xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนเบื้องหลัง"ม็อบพระป่า"รอรับนายกฯเมื่อ 6 ก.ย.

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ต่อเนื่องเรื่อง พระวัดป่า, พระสายหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในฐานะ พลังทางการเมืองในทางปฏิบัติ กันอีกสักวันดีกว่าว่าพวกท่านตั้งขบวนกันไปทำไม วันที่ 6 – 7 กันยายน 2547 ที่ จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี และ จังหวัดหนองบังลำภู เพราะตามคำให้สัมภาษณ์ของพระราชาคณะหนึ่งในกรรมการมหาเถรสมาคม พระธรรมกิตติเมธี แห่ง วัดสัมพันธวงศ์ ทำให้ผู้อ่านหนังสือพิมพ์เข้าใจไปได้ว่าเสมือนเป็น ม็อบ ที่มีเป้าหมาย ขัดขวางการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ – จังหวัดหนองคาย (คำให้สัมภาษณ์ที่ว่าอ้างจาก มติชน ก็คือ “...นายกรัฐมนตรีหงุดหงิดกับพฤติกรรมของกลุ่มที่อ้างว่าเป็นคณะสงฆ์ไทยมาก โดยเฉพาะเมื่อการประชุมสัญจรที่จังหวัดหนองคาย เมื่อนายกรัฐมนตรีลงจากเครื่องบินที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อจะไปจังหวัดหนองคาย พระกลุ่มดังกล่าวได้ไปรอดักจะยื่นหนังสือให้กับนายกรัฐมนตรี โดยได้ทำแผ่นป้ายผ้าสรรเสริญนายกรัฐมนตรี และในป้ายเดียวกันก็ด่ารองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม และพยายามที่จะขัดขวางไม่ให้เกิดความสะดวกในการประชุมคณะรัฐมนตรี --- ทำให้นายกฯทักษิณต้องสั่งการไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ดำเนินการสลายพระกลุ่มดังกล่าวภายในครึ่งชั่วโมง มิเช่นนั้น ผู้ว่าฯต้องหาที่อยู่ใหม่ และยังได้กล่าวว่า หากมหาเถรสมาคมยังหาวิธีดำ เนินการกับพระกลุ่มนี้ไม่ได้ รัฐบาลจะไปหาวิธีการเอง.” ) ความจริงที่ต้องนำมาขยาย ณ ที่นี้ก็คือพระภิกษุขบวนนี้ เคลื่อนไหวด้วยความสงบ เพื่อ ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ให้ดำเนินการ แก้ปัญหาที่รากฐาน กล่าวคือขอให้ แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับปัจจุบัน เฉพาะในประเด็น การปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชในทุกกรณี ขอให้เป็น พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ รายละเอียดปรากฏอยู่ใน ข้อ 2 แห่งหนังสือของ คณะสงฆ์ไทยภาคอีสานตอนบน ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำฉบับจริงและฉบับเต็มมาลงให้ดูกัน

•• ปมประเด็นของปัญหาอยู่ที่ พระวัดป่า, พระสายหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มองว่า รัฐบาลทำไม่ถูก ในกรณี การปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช รวมหลัก ๆ แล้วอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง ด้วยกัน

•• ครั้งที่ 1 เมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2547 กับกรณี แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าแทนสมเด็จพระสังฆราช ครั้งที่ 2 เมื่อ วันที่ 15 กรกฎาคม 2547 กรณีใช้ส่วนราชการสำนักนายกรัฐมนตรีออก แถลงการณ์เผยแพร่พระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช ต่อเนื่องด้วยครั้งที่ 3 กรณี ตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระ ราชบัญญัติคณะสงฆ์ – เปิดทางให้มหาเถรสมาคมแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ดังที่ทราบกันดีอยู่

•• อันที่จริงนี่คือ จุดยืนเดิม, จุดยืนเดียว ของคณะศิษยานุศิษย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ทั้ง 2 สาย สายบรรพชิต, สายฆราวาส ตั้งแต่ ปี 2546 ที่เริ่มต้นรณรงค์เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ในเนื้อหาว่าด้วย การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช, การปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช พูดให้ถึงที่สุดแล้วนี่คือการเคลื่อนไหวเพื่อ ถวายคืนพระราชอำนาจ กฎหมายคณะสงฆ์ฉบับนี้เพิ่งจะ พลิกหลักการเดิม ตั้งแต่เมื่อ วันที่ 10 มกราคม 2535 ในสมัยรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน แต่ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่จะเข้าด้วย ข้อเท็จจริงที่พลิกหลักการเดิม เพราะยังไม่เคยมีกรณี สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช อีกเลย หลังปี 2535 การเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์และฆราวาสที่หนาแน่นที่สุดใน ภาคอีสาน ถูกนำมา สื่อ ให้ บิดเบนจากความจริง โดย วิษณุ เครืองาม, พล.ต.ท.อุดม เจริญ ในลักษณะที่ว่ามีผู้เคลื่อนไหวให้ มีการสถาปนาสังฆราช 2 พระองค์ 2 นิกาย จากนั้นเมื่อขึ้นศักราชใหม่ ปี 2547 ปัญหาก็เกิดขึ้นชัดในกรณีเมื่อ วันที่ 14 มกราคม 2547 ที่เกิดมี การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช (ตาม มาตรา 10) และมีแนวโน้มในอนาคตว่าอาจจะต้องมี การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ตาม มาตรา 7) ขึ้นมา การรณรงค์ จึงทวี ความเข้มข้น ขึ้นตามลำดับ

•• แรกเริ่มเดิมที การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช นั้น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 บัญญัติไว้ใน มาตรา 7 ว่า “...พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช.” หมายความว่าเป็น พระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ครั้นเมื่อถึง ปี 2535 แก้ไขเพิ่มเติมใหม่เป็น “...นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช.” เท่ากับ จำกัดพระราชอำนาจ ให้อยู่ใน กรอบ ถึง 2 ชั้น ด้วยกัน

•• กรอบชั้นที่ 1 อยู่ที่ นายกรัฐมนตรี และ มหาเถรสมาคม จะเลือกทูลเกล้านาม สมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งรูปใด ขึ้นไป

•• กรอบชั้นที่ 2 อยู่ที่กฎหมายใหม่ กำหนดตายตัว ไว้ที่ สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ประเด็นพิจารณาอยู่ที่ ล็อกตายตัว ไว้กับ สมณศักดิ์ ไม่ใช่ เปิดกว้าง โดยไม่เขียนไว้ในกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้พิจารณา ความเหมาะสม ด้วย

•• คงต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ใน หมวดพระมหากษัตริย์ ที่ มาตรา 11 นั้นบัญญัติไว้ว่า “...พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์.” จะหมายความเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็น พระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ไม่ถูก จำกัด ด้วย กรอบใด ๆ ทั้งสิ้น และหากพิจารณาประเด็น การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ถือว่าเข้าข่ายมาตรานี้โดยพิจารณาจากถ้อยคำ ฐานันดร ที่แปลว่า “...ลำดับในการกำหนดชั้นบุคคล เช่น ยศ, บรรดาศักดิ์.” ส่วนคำว่า สถาปนา ก็แปลว่า “...ยกย่องโดยแต่งตั้งให้สูงขึ้น.” ดังนั้นความใน มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ที่กำหนด กรอบ สติปัญญาความรู้ทางกฎหมายระดับพื้นฐานทั่วไปก็พิจารณาได้ในชั้นต้นว่า ขัด, แย้ง นี่คือประเด็นพื้นฐาน

•• ความจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุด สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินยายก พระองค์นี้ได้รับ การสถาปนา ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช - ลำดับที่ 29 ตั้งแต่ ปี 2532 นั่นคือ ก่อนปี 2535 ครั้งยังบังคับใช้ด้วย กฎหมายเก่า จึงเท่ากับเป็นการสถาปนาโดย พระราชอำนาจสมบูรณ์ หากจะมี การปฏิบัติใด ๆ ต่อพระองค์ ก็น่าที่จะให้เป็น พระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ เท่านั้น

•• ความจริงพื้นฐานประการสำคัญที่สุดพอ ๆ กันก็คือ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินยายก พระองค์นี้ประมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์นี้ทรงมี ภูมิธรรมสูง เป็นเสมือนพลังหลักสำคัญทางฝ่าย ศาสนจักร, พุทธจักร ให้กับ รัชสมัยแห่งพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ผู้มีภูมิธรรมอันประเสริฐรัชกาลปัจจุบัน ทรงเป็น พระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช เมื่อ ปี 2499 การจะปฏิบัติใด ๆ ต่อพระองค์ท่านมิใช่เพียงแต่จะอ้างว่า ปฏิบัติตามกฎหมาย (ที่ก็ยังมี ข้อถกเถียง) หากแต่จะต้องกระทำด้วย ความเคารพ, ความยำเกรงในพระเกียรติที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา และ ไม่ควรก้าวล่วงโดยถือความชราภาพหรืออาการประชวร อันจะเป็นผลให้เกิด กรณีพิพาท ที่จะทำให้เข้าใจไปได้แม้แต่น้อยว่า เจตนาแต่งตั้งประมุขคณะสงฆ์ไทยซ้อนขึ้นมา เพราะนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ กรรมหนัก คือการสร้างสภาวะ สังฆเภท ขึ้นมา

•• ปัญหาที่สร้าง ความแคลงใจ ให้กับ สาธุชนทั้งแผ่นดิน มาตลอดคือ พระอาการประชวร ของ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินยายก ว่า แค่ไหน, อย่างไร ที่ผ่านมามีแต่คำชี้แจงจาก สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ คลุมเครือ, ไม่ชัดเจน มาด้วยตลอด

•• ตรงกันข้ามกับ ภาพที่ประจักษ์แก่ 2 ตา ของ สาธุชนทั้งแผ่นดิน ที่หลายครั้งหลายหนได้เห็น สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จจากโรงพยาบาลมา วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อ ลงโบสถ์ – ทำพิธิปาฏิโมกข์ ประสาผู้รู้น้อยอย่างสาธุชนทั้งแผ่นดินก็เกิด ข้อคิดเห็น ขึ้นมาว่าพระภิกษุรูปใดก็ตามหากยังสามารถ ลงโบสถ์ – ทำพิธิปาฏิโมกข์ แม้จะ ประชวร แต่ไม่น่าจะพิจารณาถึงขั้นว่า ประชวรจนเสียสมณสารูป หรือ ประชวรจนไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้ ตามที่มีผู้พยายามให้เกิดภาพเช่นนั้นไม่

•• ในมุมมองอันบริสุทธิ์ใจของ “เซี่ยงเส้าหลง” เห็นว่า ข้อผิดพลาดใหญ่ของรัฐบาลปัจจุบัน คือเลือกใช้ อำนาจของฝ่ายบริหาร ตรา พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 เปิดช่องให้ มหาเถรสมาคม สามารถ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ได้ใน วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 เป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารชนิดที่ เก็บลับ, ไม่มีการแถลงข่าว ได้อย่าง ยอดเยี่ยม มิหนำซ้ำยังผ่าน การทำงานมวลชน ชนิด รอบด้าน ด้วยการเชิญ นักกฎหมายจากทุกสำนัก (รวมทั้งสำนัก ขาประจำ, ขาจร) เข้าไปรับทราบถึง ความจำเป็นในการตราพระราชกำหนด โดยแสดง ข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ที่เกี่ยวเนื่องกับ พระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช จนเกิดอาการ เห็นดีเห็นงาม กัน ถ้วนหน้า จนเมื่อผ่าน ปฏิบัติการขั้นสุดท้ายในมหาเถรสมาคมวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 มีแต่ ภาพ ของความเห็นพ้องต้องกันเป็น ฉันทมติ ฆราวาสหรือพระที่คัดค้านก็กลายเป็น พวกดื้อรั้น, พวกมีวาระซ่อนเร้น จะไม่มี แถลงการณ์คัดค้าน-ท้วงติง จาก นักกฎหมายทุกสำนัก (รวมทั้ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ถึงประเด็นที่น่าสงสัยยิ่งว่า พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 นั้นมีความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 218 แล้วหรือไม่ “...ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ .... การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้.” ได้เคยเสนอไป ณ ที่นี้ว่า วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 จะได้รับการบันทึกไว้ในฐานะ วันสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จุดเริ่มต้นของ สังฆเภท ที่เกิดจากการดำเนินงานขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการที่ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่าเสมือนเป็น Constitutional Coup d’Eta รูปแบบหนึ่ง

•• แต่แล้ว วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 เดียวกันนั้น สำนักพระราชวัง ก็ได้ออกประกาศ ข้อปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชกรณีแขกที่มาเข้าเฝ้าและการลงพระนามในหนังสือต่าง ๆ ลงนามโดย สมวงศ์ ณ ระนอง – ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าฝ่ายตำรวจวัง ดังที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ขอนำมาลงให้ดูกันเต็ม ๆ ฉบับ

•• ต่อมาเมื่อ วันที่ 14 สิงหาคม 2547 เวลาประมาณ 18.00 น. เป็นวันสำคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเยี่ยมและสนทนาธรรมกับ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นเวลา กว่า 30 นาที เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้วไม่ปรากฏว่า คณะแพทย์หลวง ได้มี แถลงการณ์เกี่ยวกับพระอาการประชวร แต่อย่างใด

•• วิญญูชนทั่วไปเมื่อได้รับทราบแล้ว ข่าวสาร ต่าง ๆ ข้างต้นแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าพระมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์ ปัจจุบันนั้นไม่ได้ ประชวรจนเสียสมณสารูป หรือ ประชวรจนไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้ ตามที่มีผู้พยายามให้เกิด ภาพ เช่นนั้น

•• จริง ๆ แล้ว ท่าที, ท่วงทำนอง ของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ยังคงมี เมตตา, ความหวัง ในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ค่อนข้าง สูงมาก การเคลื่อนไหวในเชิงที่จะมองได้ว่า กล่าวหา ส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่ พล.ต.ท.อุดม เจริญ และ วิษณุ เครืองาม แม้ในเทศนาล่าสุดเมื่อ วันที่ 12 กันยายน 2547 ก็ยังเปลี่ยนชื่อ วิษณุ เสียใหม่ว่า วิษยุ เหมือนจะบอกว่าเป็นคนที่ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นในดวงจิตของนายกรัฐมนตรี กระนั้น

•• โดยภูมิรู้ทางธรรมของ “เซี่ยงเส้าหลง” มิบังอาจกล่าวว่า พระภิกษุ รูปใดองค์ใด บรรลุธรรม หากแต่เมื่อมองด้วยสายมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน บำเพ็ญ สาธารณประโยชน์ ต่อทั้ง พุทธจักร, อาณาจักร มาอย่างชนิดที่กล่าวได้ว่า ต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะในยุควิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ ปี 2540 ในช่วงที่ อภิมหาเศรษฐีที่กล่าวว่ารักชาติยิ่งชีพทุกคนนิ่งเฉย สิ่งใดที่ท่านปฏิบัติและสั่งสอนไว้แต่ชาวเรายัง ไม่เข้าใจ, ไม่เห็นด้วย ก็มิบังควร จาบจ้วงล่วงเกิน หากแต่ควรถือเป็นจุดเริ่มต้นของ การศึกษาหาความรู้และข้อมูลเพิ่มเติม พระวัดป่าสายวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างท่านนั้นในอดีตอาจจะมีวัตรปฏิบัติในเชิง ปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นเฉพาะตัว เป็น ด้านหลัก เหมือนพระอาจารย์ชื่อดังส่วนใหญ่ทาง หินยาน ทว่านับแต่วิกฤตเมื่อ 7 ปีก่อนเป็นต้นเสมือนท่านจะเพิ่มวัตรปฏิบัติทางด้าน ปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก-บ้านเมือง ที่มักจะเห็นในพระอาจารย์ชื่อดังส่วนใหญ่ทาง มหายาน หรือที่เรียกว่าเป็น แนวทางพระโพธิสัตว์ หลวงตาท่านจะเล็งเห็น ภยันตรายใหญ่ต่อบ้านเมือง อย่างไรหรือไม่แม้ชาวเรายัง ไม่หยั่งรู้ แต่ก็ไม่บังควร ไม่รับฟัง ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จู่ ๆ พระวัดป่าสายอีสาน ที่ส่วนใหญ่สืบทอดการปฏิบัติธรรมตามแนวทาง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จะเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้

•• ย่อหน้าข้างต้น “เซี่ยงเส้าหลง” สื่อถึง พล.ต.ท.อุดม เจริญ คิดดีแล้วหรือที่ได้ไปแสดง เช็คของขวัญ 500 บาท ที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่เซ็นสั่งจ่ายให้ พระอาจารย์วิชิต สุวีโร แห่ง วัดป่าปูลูสันติวัฒนา ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ต่อหน้า มหาเถรสมาคม ในการประชุมนัดล่าสุดเมื่อ วันที่ 10 กันยายน 2547 แล้วพูดจาเสมือนว่านี่เป็น หลักฐาน, ใบเสร็จ ที่อยู่เบื้องหลัง การเคลื่อนไหวของพระวัดป่า ไม่เกรง นรก บ้างหรืออย่างไร

•• คนอ่านหนังสือพิมพ์ทั่วไปที่ ไม่รู้ภูมิหลังของข่าว ย่อมเข้าใจว่านั่นเป็น สินจ้างรางวัล สำหรับ ม็อบพระ แต่คนที่รู้เรื่องดีย่อมจะรู้ดีว่านั่นเป็น เงินบริจาค, เงินทำบุญ ต่อ วัด, เจ้าอาวาส จำนวนรวมกันแล้ว 390 วัด ใน ภาคอีสาน ที่ยังคง ขาดแคลน ไม่เพียงแต่ 500 บาท สูงสุดมีถึง 50,000 บาท เป็นการบริจาคในช่วงที่พระวัดป่าจำนวนมากเดินทางมา งานศพ ของ พระอาจารย์ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ หรือ หลวงปู่ปัญญา แห่ง วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ที่เพิ่งถึงแก่มรณภาพเมื่อ วันที่ 18 สิงหาคม 2547 ด้วย โรคมะเร็งลำไส้ เมื่ออายุ 78 ปี 10 เดือน พอดี

•• อันว่า พระอาจารย์ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ ท่านนี้เป็น ชาวอังกฤษผู้มีศรัทธาแก่กล้าในพุทธศาสนา เดิมชื่อ ปีเตอร์ จอห์น มอร์แกน อาชีพก่อนอุปสมบทเป็น วิศวกรไฟฟ้า อุปสมบทในประเทศไทยโดยมี สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เป็น พระอุปัชฌาย์ (โดยก่อนหน้าได้อุปสมบทมาครั้งหนึ่งแล้วใน ประเทศศรีลังกา) และมี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็น พระอนุสาวนาจารย์ (ส่วน พระกรรมวาจาจารย์ คือ พระเทพญาณกวี) จำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านตาด ตั้งแต่ ปี 2506 มี ผลงานแปลธรรมะเป็นภาษาอังกฤษ, ผลงานสิ่งก่อสร้างในวัดป่าบ้านตาด เป็นจำนวนมาก

•• ได้ยินมาว่า อัญชลี ไพรีรักษ์ เจ้าของรายการฮิต จับชีพจรข่าว ทาง FM 96.5 MHz จะ หยุดจัดรายการชั่วคราว ตั้งแต่ บ่ายวันนี้ เป็นต้นไป

หลวงปู่ปัญญา -- พระอาจารย์ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ (นามเดิม - ปีเตอร์ จอห์น มอร์แกน) ที่พระวัดป่าทั่วอีสานมาร่วมงานศพท่านไม่น้อยกว่า 390 วัด และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ถวายปัจจัยบำรุงพระพุทธศาสนาวัดละ 500 – 50,000 บาทแล้วแต่กรณี จนเช็คใบหนึ่งถูกพล.ต.ท.อุดม เจริญนำมาโชว์ในมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 เรื่องนี้หลวงตาเล่าความเป็นมาไว้ในการเทศนาที่วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2547 สนใจเปิดอ่านโดยตรงที่ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3026&CatID=2

คณะสงฆ์ไทยภาคอีสานตอนบนเรียกร้องรัฐบาลแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์

ที่ทำการเจ้าคณะตำบลนาคำไฮ
วัดป่าบ้านกุดฉิม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

7 กันยายน พ.ศ. 2547

เรื่อง เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ในประเด็นการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชทุกกรณี ต้องเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น

เจริญพรฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี


ตามที่รัฐบาล โดยนายวิษณุ เครืองาม ได้เข้ามากำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้กระทำการเกินอำนาจหน้าที่หลายประการ คือ แต่งตั้งพระ, ครอบงำ ชี้นำ และแทรกแซงมหาเถรสมาคม, ก้าวก่าย และละเมิดสิทธิส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสังฆราช ใช่แต่เพียงเท่านั้น แม้ ฯพณฯ ได้พิจารณาให้นายวิษณุ เครืองาม พ้นไปจากการกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว นายวิษณุ เครืองาม ก็ยังเข้าก้าวก่ายและแทรกแซง จนเกิดความเสียหายร้ายแรงหนักยิ่งขึ้นอีกหลายประการ คือ เป็นผู้ผลักดันให้ออกพระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ โดยปิดกั้นมิให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเป็นประการอื่น, กระทำการสวนทางกับข้อปฏิบัติของสำนักพระราชวัง, ก้าวล่วงออกแถลงการณ์พระอาการประชวรสมเด็จพระสังฆราช ทั้ง ๆ ที่คณะแพทย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ดูแลสมเด็จพระสังฆราชและมีหน้าที่โดยตรงก็ยังไม่กระทำเช่นนั้น

เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยประการทั้งปวง นำมาซึ่งความสงบร่มเย็นกลับคืนสู่สังฆมณฑล ผู้แทนคณะสงฆ์ไทยภาคอีสานตอนบน มีมติเป็นเอกฉันท์ดังนี้

ประการที่หนึ่ง - ความขัดแย้งของสงฆ์ในสังฆมณฑล ลุกลามเป็น “สังฆราชี” คือความร้าวฉาน มีสาเหตุมาจากการกระทำของนายวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นบุคคลในรัฐบาล ได้กระทำการเกินอำนาจหน้าที่ โดยเข้าแทรกแซงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช หลายครั้งหลายหน ถือเป็นความผิดร้ายแรง ดังนั้น ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ

ประการที่สอง - การป้องกันอย่างถาวร มิให้ปัญหาดังกล่าวต้องเกิดขึ้นอีกต่อไปในภายภาคหน้า จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับปัจจุบัน เฉพาะในประเด็น การปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช ในทุกกรณี ให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น


จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการด้วย จักนำความสงบสุขร่มเย็นกลับคืนสู่สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้โดยเร็ว

ขอเจริญพร

ผู้แทนคณะสงฆ์ไทยภาคอีสานตอนบน


(พระครูวิมลบุญโสภณ)
เจ้าคณะตำบลนาคำไฮ วัดป่าบ้านกุดฉิม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

(พระอาจารย์เฉลิม ธัมมธโร)
วัดป่าภูแฝก อ.วังสะพุง จ.เลย

(พระอาจารย์วิริทธิ์พล จรณธัมโม)
วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

(พระอาจารย์โกศล จิตตปาโล)
วัดซำขามถ้ำยาว อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น

(พระอาจารย์นิมิต เขมปัญโญ)
วัดถ้ำยา อ.บ้านแพง จ.นครพนม

(พระอาจารย์ชวลิต ธัมมธโร)
วัดป่าบุญนภานุสรณ์ อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย

ข้อปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชกรณีแขกที่มาเข้าเฝ้าและการลงพระนามในหนังสือต่าง ๆ

การเข้าเฝ้ากรณีบุคคลทั่วไป

1. ให้คำนึงถึงพระสุขภาพของสมเด็จพระสังฆราชเป็นสำคัญ

2. ให้ผู้ที่เข้าเฝ้าแจ้งวัตถุประสงค์กรณีที่นอกเหนือจากการมาถวายสักการะพระองค์ท่านต่อเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังพิจารณาความเหมาะสม

3. การเข้าเฝ้าทุกครั้งให้มีพระภิกษุ แพทย์หรือพยาบาล เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง และลูกศิษย์อยู่ช่วยถวายงานทุกครั้ง

การเข้าเฝ้ากรณีคณะผู้ที่มาเข้าเฝ้าเป็นบุคคลที่สำคัญในสังคม

1. ให้มีหนังสือหรือโทรศัพท์ติดต่อประสานมายังสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พร้อมทั้งแจ้งวัตถุประสงค์ของการเข้าเฝ้า จำนวนและรายนามผู้ที่ขอเข้าเฝ้า

2. วัตถุประสงค์ที่มาเข้าเฝ้าต้องไม่เป็นเรื่องที่รบกวนพระทัยของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพระสุขภาพของพระองค์ท่านได้

3. การกำหนดเวลาเข้าเฝ้าให้เป็นการตัดสินใจร่วมกันของฝ่ายเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง

4. การเข้าเฝ้าทุกครั้งให้มีพระภิกษุ แพทย์หรือพยาบาล เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง และลูกศิษย์อยู่ช่วยถวายงานทุกครั้ง

การลงพระนามในหนังสือต่าง ๆ

1. ถวายการอ่านเนื้อความในหนังสือโดยละเอียดเพื่อให้สมเด็จพระสังฆราชทรงพิจารณา

2. ในการลงพระนามทุกครั้งต้องประกอบด้วยแพทย์ เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง ฝ่ายเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช (พระภิกษุหรือลูกศิษย์แล้วแต่กรณีที่เกี่ยวข้อง) อยู่เพื่อรับทราบและเป็นพยาน

3. เมื่อลงพระนามแล้ว ทุกฝ่ายต้องจดบันทึก ระบุเรื่องที่ลงพระนาม วันที่ เดือน ปี และเวลาพร้อมทั้งลงนามร่วมกันในสมุดจดบันทึก

โดยมีคำสั่งจาก ท่านรองจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง, นายวัชรกิติ วัชโรทัย ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายที่ประทับ, นายศุภชัย พันธุกานนท์ ผู้อำนวยการกองวัง ให้กำชับเจ้าหน้าที่เวรประจำพระองค์ ปฏิบัติโดยเคร่งครัดตามหนังสือฉบับนี้และทำบันทึกรายงาน โดยละเอียดและในการนี้นายกันฎ์ คำนวณศิลป์ เสมียนประจำพระองค์ ได้รับทราบถึงข้อปฏิบัติด้วย

(นายสมวงศ์ ณ ระนอง)
ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าฝ่ายตำรวจวัง
20 กรกฎาคม 2547

กำลังโหลดความคิดเห็น