•• ไม่ว่า จอร์จ ดับเบิลยู. บุช หรือ จอห์น แคร์รี จะชนะเลือกตั้งได้เป็น ประธานาธิบดี ก็ไม่ได้ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ถึงอย่างไร สหรัฐอเมริกา ก็ยังคงตั้งตนเป็น ตำรวจโลก, มหาอำนาจเดี่ยว และยัดเยียด กฎเกณฑ์ที่ตราขึ้นมาเองเพื่อประโยชน์ของประเทศตน คือ ฉันทมติวอชิงตัน ให้ทั่วทั้งโลก ยอมรับ ว่าเป็น ระเบียบโลกใหม่ ที่ต้อง ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และแก่นแกนแห่งปรัชญาที่เป็นแกนกลางยังคงอยู่ที่ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ หรือ Neo-Liberalism ข้อแตกต่างระหว่างว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปทั้งสองก็คือคนแรกเปรียบเสมือน ไอ้เสือยุคโบราณ หรือ คาวบอยยุคไล่ฆ่าชนเผ่าพื้นเมือง คาดผ้าประเจียดสวมเสื้อยันต์มึงมาพาโวยฟาดกันด้วยลีลาดิบ ๆ ขณะที่คนหลังจำลองรูปแบบ โจรใส่สูท เช่นเดียวกับ บิลล์ คลินตัน นุ่มเนียนเนี้ยบจนเหยื่อ ตายใจ และแม้จะ ตายช้า แต่ก็ ตายทรมาน ทั้งสองไม่ว่าจะเป็นใครจะไม่ทำให้ ขบวนมุสลิมจารีตนิยม หรือที่ถูกขนานนามว่า ขบวนก่อการร้ายสากล ในฐานะ คู่ปรปักษ์ ใน สงครามเย็นยุคใหม่ มีอันต้อง ยกธงขาว, เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่เป็นแก่นแกนแห่งปรัชญาการขับเคลื่อนประเทศของสหรัฐอเมริกานั้นมีลักษณะเป็น Offensive Fundamentalism เราอาจแปลลัทธิที่ว่านี้ได้ในอีกลักษณะหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ลัทธิคัมภีร์ทางการตลาด, ลัทธิการตลาดสุดขั้ว ซึ่งโดยธรรมชาติของมันแล้วทั้ง ขาดมนุษยธรรม และเป็น ชนวนของสงครามโดยตัวเอง เนื่องเพราะมันยืนอยู่ได้ด้วย การเจริญเติบโตไม่หยุดยั้ง, กำไรสูงสุด จึงต้องการแต่ การบริโภคเพิ่มขึ้น, ตลาดเพิ่มขึ้น ทำมีลักษณะ แสวงหาศัตรูโดยธรรมชาติ ตรงกันข้ามกับหลักปรัชญาของ ศาสนาอิสลาม (หรือจะว่าไปแล้วก็คือ ทุกศาสนา รวมทั้ง พุทธศาสนา และแม้กระทั่ง คริสตศาสนานิกายโรมันแคธอลิกดั้งเดิม) ที่เน้น บริโภคพอเพียง, ความสุขภายใน และ ฯลฯ ทำให้มีลักษณะเป็น Defensive Fundamentalism เพราะกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ขัดขวางการแสวงหากำไรสูงสุดอย่างไร้ขอบเขต โดยธรรมชาติแล้วเท่ากับ ศัตรูของลัทธิเสรีนิยมใหม่ โดยปริยาย
•• ในอีกมุมมองหนึ่ง สงครามเย็นยุคใหม่ จึงเป็น สงครามแนวทางการดำเนินชีวิต, สงครามอารยธรรม อย่างแท้จริง
•• ในอีกมุมมองหนึ่ง สงครามโค่นตอลีบานในอัฟกานิสถาน, สงครามอิรัก ไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจาก ความพยายามกวาดทุ่นที่เป็นอุปสรรคของลัทธิเสรีนิยมใหม่ เพราะไม่ว่า ตอลีบาน, อิรัก หรือในอนาคตอันใกล้อาจจะเป็น อิหร่าน และ ซาอุดีอาระเบียยุคมกุฎราชกุมารอับดุลลาห์ ต่างก็เป็น สัญลักษณ์ของอุปสรรค ต่างกรรมต่างวาระด้วยกัน
•• ไม่ใช่เรื่องที่ กล่าวหากันลอย ๆ ประเด็นข้างต้นนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็น หลักการสำคัญ ที่ปรากฏในงานเขียนเมื่อ ปี 2540 ของ แซมมวล ฮันติงตัน เรื่องโด่งดัง The Clash of Civilizations : and the Remaking of World Order ท่านผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ ศาตราจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หากแต่กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งใน นักยุทธศาสตร์คนสำคัญของสหรัฐอเมริกา เคยร่วมงานด้าน ยุทธศาสตร์ความมั่นคง โดยตรงให้กับ ภาครัฐ ในยุค จิมมี คาร์เตอร์ งานชิ้นนี้สะท้อนภาพของโลกที่มี ความแตกต่างกันทางอารยธรรม และบอกว่า สงครามระหว่างอายธรรมที่แตกต่างกัน นั้นเป็นสิ่งที่ ต้องเกิดขึ้น, หลีกเลี่ยงไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือท่านมองในทำนองที่ว่า “...อิสลามและจีนมีระบบอารยธรรมป่าเถื่อนเป็นรากฐาน ไม่เป็นประชาธิปไตย กดขี่ทางเพศ ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกคือความเป็นประชาธิปไตยที่มีสิทธิเท่าเทียมกัน มีเสรีภาพ.” นั่นแหละ
•• จะโดยบังเอิญหรือเจตนาก็สุดจะกล่าว จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เองนี่แหละที่ หลุด คำว่า สงครามครูเสด ออกมาต่อหน้าจอโทรทัศน์หลัง เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 และ ภาษา ที่นำมาใช้หลายครั้งหลายคำตลอดระยะเวลา 4 ปีเป็น ภาษาในคัมภีร์ไบเบิ้ล, ภาษาอิงความเชื่อทางคริสตศาสนา ย้อนไปดู ความเป็นมาในอดีต จะพบว่านอกจากจะเป็น คนเคร่งศาสนา ชนิด เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ เหมือน บรรพบุรุษตระกูลบุช แล้วสมัยเมื่อยังเป็นนักศึกษาชั้นปริญญาตรีสาขาวิชาประวัติศาสตร์แห่ง มหาวิทยาลัยเยล ก็ทำเกรดได้ A ในวิชา ประวัติศาสตร์ศาสนา โดยเฉพาะ ประวัติศาสตร์สงครามครูเสด และคะแนนนิยมส่วนหนึ่งก็มาจากหมู่คริสตศาสนิกชนที่ เคร่งศาสนา ด้วย
•• ในอีกมุมมองหนึ่ง พรรคเดโมแครต กับ พรรครีพับลิกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในหลายด้านหลายมุมรวมถึง รากฐานของผลประโยชน์ แต่เนื้อแท้แล้วก็เสมือนต่าง แบ่งบทบาทกันเล่น, ผลัดกันแสดงนำ เพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาโดยรวม เท่านั้นเอง
•• และ ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาโดยรวม ที่ทำให้ อเมริกันชนอยู่ดีกินดีกว่าพลโลกส่วนอื่น นั้นนับจากอดีตจวบจนปัจจุบันล้วนมาจาก เบียดบัง, ช่วงชิง กระทั่ง ปล้น มาจาก พลโลกส่วนอื่น ทั้งสิ้น
•• ลองย้อนไปพลิกดู ประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา จะพบได้ไม่ยากว่า ความมั่งคั่งของประเทศเกิดใหม่ ถือกำเนิดควบคู่มากับ สงคราม โดยเฉพาะในลักษณะของ สงครามล้างเผ่าพันธุ์ หากไม่ย้อนไปไกลถึงกรณี ชนเผ่าพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ที่เรียกขานกันว่า อินเดียนแดง แล้วก็ต้องเริ่มต้นที่ ค.ศ. 1848 ที่ยาตราทัพยึดครองดินแดนส่วนหนึ่งของ เม็กซิโก ด้วยข้ออ้าง ปลดปล่อยประชาชนเม็กซิกันออกจากระบอบเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย แต่จริง ๆ แล้ว Hidden Agenda ที่คนทั่วไปรู้กันดีก็คือ ขยายพื้นที่การเกษตร, ครอบครองแหล่งแร่ทองคำ จากนั้นระหว่าง ค.ศ. 1898 – 1934 ก็ยาตราทัพเข้าไปในบ้านใกล้เรือนเคียง คิวบา, นิการากัว, ฮอนดูรัส, สาธารณรัฐโดมินิกัน, ไฮติ, กัวเตมาลา, ปานามา, เม็กซิโก และ โคลัมเบีย แต่ละประเทศอยู่ระหว่าง 1 – 7 ครั้ง โดยเฉพาะ ปานามา นั้นเอาเข้าจริงแล้วถือเป็น ผู้ก่อตั้งในทางปฏิบัติ เริ่มต้นโดยใช้กุศโลบายทางการเมืองระหว่างประเทศ เฉือนออกมาจากโคลัมเบีย เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ขุดคลองปานามา เพื่อให้เกิดเป็น เส้นทางเดินเรือลัดระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับแอตแลนติก ซึ่งจะต้องอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ รัฐบาลที่ไว้วางใจได้ 100 % ซึ่งในที่สุดก็คือ วานิชธนกิจอเมริกันยุคแรก ๆ คำกล่าวของประธานาธิบดีคนที่ 26 ของประเทศเกิดใหม่แห่งนี้ในช่วงใกล้เคียงกันนั้นมีว่า “...ข้าพเจ้าพร้อมที่จะทำสงครามทุกที่ ทุกแห่ง เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่ามันจำเป็นแก่สหรัฐอเมริกา.” อีกคำกล่าวหนึ่งที่ อมตะ พอกันในยุคเดียวกันมาจากสมาชิกวุฒิสภาคนดัง อัลเบิร์ต เจ. เบเวอริดจ์ ว่า “...เราคือชนชาติที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครองโลก.” แนวคิดและระบบความเชื่อทำนองนี้นำมาซึ่งการขยายตัวเข้าแทนที่ จักรวรรดินิยมยุคเก่า อย่าง อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน และ ฯลฯ ตราบเท่าที่ จังหวะสถานการณ์เอื้ออำนวย โดยเริ่มต้นที่ ฟิลิปปินส์ อันถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน สงครามล้างเผ่าพันธุ์ ที่ ป่าเถื่อนที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อารยธรรมมนุษยชาติ ชาวพื้นเมืองฟิลิปปินส์ 600,000 คนต้องกลายเป็นซากศพ สังเวย อารยธรรมอเมริกัน ที่กำลังเถลิงอำนาจขึ้นมา
•• ปฏิบัติการ ทิ้งระเบิดปรมาณู ใส่ 2 เมือง ฮิโรชิมา, นางาซากิ ถูกกระบวนการข่าวของมหาอำนาจเกิดใหม่ตกแต่งโฆษณาว่าต้องกระทำเพราะ ความจำเป็น หากศึกษาลึกลงไปจะพบว่า ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามย่อยยับก่อนหน้าแล้ว ปฏิบัติการ ฆ่าล้างเมือง ถึง 2 เมือง เป็นไปเพื่อ สำแดงแสนยานุภาพเหนือโลก เพื่อสถาปนา ความเป็นผู้นำเหนือระบบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียมากกว่า
•• ในยุค สงครามเย็น เฉพาะในสมรภูมิ เวียดนาม มหาอำนาจเกิดใหม่ประเทศนี้เมื่อ 30 – 40 ปีก่อน ก็เป็น ประเทศแรก (ก่อนหน้า รัสเซีย, อิรัก) ที่เริ่มต้นผลิต อาวุธเคมี อย่าง ฝนเหลือง เพื่อทำลาย พืชพันธุ์, สัตว์เลี้ยง เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ เอาชนะสงครามจรยุทธ์ รวมทั้งผลิต ระเบิดอานุภาพร้ายแรง ที่ชื่อ นาปาล์ม หรือจะข้ามไปสู่ภูมิภาค อเมริกาใต้ ก็จะพบเห็นการสนับสนุน รัฐบาลหุ่น, รัฐบาลเผด็จการ ปราบปรามเข่นฆ่าสังหารขบวนการประชาชนใน นิการากัว, เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา, เปรู, เม็กซิโก และแม้เมื่อถึงกาล ล่มสลาย ของ สหภาพโซเวียต แทนที่จะเข้าสู่ยุคแห่ง สันติภาพ ตามที่ผู้คนทั่วโลกคาดหวังและหลงเชื่อในสิ่งที่เรียกขานว่า New World Order มหาอำนาจเกิดใหม่ประเทศนี้ในยุค จอร์จ บุช ที่ก็คือ อดีตหัวหน้าหน่วยซีไอเอ กลับมุ่งสู่ ตะวันออกลาง – ดินแดนแห่งน้ำมัน แน่นอนว่าใน สงครามอ่าวครั้งแรก เมื่อ 13 ปีก่อน โลกยังอาจจะไม่รู้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง แต่ในยุคของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช – สมัยที่ 1 นั้น แจ่มแจ้งแดงแจ๋ ไประดับหนึ่งแล้ว
•• ในมุมมองที่ว่า พรรคเดโมแครต กับ พรรครีพับลิกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในหลายด้านหลายมุมรวมถึง รากฐานของผลประโยชน์ แต่เนื้อแท้แล้วก็เสมือนต่าง แบ่งบทบาทกันเล่น, ผลัดกันแสดงนำ เพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาโดยรวม เท่านั้นเองนั้นเห็นได้ชัดว่าเศรษฐกิจของประเทศเริ่ม สะดุดตัว ลงในช่วง ปี 2543 - 2544 ระยะสุดท้ายแห่งการบริหารของ บิลล์ คลินตัน หลังจาก ขยายตัวต่อเนื่อง มาตั้งแต่ ปี 2528 โดยมีรูปธรรมอยู่ที่ การพังทลาย ของบรรดา New Economy หรือนัยหนึ่ง ธุรกิจดอทคอม ต่อเนื่องด้วย ธุรกิจโทรคมนาคม กล่าวได้ว่าเป็น ปรากฏการณ์ทำลายตัวเอง ของ ระบบทุนนิยมโลก ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของ ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ทั้งนี้เพราะ การปฏิวัติทางเทคโนโลยี ก่อให้เกิด การพัฒนาพลังการผลิตครั้งใหญ่ อันเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ การผลิตล้นเกิน นั่นคือ เกินความต้องการของตลาด ผลที่เกิดขึ้นได้ย้อนกลับมา ทำลายระบบ นั่นคือ การจ้างงานลดลง ไม่เพียงแต่เท่านั้นยังก่อให้เกิด นวัตกรรมเศรษฐกิจฟองสบู่ ที่แสวงหา ผลกำไร จากกระบวนการ ค้าเงิน, ค้าหุ้น ในปริมาณมากกว่า การผลิตจริง ก่อให้เกิด วิกฤตรูปแบบใหม่แพร่กระจายไปทั่วทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น การว่างงาน, การแตกของฟองสบู่, วิกฤตค่าเงิน และ ฯลฯ กล่าวได้ว่า การปฏิวัติทางเทคโนโลยี ที่เปรียบเสมือน ต่ออายุระบบ ที่เริ่ม ถดถอย มาตั้งแต่ประมาณ ปี 2513 ได้เริ่มต้น หมดแรงส่ง นี่จึงเป็นสาเหตุแห่งการกลับมาอีกครั้งของ การผลิตจริง และก็ไม่มี การผลิตจริง ใด ๆ จะยิ่งใหญ่ไปกว่า อุตสาหกรรมน้ำมัน, อุตสาหกรรมอาวุธ หรือที่เรียกรวม ๆ ว่า The Military Complex ที่บังเอิญเป็น รากฐานผลประโยชน์ ของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และพลพรรค Neo-Conservative พวกเขาขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน สหรัฐอเมริกา ได้ ทันการณ์, ทันเวลา และดำเนิน นโยบายสงคราม ที่ในภาษาเศรษฐศาสตร์แล้วไม่ต่างอะไรกับ ทำบอลลูนเส้นเลือดใหญ่ที่ตีบตันของระบบทุนนิยมโลก นั่นเอง
•• ใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ณ นาทีนี้ไม่สำคัญเท่ากับว่า ประเทศไทยรับความช่วยเหลือด้านความมั่นคงจากสหรัฐอเมริกา มากน้อยแค่ไหน พล.ต.ท.ปรุง บุญผดุง – ผบช.ส. รับออกมาแล้วในที่สุดว่า โรงเรียนการข่าวกรอง ที่กำลังก่อตั้งนั้น รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา แม้จะแก้ต่างว่าไม่ใช่จาก ซีไอเอ แต่เป็นจาก รัฐบาลสหรัฐอเมริกา แต่ถามหน่อยเถอะ มันแตกต่างกันตรงไหน และที่พยายามบอกว่า ไม่มีข้อผูกพัน นั้น ใครเชื่อ – ยกมือขึ้น มีบ้างมั้ย
•• บอกให้ก็ได้ว่านาทีนี้ไม่ใช่แค่ สันติบาล หากแต่ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ทั้ง ตำรวจ, ทหาร ที่ได้รับ ข้อเสนอให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี, อุปกรณ์ ความช่วยเหลือทำนองนี้หลั่งไหลมาสู่ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มากเป็นพิเศษ อีกครั้งหนึ่ง เหมือน ย้อนยุค ไปสู่วันคืนเริ่มต้นของ สงครามเย็นยุคเก่า อย่างไรอย่างนั้น
•• บ้านนี้เมืองนี้ เอาตัวรอด ผ่าน สงครามเย็นยุคเก่า มาได้โดยบอบช้ำไม่มากนัก “เซี่ยงเส้าหลง” ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาให้พวกเรา เสียหายน้อยที่สุด ใน สงครามเย็นยุคใหม่ อย่างไรก็ตามพวกเราเห็นจะต้อง ทำใจ เพราะ สนามรบของสงครามเย็นยุคใหม่ นี้อยู่ใน ทุกที่ ทั้ง โรงหนัง, ศูนย์การค้า, โรงเรียนของลูก และ ฯลฯ ที่จะพอช่วย ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ก็คือเร่งทำบุญให้จงหนักและหวังว่ากรรมเก่าจะไม่ตามมาชำระเร็วเกินไป
•• ความช่วยเหลือจาก สหรัฐอเมริกา ที่มีต่อ หน่วยข่าวกรองของไทย ไม่ใช่ เรื่องใหม่ หากแต่เป็นเรื่องของ ความคุ้นเคย, ความเคยชิน ประเด็นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” สรุปให้อ่านกันในล้อมกรอบต่างหาก
อเมริกา = บิดาแห่งงานข่าวกรองของไทย
สหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือจัดตั้ง “กรมประมวลราชการแผ่นดิน” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2497 อยู่ในสังกัดทบวงคณะรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ รมว.มหาดไทย, รมช.คลัง และอธิบดีกรมตำรวจ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีคนแรก
เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมประมวลข่าวกลาง” เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 และยกระดับเป็น “สำนักข่าวกรองแห่งชาติ” เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2528
เป็นยุคต้น ๆ ของสงครามเย็นในเอเชีย เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ยึดอำนาจได้เมื่อปี 2492 นั้นมีนโยบายสนับสนุนการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ทำให้สหรัฐอเมริกาในฐานะผู้นำของระบบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ก่อตั้งแนวรับขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย
สำนักข่าวกรองแห่งชาติ และหน่วยรบพิเศษต่าง ๆ ของประเทศไทย ก่อตั้งโดยคำแนะนำอย่างใกล้ชิดของที่ปรึกษาชาวอเมริกัน และการเป็นพันธมิตรกับอเมริกัน
คนไทยที่มีบทบาทสูงในการร่วมก่อตั้งหน่วยงานเหล่านี้คือพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี
ท่านมีบรรพบุรุษเชื้อสายอังกฤษ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ “เสรีไทย” ที่ทำงานร่วมกับ OSS - Office of Strategic Services ของสหรัฐอเมริกา อย่างใกล้ชิด
พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา เป็นผู้ก่อตั้งสำนักงานรักษาความปลอดภัยกองทัพอากาศ ระหว่างปี 2494 – 2504 ถูกยืมตัวมาช่วยราชการที่กรมตำรวจ จึงมีบทบาทในการก่อตั้ง “ตำรวจพลร่ม”, “ตำรวจตระเวนชายแดน” และ “กรมประมวลราชการแผ่นดิน” ร่วมกับนายวิลเลียม เจ. ดอนโนแวน ที่ปรึกษาชาวอเมริกันผู้ร่างแผนก่อตั้ง OSS ให้ประธานาธิบดีรูสเวลต์
นโยบายในช่วงปี 2493 – 2498 เริ่มต้นจากการไม่รับรองรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน, รับรองรัฐบาลหุ่นเบาได๋ของเวียดนามใต้ ทำให้ประเทศไทยได้รับเงินสนับสนุนช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯทันที 11.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และเมื่อส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามเกาหลีเมื่อปี 2494 เป็นชาติแรกในเอเชีย ก่อนหน้าสหประชาชาติร้องขอ เป็นผลให้สหรัฐสนับสนุนให้ธนาคารโลกอนุมัติเงินกู้แก่ไทย 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ถือเป็นชาติแรกในเอเชียที่ได้เงินกู้จากธนาคารโลก !
สหรัฐส่งอดีตสมาชิก OSS นายวิลลิส เอช. เบิร์ด มาทำงานลับในไทย ร่วมกับผู้นำทหารตั้งแต่ปี 2493 ในนาม “คณะกรรมการนเรศวร” ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการทำการรบแบบกองโจรหากถูกคอมมิวนิสต์รุก
การช่วยเหลือทางทหารนอกระบบระยะนั้น ตกลงทำกันในรูปบริษัทพลเรือน โดยใช้ชื่อ SEA – Supply Company สำนักงานตั้งอยู่ที่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ดำเนินการจัดส่งครูฝึกพลเรือนและอาวุธมาฝึกกระโดดร่มและการรบแบบกองโจรให้กับฝ่ายไทย
ผู้รับการฝึกรุ่นแรก ๆ มุ่งไปที่ตำรวจ เพราะพิจารณาเห็นว่ามีกองกำลังทั่วทุกตำบล และใกล้ชิดกับประชาชน
ผู้ได้รับการฝึกรุ่นแรก ๆ ที่ดีที่สุด 50 คน ร่วมกับครูฝึกชาวอเมริกัน แยกตัวไปตั้งหน่วยงานที่หัวหิน ชื่อ “ค่ายนเรศวร” เมื่อปี 2496 ภายใน 2 ปีฝึกคนได้ 5,000 คน
พัฒนากลายเป็นหน่วยพลร่มเพิ่มเติมกำลัง (Police Parachute Reinforcement Unit – PARU)
พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา บอกว่า ถือเป็นหน่วยรบพิเศษหน่วยแรกของโลกที่ถูกจัดตั้งขึ้นก่อนหน่วยรบพิเศษของสหรัฐเสียอีก !
นับแต่ปี 2493 นโยบายต่างประเทศของไทยถูกกำหนดโดยฝ่ายทหารเป็นส่วนใหญ่ กระทรวงการต่างประเทศลดบทบาทเป็นเพียงผู้ปฏิบัติ เช่นเดียวกับที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและสถานทูตสหรัฐประจำไทยมีสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับรัฐบาลทหารของไทย ผู้นำทหารของไทยจึงติดต่อข้ามหัวเอกอัครราชทูตสหรัฐไปยัง CIA โดยตรง
ปี 2494 ไทยร่วมมือกับ CIA ในแผนปฏิบัติการลับ Operation Paper เพื่อช่วยเหลือกองกำลังจีนคณะชาติที่หลงเหลืออยู่แถบมณฑลยูนนาน คือ กองพล 93 ของนายพลหลี่มี่
ปี 2496 ไทยเริ่มเป็นฐานปฏิบัติการให้สหรัฐในการเข้าไปปฏิบัติการลับในอินโดจีน
สหรัฐจึงเห็นความจำเป็นในการก่อตั้งหน่วยข่าวกรองให้ไทย ขณะเดียวกันก็เพื่อระงับข้อขัดแย้งระหว่างสถานทูตสหรัฐกับ CIA
จึงส่งนายวิลเลียม เจ. ดอนโนแวนเข้ามาทำงานเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำไทย
วิลเลียม เจ. ดอนโนแวนผู้นี้มีบารมีสูงมาก เพราะเป็นผู้ร่างแผนก่อตั้ง OSS เป็นหัวหน้า OSS ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถติดต่อประธานาธิบดีสหรัฐได้โดยตรง เข้ามาควบคุมการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจผ่าน FOA – Foreign Operation Administration, สำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS) และ CIA เริ่มแผนปฏิบัติการจิตวิทยาไปทั่วประเทศไทย
รวมทั้งการส่ง CIA มา 2 คนร่วมก่อตั้งหน่วยงานข่าวกรองในประเทศไทย
แม้พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์จะเป็นอธิบดีกรมประมวลราชการแผ่นดินคนแรก แต่ผู้มีบทบาทสำคัญคือหัวหน้ากอง 4 – กองการเมืองต่างประเทศนอกเอเชีย คือ พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา ที่ต่อมาขึ้นเป็นรองอธิบดีในปี 2500 – 2503
การเปลี่ยนแปลงของหน่วยงานข่าวกรองในประเทศไทยอยู่ในช่วงปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ยึดอำนาจ ทำให้งานที่เดิมประสานอยู่กับตำรวจ เริ่มแยกขาดออกไป
แต่สหรัฐก็ยังคงตามไปสนับสนุนงานข่าวกรองของตำรวจ คือ “สันติบาล” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วน “กองกำกับการ 6” ที่รับผิดชอบด้านคอมมิวนิสต์