xs
xsm
sm
md
lg

บันทึกลับ 2540 ความจริงที่ถูกปกปิดมานานของ‘บิ๊กจิ๋ว’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดบันทึกลับ“บิ๊กจิ๋ว”ผู้มีโอกาสนั่งเก้าอี้นายกฯเพียง 11 เดือน 9 วัน“ใครแทงข้างหลังใคร”ที่ส่งทูตลับไปจีนเพื่อขอเงิน“ใครหักหลังใคร”ก่อนลดค่าเงินบาท หรือมีใครรู้ตัวก่อนลดค่าเงินบาทหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ทีมงาน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียบเรียงประวัติศาสตร์ตามคำบอกเล่าของ “บิ๊กจิ๋ว” บุคคลที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลประวัติศาสตร์การเงิน การคลัง ปี 2540 ออกมาเป็นพ็อกเกตบุ๊ก ขนาด 396 หน้า จำนวน 20 บท เรื่อง “บันทึกลับ 2540 ความจริงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลานาน” โดยเนื้อหาทั้งหมดต้องการบ่งบอกถึง “เงื่อนงำ” จนเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ทั้งที่มาและที่ไป...ใครได้ประโยชน์ซึ่งเป็นเรื่องก่อนเกิดวิกฤตและหลังวิกฤตว่า ใครเป็นตัวละครร่วมอยู่ในเหตุการณ์บ้าง

พล.อ.ชวลิต บอกไว้ในคำนิยมตอนหนึ่งว่า ปี 2540 เป็นปีที่ประเทศไทยได้ประสบภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกอันเกิดจากปัญหาที่สะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน และได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย และทั่วโลกในเวลาต่อมา นับเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ควรค่าแก่การบันทึกเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบข้อเท็จจริงและความเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาเป็นบทเรียนให้ประเทศไทย ได้มีความระวังหาแนวทางป้องกันวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเช่นนี้ มิให้เกิดขึ้นมาอีก โดยเนื้อทั้งหมดเป็นการรวบรวมจากหลักฐานที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา...

สำหรับหนังสือดังกล่าวมีทั้งหมด 20 บท ยกตัวอย่างบทที่ 1 เป็นเรื่องเศรษฐกิจไทยล่มสลายก่อนรัฐบาล พล.อ.ชวลิต บทนี้ได้อธิบายว่ารัฐบาลจิ๋ว 1 ที่มีระยะเวลาบริหารเพียง 11 เดือน 9 วัน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถึง 3 คน และเปลี่ยนรัฐมนตรีช่วย 5 คน และมีอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 2 คน โดยภาวะเศรษฐกิจปี 2539 ไทยมีหนี้ต่างประเทศรวมกัน 208,742 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นหนี้ภาครัฐเพียง 16,801 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เป็นหนี้ภาคเอกชน 91,941 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียง 38,724 ล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศไทยจึงมีฐานะการเงินไม่ต่างจากผู้ล้มละลาย เพราะหนี้ต่างประเทศสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อไม่มีเงินตราไปชำระหนี้คืนหมายความว่าการล้มละลายเกิดขึ้นก่อน พล.อ.ชวลิตจะเข้ามาเป็นนายกฯ

....คำกล่าวนี้เป็นข้อแก้ตัวให้นายกฯที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้ไทยต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ โดยขณะนั้นมี นายอำนวย วีรวรรณ เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นปลัดกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในที่สุดรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุด เป็นคณะรัฐบาลที่ได้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศจากระบบตะกร้าที่ค่อนข้างผูกติดกับเงินเหรียญสหรัฐ เป็นระบบค่าเงินลอยตัว จนเป็นคณะรัฐบาลที่มีผู้ชุมนุมโกรธแค้นและประท้วงขับไล่ เพราะค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องจาก 25 บาทต่อเหรียญสหรัฐไปอยู่ที่ 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จนในที่สุด พล.อ.ชวลิตได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 ...โดยอาจจะไม่มีใครรู้จริงๆ ว่า เหตุผลที่ลาออกนั้นคืออะไร

บทนี้เนื้อหาถูกทิ้งท้ายไว้ว่า อะไรที่ทำให้ประเทศไทยต้องล้มละลายทางการเงินระหว่างประเทศ แล้วใครเป็นคนก่อปัญหาที่แท้จริง เมื่อปัญหาได้ถูกก่อขึ้นแล้วเหตุใดจึงไม่มีใครแก้ไข แล้วใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ?

สำหรับบทที่ 9 ได้มีการเรียบเรียงย้อนไปให้เห็นกลุ่มบุคคลที่เสนอให้ลดค่าเงินและอีกกลุ่มที่คัดค้าน กล่าวคือ นายสุรศักดิ์ นานานุกูล ที่ปรึกษานายกฯ เสนอว่า นอกจากควรลดค่าเงินบาทแล้ว ยังเสนอให้เตรียมวงเงินกู้ต่างประเทศ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยับยั้งการไหลของเงินและผู้ที่เห็นด้วยว่าควรลดค่าเงินได้แก่ นายชาตรี โสภณพนิช นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ นายนิมิตร นนทพันธาวาทย์ นายวีรพงษ์ รามางกูร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ขณะนั้นเป็นรองนายกฯ) นายวรากรณ์ สามโกเศศ นายนิพนธ์ พัวพงศกร จากทีดีอาร์ไอ นายไพศาล พืชมงคล ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล และนายศุภชัย พานิชภักดิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น

ขณะที่ฝ่ายคัดค้านการลอยตัวค่าเงิน ได้แก่ นายอำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายโอฬาร ไชยประวัติ นายกสมาคมธนาคารพาณิชย์แห่งประเทศไทย และนายธนาคารยอดเยี่ยมปี 2539 แม้กระทั่ง นายธนินท์ เจียรวนนท์ กลุ่มหลังนี้เห็นว่าหากลอยตัวค่าเงินจะกระทบต่อหนี้เอกชนที่สูงถึง 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนั้น อีกฝ่ายของภาครัฐที่พร้อมจะปกป้องค่าเงิน ได้แก่ นายเริงชัย ผู้ว่าฯ ธปท. นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าฯ ธปท.ที่ดำรงตำแหน่งผู้จัดการกองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่รวมสำนักทำนายเศรษฐกิจต่างประเทศก็อยู่กลุ่มนี้ด้วยแล้ว พล.อ.ชวลิตจะเชื่อใคร?หนังสือระบุว่าระหว่างนั้น นายอำนวยได้ลาออกจากรัฐมนตรีคลัง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่ ธปท.ขอให้พล.อ.ชวลิตออกโทรทัศน์เพื่อยืนยันว่าจะไม่มีการลดค่าเงินบาท แต่วันที่ 21 มิถุนายน ธปท.กลับมีมติว่าจะลอยตัวค่าเงินบาท วันเดียวกันนี้ นายทนง พิทยะ ก็ลุกจากเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่เข้ามาเสียบเป็นรัฐมนตรีคลังแทนทันที วันนี้เป็นวันที่ พล.อ.ชวลิตหน้าแตก เพราะถูก ธปท.หลอก ?และระหว่างนั้น พล.อ.ชวลิตไม่อยากเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ จึงคิดหาแหล่งเงินกู้จากจีนตามข้อเสนอของนายสุรศักดิ์ นานานุกูล ที่ปรึกษานายกฯโดยมีคำสั่งลับไปเจรจากับจีนเพื่อขอเงินกู้ จดหมายลับฉบับนี้ขึ้นต้นว่าพี่ใหญ่ทั้งหลาย...และลงท้ายว่าจากนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย น้องชายของพี่

ขณะที่บทที่ 10 บอกความลับของทูตลับไปเมืองจีน โดย พล.อ.ชวลิตได้ประสานในทางลับไปเจรจา โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมประกอบด้วย พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะ รัฐมนตรีคลัง เป็นรองหัวหน้า คณะทำงานประกอบด้วย นายสุรศักดิ์ นานานุกูลพล.ท.วิชิต ยาทิพย์ นายไพศาล พืชมงคลแต่....รัฐมนตรีตรีคลังคือนายทนงไม่อาจร่วมเดินทางไปได้จึงได้แต่งตั้ง นายนิพัทธ พุกกะณะสุต อธิบดีกรมบัญชีกลาง และนายศิริ การเจริญดี ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ธปท.เดินทางร่วมคณะ พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 3 คน ในจำนวน 7 คนนี้ ผู้เรียบเรียงระบุว่ามีการหักหลัง ? โดยกล่าวไว้ว่าระหว่างเดินทางมีคำสั่งให้นายไพศาลถือคำสั่งลับและให้เปิดซองเมื่อเดินทางถึงจีนเท่านั้นก่อนเดินทางจึงไม่มีใครรู้ว่าต้องไปทำอะไรนอกจากนายไพศาลที่ได้ประสานงานกับคณะกรรมการการทหารกองทัพปลดแอกประชาชนจีนไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงจีนหัวหน้าคณะถึงได้แจ้งภารกิจให้ทราบทันที่เปิดซองได้มีการโต้เถียงกันระหว่างผู้แทนกระทรวงคลังกับ ธปท.แต่ละฝ่ายอ้างอำนาจว่าการกู้เงินในนามรัฐบาลไทยเป็นอำนาจหน้าที่ของตนเองรวมถึงพูดถึงเงินสำรองว่าพอไม่พอ เมื่อการโต้เถียงโดยไม่ยอมลดราวาศอก ทำให้ “บิ๊กหมง” ต้องทุบโต๊ะพร้อมกล่าวว่าเมื่อผู้บังคับบัญชามีคำสั่งแล้วขัดขืนไม่ได้ คณะทูตลับได้เข้าเจรจากับ พล.อ.หลิวหัวชิง รองประธานกรรมาธิการทหารกองทัพปลดแอก ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดของผู้นำสูงสุดของจีนขณะนั้น คุยกันที่เรือนรับรองเตี้ยวหยูไถ่โดยผู้นำจีนรุ่นหลังต่างนับถือ พล.อ.ชวลิตเพราะสนิมสนมกับเติ้งเสี่ยวผิง จนผู้นำรุ่นหลังเรียกว่า “ชวลิตเจียงกุน” ซึ่งหมายถึงยอดขุนพลที่นับถือผลการหารือทาง พล.อ.มงคลได้กล่าวทำนองหากจีนช่วยจะเป็นบุญคุณใหญ่หลวงในที่สุดวันรุ่งขึ้น คณะทูตไทยจึงได้เข้าเจรจากับธนาคารกลางจีนโดยสรุปว่าพร้อมให้การช่วยเหลือแต่จะรายงานผู้นำก่อน และจะแจ้งให้ทราบวันรุ่งขึ้น แต่เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นระหว่างก่อนกลับ เนื่องจากหนึ่งในคณะทูตได้ขอเวลานอกเพื่อไปคุยกับธนาคารกลางของจีน โดยทราบภายหลังว่าเป็นการแจ้งข้อมูลเรื่องเงินทุนสำรองให้ฝ่ายจีนทราบว่าไม่จำเป็นต้องให้กู้เงินถึง 20,000 ล้านเหรียญ

วันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางกลับ ธนาคารกลางของจีนได้แจ้งแก่หัวหน้าคณะว่าทางการจีนตกลงให้ความช่วยเหลือจำนวน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐตามที่ฝ่ายไทยร้องขอ “บิ๊กหมง” ได้ฟังก็ตกใจ แต่แก้ไขอะไรไม่ทันแล้วเพราะกำลังจะกลับ...และมาทราบเอาภายหลังว่าทำไมจีนถึงให้ความช่วยเหลือแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พล.อ.มงคล ถึงกับกล่าวว่าไอ้คนที่ทำลายประเทศเช่นนี้ หากเป็นสมัยโบราณก็ต้องถูกยิงเป้า ในที่สุดไทยก็ต้องเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ

บทที่ 11 สงครามโจมตี-สงครามปกป้องค่าเงินบาท ของธปท.ซึ่งเป็นการนำเงินไปปกป้องค่าเงินบาท จนทำให้นักเก็งกำไรขาดทุน ที่ถือว่าเป็นชัยชนะของ ธปท.แต่ในหนังสือได้ระบุไว้ว่าฝ่ายการเมืองไม่มีใครทราบว่าทุนสำรองสุทธิที่ไม่ติดภาระผูกผันเหลือเท่าไหร่

ในบทที่ 13 ลับ(ไม่)ที่สุด วันลอยค่าเงิน (ตอน1) เปิดปมความขัดแย้งในการลอยค่าเงินไว้น่าสนใจว่ามีการดำเนินการจนกว่าจะมีการประกาศลอยตัวในวันที่ 2 กรกฎาคมมีการดำเนินการมาก่อน 11 วัน โดยอธิบายไว้ว่า ธปท.มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ในระดับผู้บริหารว่าต้องลอยตัวค่าเงินบาทตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2540 และ ธปท.จะต้องรายงานให้นายทนงทราบทันที แต่นายเริงชัยมะระกานนท์ ผู้ว่าฯ ธปท.กลับบอกว่าขอไปหารือกับเจ้าหน้าที่ก่อน จนวันที่ 29 มิถุนายน นายทนง นายเริงชัยและนายชัยวัฒน์ ตกลงจะไปรายงานให้นายกฯทราบ โดยมีนายโภคิน พลกุล ร่วมประชุมด้วย แต่ ธปท.ก็ไปประกาศเอาวันที่ 2 กรกฎาคมซึ่งในหนังสือโลกสีขาวของบิ๊กจิ๋ว ระบุเหตุการณ์ช่วงนี้ไว้ว่าพล.อ.ชวลิตได้ต่อว่านายเริงชัยว่า “คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร ผมถามคุณแล้วว่าไม่ลด เสร็จแล้วคุณมาลดได้อย่างไร อย่างนี้ก็มีเจตนาทำลายเกียรติยศชื่อเสียงผม”

และก่อนประกาศในตอนเช้า เวลา 4.00 น.ธปท.ได้เรียกผู้บริหารธนาคารพาณิชย์เข้าประชุมที่วังขุนพรมว่าจะประกาศลอยตัวรวมแล้วใช้เวลาตัดสินใจเป็นเวลา 11 วันตรงนี้เองที่ผู้เรียบเรียงพยามบอกว่ามีคนรู้ข้อมูลวงใน(Insider)ล่วงหน้าหรือไม่และธปท.ยังทำswap อยู่

ตอน 2 ในบทที่ 14 กล่าวถึงเรื่องวันลอยค่าเงินต่อโดยมีการทำตารางเวลาตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน ที่ผู้บริหารธปท.ยืนยันว่าไม่ลดค่าเงิน ซึ่งในวันที่ 29 มิถุนายนพล.อ.ชวลิตได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ลดค่าเงินเพราะจะเกิดความเสียหายแต่ในที่สุด ธปท.ก็ได้เสนอให้ลดค่าเงินบาท เพราะแบกรับเรื่องเงินทุนสำรองไม่ไหว โดยวันที่30 มิถุนายน เงินทุนสำรองลดเหลือ 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐเรื่องนี้ทำให้พล.อ.ชวลิตได้รับความเสียหายเพราะต้องโกหกประชาชนและจะขอลาออกตั้งแต่ตอนนั้นแต่ต้องอยู่ต่อเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายไปกว่านั้นการณ์กลับตรงกันข้ามเพราะค่าเงินไปอยู่ในระดับ 36 บาททำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งสร้างกระแสทำให้เกิดความเกลียดชังพล.อ.ชวลิตขยายวงออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ช่วงนั้นดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากปรับ ครม.แค่ 12 วัน วันที่ 6 พฤศจิกายน พล.อ.ชวลิตก็ลาออก
กำลังโหลดความคิดเห็น