xs
xsm
sm
md
lg

พลังแห่งชีวิตหนังสือคริสต์ในสังคมพุทธ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online



รายการ "ฅนในข่าว" ซึ่งออกอากาศ ทางช่อง 11 news1 ตั้งแต่เวลา 21.05-22.00 น. ประจำวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2547 ได้สนทนาในหัวข้อ "พลังแห่งชีวิตหนังสือคริสต์ในสังคมพุทธ" โดยมี จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ดำเนินรายการ และแขกรับเชิญ ประกอบด้วย พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ,ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ภาควิชามนุษยศาสตร์ ม.มหิดล ,ศาสนาจารย์ ดร.วีรชัย โกแวร์ รองประธานสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย ส่วนผู้ให้สัมภาษณ์สดทางโทรศัพท์ คือ ปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

พิธีกร- สวัสดีค่ะ คุณผู้ชมคะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคนในข่าวค่ะหนังสือเล่มนี้นะคะกำลังกลายเป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์กันอย่างหนักในสังคมไทย "พลังแห่งชีวิต" ค่ะ คุณผู้ชมอาจจะเคยเห็นสปอร์ตโฆษณาเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้จากคนที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการด้วยกัน สิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลใจตามมานั้นก็คือพอเห็นสปอร์ตโฆษณาชิ้นนี้แล้วหลายคนตั้งคำถามค่ะว่าเมื่อลูกสาวลูกชายดูอยู่ที่บ้านแล้วก็โทรไปสั่งหนังสือเล่มนี้โดยที่ไม่มีการติดต่อกลับหรือว่าไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ตามที่สปอร์ตโฆษณาเค้าว่าอย่างนั้นนะคะคุณพ่อคุณแม่เกิดความกังวลใจว่าเป็นการโฆษณาเกี่ยวกับอะไรเป็นลัทธิเป็นความเชื่อหรือเป็นศาสนาคริสต์อย่างที่หลายคนเข้าใจ วันนี้เราจะคุยกันค่ะที่สำคัญที่สุดค่ะมีการวิพากย์วิจารณ์ออกมาจากวงการพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน เราจะมาคุยกันกับแขกรับเชิญของเราทั้ง 3 ท่าน ท่านแรกค่ะพระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยค่ะนมัสการค่ะพระคุณเจ้า
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- เจริญพร
         
          พิธีกร- อีก 2 ท่านค่ะศาสนาจารย์ ดร.วีรชัย โกแวร์ รองประธานสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทยและอีกท่านนึงนะคะดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ จากภาควิชามนุษยศาสตร์ ม.มหิดลค่ะ สวัสดีค่ะ ขอบพระคุณค่ะที่มาคุยกันวันนี้นะคะ เดี๋ยวเราจะพักกันสักครู่กลับมาคุยกันช่วงหน้าค่ะ
         
          พิธีกร- กลับมาคุยกันค่ะวันนี้รายการของเราคุยกันถึงเรื่องหนังสือ "พลังแห่งชีวิต" นะคะที่กำลังถูกวิพากย์วิจารณ์กันอยู่ในสังคมไทยตอนนี้ว่าเข้ามาถูกต้องหรือไม่คงจะต้องเรียนถามท่านเจ้าคุณก่อนนะคะว่าได้เห็นสปอร์ตโฆษณาชิ้นนี้แล้วใช่มั้ยคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- ก็พยายามดูแล้วก็ได้เห็นแล้ว
         
          พิธีกร- ดูครั้งแรกแล้วท่านเจ้าคุณรู้สึกยังไงบ้างล่ะคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- มันก็แปลกๆ ดีนะตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ว่ามาฉุกคิดขึ้นเมื่อได้อ่านคอลัมภ์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรู้สึกว่าจะเป็นของลมเปลี่ยนทิศหรืออะไรเนี่ย แล้วก็มีครูบาอาจารย์โทรมาจากเชียงใหม่ให้มาอ่านที่บางกอกโพสต์อีกฉบับหนึ่งว่าการที่เค้ามาโฆษณาตรงนี้ต้องทุ่มเงินมาถึง 400 ล้าน อันนี้คือทำให้ฉุกคิดแปลกใจว่าลงทุนไปเพื่ออะไร แล้วก็มีจุดประสงค์อันใด
         
          พิธีกร แล้วแถมขึ้นด้วยว่าไม่รับบริจาคใดๆ ด้วยนะคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- และก็ตอนหลังก็ได้รับหนังสือนี้จากโยมท่านนึงที่เค้ามีเอามาให้อ่าน
         
          พิธีกร แล้วอ.ทวีวัฒน์ล่ะคะเห็นโฆษณาครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ผมก็รู้สึกว่าแปลกๆ อยู่เหมือนกันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าการโฆษณาชิ้นนี้เนี่ยแปลกไปจากการโฆษณาสินค้าทั่วๆ ไป เพราะว่าอันนี้เป็นการโฆษณาลัทธิความเชื่อ ทีนี้ผมก็เกิดตั้งคำถามขึ้นในใจว่าถ้าเผื่อว่าประเทศไทยมีเสรีในการโฆษณาลัทธิความเชื่อต่อไปถ้าเกิดว่ามีองค์กรใดองค์กรหนึ่งจากต่างประเทศมีเงินมหาศาลต้องการเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทยก็ทุ่มเงินเข้ามาแล้วก็มาทำสปอร์ตโฆษณา ซึ่งเวลานี้มันได้ผลรวดเร็วมากสังคมไทยก็จะถูกเปลี่ยนถูกโปรแกรมทางความคิดโดยเจ้าของทุนมหาศาล

พิธีกร- อาจารย์กำลังจะบอกว่าโฆษณาชิ้นนี้เนี่ยมีอิทธิพลต่อความคิด
         
          ดร.ทวีวัฒน์- แน่นอนครับ เพราะว่าเป็นการโฆษณาลัทธิความเชื่อไม่ว่าความเชื่อลัทธินั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม
         
          พิธีกร- โดยเฉพาะใช้บุคคลที่คนในสังคมรู้จักกันดีจากหลากหลายวงการอย่างนี้ใช่มั้ยคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ใช่ครับ อันนี้ใช้ยุทธศาสตร์การตลาดที่ชาญฉลาดมากคือใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงนักร้อง พิธีกร นางแบบ คนที่มีชื่อเสียงในสังคม ซึ่งสามารถที่จะจูงใจเยาวชนไทยได้อย่างมาก
         
          พิธีกร- ก็ดูจากยอดที่เค้าสั่งจองหนังสือไปเนี่ยมหาศาลทีเดียวนะคะอาจารย์คงจะต้องมาเรียนถามอ.วีรชัยว่าหนังสือเล่มนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
         
          ดร.วีรชัย- ประการแรกผมอยากจะทำความเข้าใจว่าภาระกิจของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์เนี่ยเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคน แล้วก็รูปแบบของการเผยแพร่เนี่ยก็เป็นไปตามยุคตามสมัยเค้าจะสื่อความเชื่อที่ทำให้เค้าเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและก็เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมเค้าจะใช้ทุกรูปแบบการสื่อเนี่ยได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยจากปากต่อปากให้แพร่ออกไปให้มากที่สุดเร็วที่สุดได้ผลสูงสุดดังนั้นเค้าจึงออกมาในรูปนี้
         
          พิธีกร- ที่ผ่านมาคือยังไม่เคยเห็นออกโฆษณาถี่ขนาดนี้แล้วก็ใช้เงินมหาศาลขนาดนี้เลยนะคะอาจารย์
         
          ดร.วีรชัย- ก็มันขึ้นอยู่กับว่าทุน เนื่องจากว่ามูลนิธิของเค้าเป็นนักธุรกิจและก็มีทุนทรัพย์มหาศาลและก็เค้าก็เอาทุนทรัพย์ที่เค้ามีอยู่พร้อมกับทุนทรัพย์ของคนที่ศรัทธาอยากจะทำร่วมกับเค้าเนี่ยเอามารวมทุนกันและเค้าจะทำแบบนี้เค้าจะไม่ทำแบบอื่นเค้าก็จะทำแบบนี้ไปทั่วโลก
         
          พิธีกร- นั่นหมายถึงว่านิกายโปแตสแตนท์เนี่ยสามารถที่จะมีกลุ่มความเชื่อแต่ละกลุ่มปลีกย่อยออกมากี่ร้อยกี่พันกลุ่มก็ได้
         
          ดร.วีรชัย- ถูกต้อง
         
          พิธีกร- แต่ว่าจะต้องดำเนินการตามหลักคำสอนตามคัมภีร์ไบเบิ้ลเหมือนกัน
         
          ดร.วีรชัย- ถูกต้องครับ
         
          พิธีกร- แล้วความเชื่อที่ต่างกันมันจะต่างกันมากน้อยแค่ไหนเชื่อต่างกันยังไงบ้างคะยกตัวอย่างได้มั้ยคะอาจารย์
         
          ดร.วีรชัย- ก็เราต้องยอมรับในกลุ่มที่เป็นคริสต์เตียนแบ่งเป็น 3 พวกใหญ่ก็แล้วกัน 1.ค่อนข้างจะเสรีในทางความคิด 2.เป็นพวกที่สนใจเน้นหนักในเรื่องของการเผยแพร่ทางการประกาศ 3.พวกที่ตกขอบซึ่งนำเอาคำสอนของพระคัมภีร์เนี่ยนำไปประยุกต์ใช้ในทางที่ไม่ถูกและไม่ควร ก็จะมีอยู่ 3 ประเภท ทีนี้อย่างของมูลนิธิที่มาเนี่ยเราถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่มีพิษไม่มีภัยและก็มีความตั้งใจที่จะแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดกับคนที่เค้าอยากจะคุยด้วย

พิธีกร- แสดงว่ามูลนิธินี้ทำกิจกรรมแบบนี้มายาวนาน
         
         
          ดร.วีรชัย- ครับ
         
          พิธีกร- และก็เป็นที่รู้จักกันดีในต่างแดนโดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา
         
          ดร.วีรชัย- ครับ
         
          พิธีกร- เงินทุนที่เค้าได้มาในการจัดพิมพ์หนังสือเผยแพร่ออกไปเนี่ยทำกันมากี่ประเทศแล้วคะอาจารย์
         
          ดร.วีรชัย- ทำมาหลายประเทศแล้วครับและก็เป็นที่ยอมรับของในยุโรปเค้าก็ทำ
         
          พิธีกร- เห็นบอกว่ามีประเทศนึงที่เค้าไม่ยอมรับเลยเป็นกฎหมายห้ามก็คือเยอรมันนีใช่มั้ยคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ครับ เท่าที่ได้ยินได้ฟังมานะครับ
         
          พิธีกร- คือรัฐบาลเค้าห้าม
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ครับ
         
          พิธีกร- มูลนิธินี้ต้องปิดตัวลง
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ครับ
         
          พิธีกร- อย่างนั้นเลยใช่มั้ยคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- รัฐบาลเยอรมันนี้เนี่ยพิจารณาเห็นว่าการโฆษณาลัทธิความเชื่อไม่ว่าลัทธิความเชื่อนั้นจะเป็นเรื่องการเมือง ศาสนาหรือว่าเรื่องอื่นๆ ก็ตามลัทธิความเชื่อนั้นมันจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดของคน เพราะฉะนั้นเท่าที่ผมทราบมานะทางเยอรมันนีก็ออกกฎหมายห้ามเผยแพร่
         
          พิธีกร- พอมาทุ่มเงินขนาดนี้เนี่ยถ้าจะบอกว่าไม่ได้หวังผลอะไรคงจะพูดอย่างนั้นไม่ได้อาจารย์มองยังไงคะ
         
          ดร.วีรชัย- อย่างที่เรียนให้ทราบแล้วนะครับว่ามันเป็นภาระกิจของคริสตชนทุกคนที่จะต้องนำเอาข่าวประเสริฐเรื่องราวอย่างนี้ประกาศกับคนทั่วโลก ทีนี้บางคนก็ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจแทนที่จะเอาเงินไปใช้สุรุ่ยสุร่ายเค้าก็เอาเงินมาทำตรงนี้แทนซะ
         
          พิธีกร- ให้รู้สึกว่าคนอื่นเนี่ยได้เข้าถึงพระเจ้าเหมือนที่ตัวเค้าเป็น
         
          ดร.วีรชัย- ถูกต้อง
         
          พิธีกร- แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงาน
         
          ดร.วีรชัย- ใช่ๆ
         
          พิธีกร- มูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาใช้เงินประมาณ 400 ล้านเข้ามาในเมืองไทยเค้าเอาเงินมาจากบรรดานักธุรกิจที่คิดว่าประสบความสำเร็จและช่วยกันบริจาคนี่เหรอคะอาจารย์
         
          ดร.วีรชัย- ครับ ขอเรียนให้ทราบอีกอย่างนึงตามปกติแล้วในโบสถ์ของคริสเตียนเราเนี่ยเราก็ได้มีการสอนว่ารายได้ของเราเนี่ยนะเราจะนำอย่างน้อยสุด 10% ของรายได้ของเราเนี่ยไปสะสมไว้ไปรวมไว้ในคริสตจักร ทีนี้บางคนที่เค้าประสบความสำเร็จในธุรกิจ 100 ล้าน 1,000 ล้าน และเค้าเอาเงินอันนี้แทนที่จะไปใช้สุรุ่ยสุร่ายหรือว่าเอาไปใช้เพื่อบำรุงบำเรอตัณหา

พิธีกร- ความสุขส่วนตัว
         
          ดร.วีรชัย- ความสุขส่วนตัวเค้าก็ไม่ทำเค้าอยากจะเอาเงินจำนวนนี้เอาไปทุ่มเพื่อว่าให้เกิดสาระธรรมที่มีคุณค่าต่อคนเค้าถือว่าสื่ออันนี้เป็นสิ่งที่สามารถให้กำลังใจคนสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตคน
         
          พิธีกร- เข้าถึงคนได้เร็ว
         
          ดร.วีรชัย- ใช่ และก็สามารถดึงคนออกมาจากความทุกข์และปัญหาต่างๆ ได้ นั่นคือเป็นความเชื่อเค้าก็ได้ลงทุนอันนี้เพื่อจุดประสงค์
         
          พิธีกร- อย่างคาทอลิกเค้าทำกันแบบนี้มั้ยคะ
         
          ดร.วีรชัย- คาทอลิกเค้าก็มีรูปแบบอื่น อย่างเช่น เค้ามีสถาบันการศึกษา มีโรงพยาบาล เค้ามีการทำด้านสาธารณกุศลเค้าก็มีรูปแบบอีกรูปแบบหนึ่ง
         
          พิธีกร- สรุปแล้วก็คือไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
         
          ดร.วีรชัย- ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติ
         
          พิธีกร- ที่เมืองนอกเค้าก็มีกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรใช่มั้ยคะอาจารย์
         
          ดร.วีรชัย- ครับถูกต้อง
         
          พิธีกร- ไม่ถือว่าเป็นการมอมเมาประชาชน
         
          ดร.วีรชัย- เราต้องให้คำนิยามว่ามอมเมาคืออะไร มอมเมาเนี่ยคือทำให้คนเสียคน แต่อันนี้มันไม่ได้มอมเมา เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนเนี่ยเกิดกำลังใจมีพลังใจและก็ให้ความหวังกับคนที่สิ้นหวังอย่างนี้มันไม่ได้มอมเมา
         
          พิธีกร- กลับมาถามท่านเจ้าคุณต่อนะคะวิธีการเผยแผ่แง่คิดในเรื่องของศาสนาถ้าเรามองย้อนกลับมาที่ศานาพุทธถือว่าผิดหลักมั้ยคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- มันไม่ได้ผิดอะไรนะเรื่องการทำงาน การเผยแผ่สุดแล้วแต่ว่าใครจะจูงใจได้ขนาดไหน แต่ทีนี้ว่าในทางพุทธเราเนี่ยก็มีคติไปอีกมุมหนึ่งว่าการที่เราจะไปบอกเค้าและให้มันเกิดความสงสัยเนี่ยเราไม่ทำกันถ้าว่าก็ว่ากันไปตรงๆ คุณจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
         
          พิธีกร- อันนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนมั้ยคะ เพราะว่าหลายคนเค้าบอกว่านี่แหละเป็นเหตุผลอย่างนึงที่ศาสนาพุทธเองเด็กๆ เริ่มไม่ค่อยสนใจ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- ที่จริงแล้วมันอาจจะ 1 ใน 100 ในจุดที่เราต้องมองนะวิธีการของพระพุทธศาสนามันก็มีหลายอย่างการที่เราไปสอนอยู่ตามโรงเรียน การที่ต้องมาเทศน์มาบรรยายออกทั้งทีวีทั้งวิทยุมันทำได้ทุกวิธีแหละ แต่ว่าในการกระทำนั้นต้องไม่ให้เกิดความสงสัย อย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเวลาเทศน์เวลาบอกธรรมต้องทำความกระจ่างชัดให้เกิดขึ้นคือจะทำวิธีไหนมันไม่ผิดข้อสำคัญก็คืออย่าให้ผิดวินัยขออย่าให้ผิดหลักคำสอนเท่านั้น
         
          พิธีกร- ในเชิงของพุทธเนี่ยเคยคิดกันขนาดนี้มั้ยคะว่าจะทำสปอร์ตโฆษณาอะไรออกมาเพื่อที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนา
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- เรื่องคิดลงทุนที่จะมาโฆษณากันอย่างนี้ไม่มี แต่เราก็คิดเหมือนกันว่าคิดอยากจะมีสื่อเป็นของตัวเองควรจะมีโทรทัศน์เป็นของตนเอง ซึ่งจริงๆ แล้วในหลายประเทศเค้ามี เช่น ไต้หวันเค้ายิ่งใหญ่มาก แต่เค้าจะไม่ทำในลักษณะโฆษณาให้มันเกิดความสงสัยและตามไปดู
         
          พิธีกร- ออกมาในรูปแบบไหนคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- คือบอกกันตรงๆ ว่าอันนี้มันเป็นธรรมะนะควรจะทำอย่างนี้นะ
พิธีกร- อ.ทวีวัฒน์ล่ะคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ผมคิดว่าพุทธศาสนานั้นเน้นเรื่องสติปัญญาและวิธีการสื่อสารของพุทธศาสนานั้นผ่านระบบการศึกษาการที่พระออกเทศนาสั่งสอนนั้นก็คือการอบรมให้การศึกษาแก่ประชาชนและก็เค้าจะรับเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเค้าที่เค้าจะพิจารณานะ ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นทั้งจุดแข็งหรือว่าจุดอ่อนของพุทธศาสนาก็ว่าได้นะ แต่ว่ามันจะช้าใช้เวลานาน อันนี้ก็จะแตกต่างไปจากของศาสนาคริสต์ๆ เค้าจะเน้นศรัทธาก่อนปัญญาเป็นเรื่องมาที่หลังและก็วิธีการเผยแพร่ของศาสนาคริสต์แต่ไหนแต่ไรมานะก็จะแตกต่างไปจากพุทธศาสนาในแง่ที่ว่าศาสนาคริสต์นั้นจะมีลักษณะเป็นภาระกิจที่จะต้องออกไปเผยแพร่และก็บางลัทธิความเชื่อในศาสนาคริสต์นั้นถึงกับไปเคาะตามประตูบ้าน ซึ่งมันสร้างความรำคาญให้กับคนนะ
         
          พิธีกร- บางคนก็เกรงใจ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- บางคนก็เกรงใจบางคนก็รู้สึกว่ารำคาญนะ ทีนี้ผมมองว่าสปอร์ตโฆษณาชิ้นนี้เนี่ยก็คือใช้ยุทธศาสตร์เดิมก็คือการเคาะประตูตามบ้านแต่ว่าใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็คือเคาะไปถึงห้องนอนเลย
         
          พิธีกร- ผ่านจอ 4 เหลี่ยมเนี่ยนะคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ใช่ๆ ผมใหม่ๆ ดูก็รู้สึกแปลกใจแต่ซ้ำๆ เนี่ย ผมก็รู้สึกรำคาญ
         
          พิธีกร- อาจารย์ไม่คิดอยากจะเอาหนังสือมาลองอ่านดูซิมีความรู้สึกอย่างนั้นมั้ยคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ไม่มีครับ เพราะว่าผมสอนศาสนาเปรียบเทียบ ผมค่อนข้างจะรู้เนื้อหาดีพอสมควร
         
          พิธีกร- เดี๋ยวขออนุญาติพักกันสักครู่ก่อนค่ะ ช่วงหน้ากลับมาคุยกันต่อค่ะ
         
          พิธีกร- กลับมาคุยกันต่อนะคะเวลาเหลือน้อยเต็มทีเอาเป็นว่าดิฉันจะถามอ.วีระชัยเลยก็แล้วกันนะคะว่าตกลงว่ากลุ่มพลังแห่งชีวิตเนี่ยเข้ามาถูกต้องคือตรวจสอบแล้วว่าไว้ใจได้ไม่เป็นพิษเป็นภัย
         
          ดร.วีรชัย- ครับ ก็ตรวจสอบมี 2 ขั้นนะ ขั้นที่ 1 ผ่านมาทางภาครัฐที่จะออกมาอย่างนี้ได้คือทางภาครัฐต้องเห็นว่าไม่มีพิษมีภัยถึงจะออกได้
         
          พิธีกร- แสดงว่ามีลัทธิไหนเข้ามาในประเทศไทยจะทำอะไรจะเคลื่อนไหวอะไรเนี่ยทางองค์กรคริสต์เนี่ยจะดูแล
         
          ดร.วีรชัย- แน่นอน
         
          พิธีกร- จับตาดูให้อยู่แล้ว
         
          ดร.วีรชัย- เพราะว่าถ้ามันไม่ดีมันทำให้เราเสียด้วย
         
          พิธีกร- เอาล่ะค่ะ ตอนนี้นะคะเราจะไปคุยกับท่านอธิบดีกรมการศาสนาจากกระทรวงวัฒนธรรม ท่านปรีชา กันธิยะ ท่านอธิบดีคะ สวัสดีค่ะ
         
          ปรีชา- ครับ สวัสดีครับ
         
          พิธีกร- ตกลงว่ากลุ่มพลังแห่งชีวิตเนี่ยมีการตรวจสอบก่อนที่สปอร์ตโฆษณาจะฉายออกไปจริงรึเปล่าคะ
         
          ปรีชา- มันไม่ได้มีกฎหมายว่าจะต้องมีการตรวจสอบอะไรนะครับ การดำเนินการอะไรต่างๆ นั้นก็อยู่ที่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่ดูแลทางด้านนี้อยู่นะครับผม
         
          พิธีกร- ท่านอธิบดีคะพอเป็นข่าวประเด็นออกมาแบบนี้เนี่ยกรมการศาสนาจะต้องทำอะไรกันต่อคะ
         
          ปรีชา- ผมก็ยังไม่เห็นว่าเราจะต้องไปตรวจสอบอะไรนะครับ เพราะการปฏิบัติอะไรต่างๆ พวกเค้าก็ทำตามแง่มุมของกฎหมายอะไรต่างๆ
         
          พิธีกร- เอาล่ะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ท่านอธิบดีคะ สวัสดีค่ะ กลับมาถามท่านเจ้าคุณกันต่อนะคะว่าทำไมศาสนาพุทธเนี่ยไม่ค่อยเข้าถึงวัยรุ่นคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- มันสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายภาครัฐที่ตัดวัดออกจากโรงเรียนจริงๆ โรงเรียนส่วนมากอยู่ในวัดนะที่คือปัญหาที่ภาครัฐมองข้ามรากฐานสำคัญทางศาสนา ซึ่งเมื่อวานนี้ท่านนายกบอกว่าสมัยหน้าท่านจะมาลงเรื่องนี้ ทีนี้ประเด็นปัญหามันอยู่ตรงนี้เมื่อภาครัฐไม่เปิดโอกาสแม้จะมีโรงเรียนอยู่ในวัดพระก็ออกมาทำไม่ได้ที่จริงเมื่อก่อนเด็กเติบโตมากับพระทั้งนั้น
         
          พิธีกร- ท่านเจ้าคุณกำลังจะบอกว่าถ้าหากว่าเราทำให้เด็กอยู่ใกล้วัดมากเท่าไหร่เนี่ยความรู้สึกผูกพันว่าอยากจะเรียนรู้อยากจะศึกษาธรรมะเนี่ยจะมีมากขึ้น
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- ที่จริงแล้วที่เราทำโรงเรียนศึกษาพุทธศาสนาวันอาทิตย์เนี่ยนะเด็กก็มาเรียน
          เยอะนะและเด็กชอบที่จะอยู่กับพระมากกว่าอยู่กับครูด้วยซ้ำไป อีกประเด็นหนึ่งการโฆษณาต้องยอมรับว่าเค้ามีวิสัยทัศน์ที่ดีมากเข้ามาเปิดตัวในขณะที่สังคมไทยกำลังสับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเศรษฐกิจผู้ผิดหวังทางเศรษฐกิจเนี่ย

          พิธีกร- หาที่พึ่งไม่ได้
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- เยอะนะแล้วอีกอย่างการศึกษาของเด็กกำลังสับสนมาก เพราะการศึกษาของเรา
          พยายามที่จะขับไล่ธรรมะออกจากเด็กในโรงเรียนแทบจะไม่มีเลยอดีตรัฐมนตรีช่วยบอกว่าให้ใช้ 2 คราบต่อสัปดาห์ปรากฎว่าเดี๋ยวนี้เค้าลดให้เหลือ 1 คาบต่อ 1 สัปดาห์ เพราะงั้นนี่คือกำแพงที่มันกีดกันครูเองก็สอนไม่เป็น
         
          พิธีกร- ครูเองยังตอบไม่ได้เลยหลักธรรมะบางข้อใช่มั้ยคะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- ไม่ใช่บางข้อ ส่วนมาก
         
          พิธีกร- อาจารย์คิดว่าหนทางเนี่ยเราควรจะกลับมาคุยกันมั้ยคะว่าคนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาเนี่ยควรจะหาวิธีการใหม่กันมั้ยถึงเวลาแล้วรึยังคะอาจารย์
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วนะ
         
          พระเทพวิสุทธิกวี- มันจะเลยไปรึเปล่า
         
          พิธีกร- มันเกือบจะสายแล้วใช่มั้ยคะ
         
          ดร.ทวีวัฒน์- ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจนะว่าวัฒนธรรมไทยที่มีพุทธศาสนามาตั้ง 2 พันกว่าปีเนี่ยอาจจะถูกเปลี่ยนในเวลาเพียงสั้นๆ ผมคิดว่าเรื่องของกฎหมายเป็นเรื่องที่สำคัญนะ ผมคิดว่าปรากฎการณ์สปอร์ตโฆษณาชิ้นนี้เนี่ยน่าจะเป็นจุดที่จะจุดประกายทำให้ท่าน ส.ว. ส.ส.ทั้งหลายเนี่ยหยิบยกประเด็นเรื่องลัทธิความเชื่อขึ้นมาพิจารณาในเชิงกฎหมายนะเราจะต้องมีกฎหมายมากลั่นกรองมาพิจารณาให้รอบคอบกว่านี้นะครับ ผมอยากจะเสนอว่าทางรัฐสภาน่าที่จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาที่จะหาทางออกกฎหมายในลักษณะที่รอบคอบว่าโฆษณาอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อเราควรอนุญาติมากน้อยแค่ไหน
         
          พิธีกร- เอาล่ะค่ะ สุดท้ายนี้นะคะเราคงจะต้องเรียนคุณผู้ชมอย่างนี้นะคะ อันนี้ก็แล้วแต่คุณผู้ชมทางบ้านนะคะถ้าชมรายการของเราแล้วคิดว่าทางไหนก็แล้วแต่ก็ทุกๆ ศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีนะคะ แล้วแต่ว่าคุณผู้ชมทางบ้านจะเลือกอย่างไรค่ะ นมัสการค่ะท่านเจ้าคุณ ขอบพระคุณค่ะ อาจารย์ทั้ง 2 ท่านนะคะ พรุ่งนี้กลับมาพบกันใหม่ค่ะเวลาเดิม 3 ทุ่ม วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ
กำลังโหลดความคิดเห็น