•• เหมือน พล็อตนวนิยายคลาสสิกชั้นดี เมื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตดินแดง กทม. ครั้งนี้ที่จะถึงใน วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 จะเป็นการต่อสู้กันของ 2 แซม ตัวแทนของ 2 ขั้วการเมืองที่แตกต่าง ผู้มีทั้งความเหมือนและความต่าง แซม 1 คือ ยุรนันท์ ภมรมนตรี ตัวแทนของ พรรคไทยรักไทย – ศูนย์รวมทุนใหม่ ที่เติบโตขึ้นมหาศาลนับแต่วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา แซม 2 ก็คือ พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา เป็นตัวแทนของ พรรคประชาธิปัตย์ – ศูนย์รวมทุนเก่า ที่ครั้งนี้มีบรรดา เชื้อสายผู้ดีเก่า มาลงสนามหลายต่อหลายคนด้วยกัน แซม 1 ยังมีอีกฐานภาพหนึ่งเป็น เชื้อสาย ของ พล.ท.ประยูร ภมรมนตรี หนึ่งในสมาชิก คณะราษฎร – คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็น 1 ใน 7 คนแรก ที่ร่วมประชุมพูดคุยและตกลงใจกันที่บ้าน RUE DU SOMMERARD ปารีส, ฝรั่งเศส ตั้งแต่เมื่อ ปี 2470 ขณะเป็น ร.ท. - ร้อยโท (และอีก 6 คนที่เหลือก็คือ ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ, ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี, นายตั้ว ลพานุกรม, นายจรูญ สิงหเสนี, นายแนบ พหลโยธิน และ นายปรีดี พนมยงค์) ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากที่สุดคนหนึ่งใน ยุทธการยึดพระนคร 24 มิถุนายน 2475 เพราะเป็นชุดที่เข้าควบคุมองค์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จาก วังบางขุนพรหม ข้างฝ่าย แซม 2 ก็ธรรมดาเสียที่ไหนเมื่อเป็นถึง หลานคนสุดท้องของเจ้าคุณปู่ – เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา ผู้เป็นข้าราชบริพารรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 จนได้รับพระราชทาน บ้านบรรทมศิลป์ ที่ปัจจุบันนี้คือ บ้านพิษณุโลก แซม 2 อาจจะเป็นรองแซม 1 อยู่บ้างในด้าน ชื่อเสียงในระดับชาวบ้าน เพราะไม่ได้เป็น นักแสดงชื่อดัง แต่ในด้าน ชื่อเสียงและเกียรติภูมิในสังคมชั้นสูง แล้วถือว่า มีดี จากการที่เป็น นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติ ที่ประสบความสำเร็จในระดับ เหรียญทองเอเชียนเกมส์คนแรกของประเทศไทย และที่ไม่อาจมองข้ามคือมี ฐานเสียงแน่นหนา รับช่วงมาจาก พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค – ส.ส.เขตดินแดง 2 สมัย ที่ขึ้นชั้นไปลงสมัครในระบบปาร์ตี้ลิสต์เพื่อจะได้มีเวลามาทำหน้าที่ ผู้อำนวยการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร – พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งสองมีความเหมือนคือ หน้าตาดี, สตางค์ดี และต่างมี ภูมิหลังทางชาติตระกูลที่เกี่ยวพันกับการบริหารจัดการบ้านเมือง รวมทั้ง ชื่อเล่นเหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษในช่วง 72 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่า แซมไหน จะชนะใจ สามัญชนเขตดินแดง กทม. ในอีก เดือนเศษ ๆ ข้างหน้า งานนี้น่าติดตาม ศึก 2 แซม ยิ่งนัก
•• การเข้ามา พรรคประชาธิปัตย์ นั้นเชื่อว่า พ.อ.เฟื่องวิชช์ อนิรุทธเทวา มาตามคำเชิญชวนของ พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ที่สัมพันธ์กันมาใกล้ชิดตั้งแต่ยุค เจ้าคุณปู่ เนื่องเพราะเจ้าคุณปู่ของท่านหลังคือ พระยาสาลีรัฐวิภาค นั้นในอดีตก็ ได้รับความเมตตาอย่างดี จากเจ้าคุณปู่ของท่านแรก เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา ต่อเนื่องมาถึงรุ่นที่ 2 บิดาของทั้งสองต่างก็เป็น ทหารบก ที่ เคยทำงานร่วมกัน บิดาท่านแรกคือ พล.อ.เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ส่วนบิดาท่านหลังคือ พล.ท.ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค ถึงได้บอกไงล่ะว่าเฉพาะ สาแหรก ฝ่ายเดียวนี่ก็เป็น พล็อตนวนิยายคลาสสิกชั้นดี ได้แล้ว
•• ไม่ว่าแซมคนไหนจะ แพ้-ชนะ ก็ขอให้ทั้ง 2 แซม รักษาวิถีชีวิตทางการเมืองให้ต่อเนื่อง วัยเพียงแค่ 40 ต้น ๆ ยังถือว่าเพิ่ง เริ่มต้นเดิน เท่านั้น
•• พูดถึง การเมือง 2 ขั้ว ระหว่าง พรรคไทยรักไทย กับ พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” มี 2 เสียดาย ที่อยากจะกล่าวถึง
•• เสียดายที่ 1 ที่ ณ วันนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็น บัญญัติ บรรทัดฐาน หากเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เชื่อว่าเราจะได้เห็น ภาพที่ตัดกัน กับ พรรคไทยรักไทย ได้ ชัดเจนขึ้น นั่นหมายถึงเราย่อมจะสามารถทัศนา สงครามทุน ได้ ชัดเจนขึ้น วันนี้แม้จะมี กรณ์ จาติกวณิช, ม.ล.อภิมงคล โสณกุล, พ.อ.เฟื่องวิชช์ อนิรุทธเทวา และ ฯลฯ แต่ตราบใดที่หัวหน้าพรรคยังคงเป็น นักการเมืองรุ่น 2512 – 2518 อยู่ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคง ผลัดใบ ได้ไม่สมบูรณ์แบบ
•• เสียดายที่ 2 ที่สำคัญกว่าก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พยายามสร้าง จุดขาย ด้วยการเป็น ขั้วตรงข้ามทางนโยบาย กับ พรรคไทยรักไทย น่าเสียดายยิ่งกว่านั้นก็คือกลับ เปลี๋ยนไป๊ จาก ตัวตนช่วง 2535 – 2542 ที่บำเพ็ญตนเป็นตัวแทนความคิดของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ (ผ่านขุนพลเศรษฐกิจอย่าง ธารินทร์ นิมมานเหมินท์, ศุภชัย พานิชภักดิ์) หันมาแต่งหน้าทาแป้งใหม่ ภายในบริบทนโยบายที่เป็นจุดเด่นของพรรคไทยรักไทย ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่าแทนที่จะ วิพากษ์นโยบายสารพัดเอื้ออาทรต่าง ๆ ว่า ส่งผลเสียระยะยาว กลับบอกว่านโยบายเหล่านั้น ตนคิดมาก่อนแล้ว ทำให้ในทางปฏิบัติแล้วขณะนี้ ไม่มีการเมือง 2 ขั้วที่แท้จริง เลย
•• ก่อนหน้าวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งก่อน วันที่ 6 มกราคม 2544 อาจกล่าวได้ว่าการเมืองไทยเริ่มเป็น การเมือง 2 ขั้ว แต่หลังจากชัยชนะชนิด Landslide และการปฏิบัตินโยบายอย่างต่อเนื่องของ พรรคไทยรักไทย แล้ว ไม่ใช่ ไม่มี ขั้วตรงข้ามทางนโยบาย-ยุทธศาสตร์ ประกาศตัวออกมาให้เป็น อีกทางเลือกหนึ่ง จาก พรรคประชาธิปัตย์ แต่ประการใด
•• สมมติฐานที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เคยนำมาใช้เป็นทฤษฎีพื้นฐานของพัฒนาการทางสังคมว่าด้วย Thesis, Anti-thesis และ Synthesis ก่อนหน้าวันเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 4 ปีก่อน พรรคประชาธิปัตย์ เป็น Thesis ในขณะที่ พรรคไทยรักไทย (รวมทั้ง พรรคความหวังใหม่) มีลักษณะเป็น Anti-thesis สังคมไทยเห็นเค้าโครงนโยบายและยุทธศาสตร์ของ พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วง 6 ปีสุดท้ายของการเป็นรัฐบาล 2 สมัย ปี 2535 - 2538 และ ปี 2540 - 2543 ที่มี จุดขาย อยู่ที่ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์, ศุภชัย พานิชภักดิ์ ที่ยึดกุม นโยบายการเงิน-การคลัง อยู่ถึง 6 ปีเต็ม ค่อนข้าง ชัดเจน ว่าดำเนินการขับเคลื่อนประเทศไปตามทิศทางของกระแส ลัทธิเสรีนิยมใหม่ นำพาประเทศเข้าสู่กรอบพันธกรณีกับ กฎ-กติกาของลัทธิเสรีนิยมใหม่ อย่างก้าวกระโดด 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือ เปิดเสรีทางการการเงิน ที่รู้จักกันในนาม BIBF ขั้นตอนต่อมาหลังฟองสบู่แตกก็นำประเทศเข้าสู่ กรอบผูกมัดขององค์กรโลกบาล แบบแผนของระบบเศรษฐกิจที่นำมาใช้ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลก่อน ๆ ก่อนหน้านั้นที่ล้วนเดินตามทิศทางของ ระบบราชการไทย และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวคือเป็นสิ่งที่เรียกว่า Neo-Liberal Economic Model วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นใน ปี 2540 ทำให้ พรรคไทยรักไทย ที่เกิดขึ้นใหม่ต้อง ทำงานจริงจัง โดยเฉพาะในด้าน นโยบาย, ยุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิด ความแตกต่าง ไปจาก Thesis ในขณะนั้นคือ พรรคประชาธิปัตย์ ช่วง 2 ปีระหว่าง ปี 2542 – 2544 ในที่สุดพวกเขาก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็น Anti-Thesis ที่ โตเร็ว, ทรงพลัง เพราะแม้แนวโยบายและยุทธศาสตร์โดยรวมจะยังคงอยู่ในกรอบของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ แต่ได้ผสมผสาน ลัทธิเคนส์ ที่ถูกเรียกขานว่า ประชานิยม เข้ามา ผูกใจประชาชนระดับรากหญ้า นอกจากนั้นองค์ประกอบสำคัญของ แกนนำพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่วนหนึ่งยังเป็นตัวแทนของ ทุนชาติ ที่ได้รับผลกระกระเทือนจากวิกฤตเศรษฐกิจน้อยมากจนสามารถยัง ความแข็งแรงทางเศรษฐกิจ ไว้ได้และกลายเป็นที่พึ่งพิงของทั้ง กลุ่มทุนขนาดเล็กและกลาง, กลุ่มเกษตรกรรายย่อย และ ทุนชาติ (รวมทั้ง ทุนเอ็นพีแอล) ทำให้ผสมผสานลักษณะของ ลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจ เข้ามาในระดับหนึ่ง
•• ผลการเลือกตั้งชนิด Landslide เมื่อ 4 ปีก่อนก็คือกระบวนการสังเคราะห์ทางสังคมระหว่าง Thesis - พรรคประชาธิปัตย์ กับ Anti-thesis - พรรคไทยรักไทย ก่อให้เกิด Synthesis ขึ้นมาคือ รัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ตั้งแต่นั้นมาก็กลับมาเป็น Thesis ใหม่แทนที่ พรรคประชาธิปัตย์ และไม่เพียงแต่ ตัวตนเดิม, องค์ประกอบเดิม พวกเขายังได้แรงสนับสนุนจาก กฎเกณฑ์ของระบอบ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เข้ามาเสริมพลังให้ Thesis ตัวใหม่ เข้มแข็งขึ้น อีกอักโข
•• พูดถึง Synthesis ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา สมเกียรติ โอสถสภา เคยวิจารณ์ไว้กับ “เซี่ยงเส้าหลง” หลังจากพิจารณา กรอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน 16 กรกฎาคม 2544 ว่าเมื่อมองผ่านคำว่า เคนส์เซียน, ประชานิยม, สร้างเศรษฐกิจภายใน หรือ กระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า เข้าไปแล้วจะพบการจัดโครงสร้างเศรษฐกิจในรูปลักษณ์ ระบบเศรษฐกิจรัฐบรรษัท หรือ Corporatist State Economy Model ที่ถือได้ว่าเป็น ก้าวแรก ของการเปลี่ยนแปลงเชิง ปฏิวัติ จากโครงสร้างเดิมที่รัฐบาลชุดก่อน ๆ โดยเฉพาะ ชวน หลีกภัย + ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ พยายามใช้รูปลักษณ์ Neo-Liberal Economy Model
•• การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผลักดัน การรวมพรรค อย่าง ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียงให้มี คะแนนเสียงมั่นคงในสภาผู้แทนราษฎร หากแต่เป็นอีกด้านหนึ่งของ การเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติ เพราะหากจะจัดโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศเป็น Corporatist State Economy Model ก็มีแต่จะต้องควบคู่ไปกับการเมืองระบบใหม่ ระบบพรรคเดียว อย่างในยุคสมัยต้น ๆ ของ ไต้หวัน, เกาหลี, ญี่ปุ่น มาจนกระทั่ง สิงคโปร์, มาเลเซีย จึงจะสำเร็จ
•• ปัญหาของ Corporatist State Economy Model และนานาประการของ การเมืองใหม่ ที่เป็น Thesis อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ว่าจะ ไม่ดี, ไม่เหมาะ แต่จะถึงฝั่งฝันของเป้าหมายทางยุทธศาสตร์นี้รัฐบาลจะต้อง ชัดเจน, ไม่สับสน, เป็นเอกภาพ และมี ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ร่วมกัน รวมทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้อง จำกัด ปัญหา Conflict of Interests ให้อยู่ใน กรอบพอเหมาะพอควร ด้วย
•• ออกจะเป็นเรื่อง ตลก ที่ Thesis เช่นนี้พลิกผัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ไปจาก วัตถุประสงค์เดิม เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานให้เป็น เครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพของ Neo Liberal Economy Model โดยเฉพาะในส่วนของ องค์กรมหาชนอิสระ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ปปช., กกต., กทช., กสช., ศาลปกครอง และ ฯลฯ หรือแม้กระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยิ่งนับวันการณ์ยิ่งเป็นไป ตรงกันข้าม รัฐธรรมนูญยิ่งกลับกลายไปเป็น เครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพของ Corporatist State Economy Model เสียอย่างนั้นแหละ
•• หากพูดอีกอย่างหนึ่งตั้งแต่ ปี 2544 เป็นต้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ กลุ่มทุนใหม่ ที่รุกเข้ามาในพื้นที่ วงในอำนาจรัฐ และไม่พอใจอยู่แค่ โครงสร้างอำนาจทางการเมืองเบื้องบน แต่ได้ก้าวล่วงลงมาในพื้นที่ของ โครงสร้างการบริหารจัดการขับเคลื่อนอำนาจรัฐในลักษณะประจำวัน คือ ระบบราชการ จนกล่าวได้ว่าเขา ทำสงครามกับระบบราชการประจำ ปรปักษ์ไม่ได้มีเพียงข้าราชการประจำที่ ล้าหลัง, เช้าชามเย็นชาม และ ตามไม่ทันโลก หากยังหมายรวมไปถึงข้าราชการประจำที่ การศึกษาสูง, ฐานะดี, ชาติตระกูลดี และเคยมีภาพ เป็นความหวังของกระแสสังคม โดยเฉพาะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ นักการเมืองอาชีพรุ่นเก่า ข้าราชการกลุ่มนี้ที่เรียกกันว่า เทคโนแครตทางเศรษฐกิจ นั้นมี เครือข่ายสายสัมพันธ์ กับ กลุ่มทุน ที่อาจจะเรียกได้ว่า ทุนเก่า ทุกยุคทุกสมัยนับแต่ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาแล้วที่คนในกลุ่มนี้พยายาม เบียดตัวเอง เข้าไปอยู่กับ การเมือง เริ่มตั้งแต่ตั้ง กลุ่มดุสิต 99 ขึ้นใน สภานิติบัญญัติ ยุค พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ล่าสุดเมื่อ 6 – 7 ปีมานี้พวกเขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ใน พรรคประชาธิปัตย์ พวกเขาเข้าไป กุมนโยบายในทางปฏิบัติของประเทศ ในหลายด้านต่อเนื่องมานานวันตลอดยุคสมัยแห่ง การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีส่วนเข้าไปเป็น รัฐมนตรี ใน กระทรวงที่ต้องการความชำนาญเป็นพิเศษ อย่างเช่น กระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงศึกษาธิการ และ ฯลฯ
•• แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ 4 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้พยายาม ยืนหยัด ใน นโยบายเดิม-ยุทธศาสตร์เดิม เพื่อพลิกกลับมาเป็น Anti-thesis ที่ เข้มแข็ง การหายหน้าหายตาไปด้วยเหตุผลต่างกันของทั้ง ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และ ศุภชัย พานิชภักดิ์ รวมตลอดถึง ความไม่ชัดเจนในสกุลความคิดของคณะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้คลาย ความเข้มข้น ของความเป็นตัวแทน ลัทธิเสรีนิยมใหม่ เมื่อเปรียบเทียบภาพรวมทั้งสังคมแล้ว อัมมาร สยามวาลา กลับแสดง จุดยืน ที่เป็นเสมือน ขั้วตรงข้ามทางนโยบาย-ยุทธศาสตร์ ได้ ชัดเจนกว่า จนกระทั่งบัดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ในยุค บัญญัติ บรรทัดฐาน นอกจากจะยัง ไม่มีความชัดเจน แล้วยังกลับมา ช่วงชิงความเป็นเจ้าของนโยบายเชิงลัทธิเคนส์ จาก พรรคไทยรักไทย จึงไม่อาจถือเป็น ขั้วตรงข้าม หรือ Anti-thesis ในขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วันนี้นอกจากรวบรวมพล ตระกูลผู้ดีเก่า – ทุนเก่า มาเป็น ตัวแทนพรรค แล้วก็ยังไม่เห็น รูปธรรมของแนวนโยบาย เลย
•• สถานการณ์เช่นนี้นั้นหาก พรรคประชาธิปัตย์ สามารถพัฒนาตนเองให้กลับขึ้นมาเป็น Anti-thesis ทำการเมืองไทยให้เป็น การเมือง 2 ขั้ว ใน ความหมายที่แท้จริง ที่จะไม่ใช่แค่เรื่อง รัฐบาล vs ฝ่ายค้าน หรือเรื่อง ตามก้นฝรั่ง vs พึ่งตนเอง ใน ความหมายแคบ หากแต่จะมีลักษณะ ความแตกต่างทางอุดมการณ์ ที่จะใช้ นำประเทศ ได้ใน การเลือกตั้งทั่วไป 6 กุมภาพันธ์ 2548 ก็ถือเป็น คุณูปการ ในหลายมุมมองด้วยกัน
•• เพราะนอกจากจะเพิ่ม ทางเลือก ให้กับ ประชาชน ความเข้มแข็งของ Anti-thesis ยังจะเป็นตัว ตรวจสอบ, ถ่วงดุล และ จำกัดความผิดพลาด-ลุแก่อำนาจ ของ Thesis ด้วย
•• และเชื่อว่าที่เป็น ความฝันสูงสุด คือการมี Anti-thesis ที่ เข้มแข็ง จะก่อให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ออกมาเป็น Synthesis ในระดับ คุณภาพใหม่ ได้
•• แต่ก็ น่าเสียดาย ที่ พรรคประชาธิปัตย์ มิอาจเป็นไปดั่งว่าในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสายเลือดใหม่ของพรรคอย่าง กรณ์ จาติกวณิช, ม.ล.อภิมงคล โสณกุล, พ.อ.เฟื่องวิชช์ อนิรุทธเทวา และ ฯลฯ จะใช้เวลาอีก นานเท่าไร หากหลังพ่ายแพ้การเลือกตั้ง 2548 แล้ว บัญญัติ บรรทัดฐาน ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อเตรียมตัวไปชิงตำแหน่ง ส.ว.สุราษฎร์ธานี แล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็น หัวหน้าพรรคคนใหม่ จะสามารถนำพาพรรคไปสู่หนทางความเป็น อีกทางเลือกหนึ่งในเชิงนโยบาย ได้มากน้อยแค่ไหนและเร็วแค่ไหนประเด็นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะ ไม่ง่ายเลย ที่จะ เอาชนะใจประชาชนในต่างจังหวัดทั่วประเทศ คงต้องติดตามกันไป
•• มองอย่างมี ความหวัง ก็ต้อง ให้เวลา เพราะ พรรคประชาธิปัตย์ เคยชินแต่อยู่ใน กรอบ ของความเป็น พรรคราชการ ขณะที่ พรรคไทยรักไทย หลุดออกไปสู่ หนทางการแสวงหา แนวทางใหม่ ๆ นอกกรอบ หลักคิดและแนวทางเดิม
•• คำว่า พรรคราชการ ความหมายแรกก็คือ ไม่มีแนวคิด-แนวทางของตนเอง อาศัย ภาพ ของความเป็น นักการเมืองอาชีพ (ที่แจ้งเกิดเป็นรุ่นแรกใน ปี 2512) ในยุค เผด็จการทหาร ทำให้ประชาชนทั่วไปมองเห็นว่าเป็น นักประชาธิปไตย, นักต่อสู้ เมื่อมีโอกาสขึ้นมาบริหารประเทศจึงดำเนินนโยบายไปตามทิศทาง ระบบราชการประจำ ความหมายแฝงที่ ลึก ลงไปกว่านั้นคือการหันบังเหียน นำพาประเทศ เข้าสู่ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่มีจุดเริ่มต้นนับย้อนไปตั้งแต่ รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 เป็นต้นมาโดยปรากฎเป็นรูปการณ์ชัดเจนในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การที่มีผู้จัดให้ พรรคประชาธิปัตย์ เป็น ตัวแทน ของกระแสนี้มีที่มาทั้ง นัยทางประวัติศาสตร์ ที่บำเพ็ญตนเป็น คนแต่งหน้าทาปากให้เผด็จการทหารในยุคนั้น และ นโยบายรูปธรรม ในช่วง ปี 2535 – 2538 และ ปี 2540 - 2543 ที่ยืนอยู่ในกรอบของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าก่อน ๆ นั่นเอง