเด็ดขาด ฟันให้ขาดสองท่อน เพราะอยู่ในแผ่นดินยังเนรคุณ เป็นคนของรัฐแต่ทำลายชาติตัวเอง มันเลี้ยงไว้ไม่ได้ ต้องถอดสัญชาติเหมือนเหว่ยเซียะกัง.” เคยท้าทายไว้ ณ ที่นี้ว่าน่าสงสัยและน่าติดตามยิ่งนักว่า ใคร คือ คนของรัฐแต่ทำลายชาติตัวเอง และทำไม ไม่จัดการให้เด็ดขาด แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

•• ขณะที่ ผู้บงการตัวจริง ที่อยู่ใน เงามืด แฝงอยู่ใน เครือข่ายกลไกของรัฐ กลับมีการดำเนินกลยุทธ์อย่างแยบยล ให้ร้ายป้ายสี, สร้างข่าว เพื่อให้โยงใยไปถึง กลุ่มวาดะห์ มาโดยตลอด

•• จากวันนั้นถึงวันนี้ กลุ่มวาดะห์ ยังคงตกเป็น เป้าหมายแห่งการทำลายล้าง อยู่ตลอด ข่าว, แหล่งข่าว ที่ป้อนออกมาจาก กลไกรัฐ, เครือข่ายกลไกรัฐ ทำกันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตุเป็นตะมีแผนภูมิแสดงหลักฐานกันเป็นปึก ๆ หากใคร เชื่อ ก็คงเห็นคนอย่าง วันมูหะมัดนอร์ มะทา, อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ และ ฯลฯ นั้น ไม่ได้เรื่อง อย่างน้อย ๆ ก็ ไร้ประสิทธิภาพ ที่ ลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าจัดการกับ เครือข่ายฐานเสียง ของตน

•• จริง ๆ แล้ว กลุ่มวาดะห์ ก็คือ คนธรรมดาสามัญ ที่มีทั้ง บวก, ลบ มีทั้ง ข้อเด่น, ข้อด้อย โดยเฉพาะเมื่อตกเข้ามาอยู่ใน กับดักการเลือกตั้ง ที่ต้องมี ฐานเสียง, หัวคะแนน แต่บวกลบคูณหารแล้วก็ยังถือได้ว่าเป็น กลุ่มคนที่เข้าใจปัญหา, กลุ่มคนที่เป็นเงื่อนไขทำให้การต่อสู้นอกระบบขาดพลัง เพราะคนเหล่านี้คือ ผู้นำชุมชน ที่เลือกเข้ามา ต่อสู้ในระบบ นั่นเอง

•• ย้อนคิดให้ดี ยุทธการทำลายกลุ่มวาดะห์ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ ปี 2536 คนที่โดนมาแล้วก็ เด่น โต๊ะมีนา และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายทหารที่สามารถดับไฟใต้โดยพื้นฐานและนำ เด่น โต๊ะมีนา ขึ้นมาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยุทธการเผา 36 โรงเรียนเมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 2536 ถูกป้ายสีให้เป็นเรื่องของ ขจก., จกร. ที่เป็น คน 2 สัญชาติ และมีเสมือนมีบ้านหลังที่ 2 อยู่ที่ มาเลเซีย ครั้งนั้นเหตุการณ์เสมือนจบลงโดยการจับกุม โต๊ะกูเฮง หรือ กูเฮง กอตอนีลอ หรือ กูมะนาแซ กอตอนีลอ อย่าง ครึกโครม เสมือนเป็น หัวหน้าขบวนการคนสำคัญ (ช่วงนั้นขยายความกันใหญ่โตว่าเป็น บุตรชาย ของ ประธานกลุ่มพูโล) ทั้ง ๆ ที่คนที่รู้เรื่องราวในพื้นที่ดีอย่าง เด่น โต๊ะมีนา ยืนยัน คัดค้านเสียงแข็ง ว่าเป็นปฏิบัติการ จับแพะ ก็ ไม่มีใครฟัง จนกระทั่งเมื่อพิจารณาคดีใน ศาลยุติธรรม ผ่าน 4 ปี จนถึง วันที่ 4 เมษายน 2540 ศาลฎีกาพิพากษา ยกฟ้อง มองจากมุมของคนที่มีความคิดคับแคบและอคติก็อาจจะบอกว่าเป็นเพราะ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนทำกันแนบเนียน – พยานหลักฐานสืบไปไม่ถึง หรืออ้างว่าเป็น ความบกพร่องด้านคดีความ ดีไม่ดีพาลคิดพาลเชื่อไปเลยว่า วิธีการจัดการที่ดีที่สุด ก็คือ เก็บเงียบ แต่หากได้ศึกษา สำนวนคดี อย่าง ละเอียด โดยอ่าน ความระหว่างบรรทัด ทั้งหมดแล้วจะพบ ปฏิบัติการจัดฉาก – สร้างหลักฐาน ของ ตำรวจบางคน ที่เต็มไปด้วย เกียรติยศ, ชื่อเสียง ในทางที่ยกย่องกันว่า เข้าใจและแก้ปัญหาภาคใต้ได้อย่างยอดเยี่ยม คดีนี้หาอ่านได้ในหนังสือ กูเฮงเผาโรงเรียน : คดีประวัติศาสตร์-แบบอย่างการต่อสู้อันชอบธรรม เขียนเรียบเรียงจาก สำนวนคดี, คำให้การของพยานปากสำคัญ โดยทนายความ สมชาย นีละไพจิตร พิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่เมื่อ ปี 2543 โน่น

•• พูดไปว่าเป็นไปได้ไหมว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่สมควรมีการเลือกตั้งส.ส. ผู้อ่านคงหาว่า “เซี่ยงเส้าหลง” เริ่ม เพ้อเจ้อ ก็ไม่ว่ากัน

•• เพราะ กรอบความคิดทางรัฐศาสตร์ ของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเรายังคงถูกขังอยู่ในกรอบดั้งเดิมที่มีมายาวนาน กว่า 300 ปี ว่าด้วย รูปแบบของรัฐ ว่าถ้าไม่เป็น รัฐเดี่ยว ก็ต้องเป็น สหพันธรัฐ และในส่วนของ ระบอบการเมือง ถ้าไม่ใช่ ประชาธิปไตย ก็ต้องเป็น เผด็จการ และถ้าไม่ใช่ ระบบรัฐสภา ก็ต้องเป็น ระบบประธานาธิบดี เมื่อมีผู้เสนอความคิดเห็นแตกต่างออกไปจากที่เชื่อกันเป็นกระแสหลักก็มักจะด่วนโจมตีกันด้วย ความเข้าใจผิด หรือที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ใช้คำว่า สวมหมวกให้ ว่า ไม่รักชาติ, ทำลายชาติ บำเพ็ญตนเสมือนเป็น ขบวนการแบ่งแยกดินแดน, กบฏ หรือที่ร้ายแรงหนักที่สุดก็ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันทั้ง รูปแบบของรัฐ, รูปแบบระบอบการเมือง มีวิวัฒนาการ ก้าวไปไกลมาก เหตุผลหลักก็คือแต่ละประเทศต่างคิดค้นรูปแบบรัฐและรูปแบบการปกครองเพื่อ แก้ปัญหาพื้นฐาน อันนำไปสู่ ความรุนแรง, สงคราม โดยเฉพาะที่พัฒนาเป็น สงครามโลก 2 ครั้ง ณ จุดที่ถือเป็น รากฐานของปัญหา โดยไม่จำกัดตนเองหรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คุมขังความคิด ติดอยู่ในกรงทองของ ทฤษฎีการเมืองยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เมื่อ 300 ปีก่อนอีกต่อไป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ฉบับปัจจุบันก็ได้นำเอา บางส่วน ของ ระบบกึ่งประธานาธิบดี เข้ามาผสมผสานและประยุกต์ใช้กับ ระบบรัฐสภา และหากพิจารณาอย่าง เคร่งครัด ใน มาตรา 4, มาตรา 5 และ มาตรา 282 – 290 ก็ถือว่าเป็น รากฐาน ของการถือกำเนิด รูปแบบการบริหารจัดการในแต่ละพื้นที่ที่หลากหลาย ที่เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิงกับ การแบ่งแยกดินแดน, การสูญเสียดินแดน รวมทั้ง การให้เอกราชแก่ดินแดนบางส่วนของประเทศ โลกทุกวันนี้แตกต่างกับโลกยุคสมัย รัชกาลที่ 3 – 5 และสมัย จอมพลป. พิบูลสงคราม ไม่ว่าในมุมมองของ การล่าอาณานิคม หรือ การต่อสู้เรียกร้องของประชาชนในบางพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่มีใครคิดเรื่อง ดินแดน ในความหมาย รูปแบบ, กายภาพ หากแต่เป็นความเรียกร้องต้องการทาง เนื้อหา กล่าวทางด้านลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ก็เน้น ครอบงำทางเศรษฐกิจ, ครอบงำทางวัฒนธรรม เพื่อผลประโยชน์ใน ระบบทุนนิยม ทั้งด้าน แหล่งวัตถุดิบ และ ตลาด กล่าวทางด้านประชาชนในบางพื้นที่ก็เน้นที่ ชาติ ใน ความหมายใหม่ นั่นก็คือ ความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม จารีต ประเพณี ด้วยชีวิตจิตใจที่เป็นเจ้าของร่วมกัน เท่านั้น

•• แต่ละประเทศในยุคปัจจุบันต่างเลือก รูปแบบของรัฐ, ระบอบการเมือง ไปตาม สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจริง, ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละประเทศอาจประกอบไปด้วย หลายรูปแบบ ภายใต้ กฎหมายที่แตกต่างกัน (อย่างที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ใช้คำว่า กฎหมายแนวนอน) คงจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ประเทศในโลกนี้ละกระมังที่ทั้งประเทศอันกว้างขวางเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายแต่ ใช้รูปแบบการปกครองและกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวเหมือนกันหมด อย่างเช่น ประเทศไทย แบ่งเป็น 76 จังหวัด ทุกอย่าง เหมือนกันเกือบหมด (จะมี แตกต่างเล็กน้อย ก็แค่ กทม. และ เมืองพัทยา) แล้วจะ แก้ปัญหา กันได้อย่างไร

•• รูปแบบของ ประเทศไทย วันนี้ก็คือ จังหวัดเป็นอาณานิคมของกระทรวงมหาดไทย ในบางมุมมองถือว่า ล้าหลัง กว่าสมัย ร. 5 ยุค มณฑล ด้วยซ้ำ

•• ครั้งหนึ่ง ณ ที่นี้เมื่อ วันที่ 9 มกราคม 2547 ผู้อ่านที่ใช้นามว่า ประชาชน (ปัจจุบันเป็น ดาวดวงเด่น ที่ post เข้ามาใน www.manager.co.th) เคยลองเสนอรูปแบบ กระทรวงปัตตานี เข้ามาให้พิจารณากันโดยประยุกต์จาก กระทรวงสกอตแลนด์ หรือ Scottish Ministry ของ อังกฤษ ในยุคหนึ่ง

•• รูปแบบ กระทรวงปัตตานี ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ การแบ่งแยกดินแดน แต่เป็นกระบวนการ ทำให้เป็นไทย อย่าง นุ่มนวล, แยบยล และ ชาญฉลาด ต่างหาก

บทสรุปความพ่ายแพ้ "กลุ่มวาดะห์"

โดย อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์

ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 พรรคไทยรักไทยมีชัยชนะในการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ได้เสียงข้างมากทั้งในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อรวมกันไม่น้อยกว่า 350 เสียง คาดว่าจะตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในระบบรัฐสภา

อย่างไรก็ตามในทางกลับกันสนามเลือกตั้งใน 54 เขต 14 จังหวัดภาคใต้ ผลคะแนนแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์มีชัยชนะแบบถล่มทลายไม่แพ้กัน พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งเพียงเขตเดียวคือ เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดพังงา อย่างเหนือความคาดหมาย

ความพ่ายแพ้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมแล้ว 11 เขต คนทั่วไปไม่พูดว่าพรรคไทยรักไทยแพ้ต่อพรรคประชาธิปัตย์อย่างยับเยิน กลับพูดว่า "กลุ่มวาดะห์" สูญพันธุ์ไปแล้ว จากเดิมที่เคยครองสนามการเลือกตั้งพื้นที่นี้มาไม่น้อยกว่า 20 ปี

เมื่อดูจำนวน ส.ส.จาก 11 เสียงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว แทบไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับความศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศที่มอบความไว้วางใจให้กับพรรคไทยรักไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะมันเป็นเพียงตัวเลขทางคณิตศาสตร์เท่านั้น

แต่ถ้ามองในแง่ความมั่นคงของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนแล้ว 3 จังหวัดชายแดนมีค่ายิ่งสำหรับการเมืองไทยในอนาคต เพราะภูมิภาคแถบนี้จะมีผลกระทบต่อภาพรวมภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ผู้เขียนในฐานะเป็นตัวแทนคนหนึ่งของ "กลุ่มวาดะห์" ความหมายภาษาไทยคือ "กลุ่มเอกภาพ" ที่ได้ก่อกำเนิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2528 นับเป็นเวลานานถึง 20 ปีและเคยสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ มาแล้วหลายพรรค นับตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์, พรรคประชาชน, พรรคเอกภาพ, พรรคความหวังใหม่ และสุดท้ายพรรคไทยรักไทย

เคยต่อสู้ขับเคี่ยวบนเวทีเลือกตั้งกับพรรคประชาธิปัตย์ตลอดมา แม้ในสถานการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์เนื้อหอมสุดสุด "กลุ่มวาดะห์" ยังสามารถเล็ดลอดเข้าสู่สภาได้ทุกสมัย

ในการต่อสู้สนามเลือกตั้งครั้งนี้ สถานภาพของพรรคประชาธิปัตย์สาละวันเตี้ยลงๆ ทุกวัน แต่ผลปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์กำชัยชนะเกือบทุกเขตเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

จึงเกิดคำถามตามมาว่าประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รักและศรัทธาต่อผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าผู้สมัครในพรรคไทยรักไทย หรือประชาชนชอบและเลื่อมใสในนโยบายพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคไทยรักไทยใช่หรือไม่

ผู้เขียนขอฟันธงว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน การพ่ายแพ้แบบยกทีมครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร ผู้เขียนและคณะได้สรุปอย่างรวดเร็วแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ ดังนี้

1.สถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้พรรคไทยรักไทยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตกเป็นรองและเสียเปรียบพรรคคู่แข่งตลอด ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยในกลุ่มวาดะห์ จึงเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่าเป็นฝ่ายรุก เพราะตกเป็นจำเลยสังคมในภาพของผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทย

การชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็ทำได้ไม่เต็มที่ ทุกครั้งที่ ส.ส.พรรคไทยรักไทยเยี่ยมเยียนประชาชนในหมู่บ้านและในมัสยิดเพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจกับประชาชนในปัญหาต่างๆ แต่พอคล้อยหลังทุกครั้ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจและทหารได้ตามไปสอบถามว่า ส.ส.มาพูดเรื่องอะไร พร้อมจดบันทึกข้อความลงในสมุดบันทึกให้ชาวบ้านได้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แล้วอย่างนี้ประชาชนจะมั่นใจในพรรคไทยรักไทยได้อย่างไร ขนาดคนของตนเองยังถูกติดตามประกบอยู่ตลอดเวลา

ช่วงการหาเสียงในเวลาอันสั้นนั้น กลยุทธ์ที่ "กลุ่มวาดะห์" เคยใช้มาตลอดก็คือการปราศรัยหาเสียงต่อหน้ามวลชนนับพันนับหมื่น ปราศรัยตั้งแต่เวลา 20.00 น.จนถึงดึกดื่น แต่ในครั้งนี้ไม่สามารถทำได้เพราะข้อจำกัดของสถานการณ์ ประชาชนไม่กล้าออกนอกหมู่บ้านในยามวิกาล จึงเป็นข้อได้เปรียบของคู่แข่งที่อาศัยสถานการณ์ดังกล่าวเอื้ออำนวย อีกทั้งได้แจกแผ่นซีดีเหตุการณ์ตากใบในทุกหมู่บ้านได้เปิดดูกันซึ่งทำให้เกิดความสะพรึงกลัวและเคียดแค้นตามมาจนแพร่เป็นข่าวซุบซิบในหมู่บ้านแบบเงียบๆ เหมือนคลื่นใต้น้ำ "สึนามิ" ว่าอย่าเลือกเบอร์ 9 เพราะเบอร์นี้ฆ่าประชาชนมุสลิม

2.คู่แข่งได้นำเสนอนโยบายที่ไม่ได้ประกาศในพรรคแต่นำนโยบายที่ถูกใจประชาชนแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ หรือที่เรียกว่าทำให้ประชาชนถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง เช่น ประกาศว่าหากได้เป็นผู้แทนฯและเป็นรัฐบาลแล้วจะยกเลิกกฎอัยการศึกและถอนทหารกลับไปทั้งหมด และบางครั้งได้พูดอย่างติดตลกว่าเหตุการณ์จะสงบและความสันติสุขจะเกิดขึ้นหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

3.ก่อนการเลือกตั้ง 3 วันได้มีการสร้างกระแสในหมู่ประชาชนว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่มัสยิดกรือเซะ ก็ดี เหตุการณ์ตากใบก็ดี การประชุมองค์กรมุสลิมโลกรับรู้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าจะเชียร์ใครดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ว่ารัฐบาลปฏิบัติต่อมุสลิมถูกต้อง หรือดี ไม่ดีอย่างไร เพื่อเป็นการยืนยันเป็นมติมหาชนว่าประชาชนพอใจหรือไม่พอใจแนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล ก็โดยการลงมติไม่เลือกพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้

สรุป เหตุการณ์ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้นเป็นสาเหตุหลัก ส่วนเหตุผลอื่นๆ อีกหลายประเด็นเป็นเหตุผลรองเท่านั้น

สิ่งที่รัฐบาลทุ่มเทการพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมโหฬารนั้น ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชนเชียวหรือ

ผู้เขียนได้ยินชาวบ้านพูดว่า ความกลัว ความตาย ไม่สามารถหาสิ่งอื่นมาชดเชยได้

ในอดีตเมื่อครั้งที่อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ไปเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนได้พูดคุยกับท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ผู้นำจีนในขณะนั้น เรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ได้กล่าวว่า

"คอมมิวนิสต์อย่าไปฆ่ามัน ถ้าฆ่ามันแล้วเราจะแพ้"

ตำราเรื่องเมืองจีน – “เศรษฐกิจการเมืองจีน” เล่มนี้เป็นผลงานวิจัยของนักวิชาการรุ่นใหม่ที่รู้เรื่องจีนดีที่สุดคนหนึ่ง “วรศักดิ์ มหัทธโนบล” อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ราคา 330 บาท หาซื้อได้ที่ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กำลังโหลดความคิดเห็น