•• กลายเป็น หนังสือดัง ไปแล้วเพียงแค่ชั่วข้ามคืน บันทึกลับ 2540 ความจริงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลานาน เขียนโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อาจจะเพราะ ใกล้วันเลือกตั้งทั่วไป เลยถูกตีความว่าอาจจะเป็น หมัดเด็ด, อาวุธลับ ของขุนพลเฒ่าผู้มีชั้นเชิงการเมืองแพรวพราว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้น่ะไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากไปกว่าเพื่อ ตอบโต้ ถ้อยคำรุนแรงของ ชวน หลีกภัย ที่ ตอบโต้กันไปมา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นต่อปากต่อคำเรื่อง สัปเหร่อ ในช่วง วันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2547 ทั้งนี้โดยเริ่มต้นจากนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ไปปาฐกถาเนื่องในโอกาส 3 ปี TAMC ภายใต้ชื่องาน60 ล้านไทยพ้นภัยเศรษฐกิจ ย่อวิกฤต ต่อโอกาส โดยบสท. โดยกล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลชุดที่แล้วว่า “...ดำเนินการผิดพลาด แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยมีการตั้งกู๊ดแบงก์ขึ้นมา แต่ไม่มีแบดแบงก์ และขายธนาคารต่าง ๆ ให้ฝรั่งในราคาถูก จนรัฐบาลผมต้องเข้ามาแก้ไข้ปัญหา ซื้อคืนในราคาแพง.” ไฮไลท์สำคัญคือการเปรียบเทียบว่ารัฐบาลชุดนี้เป็น หมอรักษาคนไข้ แต่รัฐบาลชุดก่อนหน้าทำงานในลักษณะเดียวกับ สัปเหร่อ ตรงที่ “...ไม่มีการรักษาคนไข้ให้ถึงที่สุด แต่กลับส่งคนไข้ที่อาการหนักเข้าห้องดับจิต.” เล่นเอานายกรัฐมนตรีคนที่ 20 โกรธจนแทบจะเห็นควันออกหูออกมาตอบโต้ในวันต่อมาในทำนองว่าก็จริงอยู่ที่เมื่อปลายปี 2540 โน่นต้องเป็น สัปเหร่อ แต่ก็เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้นภายใต้การนำของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่มีรองนายกรัฐมนตรีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่างหากที่ ทำให้ประเทศไทยเป็นศพ โดยเน้นที่การปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อ วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ดังประโยคต่อไปนี้ “...พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสียที่เกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เปลี่ยนระบบค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินอ่อนลงมากเกินกว่าที่รัฐบาลคาดหมาย ทำให้ธุรกิจสถาบันการเงินมีปัญหาเพราะกู้เงินจากต่างประเทศ ในที่สุดเงินสำรองระหว่างประเทศก็หมดไปเกือบเกลี้ยง เหลือเพียงแค่ 800 ล้านเหรียญ จนรัฐบาลขอความช่วยเหลือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และในที่สุดก็ไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ จึงยกรัฐบาลลาออก แต่ก่อนที่จะออก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธบอกว่าเศรษฐกิจไทยเหมือนคนไข้ ตายแน่นอนแล้ว เพราะเงินสำรองระหว่างประเทศหมดเกลี้ยง.” เอาเรื่องเก่ามา ตัดตอนพูด เช่นนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่อยู่ในช่วง บั้นปลายของชีวิตทางการเมือง มีหรือจะ นิ่งเฉย ต้อง ตอบโต้, ชี้แจง และนี่คือที่มาของหนังสือเล่มนี้
•• อ่านดูทั้งหมดแล้วคนที่น่าจะ เดือดร้อน คือ พรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้บริหารระดับสูงของแบงก์ชาติในขณะนั้น โดยเฉพาะ ศิริ การเจริญดี จริง ๆ แล้วออกจะ เป็นประโยชน์ กับทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคไทยรักไทย แต่เหตุไฉน สมัคร สุนทรเวช – ดุสิต ศิริวรรณ ถึงได้ ตีความไปอีกทางหนึ่ง ทางหน้าจอ โมเดิร์นไนน์ 9 วานนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าก่อนจะ ด่วนวิพากษ์ น่าจะ อ่าน หรืออย่างน้อยที่สุด อ่านผ่าน ๆ เสียก่อน
•• เพราะถ้าได้ อ่านผ่าน ๆ อย่างน้อย ดุสิต ศิริวรรณ ก็จะได้รู้ว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ อยู่ใน ทิศทางเดียวกัน กับที่ท่านต่อสู้มาในกรณี ปรส. การด่วนออกมาวิพากษ์อาจจะทำให้กระแสสังคมเชื่อว่างานนี้มี ใครบางคน กำลัง กริ่งเกรง, ร้อนตัว ว่า มีส่วนได้-เสียจากการได้รู้เห็นนโยบายลดค่าเงินบาท ก็ได้นะ
•• เนื้อหาที่น่าสนใจที่สุดคือ บทที่ 9 – ใครหนุน ใครต้าน ลดค่าเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทที่ 10 – ความลับของทูตลับไปเมืองจีน ที่ ไม่อ่านไม่ได้ เพาะเป็นกรณีคลาสิคกรณีหนึ่งว่าด้วย การเมืองระหว่างประเทศ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ พายัพ วนาสุวรรณ เปิดเผยในการตอบคำถามของเขาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ในหัวข้อ จีนกับวิกฤตของไทยปี 2540เพียงแต่ในหนังสือเล่มของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เล่มนี้มีการตีพิมพ์ จดหมายลับ 2 ฉบับถึงผู้นำจีน ที่เขียนด้วย สำนวนโวหารระดับปรมาจารย์ และให้รายละเอียดอ้างอิงคำกล่าวของ พล.อ.มงคล อัมพรพิฎฐ์ ที่มีต่อ พฤติกรรมทรยศของหนึ่งในทูตลับ ออกมาว่า “...ไอ้คนที่ทำลายประเทศไทยเช่นนี้ หากเป็นสมัยโบราณก็ต้องถูกยิงเป้า.” เพิ่มขึ้น
•• ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นอยู่ระหว่าง วันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2540 คณะทูตลับที่ร่วมเดินทางไป จีน เพื่อขอกู้เงิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวน 6 คน (ไม่รวมพนักงานข้อมูลอีก 3 คน) พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พล.อ.วิชิต ยาทิพย์, สุรศักดิ์ นานานุกูล, ไพศาล พืชมงคล, นิพัทธ พุกกะณะสุต และ ศิริ การเจริญดี ผลการเจรจาในชั้นต้นทำท่าว่าจะ เรียบร้อย แต่แล้วกลับมี หนึ่งในคณะทูตลับ ขอเวลานอกออกไปสนทนากับฝ่ายธนาคารกลางของจีนแล้วไปแจ้งข้อมูลเท็จว่า ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, พวกที่เดินทางมาเป็นพวกไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว ในที่สุดจีนก็เลยให้กู้เพียง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเชื่อว่า ไทยต้องการเพียงเท่านั้น หนึ่งในคณะทูตลับคือ ใคร หากันไม่ยาก
•• ขอพักเรื่อง บันทึกลับ 2540 ความจริงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลานาน ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนเพราะพอเขียนถึง หัวหน้าคณะทูตลับ เมื่อ 8 ปีก่อน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ก็เผอิญได้อ่าน คำร้อง ต่อ ศาลล้มละลายกลาง ของ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ฉบับลงวันที่เมื่อ 2 วันก่อนพอดีจึงเห็นว่าท่านผู้นี้ เฮง จริง ๆ
•• จะไม่ เฮง ได้อย่างไร พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ นอกจากมีตำแหน่งแห่งที่เป็น ประธานคณะกรรมการธนาคารกรุงไทยจำกัด(มหาชน) กินเงินเดือนอยู่แล้วประมาณ 400,000 บาท ในฐานะ พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ที่ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่กำหนดให้ต้อง ทำงานเต็มเวลา แต่ก็ยังเข้ามาเป็น 1 ใน 5 คณะผู้บริหารแผน ของ ทีพีไอ ตามการมอบหมายของ กระทรวงการคลัง นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่ายังมากินเงินเดือนจาก ทีพีไอ อีก 1,000,000 บาท เท่านั้นยังไม่พอยังมี เบี้ยประชุม อีก ครั้งละ 25,000 บาท เรื่องนี้ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ร้องต่อศาลโดยกล่าวหาว่าผิดกฎหมายดังกล่าว มาตรา 6 ประกอบมาตรา 3 หากมีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้อง รับเงินเดือนเพิ่ม ก็ควรจะต้องไป รับจากกระทรวงการคลัง – ไม่ใช่รับจากทีพีไอที่อยู่ระหว่าฟื้นฟูกิจการ เหตุผลที่ยกขึ้นมาขอความกรุณาจากศาลก็คือ “...เปรียบได้กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งศาลเคยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราว ก็หาได้เรียกหรือรับเงินจากลูกหนี้แต่อย่างใดไม่.” และที่สำคัญก็คือ “...บริษัทลูกหนี้อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ การที่ผู้บริหารแผนคนใหม่ใช้จ่ายเงินของลูกหนี้จำนวนสูงมาก จึงไม่โปร่งใส ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล.” ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดนั้นนอกจากเหตุผล เกรงใจเพื่อนร่วมรุ่นจปร. 9 พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร แล้วยังมีเหตุผลความจำเป็นใน การปฏิบัติภารกิจอันใหญ่หลวงเพื่อชาติที่แบงก์กรุงไทยและทีพีไอ ด้วยหรือเปล่า
•• ไม่เพียงแต่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อีก 4 ผู้บริหารแผนคือ พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ ยังร่วมขบวนการ เฮง เพราะต่างก็ได้รับเงินเดือนจาก ทีพีไอ อีกคนละ 750,000 บาท ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนล้วนมี งานประจำ เป็น พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ในระดับ ประธาน ด้วยกันทุกคน
•• ผู้บริหารแผนทั้ง 5 ท่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ ถูกกล่าวโทษโดยรวมจาก ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ว่า “...คณะบุคคลซึ่งเป็นตัวแทนกระทรวงการคลังทั้ง 5 คน ทำงานในหลายตำแหน่ง และเข้ามาทำงานกับลูกหนี้เพียงบางครั้งคราว มิได้ทำงานเต็มเวลา นอกจากจะไม่มีเวลาจะทำงานให้ลูกหนี้อย่างเต็มที่แล้ว ยังเป็นการเบียดบังเวลาราชการ ซึ่งทั้ง 5 คนเป็นเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และมีงานประจำได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนเต็มที่จากหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่.” งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ศาลล้มละลายกลาง ว่าจะ วินิจฉัย อย่างไร
•• เฉพาะ พละ สุขเวช นั้นยังถูกกล่าวหาในเชิง ขัดหลักแห่งการขัดกันซึ่งผลประโยชน์ เพราะไม่เพียงแต่เป็น พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ แต่ยังเป็นองค์การและหน่วยงานที่เป็น คู่แข่งทางการค้า ของ ทีพีไอ คือ ปตท., ไทยออยล์, ไทยโอเลฟินส์ และ ไทยอะโรเมติกส์ อีกต่างหาก
•• ดูเหมือนตอนนี้เรื่อง กำหนดเงินเดือนตนเอง กำลังเป็นปัญหาที่ รอการวินิจฉัย อย่างไรเสีย “เซี่ยงเส้าหลง” ก็ขอฝากเรื่อง เงินเดือนซ้ำซ้อน – เกินเหตุ ประเภทเกษียณอายุราชการแล้วยังมาฟาดเงินเดือนรวมแล้ว 1,400,000 บาท ไม่รวม เบี้ยประชุมครั้งละ 25,000 บาท และ โบนัสมหาศาล ไว้ในการพิจารณาของสังคมด้วย
•• พิจารณาทางด้าน กฎหมาย จะ ผิด หรือ ไม่ผิด ยังไม่เท่ากับระดับแห่ง หิริ – โอตตัปปะ ของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ล้วนผ่าน จุดสูงสุดในชีวิตราชการ กันมาแล้ว
•• เพราะถึงที่สุดแล้ว ตัวอักษร ก็ไม่อาจ กำหนดสังคม ได้ทั้งหมด พระพรหมคุณาภรณ์ เคยแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง นิติศาสตร์แนวพุทธ ไว้ ณ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 2539 ชนิดที่หากได้ถือปฏิบัติกันแล้วคงไม่มีความแตกต่างระหว่าง ถูกกฎหมาย กับ ถูกตามหลักสุจริตธรรม, ถูกตามหลักแห่งความถูกต้อง พระคุณเจ้าเทศนาว่า “...กฎหมายต้องมาจากธรรม ต้องชอบธรรม และเพื่อธรรม.” น่าเสียดายที่ในระยะหลังสังคมไทยภายใต้ ลัทธิบริโภคนิยม, การขาดหิริ-โอตตัปปะของชนชั้นนำในสังคม ทำให้ กฎหมาย กับ ธรรม มีอันต้อง แยกออกจากกัน ทั้ง ๆ ที่ในสังคมไทยแต่โบราณมา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเดชพระคุณเทศนาไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า “....ถ้าคนอยู่ในหลักการ ก็ไม่ต้องมีกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ใช่เพื่อหลักการ ก็ไม่ควรให้เป็นกฎหมาย.” และถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีพฤติกรรม หาช่องว่างจากกฎหมาย อย่างที่พบเห็นกันดาษดื่นวันนี้
•• คำว่า หลักการ ในย่อหน้าก่อนก็อาทิ หลักสาราณียธรรม 6 ที่ถือเป็น หลักการของประชาธิปไตย รวมทั้ง อปริหานิยธรรม, สังคหวัตถุ, สิกขาบท 5 รวมทั้ง พรหมวิหารธรรม หาก พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ สนใจก็หาอ่านในตำรา หลักวิชาชีพนักกฎหมาย ของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดู

นโยบายพรรคการเมืองไทย – หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานศึกษาวิจัยของดร.เชาวนะ ไตรมาศ ผู้อำนวยการสถานบันรัฐธรรมนูญศึกษา ศาลรัฐธรรมนูญ โดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ วางตลาดแล้วในราคา 150 บาท .... แต่ใครอยากได้ “ฟรี” พร้อม ๆ ไปกับการฟังเสวนาพิเศษโดยผู้เขียนและนักวิชาการอีก 2 ท่าน ต้องไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือบ่ายวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2548 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กทม. ..... โทรศัพท์สำรองที่นั่งด่วนที่สถาบันนโยบายศึกษา 0-2941-1832, 0-2941-1833 โทรสาร 0-2941-1834
•• อ่านดูทั้งหมดแล้วคนที่น่าจะ เดือดร้อน คือ พรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้บริหารระดับสูงของแบงก์ชาติในขณะนั้น โดยเฉพาะ ศิริ การเจริญดี จริง ๆ แล้วออกจะ เป็นประโยชน์ กับทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคไทยรักไทย แต่เหตุไฉน สมัคร สุนทรเวช – ดุสิต ศิริวรรณ ถึงได้ ตีความไปอีกทางหนึ่ง ทางหน้าจอ โมเดิร์นไนน์ 9 วานนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าก่อนจะ ด่วนวิพากษ์ น่าจะ อ่าน หรืออย่างน้อยที่สุด อ่านผ่าน ๆ เสียก่อน
•• เพราะถ้าได้ อ่านผ่าน ๆ อย่างน้อย ดุสิต ศิริวรรณ ก็จะได้รู้ว่า ข้อมูลส่วนใหญ่ อยู่ใน ทิศทางเดียวกัน กับที่ท่านต่อสู้มาในกรณี ปรส. การด่วนออกมาวิพากษ์อาจจะทำให้กระแสสังคมเชื่อว่างานนี้มี ใครบางคน กำลัง กริ่งเกรง, ร้อนตัว ว่า มีส่วนได้-เสียจากการได้รู้เห็นนโยบายลดค่าเงินบาท ก็ได้นะ
•• เนื้อหาที่น่าสนใจที่สุดคือ บทที่ 9 – ใครหนุน ใครต้าน ลดค่าเงิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทที่ 10 – ความลับของทูตลับไปเมืองจีน ที่ ไม่อ่านไม่ได้ เพาะเป็นกรณีคลาสิคกรณีหนึ่งว่าด้วย การเมืองระหว่างประเทศ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ พายัพ วนาสุวรรณ เปิดเผยในการตอบคำถามของเขาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อน วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2546 ในหัวข้อ จีนกับวิกฤตของไทยปี 2540เพียงแต่ในหนังสือเล่มของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เล่มนี้มีการตีพิมพ์ จดหมายลับ 2 ฉบับถึงผู้นำจีน ที่เขียนด้วย สำนวนโวหารระดับปรมาจารย์ และให้รายละเอียดอ้างอิงคำกล่าวของ พล.อ.มงคล อัมพรพิฎฐ์ ที่มีต่อ พฤติกรรมทรยศของหนึ่งในทูตลับ ออกมาว่า “...ไอ้คนที่ทำลายประเทศไทยเช่นนี้ หากเป็นสมัยโบราณก็ต้องถูกยิงเป้า.” เพิ่มขึ้น
•• ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นอยู่ระหว่าง วันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2540 คณะทูตลับที่ร่วมเดินทางไป จีน เพื่อขอกู้เงิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวน 6 คน (ไม่รวมพนักงานข้อมูลอีก 3 คน) พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พล.อ.วิชิต ยาทิพย์, สุรศักดิ์ นานานุกูล, ไพศาล พืชมงคล, นิพัทธ พุกกะณะสุต และ ศิริ การเจริญดี ผลการเจรจาในชั้นต้นทำท่าว่าจะ เรียบร้อย แต่แล้วกลับมี หนึ่งในคณะทูตลับ ขอเวลานอกออกไปสนทนากับฝ่ายธนาคารกลางของจีนแล้วไปแจ้งข้อมูลเท็จว่า ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงิน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, พวกที่เดินทางมาเป็นพวกไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว ในที่สุดจีนก็เลยให้กู้เพียง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะเชื่อว่า ไทยต้องการเพียงเท่านั้น หนึ่งในคณะทูตลับคือ ใคร หากันไม่ยาก
•• ขอพักเรื่อง บันทึกลับ 2540 ความจริงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลานาน ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนเพราะพอเขียนถึง หัวหน้าคณะทูตลับ เมื่อ 8 ปีก่อน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ก็เผอิญได้อ่าน คำร้อง ต่อ ศาลล้มละลายกลาง ของ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ฉบับลงวันที่เมื่อ 2 วันก่อนพอดีจึงเห็นว่าท่านผู้นี้ เฮง จริง ๆ
•• จะไม่ เฮง ได้อย่างไร พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ นอกจากมีตำแหน่งแห่งที่เป็น ประธานคณะกรรมการธนาคารกรุงไทยจำกัด(มหาชน) กินเงินเดือนอยู่แล้วประมาณ 400,000 บาท ในฐานะ พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ที่ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่กำหนดให้ต้อง ทำงานเต็มเวลา แต่ก็ยังเข้ามาเป็น 1 ใน 5 คณะผู้บริหารแผน ของ ทีพีไอ ตามการมอบหมายของ กระทรวงการคลัง นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่ายังมากินเงินเดือนจาก ทีพีไอ อีก 1,000,000 บาท เท่านั้นยังไม่พอยังมี เบี้ยประชุม อีก ครั้งละ 25,000 บาท เรื่องนี้ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ร้องต่อศาลโดยกล่าวหาว่าผิดกฎหมายดังกล่าว มาตรา 6 ประกอบมาตรา 3 หากมีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้อง รับเงินเดือนเพิ่ม ก็ควรจะต้องไป รับจากกระทรวงการคลัง – ไม่ใช่รับจากทีพีไอที่อยู่ระหว่าฟื้นฟูกิจการ เหตุผลที่ยกขึ้นมาขอความกรุณาจากศาลก็คือ “...เปรียบได้กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งศาลเคยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราว ก็หาได้เรียกหรือรับเงินจากลูกหนี้แต่อย่างใดไม่.” และที่สำคัญก็คือ “...บริษัทลูกหนี้อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ การที่ผู้บริหารแผนคนใหม่ใช้จ่ายเงินของลูกหนี้จำนวนสูงมาก จึงไม่โปร่งใส ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล.” ไม่รู้เหมือนกันว่าการที่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดนั้นนอกจากเหตุผล เกรงใจเพื่อนร่วมรุ่นจปร. 9 พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร แล้วยังมีเหตุผลความจำเป็นใน การปฏิบัติภารกิจอันใหญ่หลวงเพื่อชาติที่แบงก์กรุงไทยและทีพีไอ ด้วยหรือเปล่า
•• ไม่เพียงแต่ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อีก 4 ผู้บริหารแผนคือ พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ ยังร่วมขบวนการ เฮง เพราะต่างก็ได้รับเงินเดือนจาก ทีพีไอ อีกคนละ 750,000 บาท ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนล้วนมี งานประจำ เป็น พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ในระดับ ประธาน ด้วยกันทุกคน
•• ผู้บริหารแผนทั้ง 5 ท่าน พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ ถูกกล่าวโทษโดยรวมจาก ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ว่า “...คณะบุคคลซึ่งเป็นตัวแทนกระทรวงการคลังทั้ง 5 คน ทำงานในหลายตำแหน่ง และเข้ามาทำงานกับลูกหนี้เพียงบางครั้งคราว มิได้ทำงานเต็มเวลา นอกจากจะไม่มีเวลาจะทำงานให้ลูกหนี้อย่างเต็มที่แล้ว ยังเป็นการเบียดบังเวลาราชการ ซึ่งทั้ง 5 คนเป็นเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 4 แห่งพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และมีงานประจำได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนเต็มที่จากหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่.” งานนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ศาลล้มละลายกลาง ว่าจะ วินิจฉัย อย่างไร
•• เฉพาะ พละ สุขเวช นั้นยังถูกกล่าวหาในเชิง ขัดหลักแห่งการขัดกันซึ่งผลประโยชน์ เพราะไม่เพียงแต่เป็น พนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ แต่ยังเป็นองค์การและหน่วยงานที่เป็น คู่แข่งทางการค้า ของ ทีพีไอ คือ ปตท., ไทยออยล์, ไทยโอเลฟินส์ และ ไทยอะโรเมติกส์ อีกต่างหาก
•• ดูเหมือนตอนนี้เรื่อง กำหนดเงินเดือนตนเอง กำลังเป็นปัญหาที่ รอการวินิจฉัย อย่างไรเสีย “เซี่ยงเส้าหลง” ก็ขอฝากเรื่อง เงินเดือนซ้ำซ้อน – เกินเหตุ ประเภทเกษียณอายุราชการแล้วยังมาฟาดเงินเดือนรวมแล้ว 1,400,000 บาท ไม่รวม เบี้ยประชุมครั้งละ 25,000 บาท และ โบนัสมหาศาล ไว้ในการพิจารณาของสังคมด้วย
•• พิจารณาทางด้าน กฎหมาย จะ ผิด หรือ ไม่ผิด ยังไม่เท่ากับระดับแห่ง หิริ – โอตตัปปะ ของผู้หลักผู้ใหญ่ที่ล้วนผ่าน จุดสูงสุดในชีวิตราชการ กันมาแล้ว
•• เพราะถึงที่สุดแล้ว ตัวอักษร ก็ไม่อาจ กำหนดสังคม ได้ทั้งหมด พระพรหมคุณาภรณ์ เคยแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง นิติศาสตร์แนวพุทธ ไว้ ณ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อ วันที่ 28 มีนาคม 2539 ชนิดที่หากได้ถือปฏิบัติกันแล้วคงไม่มีความแตกต่างระหว่าง ถูกกฎหมาย กับ ถูกตามหลักสุจริตธรรม, ถูกตามหลักแห่งความถูกต้อง พระคุณเจ้าเทศนาว่า “...กฎหมายต้องมาจากธรรม ต้องชอบธรรม และเพื่อธรรม.” น่าเสียดายที่ในระยะหลังสังคมไทยภายใต้ ลัทธิบริโภคนิยม, การขาดหิริ-โอตตัปปะของชนชั้นนำในสังคม ทำให้ กฎหมาย กับ ธรรม มีอันต้อง แยกออกจากกัน ทั้ง ๆ ที่ในสังคมไทยแต่โบราณมา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเดชพระคุณเทศนาไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า “....ถ้าคนอยู่ในหลักการ ก็ไม่ต้องมีกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ใช่เพื่อหลักการ ก็ไม่ควรให้เป็นกฎหมาย.” และถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีพฤติกรรม หาช่องว่างจากกฎหมาย อย่างที่พบเห็นกันดาษดื่นวันนี้
•• คำว่า หลักการ ในย่อหน้าก่อนก็อาทิ หลักสาราณียธรรม 6 ที่ถือเป็น หลักการของประชาธิปไตย รวมทั้ง อปริหานิยธรรม, สังคหวัตถุ, สิกขาบท 5 รวมทั้ง พรหมวิหารธรรม หาก พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์, พละ สุขเวช, ทะนง พิทยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา และ อารีย์ วงศ์อารยะ สนใจก็หาอ่านในตำรา หลักวิชาชีพนักกฎหมาย ของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดู
นโยบายพรรคการเมืองไทย – หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานศึกษาวิจัยของดร.เชาวนะ ไตรมาศ ผู้อำนวยการสถานบันรัฐธรรมนูญศึกษา ศาลรัฐธรรมนูญ โดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ วางตลาดแล้วในราคา 150 บาท .... แต่ใครอยากได้ “ฟรี” พร้อม ๆ ไปกับการฟังเสวนาพิเศษโดยผู้เขียนและนักวิชาการอีก 2 ท่าน ต้องไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือบ่ายวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2548 เวลา 13.30 – 16.30 น. ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กทม. ..... โทรศัพท์สำรองที่นั่งด่วนที่สถาบันนโยบายศึกษา 0-2941-1832, 0-2941-1833 โทรสาร 0-2941-1834