•• แม้จะน่าสลดใจอย่างยิ่งจนแทบไม่มีอะไรจะกล่าวขานกับ 85 ศพ (หรืออาจจะ 88 ศพ) ของบรรดา เพื่อนร่วมแผ่นดิน ที่เสียชีวิตในกรณี ประท้วงหน้าสภ.อ.ตากใบ 25 ตุลาคม 2547 แต่ที่ น่าสลดใจมากกว่า, น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ก็คือการแสดงความรู้สึกสู่สาธารณะผ่าน สื่ออิเล็คทรอนิคส์ (โดยเฉพาะ เว็บไซต์) ของผู้ไม่ประสงค์จะออกนามและเปิดเผยตัวจำนวนมากที่ ไม่อินังขังขอบกับความตายของเพื่อนร่วมแผ่น ดินเกือบ 100 ศพ หลายความคิดเห็น สนับสนุนมาตรการเด็ดขาด-รุนแรง ในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่แสดงออกอย่าง สะใจ บรรยากาศวันนี้ใกล้เคียงกับเหตุการณ์เมื่อ 28 ปีที่แล้ว เมื่อ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งแสดงความรู้สึกทั้งที่ บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ หน้าลำโพงวิทยุทหาร หลายคนทั้ง ตบมือโห่ร้องชอบใจ และตะโกนคำ “ฆ่ามัน...ฆ่ามัน...ฆ่ามัน....” บรรยากาศเฉกเช่นนี้ไม่เหมือนว่าแผ่นดินนี้เป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธศาสนา ไม่เหมือนว่าแผ่นดินนี้ มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยว่าธรรมะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนสั่งไว้เมื่อกว่า 2,500 ปีที่ผ่านมาชนิด อยู่เหนือกาลเวลา นั้นเป็น ศาสนาแห่งความเมตตา, ศาสนาแห่งการให้อภัย, ศาสนาแห่งการไม่จองเวร, ศาสนาที่ยึดมั่นในกฎแห่งกรรม และ ฯลฯ คุณธรรมพื้นฐานที่ไม่ต่างไปจากทุกศาสนาคือ ไม่ฆ่า, ไม่ยินดีในการฆ่า และ ไม่มีส่วนร่วมในการฆ่า ไม่ว่าจะเป็น สัตว์เดรัจฉาน หรือ มนุษย์ หากเข้าไปมีส่วนร่วมหรือยินดีก็เสมือน มีส่วนร่วมในการฆ่า ถือเป็น บาปหนัก ธรรมะข้อหนึ่งในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ อัตตานัง อุปมัง กัตวา หมายโดยรวมทำนองว่า “...ขอให้นำตนเองไปเปรียบกับสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า สัตว์ยังหวงชีวิต สัตว์ยังวิ่งหนี.” นับประสาอะไรกับ มนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะเป็น คนดี, คนชั่ว ก็หาควร ยินดีกับความตายของเขา, สะใจกับความตายของเขา มิพักต้องพูดถึงว่า การตายที่เกิดขึ้น หรือ การประท้วงยั่วยุอันเป็นสาเหตุแห่งการตายที่เกิดขึ้น นั้นเป็นเพียง ขั้นตอนสุดท้าย, ผลอันเกิดแต่เหตุ หัวใจหลักแห่งธรรมะในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนสั่งเป็น สัจธรรม, อริยสัจ ไว้ว่า เย ธัมมา เหตุปัปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต(อาเหะ) เย สัญจะ เอวัง วาที มหาสมโณ แปลความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสเหตุและความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปรกติตรัสอย่างนี้ หมายความว่า ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เมื่อคุณธรรมพื้นฐานและหัวใจพื้นฐานแห่งหลักธรรมของศาสนาประจำชาติมีอันต้องเลือนไปเช่นนี้จะไม่ให้ น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ได้อย่างไร

•• จะว่าไปแล้ว บรรยากาศโดยรวม ก็ไม่ต่างไปจากเมื่อ 28 ปีที่ผ่านมาเท่าไรนักหากใครเปิด วิทยุทหาร ในช่วงนี้ก็จะได้ยินได้ฟัง เพลงปลุกใจ น้ำเสียงห้าวของ สันติ ลุนเผ่ ประมาณว่า “แผ่นดินของไทยต้องเป็นของไทย...” เหมือน เข้ายานย้อนเวลา อย่างไรอย่างนั้น
•• แน่นอนว่าบรรยากาศเช่นนี้ สื่อมวลชน จะต้อง ได้รับคำเตือน ให้ “...ระมัดระวังการนำเสนอข่าว อย่าให้กระทบกระเทือนความสามัคคี.” (โดยมีศัพท์ใหม่ว่า “...อย่าดรามาไทซ์.” ) และก็แน่นอนอีกเช่นกันละว่า ผลกระทบ เกิดขึ้นทันทีกับ สื่อวิทยุ, สื่อโทรทัศน์ ปรากฏการณ์เมื่อ วันที่ 27 – 28 ตุลาคม 2547 บนหน้าจอและหน้าลำโพงของสื่อโทรทัศน์และสื่อวิทยุที่ แทบทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของหน่วยราชการ ข่าวการตายปริศนาของเพื่อนร่วมแผ่นดินที่ ตากใบ, ค่ายอิงคยุทธบริหาร ที่สื่อของนานาอารยประเทศทั้ง สากลโลก และ โลกอิสลาม ถือเป็น ข่าวใหญ่ – ข่าวสำคัญที่ต้องพยายามแสวงหาคำตอบ นั้นมีอันต้องกลายเป็น ข่าวเล็ก ที่ให้ความรู้สึกเสมือน ออกอากาศอย่างเสียมิได้ ผู้ประกาศข่าวหลายคนพูดเสียงเบา ๆ เมื่อมาถึงคำ 78 ศพ (ที่ ตายเพิ่ม เพราะ ขาดอากาศหายใจ) ไม่มี ข่าวเจาะ, ข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ให้เห็นมากนัก
•• แน่นอนและเป็นธรรมดาอยู่เองที่ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะจาก สื่อมวลชน หรือ นักวิชาการ, ปัญญาชนสาธารณะ จะต้องถูก พิพากษา ว่า “...เข้าข้างโจร.”, “...เข้าข้างกบฏ.” แทบไม่เหลือ ที่ยืน ให้กับ ความพยายามแสวงหาความจริง แม้แต่น้อย
•• ในทางตรงกันข้ามถ้าลอง วิเคราะห์อย่างรอบด้าน จะพบว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น โจร, กบฏ ที่แน่นอนว่า มีอยู่จริง นั้นก็มีความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน ยินดีกับความตาย, ยินดีกับการถูกเข่นฆ่า ตัวเลขระดับ 85 – 88 ศพ ย่อมดีกว่า 6 ศพ เพราะจะเป็น คุณูปการต่อการดำเนินงานทางการเมืองในขั้นตอนต่อไป ผู้ยินดีกับความตายและการเข่นฆ่าทั้ง 2 ฟากฝั่งแม้จะ ต่างวัตถุประสงค์, ต่างที่มา แต่ก็มี จุดร่วมเดียวกัน นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ วันนี้ที่ไม่ต่างจากเมื่อ 28 ปีก่อนเลย
•• เหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 28 ปีก่อน วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์ในช่วง 3 ปีก่อนหน้านั้น ในมุมมองของ “เซี่ยงเส้าหลง” ความจริงพื้นฐานขณะนั้นต้องกล่าวว่า ขบวนนักศึกษาประชาชน 14 ตุลาคม 2516 ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจาก พคท. - พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่เมื่อ เติบโตขึ้น การถือกำเนิดขึ้นของ ขบวนขวาจัด (อาทิ กระทิงแดง, นวพล และ ฯลฯ) มีส่วนผลักดันหนุนส่งให้ พคท. เข้ามา กุมการนำ ได้เกือบจะ เบ็ดเสร็จ ในช่วง ปี 2518 ทำให้แนวทางการต่อสู้ของขบวนนักศึกษาประชาชนยุคนั้นมีลักษณะบางส่วนที่กล่าวได้ว่า ซ้ายจัด หรือถ้าจะพูดให้ตรงก็ต้องใช้ว่า ถูกแนวคิดซ้ายจัดครอบงำ ขณะที่ฝ่ายขวาจัดพยายามที่จะ รัฐประหาร, ปราบปรามใหญ่ ฝ่ายซ้ายจัดก็เชื่อมั่นว่า รัฐประหารหลีกเลี่ยงไม่ได้, เตรียมรับการปราบปรามใหญ่ ขณะที่ฝ่ายขวาจัดเชื่อว่า ความรุนแรงจะส่งผลดี และนำไปสู่ ชัยชนะ ฝ่ายซ้ายจัดก็ เชื่อเช่นเดียวกัน โดยท่องคาถา ตาบสิบเกิดแสน, ประชาชนต้องได้รับบทเรียน กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง โดนโจมตีจากทั้งขวาจัด-ซ้ายจัด คือ ขวาที่ไม่ขวาจัด, ซ้ายที่ไม่ซ้ายจัด เห็นได้ชัดในกรณี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, บุญชู โรจนเสถียร และ เกษม ศิริสัมพันธ์ แห่ง พรรคกิจสังคม รวมทั้ง นายตำรวจสันติบาลกลุ่มหนึ่ง อาทิ พล.ต.ต.อารีย์ กะรีบุตร, พล.ต.ต.อุทัย อัศววิไล, พล.ต.ต.วุฒิ สุจริตกุล และ นายทหารกลุ่มหนึ่ง อาทิ พ.อ.หาญ พงษ์สิฏานนท์ คนเหล่านี้ถูกขวาจัดโจมตีว่าถูก คอมมิวนิสต์ครอบงำ ขณะที่ซ้ายเองก็ ไม่ยอมรับ ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ วันที่ 6 ตุลาคม 2516 จนได้

•• เป็นสัจธรรมที่ว่า ตุ้มนาฬิกา นั้นเมื่อแกว่งจากจุดสูงสุดทาง ซ้ายสุด (หรือ ขวาสุด) แล้วก็จะตกลงมาแล้วแกว่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดทาง ขวาสุด (หรือ ซ้ายสุด) ทั้ง 2 จุดแม้จะอยู่ตรงกันข้ามกันคนละขั้ว แต่ก็เสมือนอยู่ใน ตำแหน่งเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า เหมือนกันทุกประการ-เพียงแต่กลับด้านกัน หรือเหมือน ภาพสะท้อนในกระจกเงา นั่นเอง ความคิดทางการเมือง, แนวทางการเมือง ก็เช่นกันที่แม้จะ ตรงกันข้ามกันคนละขั้ว แต่ แนวทางของกลุ่มรุนแรงที่สุดของแต่ละขั้ว นั้นมี วิธีคิดเหมือนกัน, ต้องการเดินไปสู่จุดเดียวกัน อย่างที่พูดกันว่า ขวาจัด = ซ้ายจัด นั่นเอง กลุ่มที่มีแนวคิดอยู่จุดใดจุดหนึ่งระหว่างทาง นอกจากจะ วางตัวยาก, ทำงานลำบาก แล้วในหลายกรณีก็ตกเป็น เหยื่อ ตกเป็น เป้าหมายโจมตี จากพวกสุดโต่งทั้ง 2 ฝ่าย
•• สถานการณ์เช่นนี้ คนที่เสนอแนวทางสันติ จะ ถูกประณาม จึงเป็นเรื่อง ปกติ ในอดีตแม้กระทั่ง ถูกเข่นฆ่า ก็มีให้เห็นมาแล้ว
•• แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับว่า ประเทศไทย หากบริหารจัดการ กรณี 85 – 88 ศพ 25 ตุลาคม 2547 ได้ ไม่ดีพอ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูก ม้วนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสนามรบของสงครามเย็นยุคใหม่ อย่างที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เตือนมาโดยตลอด
•• และ คำชี้แจง ของ ภาครัฐ ไล่มาตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, พล.อ.สิริชัย ธัญศิริ, พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี ไปจนถึง พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ขอกล่าวว่า “...ค่อนข้างดรามาไทซ์อย่างยิ่ง.” ลำพัง คนไทยด้วยกันเอง จะ สงสัย, ไม่เชื่อถือ หรือไม่ เห็นจะไม่สำคัญเท่า ต่างชาติ จะ ไม่เชื่อถือ, มีปฏิกิริยาตอบโต้ แน่นอนนี่คือแผ่นดินไทยที่การจัดการปัญหาต้องเป็นเรื่องของคนไทยแต่ภายใต้ ระบบโลก ที่ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ไปผูก ไว้กับ ระบบเศรษฐกิจโลก เช่นทุกวันนี้เราจะ ไม่สนใจเสียงจากภายนอกเลย เห็นจะ ไม่ได้ เสียงจากภายนอกจากต่างชาติในกรณีนี้ก็ หลายฝ่าย ไล่มาตั้งแต่ สหรัฐอเมริกา – เจ้าแห่งระเบียบโลกใหม่, สหประชาชาติ, องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ, กลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม, รัฐบาลมาเลเซีย และ พรรคฝ่ายค้านมาเลเซีย หนทางบรรเทาความเสียหาย ณ นาทีนี้คือ ความจริง ที่ ไม่ดรามาไทซ์ และ การแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง เท่านั้น
•• การสลายม็อบที่ หน้าสภ.อ.ตากใบ เกิดขึ้นเวลาประมาณ 15.00 น. การขนส่ง เชลย ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารที่อยู่ห่างออกไป 180 กิโลเมตร ใช้เวลา ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ความจริงเป็นที่รับรู้กันว่าภายในเวลา ไม่เกิน 21.00 น. รถคันสุดท้าย ถึงที่หมาย ดังนั้นหาก ไม่จงใจไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด ข่าวสารทางราชการภายใน วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2547 ที่จะปรากฏเป็น ข่าวภาคเช้า ของ วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 จะต้อง ระบุชัดเจน แล้วว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6 คน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่
•• ทั้ง ข่าวภาครัฐ และการแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วง เช้าวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 ยังคง วนเวียน อยู่บนฐานข้อมูลที่ว่า มีผู้เสียชีวิต 6 คน จวบจน 17.00 น. นั่นแหละถึงได้ ยอมรับ อันเป็นเงื่อนเวลาหลังการเข้าไปกระทำในสิ่งที่ อ้างว่า เป็น การชันสูตรพลิกศพ ของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ แล้ว
•• คำถามเบื้องต้นก็คือ ทำไมจงใจไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้งในช่วง ค่ำและดึกวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2547 และ เช้าถึงบ่ายวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 เป็นเวลารวม ๆ กันแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 – 18 ชั่วโมง ใช่หรือไม่ว่า รอการประทับตรารับรอง จาก พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ที่ ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนสูง คนหนึ่ง

•• ประเด็นคือ ตราประทับรับรอง ที่ชื่อ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้นี้ เชื่อถือได้หรือไม่ ในสังคมไทยอาจจะ พอเชื่อได้ แต่ในนานาชาติ อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะท่านผู้นี้ไปถึงที่เกิดเหตุก็ต่อเมื่อ เช้าวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 กับจำนวนศพในชั้นต้น 78 ศพ (ในวันต่อมาบวกอีก 1 ศพ) คำนวณดูง่าย ๆ ว่าท่าน ใช้เวลากี่นาที ในการชันสูตรพลิกศพ ต่อ 1 ศพ ระยะเวลาเพียงเท่านั้นบวกกับ ข้อจำกัดทางศาสนา-วัฒนธรรม ทำให้แม้แต่ ผลสรุป ที่ท่านแถลงออกมายังต้องใช้คำว่า เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็น จำนวนศพ คงไม่ลืมประโยคสำคัญที่ท่านบอกทำนองว่า “...80 เปอร์เซ็นต์ตายเพราะขาดอากาศหายใจ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ตายเพราะมีอาการชักและเกร็ง.” นะ
•• แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม กรณี 25 ตุลาคม 2547 แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ กรณี 28 เมษายน 2547 เพราะกรณีเมื่อ 6 เดือนก่อนนั้นเป็น อาชญากรรม ตรงที่ ถืออาวุธบุกเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่กรณีเมื่อ 3 วันก่อนเป็น การชุมนุมเรียกร้อง แม้ว่าจะพัฒนาเป็น การยั่วยุ และบางส่วน มีอาวุธ กระทั่งถูกกล่าวหาว่าเป็น กบฏ แต่ก็ไม่อาจทิ้งพื้นฐานเดิมของเรื่องว่าเกิดจากการกระทำ บนฐานการรับรองสิทธิโดยรัฐธรรมนูญ 2540 และเกณฑ์สากลของนานาอารยประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ปัญหาก็คือเจ้าหน้าที่ ตระหนักถึงความแตกต่างประการสำคัญ นี้หรือไม่
•• เพราะ อาชญากรรม กับ การชุมนุมเรียกร้องบนฐานการรับรองสิทธิโดยรัฐธรรมนูญ 2540 และเกณฑ์สากลของนานาอารยประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย นั้นจำเป็นจะต้อง บริหารจัดการ ด้วย วิธีการที่แตกต่างกัน ในสาระสำคัญ
•• คำว่า การบริหารจัดการ ในย่อหน้าก่อนหน้านี้หมายถึงตั้งแต่ การสลาย, การจับกุม และ การขนส่งผู้ต้องหา ด้วย
•• แน่นอนว่า 6 ศพแรก พอจะกล้อมแกล้มรับฟังคำชี้แจงต่าง ๆ ได้ว่า ทำดีที่สุดแล้ว, เป็นอุบัติเหตุ และ ฯลฯ ที่ถึงอย่างไรก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เพราะ เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการสลายการชุมนุม ที่อาจแปลความอย่างเข้าข้างเจ้าหน้าที่ได้ว่า ผู้ตายต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย, ผู้ตายถูกลูกหลงจากผู้บงการ หรือ ฯลฯ แต่ขอโทษที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จะต้องชี้ให้เห็นว่า 78 – 79 ศพหลัง ที่ไม่แถลงในชั้นต้นนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเป็น การตายในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ต่อให้พวกเขาเป็น โจร เป็น กบฏ เป็น คนชั่วช้าสามานย์ อย่างไรก็ไม่มีระบอบการปกครองของอารยชนที่ไหนอนุญาตให้ ปฏิบัติต่ออย่างไร้มนุษยธรรมเท่าที่ควรไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือประมาท เพราะในทางอารยะแล้วอย่างมากพวกเขาก็แค่เพียง ผู้ถูกกล่าวหา ที่จะต้อง ได้รับโอกาสต่อสู้คดีในศาลยุติธรรม นี่คือ กฎกติกาสากล ที่ประเทศไทย รับมาปฏิบัติ นานแสนนานแล้ว
•• มันคงแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไม่ใช่น้อยหากเราสามารถ เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าปลดปล่อยนางอองซานซูจี, เรียกร้องให้ทบทวนความสัมพันธ์กับรัฐบาลพม่า ในขณะเดียวกับที่เรา เพิกเฉยต่อการตายของมนุษย์ 78 – 79 คนที่ถูกมัดมือไพล่หลังอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานแห่งรัฐบาลไทย ใช่ไหม
•• ถ้า ผิดพลาด ก็ต้องมี ผู้แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง แต่นาทีนี้สมควรจะเป็น ใคร ระหว่าง ผอ. สสส.จชต., มทภ. 4 หรือ นายกรัฐมนตรี น่าพิจารณาอย่างยิ่งตรงที่ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดนั้นออกมา ประทับตรารับรองให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ว่า ทำดีที่สุด, สมควรได้รับคำชมเชย เสียแล้ว

•• คำถามก็คือบุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี พร้อมจะรับบท พันท้ายนรสิงห์ยุคใหม่ หรือไม่
•• โลกวันนี้ในทาง ภูมิรัฐศาสตร์ แล้ว “เซี่ยงเส้าหลง” เคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่าได้กลับเข้าสู่ สงครามเย็น อีกครั้งหนึ่ง สงครามเย็นยุคใหม่, สงครามเย็นยุคดิจิตอล ที่แตกต่างจาก สงครามเย็นยุคเก่า อันเป็น สงครามอุดมการณ์ระหว่าง 2 ลัทธิ ที่สิ้นสุดไปเมื่อ ปลายปี 2532 โดยถือสัญลักษณ์ ทลายกำแพงเบอร์ลิน ตรงที่ ความขัดแย้ง เคลื่อนตัวจากปัจจัยทาง อุดมการณ์, ลัทธิการเมือง-เศรษฐกิจ มาเป็นปัจจัยทาง เชื้อชาติ, ศาสนา และ วัฒนธรรม ที่เต็มไปด้วย ความเกลียดชัง, ความชิงชัง และ การทำลายล้างกันอย่างรุนแรง เพราะจากสภาพการณ์ทั่วไปที่ ประเทศอภิมหาอำนาจ มีเพียง หนึ่งเดียว ไม่ใช่ 2 ค่าย 2 ขั้ว ที่ดุลอำนาจกันด้วย อาวุธนิวเคลียร์ มิหนำซ้ำ องค์กรระหว่างประเทศ ก็เริ่ม หมดความหมาย ทำให้รูปแบบ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และความคาดหมายแบบเก่าที่หวังว่าจะมี (กลุ่ม)ประเทศหนึ่งประเทศใด ขึ้นมาแทนที่ อดีตสหภาพโซเวียต เพื่อสร้าง ดุลยภาพ กับ สหรัฐอเมริกา นั้น ยากที่จะเป็นไปได้ หากแต่จะเกิด ดุลยภาพแบบใหม่ ที่ น่าสะพรึงกลัวกว่า กล่าวคือ คู่ต่อสู้ในสมการความขัดแย้งไม่เท่าเทียมกันอย่างยิ่ง ส่งผลให้ รูปแบบของสงคราม เป็นไปในลักษณะ ไร้รูปแบบ, ไร้ข้อจำกัด เป้าหมายและวิธีการของ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจาก การก่อการร้ายยุคเดิม ที่หวังเพียง เป็นข่าว เพื่อ ประกาศอุดมการณ์ มาเป็น หมายปองชีวิตจำนวนมาก - มุ่งสร้างความเสียหายขนาดใหญ่ อย่าง ทารุณ, สยองขวัญ เหมือนดังภาพที่ปรากฏต่อชาวโลกจากทั้ง 2 ด้าน ขบวนการมุสลิมจารีตนิยมตัดคอเชลยศึกชาติพันธมิตรอเมริกันอย่างป่าเถื่อน-สยองขวัญ ขณะที่ ทหารอเมริกันทารุณเชลยศึกชาวอิรักอย่างเหยียดหยามเสมือนไม่ใช่มนุษย์ โดยให้สัมภาษณ์ว่าทำไปตาม นโยบาย ที่ต้องการ ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่เชลยศึก เพื่อบรรลุผลใน การควบคุม แสดงให้เห็นว่า ความรุนแรง, ความทารุณโหดร้าย และ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท กำลังเป็น อาวุธ ของทั้ง 2 ฝ่ายใน สงครามการเมือง เพื่อช่วงชิง แนวร่วม, ความชอบธรรม เราเดินไปสู่จุดใกล้เคียงอย่างยิ่งแล้วที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
•• ขณะที่ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ต้องการใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท มา ตัดกำลัง โดยหวังว่าจะเป็นการผลักดัน พันธมิตรชาติอื่น, อเมริกันชนในประเทศ ให้เดินออกห่าง รัฐบาลอเมริกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นธรรมดาอยู่เองที่ รัฐบาลอเมริกัน จะต้องใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท เดียวกันนั้นมา สร้างความชอบธรรม เพื่ออ้างอิงทั้งต่อ พันธมิตรชาติอื่น และ อเมริกันชนในประเทศ ว่าจำเป็นจะต้อง ขุดรากถอนโคน, ปราบปรามอย่างรุนแรง ด้วยยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทุกรูปแบบ รวมทั้ง ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ด้วย
•• มาตรการ ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน นั้นเองก็เป็นที่สบอารมณ์ของ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ด้วยเหมือนกันเพราะจะกลับมา สร้างความชอบธรรม ให้กับ ประชาชนชาวมุสลิม ที่จะ ลุกขึ้นสู้ อย่าง ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน และ ไร้รูปแบบ, ไร้ขอบเขตจำกัดของสงครามยุคเก่า โดยการชูคำขวัญ ตายสิบเกิดแสน นั่น
•• พิจารณาในเชิงการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาครัฐ โดยเฉพาะ ทหาร-ตำรวจ อาจจะประสบความสำเร็จใน การได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ นำไปสู่ ความชอบธรรม ในปฏิบัติการ ขุดรากถอนโคน, ปราบปรามอย่างรุนแรง โดยตรรกะแล้วก็เท่ากับบีบให้ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หันมาใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท มา ตอบโต้, ตัดกำลัง เช่นกัน
•• คำถามก็คือคนไทยที่ไม่อินังขังขอบกับความตายของเพื่อนร่วมแผ่นดิน 85 – 88 คน พร้อมแล้วหรือไม่ ที่จะให้ประเทศของเราย่าง 2 เท้าเข้าไปยืนอยู่ในโลกยุคใหม่ โลกแห่งความรุนแรง, โลกแห่งความไร้เหตุผล, โลกแห่งการแก้แค้น และ โลกที่ใช้ความตายของคนบริสุทธิ์เป็นอาวุธ ก่อนหน้าวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เราอาจจะยังไม่ยอมรับความจริงเต็ม 100 อย่างเปิดเผยว่าโลกที่ไม่พึงปรารถนานี้เริ่มย่างเข้าสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่วันนี้หลังเกิดเหตุ 85 – 88 ศพ 25 ตุลาคม 2547 เราคงจำใจยอมรับแล้วว่าปริมณฑลแห่งความทมิฬหินชาติและสยองขวัญเริ่มกลืน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะ ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะใน 3 จังหวัดภาคใต้ หากแต่จะขยายไป ทั่วประเทศ ในทุกจุดที่มี ผลประโยชน์ของคู่สงครามเย็นยุคใหม่ทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งอยู่ พร้อมแล้วใช่ไหม นี่คือคำถามที่ทุกท่านต้องตอบตนเอง
•• หนึ่งในหนทาง ช่วยชาติ, รักษาชาติ ในนาทีนี้คือเกิดปาฏิหาริย์บังเกิดมี พันท้ายนรสิงห์ยุคใหม่ ขึ้นมาโดยพลัน
•• เพราะ ณ นาทีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาอภิปรายกันเรื่อง ความผิดพลาด - ความถูกต้อง หากแต่เป็นเรื่องของ ความรัก, ความเสียสละ ที่จะต้องปฏิบัติการใน ทันที ต่อ สถาบันชาติ ต่อ ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ไม่ผิดนักหาก “เซี่ยงเส้าหลง” จะขอเรียกขานว่า จิตวิญญาณพันท้ายนรสิงห์ ที่เชื่อว่าจะมากจะน้อยน่าต้องมีอยู่ในหัวใจของ ลูกไทยทุกคน ขอภาวนาให้ จิตวิญญาณพันท้ายนรสิงห์ แสดงตัวออกมาโดยพลัน
•• หลายครั้งในประวัติศาสตร์ วีรบุรุษผู้กล้าที่แท้ อาทิ พันท้ายนรสิงห์ จะไม่ไถ่ถามถึง ความผิด, ความจริง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่สถานการณ์หนึ่งในเชิง ชาติ, สถาบัน แล้วถ้าบังเอิญท่าน ยืนอยู่จุดนั้น ท่านก็มีแต่จะต้องสำแดง ความรัก, ความภักดี และ ความเสียสละ ด้วย ชีวิต เพื่อ ธำรงไว้ซึ่งชาติและสถาบัน เป็นการแลก ชีวิตหนึ่ง เพื่อ อนาคตของทุกชีวิตในสังคม ในอดีต กฎมณเฑียรบาล คือ สถาบัน ที่นายท้ายเรือพระที่นั่ง สละชีวิตแลกเพื่อธำรงไว้ ในปัจจุบัน กฎเกณฑ์แห่งการเมืองระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่นานาอารยประเทศยึดถือ คือ สถาบัน ที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าใครบางคนจำเป็นจะต้อง แลกชีวิต เพื่อ ธำรงไว้ หรือไม่อย่างไร
•• คำว่า แลกชีวิต ครั้งนี้ไม่ถึงขนาด ชีวิตทางกายภาพ เหมือน พันท้ายนรสิงห์ยุคเก่า เพียงแค่ ชีวิตทางการเมืองช่วงสั้น เท่านั้น
•• นำเสนอไปเช่นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” คงไม่แคล้วได้รับ ก้อนอิฐ อีกเช่นเคย ไม่เป็นไร เกิดมาเป็นผู้ประกอบการ วิชาชีพสื่อมวลชน ก็ต้อง ซื่อสัตย์ ใน หน้าที่ เป็นปฐม
•• อะไรคือ หน้าที่ ของ วิชาชีพสื่อมวลชน ที่จำเป็นต้อง ซื่อสัตย์ นั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำหลักธรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตฺโต หรือสมณศักดิ์เดิม พระธรรมปิฎก) ที่แสดงไว้เมื่อ 10 ปีก่อน วันที่ 4 มีนาคม 2537 พระคุณเจ้าแสดงธรรมว่าผู้ประกอบวิชาชีพนี้มี หน้าที่ อย่างน้อย 4 ประการ หน้าที่พื้นฐานคือเป็น แหล่งข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง หน้าที่ประการที่สอง ระวังภัยให้แก่สังคม ยามมีปัญหาอันจะก่อให้เกิดอันตรายแก่สังคมจะต้องยกกรณีนั้นขึ้นมา บอกกล่าว และ เตือน หน้าที่ประการที่สาม ชี้ขุมทรัพย์ และ บอกแหล่งโชคลาภ โดยเมื่อมี ความรู้ ไม่ว่าด้านใดแขนงไหนเกิดขึ้นใหม่ต้อง นำมาเผยแพร่ หน้าที่ประการที่สี่ เป็นผู้นำ ในหนทางสร้างสรรค์ นำสังคมทางความคิด เพื่อสร้าง ทัศนคติ, ค่านิยม และ มติมหาชนที่ถูกต้อง เป็นสำคัญ


2 เล่มเอกของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ – เล่มแรก “เหลียวมองหลัง” แค่อ่าน “ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์” เล่าถึงการแก้ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่เข้ามารุมล้มรุกเร้าในยุคม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเมื่อปี 2518 ก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว จะได้รู้ว่านักการเมืองผู้เยี่ยมยุทธในเชิงการเมืองระหว่างประเทศนั้น ท่านพาแผ่นดินรอดพ้นจากแทรกแซงของประเทศอภิมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายมาได้อย่างไร .... อีกเล่ม “ทรอย – ฉบับสวยประหาร” นี่ก็คุ้มแสนคุ้มเพราะครั้งนี้ “ต่อพงษ์ เศวตามร์” พลิกบุคลิกทะลึ่งตึงตังมาในมาดใหม่หยิบจิตวิญญาณของอดีตนักเรียน “เอกการละคร” แห่งคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้คลุกคลีอยู่กับตำนานเทพเจ้ากรีก มาเล่าเรื่องเมืองทรอยจากมหากาพย์ของโฮเมอร์ อย่างสนุกสนาน อ่านแล้ววางไม่ลง หลังจากหงุดหงิดจากการดูหนังเรื่อง TROY ฉบับโวล์ฟกัง ปีเตอร์เซน .... ทั้ง 2 เล่มกำลังลดราคาพิเศษในงานสัปดาห์หนังสือระดับชาติที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เดินไปหาได้ที่บูทของเครือผู้จัดการ บริเวณ A 01 ห้องไพรนารี่ฮอลล์ ใกล้ประตูทางเข้า .... หาไม่พบหรือไม่มีเวลาไปเดินเบียดคนก็โทรศัพท์มาถามไถ่ได้ที่สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ 0-2629-4488 ต่อ 2205, 2209 ในเวลาทำงานปกติ
•• จะว่าไปแล้ว บรรยากาศโดยรวม ก็ไม่ต่างไปจากเมื่อ 28 ปีที่ผ่านมาเท่าไรนักหากใครเปิด วิทยุทหาร ในช่วงนี้ก็จะได้ยินได้ฟัง เพลงปลุกใจ น้ำเสียงห้าวของ สันติ ลุนเผ่ ประมาณว่า “แผ่นดินของไทยต้องเป็นของไทย...” เหมือน เข้ายานย้อนเวลา อย่างไรอย่างนั้น
•• แน่นอนว่าบรรยากาศเช่นนี้ สื่อมวลชน จะต้อง ได้รับคำเตือน ให้ “...ระมัดระวังการนำเสนอข่าว อย่าให้กระทบกระเทือนความสามัคคี.” (โดยมีศัพท์ใหม่ว่า “...อย่าดรามาไทซ์.” ) และก็แน่นอนอีกเช่นกันละว่า ผลกระทบ เกิดขึ้นทันทีกับ สื่อวิทยุ, สื่อโทรทัศน์ ปรากฏการณ์เมื่อ วันที่ 27 – 28 ตุลาคม 2547 บนหน้าจอและหน้าลำโพงของสื่อโทรทัศน์และสื่อวิทยุที่ แทบทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของหน่วยราชการ ข่าวการตายปริศนาของเพื่อนร่วมแผ่นดินที่ ตากใบ, ค่ายอิงคยุทธบริหาร ที่สื่อของนานาอารยประเทศทั้ง สากลโลก และ โลกอิสลาม ถือเป็น ข่าวใหญ่ – ข่าวสำคัญที่ต้องพยายามแสวงหาคำตอบ นั้นมีอันต้องกลายเป็น ข่าวเล็ก ที่ให้ความรู้สึกเสมือน ออกอากาศอย่างเสียมิได้ ผู้ประกาศข่าวหลายคนพูดเสียงเบา ๆ เมื่อมาถึงคำ 78 ศพ (ที่ ตายเพิ่ม เพราะ ขาดอากาศหายใจ) ไม่มี ข่าวเจาะ, ข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ให้เห็นมากนัก
•• แน่นอนและเป็นธรรมดาอยู่เองที่ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะจาก สื่อมวลชน หรือ นักวิชาการ, ปัญญาชนสาธารณะ จะต้องถูก พิพากษา ว่า “...เข้าข้างโจร.”, “...เข้าข้างกบฏ.” แทบไม่เหลือ ที่ยืน ให้กับ ความพยายามแสวงหาความจริง แม้แต่น้อย
•• ในทางตรงกันข้ามถ้าลอง วิเคราะห์อย่างรอบด้าน จะพบว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น โจร, กบฏ ที่แน่นอนว่า มีอยู่จริง นั้นก็มีความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน ยินดีกับความตาย, ยินดีกับการถูกเข่นฆ่า ตัวเลขระดับ 85 – 88 ศพ ย่อมดีกว่า 6 ศพ เพราะจะเป็น คุณูปการต่อการดำเนินงานทางการเมืองในขั้นตอนต่อไป ผู้ยินดีกับความตายและการเข่นฆ่าทั้ง 2 ฟากฝั่งแม้จะ ต่างวัตถุประสงค์, ต่างที่มา แต่ก็มี จุดร่วมเดียวกัน นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ วันนี้ที่ไม่ต่างจากเมื่อ 28 ปีก่อนเลย
•• เหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 28 ปีก่อน วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์ในช่วง 3 ปีก่อนหน้านั้น ในมุมมองของ “เซี่ยงเส้าหลง” ความจริงพื้นฐานขณะนั้นต้องกล่าวว่า ขบวนนักศึกษาประชาชน 14 ตุลาคม 2516 ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจาก พคท. - พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่เมื่อ เติบโตขึ้น การถือกำเนิดขึ้นของ ขบวนขวาจัด (อาทิ กระทิงแดง, นวพล และ ฯลฯ) มีส่วนผลักดันหนุนส่งให้ พคท. เข้ามา กุมการนำ ได้เกือบจะ เบ็ดเสร็จ ในช่วง ปี 2518 ทำให้แนวทางการต่อสู้ของขบวนนักศึกษาประชาชนยุคนั้นมีลักษณะบางส่วนที่กล่าวได้ว่า ซ้ายจัด หรือถ้าจะพูดให้ตรงก็ต้องใช้ว่า ถูกแนวคิดซ้ายจัดครอบงำ ขณะที่ฝ่ายขวาจัดพยายามที่จะ รัฐประหาร, ปราบปรามใหญ่ ฝ่ายซ้ายจัดก็เชื่อมั่นว่า รัฐประหารหลีกเลี่ยงไม่ได้, เตรียมรับการปราบปรามใหญ่ ขณะที่ฝ่ายขวาจัดเชื่อว่า ความรุนแรงจะส่งผลดี และนำไปสู่ ชัยชนะ ฝ่ายซ้ายจัดก็ เชื่อเช่นเดียวกัน โดยท่องคาถา ตาบสิบเกิดแสน, ประชาชนต้องได้รับบทเรียน กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง โดนโจมตีจากทั้งขวาจัด-ซ้ายจัด คือ ขวาที่ไม่ขวาจัด, ซ้ายที่ไม่ซ้ายจัด เห็นได้ชัดในกรณี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, บุญชู โรจนเสถียร และ เกษม ศิริสัมพันธ์ แห่ง พรรคกิจสังคม รวมทั้ง นายตำรวจสันติบาลกลุ่มหนึ่ง อาทิ พล.ต.ต.อารีย์ กะรีบุตร, พล.ต.ต.อุทัย อัศววิไล, พล.ต.ต.วุฒิ สุจริตกุล และ นายทหารกลุ่มหนึ่ง อาทิ พ.อ.หาญ พงษ์สิฏานนท์ คนเหล่านี้ถูกขวาจัดโจมตีว่าถูก คอมมิวนิสต์ครอบงำ ขณะที่ซ้ายเองก็ ไม่ยอมรับ ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ วันที่ 6 ตุลาคม 2516 จนได้
•• เป็นสัจธรรมที่ว่า ตุ้มนาฬิกา นั้นเมื่อแกว่งจากจุดสูงสุดทาง ซ้ายสุด (หรือ ขวาสุด) แล้วก็จะตกลงมาแล้วแกว่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดทาง ขวาสุด (หรือ ซ้ายสุด) ทั้ง 2 จุดแม้จะอยู่ตรงกันข้ามกันคนละขั้ว แต่ก็เสมือนอยู่ใน ตำแหน่งเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า เหมือนกันทุกประการ-เพียงแต่กลับด้านกัน หรือเหมือน ภาพสะท้อนในกระจกเงา นั่นเอง ความคิดทางการเมือง, แนวทางการเมือง ก็เช่นกันที่แม้จะ ตรงกันข้ามกันคนละขั้ว แต่ แนวทางของกลุ่มรุนแรงที่สุดของแต่ละขั้ว นั้นมี วิธีคิดเหมือนกัน, ต้องการเดินไปสู่จุดเดียวกัน อย่างที่พูดกันว่า ขวาจัด = ซ้ายจัด นั่นเอง กลุ่มที่มีแนวคิดอยู่จุดใดจุดหนึ่งระหว่างทาง นอกจากจะ วางตัวยาก, ทำงานลำบาก แล้วในหลายกรณีก็ตกเป็น เหยื่อ ตกเป็น เป้าหมายโจมตี จากพวกสุดโต่งทั้ง 2 ฝ่าย
•• สถานการณ์เช่นนี้ คนที่เสนอแนวทางสันติ จะ ถูกประณาม จึงเป็นเรื่อง ปกติ ในอดีตแม้กระทั่ง ถูกเข่นฆ่า ก็มีให้เห็นมาแล้ว
•• แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับว่า ประเทศไทย หากบริหารจัดการ กรณี 85 – 88 ศพ 25 ตุลาคม 2547 ได้ ไม่ดีพอ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูก ม้วนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสนามรบของสงครามเย็นยุคใหม่ อย่างที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เตือนมาโดยตลอด
•• และ คำชี้แจง ของ ภาครัฐ ไล่มาตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, พล.อ.สิริชัย ธัญศิริ, พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี ไปจนถึง พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ขอกล่าวว่า “...ค่อนข้างดรามาไทซ์อย่างยิ่ง.” ลำพัง คนไทยด้วยกันเอง จะ สงสัย, ไม่เชื่อถือ หรือไม่ เห็นจะไม่สำคัญเท่า ต่างชาติ จะ ไม่เชื่อถือ, มีปฏิกิริยาตอบโต้ แน่นอนนี่คือแผ่นดินไทยที่การจัดการปัญหาต้องเป็นเรื่องของคนไทยแต่ภายใต้ ระบบโลก ที่ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ไปผูก ไว้กับ ระบบเศรษฐกิจโลก เช่นทุกวันนี้เราจะ ไม่สนใจเสียงจากภายนอกเลย เห็นจะ ไม่ได้ เสียงจากภายนอกจากต่างชาติในกรณีนี้ก็ หลายฝ่าย ไล่มาตั้งแต่ สหรัฐอเมริกา – เจ้าแห่งระเบียบโลกใหม่, สหประชาชาติ, องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ, กลุ่มประเทศนับถือศาสนาอิสลาม, รัฐบาลมาเลเซีย และ พรรคฝ่ายค้านมาเลเซีย หนทางบรรเทาความเสียหาย ณ นาทีนี้คือ ความจริง ที่ ไม่ดรามาไทซ์ และ การแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง เท่านั้น
•• การสลายม็อบที่ หน้าสภ.อ.ตากใบ เกิดขึ้นเวลาประมาณ 15.00 น. การขนส่ง เชลย ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารที่อยู่ห่างออกไป 180 กิโลเมตร ใช้เวลา ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ความจริงเป็นที่รับรู้กันว่าภายในเวลา ไม่เกิน 21.00 น. รถคันสุดท้าย ถึงที่หมาย ดังนั้นหาก ไม่จงใจไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด ข่าวสารทางราชการภายใน วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2547 ที่จะปรากฏเป็น ข่าวภาคเช้า ของ วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 จะต้อง ระบุชัดเจน แล้วว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6 คน แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่
•• ทั้ง ข่าวภาครัฐ และการแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วง เช้าวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 ยังคง วนเวียน อยู่บนฐานข้อมูลที่ว่า มีผู้เสียชีวิต 6 คน จวบจน 17.00 น. นั่นแหละถึงได้ ยอมรับ อันเป็นเงื่อนเวลาหลังการเข้าไปกระทำในสิ่งที่ อ้างว่า เป็น การชันสูตรพลิกศพ ของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ แล้ว
•• คำถามเบื้องต้นก็คือ ทำไมจงใจไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้งในช่วง ค่ำและดึกวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2547 และ เช้าถึงบ่ายวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 เป็นเวลารวม ๆ กันแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณ 12 – 18 ชั่วโมง ใช่หรือไม่ว่า รอการประทับตรารับรอง จาก พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ที่ ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนสูง คนหนึ่ง
•• ประเด็นคือ ตราประทับรับรอง ที่ชื่อ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้นี้ เชื่อถือได้หรือไม่ ในสังคมไทยอาจจะ พอเชื่อได้ แต่ในนานาชาติ อาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะท่านผู้นี้ไปถึงที่เกิดเหตุก็ต่อเมื่อ เช้าวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2547 กับจำนวนศพในชั้นต้น 78 ศพ (ในวันต่อมาบวกอีก 1 ศพ) คำนวณดูง่าย ๆ ว่าท่าน ใช้เวลากี่นาที ในการชันสูตรพลิกศพ ต่อ 1 ศพ ระยะเวลาเพียงเท่านั้นบวกกับ ข้อจำกัดทางศาสนา-วัฒนธรรม ทำให้แม้แต่ ผลสรุป ที่ท่านแถลงออกมายังต้องใช้คำว่า เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็น จำนวนศพ คงไม่ลืมประโยคสำคัญที่ท่านบอกทำนองว่า “...80 เปอร์เซ็นต์ตายเพราะขาดอากาศหายใจ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ตายเพราะมีอาการชักและเกร็ง.” นะ
•• แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม กรณี 25 ตุลาคม 2547 แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ กรณี 28 เมษายน 2547 เพราะกรณีเมื่อ 6 เดือนก่อนนั้นเป็น อาชญากรรม ตรงที่ ถืออาวุธบุกเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ แต่กรณีเมื่อ 3 วันก่อนเป็น การชุมนุมเรียกร้อง แม้ว่าจะพัฒนาเป็น การยั่วยุ และบางส่วน มีอาวุธ กระทั่งถูกกล่าวหาว่าเป็น กบฏ แต่ก็ไม่อาจทิ้งพื้นฐานเดิมของเรื่องว่าเกิดจากการกระทำ บนฐานการรับรองสิทธิโดยรัฐธรรมนูญ 2540 และเกณฑ์สากลของนานาอารยประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ปัญหาก็คือเจ้าหน้าที่ ตระหนักถึงความแตกต่างประการสำคัญ นี้หรือไม่
•• เพราะ อาชญากรรม กับ การชุมนุมเรียกร้องบนฐานการรับรองสิทธิโดยรัฐธรรมนูญ 2540 และเกณฑ์สากลของนานาอารยประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย นั้นจำเป็นจะต้อง บริหารจัดการ ด้วย วิธีการที่แตกต่างกัน ในสาระสำคัญ
•• คำว่า การบริหารจัดการ ในย่อหน้าก่อนหน้านี้หมายถึงตั้งแต่ การสลาย, การจับกุม และ การขนส่งผู้ต้องหา ด้วย
•• แน่นอนว่า 6 ศพแรก พอจะกล้อมแกล้มรับฟังคำชี้แจงต่าง ๆ ได้ว่า ทำดีที่สุดแล้ว, เป็นอุบัติเหตุ และ ฯลฯ ที่ถึงอย่างไรก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เพราะ เกิดขึ้นระหว่างปฏิบัติการสลายการชุมนุม ที่อาจแปลความอย่างเข้าข้างเจ้าหน้าที่ได้ว่า ผู้ตายต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย, ผู้ตายถูกลูกหลงจากผู้บงการ หรือ ฯลฯ แต่ขอโทษที่ “เซี่ยงเส้าหลง” จะต้องชี้ให้เห็นว่า 78 – 79 ศพหลัง ที่ไม่แถลงในชั้นต้นนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะเป็น การตายในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ต่อให้พวกเขาเป็น โจร เป็น กบฏ เป็น คนชั่วช้าสามานย์ อย่างไรก็ไม่มีระบอบการปกครองของอารยชนที่ไหนอนุญาตให้ ปฏิบัติต่ออย่างไร้มนุษยธรรมเท่าที่ควรไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือประมาท เพราะในทางอารยะแล้วอย่างมากพวกเขาก็แค่เพียง ผู้ถูกกล่าวหา ที่จะต้อง ได้รับโอกาสต่อสู้คดีในศาลยุติธรรม นี่คือ กฎกติกาสากล ที่ประเทศไทย รับมาปฏิบัติ นานแสนนานแล้ว
•• มันคงแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไม่ใช่น้อยหากเราสามารถ เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าปลดปล่อยนางอองซานซูจี, เรียกร้องให้ทบทวนความสัมพันธ์กับรัฐบาลพม่า ในขณะเดียวกับที่เรา เพิกเฉยต่อการตายของมนุษย์ 78 – 79 คนที่ถูกมัดมือไพล่หลังอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานแห่งรัฐบาลไทย ใช่ไหม
•• ถ้า ผิดพลาด ก็ต้องมี ผู้แสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจัง แต่นาทีนี้สมควรจะเป็น ใคร ระหว่าง ผอ. สสส.จชต., มทภ. 4 หรือ นายกรัฐมนตรี น่าพิจารณาอย่างยิ่งตรงที่ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดนั้นออกมา ประทับตรารับรองให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ว่า ทำดีที่สุด, สมควรได้รับคำชมเชย เสียแล้ว
•• คำถามก็คือบุคคลผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี พร้อมจะรับบท พันท้ายนรสิงห์ยุคใหม่ หรือไม่
•• โลกวันนี้ในทาง ภูมิรัฐศาสตร์ แล้ว “เซี่ยงเส้าหลง” เคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้วว่าได้กลับเข้าสู่ สงครามเย็น อีกครั้งหนึ่ง สงครามเย็นยุคใหม่, สงครามเย็นยุคดิจิตอล ที่แตกต่างจาก สงครามเย็นยุคเก่า อันเป็น สงครามอุดมการณ์ระหว่าง 2 ลัทธิ ที่สิ้นสุดไปเมื่อ ปลายปี 2532 โดยถือสัญลักษณ์ ทลายกำแพงเบอร์ลิน ตรงที่ ความขัดแย้ง เคลื่อนตัวจากปัจจัยทาง อุดมการณ์, ลัทธิการเมือง-เศรษฐกิจ มาเป็นปัจจัยทาง เชื้อชาติ, ศาสนา และ วัฒนธรรม ที่เต็มไปด้วย ความเกลียดชัง, ความชิงชัง และ การทำลายล้างกันอย่างรุนแรง เพราะจากสภาพการณ์ทั่วไปที่ ประเทศอภิมหาอำนาจ มีเพียง หนึ่งเดียว ไม่ใช่ 2 ค่าย 2 ขั้ว ที่ดุลอำนาจกันด้วย อาวุธนิวเคลียร์ มิหนำซ้ำ องค์กรระหว่างประเทศ ก็เริ่ม หมดความหมาย ทำให้รูปแบบ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และความคาดหมายแบบเก่าที่หวังว่าจะมี (กลุ่ม)ประเทศหนึ่งประเทศใด ขึ้นมาแทนที่ อดีตสหภาพโซเวียต เพื่อสร้าง ดุลยภาพ กับ สหรัฐอเมริกา นั้น ยากที่จะเป็นไปได้ หากแต่จะเกิด ดุลยภาพแบบใหม่ ที่ น่าสะพรึงกลัวกว่า กล่าวคือ คู่ต่อสู้ในสมการความขัดแย้งไม่เท่าเทียมกันอย่างยิ่ง ส่งผลให้ รูปแบบของสงคราม เป็นไปในลักษณะ ไร้รูปแบบ, ไร้ข้อจำกัด เป้าหมายและวิธีการของ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจาก การก่อการร้ายยุคเดิม ที่หวังเพียง เป็นข่าว เพื่อ ประกาศอุดมการณ์ มาเป็น หมายปองชีวิตจำนวนมาก - มุ่งสร้างความเสียหายขนาดใหญ่ อย่าง ทารุณ, สยองขวัญ เหมือนดังภาพที่ปรากฏต่อชาวโลกจากทั้ง 2 ด้าน ขบวนการมุสลิมจารีตนิยมตัดคอเชลยศึกชาติพันธมิตรอเมริกันอย่างป่าเถื่อน-สยองขวัญ ขณะที่ ทหารอเมริกันทารุณเชลยศึกชาวอิรักอย่างเหยียดหยามเสมือนไม่ใช่มนุษย์ โดยให้สัมภาษณ์ว่าทำไปตาม นโยบาย ที่ต้องการ ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่เชลยศึก เพื่อบรรลุผลใน การควบคุม แสดงให้เห็นว่า ความรุนแรง, ความทารุณโหดร้าย และ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท กำลังเป็น อาวุธ ของทั้ง 2 ฝ่ายใน สงครามการเมือง เพื่อช่วงชิง แนวร่วม, ความชอบธรรม เราเดินไปสู่จุดใกล้เคียงอย่างยิ่งแล้วที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทย
•• ขณะที่ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ต้องการใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท มา ตัดกำลัง โดยหวังว่าจะเป็นการผลักดัน พันธมิตรชาติอื่น, อเมริกันชนในประเทศ ให้เดินออกห่าง รัฐบาลอเมริกัน ก็ดูเหมือนจะเป็นธรรมดาอยู่เองที่ รัฐบาลอเมริกัน จะต้องใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท เดียวกันนั้นมา สร้างความชอบธรรม เพื่ออ้างอิงทั้งต่อ พันธมิตรชาติอื่น และ อเมริกันชนในประเทศ ว่าจำเป็นจะต้อง ขุดรากถอนโคน, ปราบปรามอย่างรุนแรง ด้วยยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ทุกรูปแบบ รวมทั้ง ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ด้วย
•• มาตรการ ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน นั้นเองก็เป็นที่สบอารมณ์ของ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ด้วยเหมือนกันเพราะจะกลับมา สร้างความชอบธรรม ให้กับ ประชาชนชาวมุสลิม ที่จะ ลุกขึ้นสู้ อย่าง ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน และ ไร้รูปแบบ, ไร้ขอบเขตจำกัดของสงครามยุคเก่า โดยการชูคำขวัญ ตายสิบเกิดแสน นั่น
•• พิจารณาในเชิงการแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาครัฐ โดยเฉพาะ ทหาร-ตำรวจ อาจจะประสบความสำเร็จใน การได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ นำไปสู่ ความชอบธรรม ในปฏิบัติการ ขุดรากถอนโคน, ปราบปรามอย่างรุนแรง โดยตรรกะแล้วก็เท่ากับบีบให้ ขบวนการมุสลิมจารีตนิยมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หันมาใช้ ความตายอย่างเขย่าขวัญสั่นประสาท มา ตอบโต้, ตัดกำลัง เช่นกัน
•• คำถามก็คือคนไทยที่ไม่อินังขังขอบกับความตายของเพื่อนร่วมแผ่นดิน 85 – 88 คน พร้อมแล้วหรือไม่ ที่จะให้ประเทศของเราย่าง 2 เท้าเข้าไปยืนอยู่ในโลกยุคใหม่ โลกแห่งความรุนแรง, โลกแห่งความไร้เหตุผล, โลกแห่งการแก้แค้น และ โลกที่ใช้ความตายของคนบริสุทธิ์เป็นอาวุธ ก่อนหน้าวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เราอาจจะยังไม่ยอมรับความจริงเต็ม 100 อย่างเปิดเผยว่าโลกที่ไม่พึงปรารถนานี้เริ่มย่างเข้าสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่วันนี้หลังเกิดเหตุ 85 – 88 ศพ 25 ตุลาคม 2547 เราคงจำใจยอมรับแล้วว่าปริมณฑลแห่งความทมิฬหินชาติและสยองขวัญเริ่มกลืน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะ ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะใน 3 จังหวัดภาคใต้ หากแต่จะขยายไป ทั่วประเทศ ในทุกจุดที่มี ผลประโยชน์ของคู่สงครามเย็นยุคใหม่ทั้ง 2 ฝ่าย ตั้งอยู่ พร้อมแล้วใช่ไหม นี่คือคำถามที่ทุกท่านต้องตอบตนเอง
•• หนึ่งในหนทาง ช่วยชาติ, รักษาชาติ ในนาทีนี้คือเกิดปาฏิหาริย์บังเกิดมี พันท้ายนรสิงห์ยุคใหม่ ขึ้นมาโดยพลัน
•• เพราะ ณ นาทีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาอภิปรายกันเรื่อง ความผิดพลาด - ความถูกต้อง หากแต่เป็นเรื่องของ ความรัก, ความเสียสละ ที่จะต้องปฏิบัติการใน ทันที ต่อ สถาบันชาติ ต่อ ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ไม่ผิดนักหาก “เซี่ยงเส้าหลง” จะขอเรียกขานว่า จิตวิญญาณพันท้ายนรสิงห์ ที่เชื่อว่าจะมากจะน้อยน่าต้องมีอยู่ในหัวใจของ ลูกไทยทุกคน ขอภาวนาให้ จิตวิญญาณพันท้ายนรสิงห์ แสดงตัวออกมาโดยพลัน
•• หลายครั้งในประวัติศาสตร์ วีรบุรุษผู้กล้าที่แท้ อาทิ พันท้ายนรสิงห์ จะไม่ไถ่ถามถึง ความผิด, ความจริง เพราะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่สถานการณ์หนึ่งในเชิง ชาติ, สถาบัน แล้วถ้าบังเอิญท่าน ยืนอยู่จุดนั้น ท่านก็มีแต่จะต้องสำแดง ความรัก, ความภักดี และ ความเสียสละ ด้วย ชีวิต เพื่อ ธำรงไว้ซึ่งชาติและสถาบัน เป็นการแลก ชีวิตหนึ่ง เพื่อ อนาคตของทุกชีวิตในสังคม ในอดีต กฎมณเฑียรบาล คือ สถาบัน ที่นายท้ายเรือพระที่นั่ง สละชีวิตแลกเพื่อธำรงไว้ ในปัจจุบัน กฎเกณฑ์แห่งการเมืองระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่นานาอารยประเทศยึดถือ คือ สถาบัน ที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าใครบางคนจำเป็นจะต้อง แลกชีวิต เพื่อ ธำรงไว้ หรือไม่อย่างไร
•• คำว่า แลกชีวิต ครั้งนี้ไม่ถึงขนาด ชีวิตทางกายภาพ เหมือน พันท้ายนรสิงห์ยุคเก่า เพียงแค่ ชีวิตทางการเมืองช่วงสั้น เท่านั้น
•• นำเสนอไปเช่นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” คงไม่แคล้วได้รับ ก้อนอิฐ อีกเช่นเคย ไม่เป็นไร เกิดมาเป็นผู้ประกอบการ วิชาชีพสื่อมวลชน ก็ต้อง ซื่อสัตย์ ใน หน้าที่ เป็นปฐม
•• อะไรคือ หน้าที่ ของ วิชาชีพสื่อมวลชน ที่จำเป็นต้อง ซื่อสัตย์ นั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำหลักธรรมของพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตฺโต หรือสมณศักดิ์เดิม พระธรรมปิฎก) ที่แสดงไว้เมื่อ 10 ปีก่อน วันที่ 4 มีนาคม 2537 พระคุณเจ้าแสดงธรรมว่าผู้ประกอบวิชาชีพนี้มี หน้าที่ อย่างน้อย 4 ประการ หน้าที่พื้นฐานคือเป็น แหล่งข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง หน้าที่ประการที่สอง ระวังภัยให้แก่สังคม ยามมีปัญหาอันจะก่อให้เกิดอันตรายแก่สังคมจะต้องยกกรณีนั้นขึ้นมา บอกกล่าว และ เตือน หน้าที่ประการที่สาม ชี้ขุมทรัพย์ และ บอกแหล่งโชคลาภ โดยเมื่อมี ความรู้ ไม่ว่าด้านใดแขนงไหนเกิดขึ้นใหม่ต้อง นำมาเผยแพร่ หน้าที่ประการที่สี่ เป็นผู้นำ ในหนทางสร้างสรรค์ นำสังคมทางความคิด เพื่อสร้าง ทัศนคติ, ค่านิยม และ มติมหาชนที่ถูกต้อง เป็นสำคัญ
2 เล่มเอกของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ – เล่มแรก “เหลียวมองหลัง” แค่อ่าน “ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์” เล่าถึงการแก้ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่เข้ามารุมล้มรุกเร้าในยุคม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเมื่อปี 2518 ก็คุ้มแสนคุ้มแล้ว จะได้รู้ว่านักการเมืองผู้เยี่ยมยุทธในเชิงการเมืองระหว่างประเทศนั้น ท่านพาแผ่นดินรอดพ้นจากแทรกแซงของประเทศอภิมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายมาได้อย่างไร .... อีกเล่ม “ทรอย – ฉบับสวยประหาร” นี่ก็คุ้มแสนคุ้มเพราะครั้งนี้ “ต่อพงษ์ เศวตามร์” พลิกบุคลิกทะลึ่งตึงตังมาในมาดใหม่หยิบจิตวิญญาณของอดีตนักเรียน “เอกการละคร” แห่งคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้คลุกคลีอยู่กับตำนานเทพเจ้ากรีก มาเล่าเรื่องเมืองทรอยจากมหากาพย์ของโฮเมอร์ อย่างสนุกสนาน อ่านแล้ววางไม่ลง หลังจากหงุดหงิดจากการดูหนังเรื่อง TROY ฉบับโวล์ฟกัง ปีเตอร์เซน .... ทั้ง 2 เล่มกำลังลดราคาพิเศษในงานสัปดาห์หนังสือระดับชาติที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เดินไปหาได้ที่บูทของเครือผู้จัดการ บริเวณ A 01 ห้องไพรนารี่ฮอลล์ ใกล้ประตูทางเข้า .... หาไม่พบหรือไม่มีเวลาไปเดินเบียดคนก็โทรศัพท์มาถามไถ่ได้ที่สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ 0-2629-4488 ต่อ 2205, 2209 ในเวลาทำงานปกติ