xs
xsm
sm
md
lg

ฉายภาพอดีตช่วง"ขาลง” ของ “จอมพลป. พิบูลสงคราม”

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ข่าวล่าสุดมาจาก วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี พระธรรมเทศนากัณฑ์ล่าสุดจาก พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เช้าวานนี้ วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน 2547 ได้แสดง ทิศทางล่าสุด ที่จะมีต่อพรรคการเมืองต่าง ๆ ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่คาดว่าจะเป็น วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2547 ในลักษณะ เป็นกลางทางการเมือง – ไม่สนับสนุนและไม่ต่อต้านพรรคการเมืองใด เพียงแต่ยืนยัน จุดยืนเดิม ที่ เรียบร้องจากฝ่ายการเมือง คือขอให้ดำเนินการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ให้การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ของพระมหากษัตริย์ หากพรรคการเมืองใด เห็นด้วย และพร้อมจะ ลงนามในสัตยาบัน ทำนอง Political Platform ก็ ยินดี และจะ ประกาศให้ประชาชนรู้ ในกรณีเช่นนี้หาก มีมากกว่า 1 พรรค ก็จะปล่อยให้เป็น การตัดสินใจของประชาชน รายละเอียดหาอ่านได้เองจากเว็บไซต์ www.luangta.com เพราะ ณ นาทีที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ผลิตงานชิ้นนี้อยู่ยังไม่มี บทถอดเทปโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อเห็นว่านี่เป็นอีกนัยหนึ่งที่จะมีผลต่อ ผลการเลือกตั้งในภาคอีสาน ตามสมควรก็เลยขอนำมา บอกต่อ นี่คือ การปรับทิศทางครั้งล่าสุด หลังจากพระธรรมเทศนากัณฑ์ ให้เห็นใจนายกฯ ที่ว่าด้วย ข้อดี 13 ประการของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ วันที่ 14 กันยายน 2547 ที่สร้างความประหลาดใจ กันมาครั้งหนึ่งแล้ว

•• รูปธรรมของข้อเรียกร้อง ให้การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ของพระมหากษัตริย์ ก็คือขอให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 เฉพาะเพียง มาตรา 7, มาตรา 10 ที่มีเนื้อหาว่าด้วย การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, การปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้กลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นอยู่ ก่อนปี 2535 ที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 7 ชนิด เปิดกว้าง แต่เพียงว่า “...พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช.” ไม่ต้องมี บทจำกัดพระราชอำนาจ ที่ว่า “...นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช.” ต่อท้าย

•• เหตุผลนั้น “เซี่ยงเส้าหลง” เคยกล่าวไปแล้ว หลายครั้ง วันนี้ขอ ยังไม่ทบทวน เพราะตั้งใจไว้ว่าจะ ชวนสนทนา กันในเรื่องที่มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร = จอมพลป. พิบูลสงคราม เสียหน่อย

•• การเปรียบเช่นนั้นจะ ใช่ หรือ ไม่ใช่ ไม่ใช่ประเด็นหลักที่จะชวนสนทนา จอมพลป. พิบูลสงคราม นั้นเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ยาวนานที่สุดถึง ประมาณ 15 ปี (โดยนับต่อเนื่อง 2 สมัย) ย่อมจะมีทั้ง ข้อดี และ ข้อเสีย และแบ่งได้เป็น หลายยุค ตาม พัฒนาการแห่งความรับรู้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เวลาคนรุ่นหลังเอ่ยถึงท่านผู้นี้มักจะเอ่ยถึงแต่ ข้อเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็น สัญลักษณ์แห่งระบอบเผด็จการ-อำนาจนิยม ซึ่งออกจะ ไม่เป็นธรรม ทั้งต่อ ตัวท่าน และ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ห้วงที่กล่าวได้ว่า มีสีสันที่สุด แต่กลับ มีบันทึกไว้น้อยที่สุด พูดกันอย่างเป็นธรรมแล้วเวลาเอ่ยถึง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผู้คนมักจะนึกถึงแต่ ท่านปรีดี พนมยงค์ โดยไปนึกถึง จอมพลป. พิบูลสงคราม ในฐานะ ผู้โค่นล้มท่านปรีดี พนมยงค์ เมื่อ ปี 2490 ทั้ง ๆ ที่โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ หรืออย่างน้อยก็ ไม่ใช่ทั้งหมด, ไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะท่านเองก็เป็นหนึ่งใน กำลังสำคัญของคณะราษฎร หรืออีกเรื่องหนึ่งที่พูดกันมากคือเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เลือกตั้งสกปรกปี 2500 มักจะพูดกัน ด้านเดียว ว่าเป็นการกระทำของฝ่าย จอมพลป. พิบูลสงคราม – พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ไม่ได้พูดเลยว่า อีกด้านหนึ่ง เป็นฝีมือ การสร้างสถานการณ์ ของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ สหรัฐอเมริกา ที่กำลัง ชุบเลี้ยงเสือตัวใหม่ ขึ้นมาเพื่อรองรับกับ ยุทธศาสตร์สงครามเย็น และที่ไม่ได้พูดกันเลยก็คือ การเปลี่ยนแปลงไป (หรือภาษาร่วมสมัยว่า เปลี๊ยนไป๋) ชนิด 360 องศา ของ จอมพลป. พิบูลสงคราม – พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ในช่วง ปี 2497 – 2500 รวมทั้ง การทำงานแนวร่วมที่ผิดพลาด ของ ปัญญาชนสาธารณะ + ฝ่ายซ้าย ในยุคนั้นที่ อ่านไม่ขาด ในตัวตนของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ระยะนั้นยังไม่ได้ เปลือยตนเอง สุดท้ายมิพักต้องพูดถึง มรดกทางวัฒนธรรม ที่ จอมพลป. พิบูลสงคราม ทิ้งไว้ให้ คนรุ่นหลัง แม้จะกระทั่งทุกวันนี้มากมายหลายประการด้วยกัน

•• ประเด็น มรดกทางวัฒนธรรม ที่มีทั้ง ข้อดี, ข้อเสีย จะขอยังไม่พูด ณ ที่นี้เพระ “เซี่ยงเส้าหลง” ตั้งใจว่าจะ เน้น ไปที่กระบวนการ เปลี๊ยนไป๋ ในช่วง ปลายยุคแห่งอำนาจ ช่วง ปี 2497 – 2500 ที่ ประวัติศาสตร์บันทึกไว้น้อยมาก เสียมากกว่า

•• เหตุการณ์ก่อนหน้าคือ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ยึดอำนาจสำเร็จ ปี 2493 ตามมาด้วย สงครามเกาหลี ที่กว่าจะยุติลงก็ ปี 2496 สถานการณ์โลกเริ่ม เปลี่ยนแปลง เพราะทั้ง 2 ฝ่ายต่าง ไม่ชนะ-ไม่แพ้ แต่ บอบช้ำด้วยกัน จึงเริ่ม ลดระดับความแข็งกร้าวต่อกัน ในระดับหนึ่ง

•• แม้แนวคิดของ สหรัฐอเมริกา ยังคงพัฒนาไปในด้าน สงคราม โดยยังคงมีการประเมินว่า จีนจะใช้กำลังปลดปล่อยเอเชียอาคเนย์ ทำให้ในช่วง กันยายน 2497 จัดตั้ง สปอ. – สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือที่รู้จะกันในนาม SEATO เป็นเหตุให้ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มภาคีมีความจำเป็นจะต้อง ขยายงบประมาณทางด้านการทหาร เป็นผลโดยตรงทำให้ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ที่ล้วนเป็น ประเทศด้อยพัฒนา, ประเทศกำลัง(เริ่ม)พัฒนา มีอันต้อง สะดุด เศรษฐกิจโดยรวม ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร – ไม่ได้สัดส่วนกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและการเติบโตของประเทศสังคมนิยม ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยเริ่ม อ่อนเพลีย และเริ่มประสบ วิกฤตเศรษฐกิจ แม้จะเป็นระดับ ขนาดเล็ก, ขนาดกลาง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่า ประสบปัญหาภายในใหญ่หลวง ดังนั้นเมื่อทั้ง สหภาพโซเวียต และ สาธารณรัฐประชาชนจีน ดำเนินกลยุทธ์ รุกทางการเมือง-การทูต อย่าง ทั่วด้าน แนวโน้มที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคจะ ยอมรับการรุก - เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและลดงบประมาณทางทหาร จึงเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นใน การประชุมบันดง ที่ โจวเอินไหล แห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีโอกาสมี Dialogue ชนิด สองต่อสอง กับผู้แทนประเทศไทยในขณะนั้นคือ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (ที่รู้จักกันในนาม พระองค์วรรณ หรือ เสด็จในกรมฯพระองค์วรรณ ทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า จีนจะไม่ใช้กำลังรุกรานไทยแน่นอน อย่างน้อยก็ใน เฉพาะหน้า นี่ก็เป็น งานเปิด ที่สะท้อนมาถึง รัฐบาลไทย ในขณะนั้น

•• ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จอมพลป. พิบูลสงคราม เดินทางไปต่างประเทศ หลายครั้ง เมื่อกลับเข้ามาก็มีความคิดว่าควรจะ เปิดประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย ต้องเข้าใจว่า รูปแบบเปิดปราศรัยทางการเมือง หรือ ไฮค์ปาร์ค ก็เกิดขึ้นเพราะแนวคิดนี้

•• เบื้องหลังหนึ่งของการคลี่คลายทางการเมืองยุคนั้นก็คือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ที่ก่อนหน้านั้นมีพฤติกรรม อำนาจนิยม, ปราบปราม และที่สำคัญคือเป็น ลูกที่ดีของสหรัฐอเมริกา เริ่ม สงสัยในพฤติกรรม ของอภิมหาอำนาจที่ตน เดินตาม เพราะเห็นมากขึ้นเป็นลำดับว่า สหรัฐอเมริกาน่าจะสร้างสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนเอง -- ทำให้ไทยต้องยากลำบากอย่างใหญ่หลวง จึงสนทนากับบรรดา ปัญญาชนสาธารณะ ในยุคนั้นที่เสมือนเป็น ผู้แทน ของ ฝ่ายซ้าย, ฝ่ายต่อต้านสหรัฐอเมริกา อย่างเช่น กุหลาบ สายประดิษฐ์, อุทธรณ์ พลกุล หลายครั้งหลายหนในที่สุดก็ ตกผลึกความคิด ว่า ประเทศไทยควรดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นอิสระ,ไม่ควรทุ่มงบประมาณทางทหารสถานเดียว ยิ่งเท่ากับไปเสริม ดำริ ของ จอมพลป. พิบูลสงคราม ให้ หนักแน่น, เป็นจริง มากขึ้น

•• รูปธรรมของสถานการณ์ที่นำไปสู่ การตกผลึกทางความคิด ขณะนั้นก็คือ ราคายางตกต่ำ เนื่องเพราะ สหรัฐอเมริการะบายยางจากคลังยุทธปัจจัยออกมาตีตลาดโลก ทำให้ ภาคใต้ระส่ำระสาย – ประชาชนมีแนวโน้มเอียงซ้าย, ภาคเหนือ - ยาสูบขายไม่ออก ขณะที่ ภาคอีสาน – พัฒนาไม่ได้เนื่องจากไม่มีงบประมาณ แต่อภิมหาอำนาจประเทศนี้ก็ยังคง ดึงดันให้ประเทศไทยเพิ่มงบประมาณทางทหาร ต่อไป

•• ผลสุดท้าย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ก็เปิด เจรจาลับ กับ ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ประกอบด้วย ประสิทธิ์ เทียนศิริ, สุ่น กิจจำนง ขณะเดียวกันก็เกิด อุบัติเหตุปริศนากับ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในขณะนั้น คือ เพอร์รี่ ฟอยด์ ทำให้เจ้าของวาทะ “...ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้.” ถูก จับตา, เพ่งเล็ง เป็นพิเศษ

•• ปัจจัยต่าง ๆ ผสมผเสกันเข้ามาทำให้ สหรัฐอเมริกา หันไป สนับสนุน นายทหารคนใหม่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างเงียบ ๆ จนกลายเป็น ขั้วตรงข้าม กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยมี จอมพลป. พิบูลสงคราม อยู่ กลาง – เอียงข้างไปทางพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อย่างกระอักกระอ่วน

•• รูปธรรมในขณะนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่ได้ เปลือยตนเอง หรือกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ได้แสดงตัวตนในเชิงนโยบาย ว่า เห็นด้วย, ไม่เห็นด้วย อย่างไรหรือไม่กับการที่ 2 จอมพลผู้นำกำลังต้องการ ปรับเปลี่ยนนโยบาย มาเป็น เป็นอิสระในทางการเมืองระหว่างประเทศ, ทุ่มงบประมาณส่วนใหญ่ไปในทางพัฒนาประเทศ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ การพัฒนา, สร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชน จอมพลคนใหม่เพียงแต่แสดงท่าที ไม่ถูกกันเป็นการส่วนตัวกับพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เท่านั้น

•• ต้องไม่ลืมว่าก่อนที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ จะ ตื่นตัว, ก้าวหน้า เขาดำเนิน นโยบายฟาสซิสม์, ปราบปรามหนัก, (ถูกกล่าวหาว่า)เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้าฝิ่นเถื่อนและสินค้าเถื่อน, เลี้ยงนักเลงอันธพาล และ ฯลฯ ทำให้ในสายตาประชาชนแล้ว ถูกเกลียดชัง แม้หลังจากที่ค่อย ๆ ตื่นตัวและค่อย ๆ มีสำนึกใหม่ในทางการเมืองจะได้ลด พฤติกรรมสีเทา และช่วงหลัง ๆ ที่มีการเปิดประชาธิปไตยมี ไฮด์ปาร์ค ที่ สนามหลวง บรรยากาศประชาธิปไตยคึกคัก ปัญญาชนสาธารณะส่วนหนึ่ง รวมทั้ง ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยส่วนหนึ่ง หนุนประสานการเคลื่อนไหวของท่านอย่าง ลับ ๆ โดยปราศจากจังหวะก้าว เกิดเหตุการณ์ โจมตีสหรัฐอเมริกาอย่างหนักหน่วง จึงเกิดปฏิกิริยาสวนกลับสหรัฐอเมริกาหันไปหนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มากยิ่งขึ้น แม้ว่าจอมพลคนใหม่จะมี พฤติกรรมสีเทา แต่ก็ ทำอย่างลับ ๆ และ ไม่เคยปราบปราม, ไม่เคยเลี้ยงนักเลงอันธพาล ทำให้กระแสของประชาชนส่วนใหญ่ นิยมยกย่อง เห็นว่าเป็น ฮีโร่คนใหม่, อัศวินม้าขาวคนใหม่ นักเคลื่อนไหวหลากหลายเวลาไฮด์ปาร์คจึง โจมตี 2 จอมพลคู่เก่า – หนุนจอมพลคนใหม่ สถานการณ์ยิ่ง ย่ำแย่ ส่อเค้า เปลี่ยนแปลง ในไม่ช้าไม่นาน

•• ต่อหน้าสถานการณ์ดังกล่าว ปัญญาชนสาธารณะส่วนหนึ่ง รวมทั้ง ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยส่วนหนึ่ง แทนที่จะ ยืนหยัดอยู่ข้าง 2 จอมพลคู่เดิม ที่ได้มี Dialogue จน เข้าใจกันดี กลับพลิกไป ตามกระแสประชาชน ในที่สุด

•• สถานการณ์เช่นนี้มี การสะสมตัว มาแรมปีจนกระทั่งถึง ปี 2499 ภายใต้บรรยากาศ ประชาธิปไตยทางการเมือง ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง สหภาพแรงงาน, องค์กรนักศึกษา ก่อให้เกิด ขบวนการคัดค้านการเลือกตั้งสกปรก ขึ้นใน ปี 2500 ในช่วง วันที่ 2 มีนาคม 2500 ส่งผลให้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สามารถ รัฐประหาร ท่ามกลาง เสียงเชียร์ ได้ใน วันที่ 16 กันยายน 2500 แล้วมอบหมายให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ อยู่ถึง วันที่ 20 ตุลาคม 2501 จึง รัฐประหารซ้ำสอง ขึ้นนั่งบัลลังก์ นายกรัฐมนตรี และเริ่ม เปลือยตนเอง ทีละขั้น ๆ

•• จะเห็นได้ว่าแม้ สหรัฐอเมริกา กับ ปัญญาชนสาธารณะส่วนหนึ่ง, ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยส่วนหนึ่ง ขณะนั้นจะ ยืนอยู่คนละจุด แต่ ยุทธวิธีกลับตรงกัน คือ ยืนอยู่ข้างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ฝ่ายหลังนั้นคิดว่า จอมพลคนใหม่ก้าวหน้ากว่า 2 จอมพลคู่เก่า และ ไม่กล้าเข้าไปขวางกระแสความเกลียดชังของประชาชน, ไม่กล้ายืนหยัดบนพื้นฐานของความเป็นจริงที่ว่า 2 จอมพลมีการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ กลับหันไป สร้างแนวร่วมกับจอมพลคนใหม่ เป็นเหตุเสริมเติมให้จอมพลคนใหม่ ได้รับเสียงเชียร์จากหนังสือพิมพ์ทั้งขวาและซ้าย เมื่อเกิดรัฐประหาร ฝ่ายซ้ายยุคนั้นในขณะนั้นดีอกดีใจกันมาก อย่างไม่น่าเชื่อ

•• แต่แล้วหลัง รัฐประหารซ้ำสอง ฮีโร่คนใหม่ที่เคยถูกมองว่า ก้าวหน้ากว่า ก็เริ่มดำเนิน นโยบายฟาสซิสม์ เป้าหมายในการกลาดล้างจับกุมคุมขังก็คือ ปัญญาชนสาธารณะส่วนหนึ่ง, ตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ไทยส่วนหนึ่ง รวมทั้ง ผู้ที่เคนเป็นพันธมิตรกันมา ด้วย

•• ประเด็นนี้ ศุขปรีดา พนมยงค์ ทายาทคนสุดท้องของ ท่านปรีดี พนมยงค์ เคยมาสนทนาในรายการ สภาท่าพระอาทิตย์ เมื่อ ปี 2546 ได้เคยพูดถึงเหตุการณ์ ช่วงสุดท้ายในชีวิตทางการเมืองของจอมพลป. พิบูลสงคราม ไว้ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” นำมาบันทึกไว้อีกครั้ง

•• อยากแสดงเจตนารมณ์ สันติภาพ ด้วยวิธีการ พับนก นอกจาก พับนกจริง แล้วยังสามารถ พับนกออนไลน์ ได้ที่ www.manager.co.th ก็ยังได้ ณ นาทีนี้ได้กว่า 20,000 ตัว แล้ว

จอมพลป. พิบูลสงครามในช่วงท้ายแห่งอำนาจ

สภาท่าพระอาทิตย์ : เรื่องที่ประวัติศาสตร์ไม่มีอีกเรื่องหนึ่งคือความสัมพันธ์กับจอมพลป. พิบูลสงคราม ในระยะท้ายของชีวิตท่าน เป็นอย่างไร

ศุขปรีดา : คือ เมื่อตอนที่อยู่ในประเทศจีน ก็ได้มี... ในระยะหลัง ๆ เราก็ควรจะให้เครดิตแก่จอมพลป. ในระยะบั้นปลายก่อนที่ท่านจะถูกรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งท่านก็มองเห็นว่าแล้วว่าไทยควรจะมีอิสระในการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการติดต่อกับประเทศจีน จากจุดอันนี้ ในฐานะที่ท่านทั้งสอง คือจอมพลป. และนายปรีดีก็เป็นผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร่วมรบกันมา ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ก็เริ่มมีความเข้าใจกันเกิดขึ้นนะครับ ก็มีการติดต่อกันขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จอมพลป.ได้เห็นว่ามีผู้บริสุทธิ์ได้ถูกตัดสินประหารไปในเรื่องราวซึ่งเกิดเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ก็ได้มีการติดต่ออยากจะให้รื้อฟื้นคดีใหม่ ก็ได้มีทนายได้เดินทางไป คือคุณลิ่วละล่อง บุนนาค, คุณชิต เวชประสิทธิ์ ก็เดินทางไป

สภาท่าพระอาทิตย์ : เหมือนเป็นตัวแทนของท่านจอมพลป.ไป

ศุขปรีดา : ไม่เชิงครับ เป็นทนายครับ แต่ถือว่าจอมพลป.ได้ให้ความเห็นชอบ...ทำนองนั้น ผมได้รับรองอยู่ ผมรับตั้งแต่ที่มาเก๊า ซึ่งเรื่องนี้..อันนี้...ผมคิดว่าจะบันทึกต่อไปว่าความเป็นมาเป็นยังไง

สภาท่าพระอาทิตย์ : อันนี้ในช่วงปี 2498 - 2499 ก่อนรัฐประหาร

ศุขปรีดา : 2500 พอดี เดือนสิงหาคมครับ ผมจำได้เลย ก่อน 16 กันยายน 2500

สภาท่าพระอาทิตย์ : ก่อนที่จอมพลสฤษดิ์จะขึ้นมารับตำแหน่ง เพราะฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้ ครับ ว่าการความสัมพันธ์ระหว่างท่านจอมพลป.กับ ท่านปรีดี ในช่วงนั้น โดยเฉพาะการเดินทางของทนายท่านปรีดี เป็นมูลเหตุหนึ่งที่เร่งให้การรัฐประหารเกิดขึ้น

ศุขปรีดา : ก็เป็นเช่นนั้น หลังจากนั้นจอมพลป.ก็ถูกรัฐประหาร ก็ลี้ภัยไปที่ต่าง ๆ ในที่สุดก็อยู่โตเกียว ก็มีการติดต่อส่งสารกันอยู่ แต่ที่สำคัญที่สุดก่อนที่จอมพลป.จะถึงแก่อสัญกรรม จอมพลป.ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนายปรีดี จดหมายนี้มีความสำคัญมาก ผมพยายามจะค้นว่าต้นฉบับอยู่ที่ไหน ตอนลงท้ายของจดหมายจอมพลป.เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “พลีส อโหสิ” คืออโหสิกรรมนะครับ ซึ่งสำคัญมาก และหลังจากนั้นไม่นานจอมพลป.ก็ถึงแก่อสัญกรรม

สภาท่าพระอาทิตย์ : ระยะหลังระหว่างครอบครัวพนมยงค์กับครอบครัวพิบูลสงครามได้มีการติดต่อกันบ้างไหมครับ

ศุขปรีดา : ทุกวันที่ 24 มิถุนายน ที่วัดพระศรีมหาธาตุ เรามีการทำบุญอุทิศส่วนกุศล แก่ผู้ก่อการ เราก็ได้มีการพบปะกันกับครอบครัวของท่านจอมพลป. กับพวกผม ในรุ่นพวกเราแล้วเจอกัน ก็เคารพนับถือกันตามศักดิ์ ตามอายุ ต่าง ๆ
สภาท่าพระอาทิตย์ : มีความเข้าใจเหตุการณ์ในอดีตร่วมกันไหมครับ

ศุขปรีดา : ก็มีความเข้าใจนะครับ เหตุการณ์บางเหตุการณ์ การดำเนินงานของจอมพลป. ในบางช่วงก็ประวัติศาสตร์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าเราก็ต้องคิดจอมพลป.ก็ได้สร้างคุณูปการแม้กระทั่งในบั้นปลาย ความคิดที่จะเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง สรุปผมก็ว่าจอมพลป.ก็มีความดีแก่ประเทศชาติครับ

สภาท่าพระอาทิตย์ : เป็นสิ่งที่หลายคนทั่วไปในชั้นหลังอาจจะไม่ทราบความนัยนัก เพราะว่าโดยภาพที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ก็คือการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นั้ ก็คือจอมพลป.อยู่เบื้องหลัง

ศุขปรีดา : ไม่ใช่จอมพลป.อยู่เบื้องหลังครับ พรรคการเมืองพรรคหนึ่งนะครับ ซึ่งปัจจุบันก็ยังนับถือผู้ก่อตั้ง ก็ถือว่าเป็นปูชนียบุคคลของเขา


----------------------------------------------

จากรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” , เอฟเอ็ม 97.5 เมกะเฮิตซ์, วันที่ 9 พฤษภาคม 2546 ช่วงที่ 4 - 5 เวลา 09.00-10.00 น. สัมภาษณ์พิเศษ ศุขปรีดา พนมยงค์ บุตรชายคนสุดท้องของท่านปรีดี พนมยงค์
กำลังโหลดความคิดเห็น