•• การเมืองวันนี้ยังคงน่าสนใจอยู่ที่ว่า ก.ก.ต. จะมีกลยุทธ เอาสีข้างเข้าถู, เอาตัวรอด อย่างไรในกรณีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงในการพิจารณา วินิจฉัย ข้อกล่าวหา 5 ผู้สมัคร ตาม มาตรา 57 (3) ว่าด้วย “...ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ.” ที่เกิดจากการกระทำที่พอกล่าวได้ว่าเป็น ความบกพร่อง, ความผิดพลาด ของตนเอง 2 ครั้ง ดูเหมือนล่าสุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ จะอ้างว่าเคยมี มาตรฐานเดิม ของ ก.ก.ต.ชุดเก่า วินิจฉัยไว้แล้วว่าการกระทำที่เป็นปัญหานั้น ทำได้ในวันสมัครวันแรก เพราะพิจารณา เจตนา แล้วไม่ถือว่า เข้าข่ายมาตรา 57 (3) เรื่องนี้ให้ระวังไว้ว่าอาจ ฟ้อง ถึง คุณภาพของตนเอง เพราะ ก.ก.ต.ชุดเก่า ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ไม่ว่า มาตรา 57 (3)หรือ มาตราไหน กฎหมายที่เปิดโอกาสให้องค์กรอิสระองค์กรนี้เข้ามา จัดการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยตรง เพิ่งจะมีขึ้นใน ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน หรือพูดให้ถึงที่สุดโดยเงื่อนเวลาก็คือเพิ่งเกิดขึ้นในช่วง ต้นปี 2547 นี้เอง มาตรฐาน ที่จะต้อง ยึด, ไม่ยึด จึงเป็น มาตรฐานของตนเอง จะยึดหรือไม่ยึดไม่สำคัญเท่ากับ เหตุผลเชิงนิติปรัชญาในการอรรถาธิบาย เป็นสำคัญ

•• จำได้าว่าเคยมี มาตรฐาน เกิดขึ้นในช่วง มิถุนายน - กันยายน 2546 กับการเลือกตั้งท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล หรือ ส.ท. ที่ เทศบาลตำบลแม่สาย ผู้สมัครจำนวนหนึ่งในนาม กลุ่มแม่สายพัฒนา ต้องโทษ ใบแดง เพราะจัดให้มี การรื่นเริง, มหรสพ ในรูปแบบของ การฟ้อน และ ฯลฯ ในวันที่เดินทางไป สมัครรับเลือกตั้ง คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 แม้จะ ปฏิเสธ แต่ ก.ก.ต. วินิจฉัยว่า ผิด ตาม มาตรา 57 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 นี่เป็นมาตรฐานที่ ชัดเจน กว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับ ลีน่า จังจรรจา ด้วยซ้ำ
•• เพราะกรณีที่ เทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 นั้นเงื่อนไขด้าน เวลา, สถานที่ คือ วันสมัครรับเลือกตั้ง, สถานที่สมัครรับเลือกตั้ง แตกต่างกับกรณี ลีน่า จังจรรจาที่อยู่ในช่วง หาเสียงเลือกตั้ง, สถานที่สาธารณะทั่วไป น่ากลับไปพินิจดู เหตุผลเชิงนิติปรัชญา ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน จังเลย
•• ก็ต้องย้อนไปดู รายงานการพิจารณา ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ที่ประชุมกันเมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2546 ในการประชุมครั้งที่ 97/2546 ว่ามี รายละเอียด อย่างไรบ้าง
•• เสียดายที่ ณ นาทีเส้นตายส่งต้นฉบับชิ้นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ยังไม่มี รายละเอียดครบถ้วนบริบูรณ์ ของ รายงานการพิจารณา, บันทึกการประชุม เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2546 เพื่อพิจารณาคดี ไสลยนต์ ศรีสมุทร - และพวก ที่ใน วันเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้ง คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 อันเป็น วันแรกของการรับสมัคร เกิดมี ฟ้อน แม้ในที่สุดบางคนในกลุ่มนี้จะ ชนะเลือกตั้ง จากผลการลงคะแนนเมื่อ วันที่ 26 มิถุนายน 2546 แต่ก่อนที่จะ ประกาศผลอย่างเป็นทางการ (โดย ก.ก.ต.) มีผู้ ร้องเรียน ว่า ฟ้อน ที่ว่านั้น ผิด ตัวบทกฎหมาย มาตรา 57 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ผลการพิจารณา วินิจฉัย โดย ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ในวันดังกล่าวที่จะปรากฏในบันทึกการประชุมของการประชุม ครั้งที่ 97/2546 ปรากฏว่า มติ 5 : 0 เห็นพ้องต้องกันว่า ผิด จึงมีคำสั่ง แจกใบแดง ซึ่งก็คือ พิพากษาประหารชีวิตทางการเมือง และสั่งให้มี การเลือกตั้งใหม่ ขึ้นใน วันที่ 13 กันยายน 2546 เอกสารที่ “เซี่ยงเส้าหลง” มีอยู่ในมือเป็นเพียง คำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ลงนามโดย พล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และ โทรสาร จาก ปริญญา นาคฉัตรีย์ ถึง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย เท่านั้น
•• แม้เอกสารที่อยู่ในมือ “เซี่ยงเส้าหลง” จะ มากพอ, มัดแน่น แต่เนื่องจากใน คำสั่ง, หนังสือแจ้ง ระบุเพียง ผลการวินิจฉัย ไม่ได้ระบุถึง รายงานการพิจารณาโดยละเอียด จึงกล่าวในย่อหน้าก่อนว่า เสียดาย เพราะอะไรจะกล่าวถึงในย่อหน้าต่อไป
•• ก็เพราะ ข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี อาจจะ ต่างกัน เหตุเกิดที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 กับเหตุที่เกิดขึ้นที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อ วันที่ 26 กรกฎาคม 2547 อาจจะ ต่างกัน จึงนำมาซึ่ง คำวินิจฉัยที่ต่างกัน ก็เป็นไปได้
•• ก็ขึ้นอยู่กับ วิญญูชน, นักกฎหมาย ที่จะต้อง เปรียบเทียบ ในทุกด้าน ข้อเท็จจริง, หลักคิด และ นิติปรัชญา ที่จะปรากฏอยู่ใน รายงานคำวินิจฉัย, บันทึกการประชุม และ คำสั่ง ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ให้ดี
•• ถ้า รับฟังได้ ก็ แล้วกันไป แต่ถ้าแสดงให้เห็นถึงอาการ ตะแบง, เอาสีข้างเข้าถู หรือ ตีความกฎหมายอย่างพิลึกพิลั่น ก็เป็นภาระหน้าที่อันจำเป็นอย่างยิ่งของ ประชาชน ที่จะต้องเคลื่อนไหวผลักดันให้เริ่มต้นกระบวนการ Impeachment หรือนัยหนึ่ง แจกใบแดง แก่ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน กันได้
•• สองสามวันก่อนที่อุทิศพื้นที่ให้กับ 2 วาระพิเศษ เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. – ฮีโร่โอลิมปิค พอมีเวลาเหลือนิดหน่อย “เซี่ยงเส้าหลง” กลับไปพลิกอ่าน ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือที่รู้จักกันในนาม ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อันเป็น 1 ใน 22 ของ มรดกความทรงจำของโลก ตาม โครงการมรดกความทรงจำของโลก ที่ ยูเนสโก ได้ ลงมติเป็นเอกฉันท์ เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 28 – 30 สิงหาคม 2546 ที่ เมืองกแดนซค์ ประเทศโปแลนด์ พิจารณาในส่วนที่พอจะกล่าวได้ว่าเป็นบทบัญญัติว่าด้วย จริยธรรมของผู้ปกครอง นั้นข้อแรกที่เห็นชัดคือ ผู้ปกครองต้องมีความกล้าหาญ จากข้อความส่วนที่ว่า “...เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้าไพ่ฟ้าหน้าใส พ่อกูหนีญญ่าย พ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาส เมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน.” ข้อต่อ ๆ มาที่เห็นชัดไม่แพ้กันนักก็คือ ผู้ปกครองต้องมีความเมตตากรุณาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและราษฎร, ผู้ปกครองต้องมีความโอบอ้อมอารี, ผู้ปกครองต้องนับถือศาสนา-ทำนุบำรุงศาสนา, ผู้ปกครองต้องเสียสละ-แบ่งปันสิ่งของ, ผู้ปกครองต้องเป็นนักบริหาร, ผู้ปกครองต้องมีความคิดสร้างสรรค์, ผู้ปกครองต้องมีความรอบรู้ และที่สำคัญไม่แพ้ข้อไหน ๆ ก็คือ ผู้ปกครองต้องมีความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ญาติพี่น้อง และ ผู้ปกครองต้องมีความยุติธรรมต่อประชาชน วันไหนว่างกว่านี้จะยก เนื้อหา มา ชวนคิด-ชวนคุย ในแต่ละหัวข้อ
•• อันว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ค้นพบโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณ เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อ ปี 2376 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้ามงกุฎ และผนวชอยู่ ณ วัดราชาธิวาส เชื่อกันอย่าง เป็นทางการ ในกาลต่อมาว่าจารึกขึ้นเมื่อ ปี 1835 ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าพระองค์ทางประดิษฐ์ อักษรไทย (หรือ ลายสือไทย) ขึ้นเมื่อ ปี 1826 ดังคำในจารึกที่ว่า “...เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 สก ปีมแม พ่ขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในในแล่ใศ่ลายสืไทยนี๋ ลายสืไทนี๋ จึ่งมีเพื่อขุนผู๋น๋นนใศ่ไว๋.” และนี่เป็นเครื่องแสดงถึง อารยธรรม, วัฒนธรรม ของ ชนชาติไทย ที่สามารถนำมาอ้างอิงแก่ นักล่าอาณานิคมแห่งตะวันตก ที่เริ่ม แผ่อำนาจ เข้ามาในยุค รัชกาลที่ 4 ได้เป็นอย่างดี
•• ในเบื้องต้นนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง อ่าน, แปล ข้อความใน ศิลาจารึกหลักที่ 1 แม้จะ ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ได้ดำเนินการ เผยแพร่สู่ต่างประเทศ ในลักษณะที่เห็นว่า ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง กระบวนการ อ่าน, แปล กล่าวได้ว่ามา สมบูรณ์ ในรัชสมัย รัชกาลที่ 9 นี้เองโดยผู้ที่เป็น แกนนำหลัก คือ ฉ่ำ ทองคำวรรณ และ ประเสริฐ ณ นคร นั่นเอง
•• ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ประการหนึ่งคือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นหนึ่งใน เครื่องมือสำคัญ ในกระบวนการ รักษาเอกราชของสยามประเทศ, อำนวยความสุขแก่แผ่นดิน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยต่อ ๆ มาไว้ได้
•• ภูมิปัญญาในองค์พระมหากษัตริย์ไทยนั้นได้เล็งเห็น ภัย จาก ตะวันตก มาตั้งแต่รัชสมัย รัชกาลที่ 3 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงทุกวันนี้หากใครหยิบ ธนบัตร 500 บาท ขึ้นมาพลิกดูด้านหลังจะเห็น พระบรมฉายาลักษณ์ อยู่ กลาง และถ้าเพ่งสักนิดจะเห็น พระราชดำรัสองค์สำคัญ พิมพ์ไว้ด้วยตัวเล็ก ๆ ตรง มุมขวาล่าง อ่านยากสักหน่อย “...การงานสิ่งใดของเขาก็ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว.” พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เริ่มทอดพระเนตรเห็น ภัยจากตะวันตก บางที กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องพิจารณา พิมพ์ด้วยอักษรโตขึ้น เสียแล้วละกระมัง
•• ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ประการหนึ่งคือ จริยธรรมของผู้ปกครอง ที่ปรากฏใน ศิลาจารึกหลักที่ 1 รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นี้คือ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย ใครหน้าไหน ไม่ปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะอ้าง สิทธิ, อำนาจ ตามรัฐธรรมนูญฉบับไหน ๆ ก็ยากที่จะ อยู่เย็นเป็นสุขหรือกระทั่ง อยู่รอด ได้
•• ในอีกมุมหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียวกันนี้ทรงมี พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่พระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งให้ ทำดี, ทำในทางที่ถูกที่ควร, ไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ไว้ตอนหนึ่งว่า “...ตัวเจ้าจะตกเป็นข้าแผ่นดินใดๆ ก็จงอุตสาหะตั้งใจทำราชการแผ่นดินให้ดี อย่ามีความเกียจคร้านแชเชือนแลเป็นอย่างอื่นๆ บรรดาที่ไม่ควรทำ เจ้าอย่าทำ...” อาจจะประยุกต์เรียกว่า จริยธรรมของข้าแผ่นดิน ก็ได้ละกระมัง
•• พูดถึง ตะวันตก ก็ต้องพูดถึงหนังสือเล่มนี้ America Alone : The Neo-Conservatives and The Global Order เขียนโดน สเตฟาน ฮาลเพอร์ – โจนาธาน คลาร์ค ที่ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาสั่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในราคาเล่มละ 1,200 บาท ช่วงนี้ ลด 10 % เหลือ 1,080 บาท แต่เฉพาะ วันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2547 นี้ใครไปร่วมฟังการเสวนาเชิงแนะนำหนังสือเล่มนี้ในเวลา 13.30 – 15.00 น. ที่ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สยามสแควร์ จะซื้อได้ในราคาเพียง 999 บาท แถมยังได้ฟังมุมมองของนักวิชาการอาวุโสด้านการเมืองระหว่างประเทศและสหรัฐอเมริกาอย่าง รศ.ประทุมพร วัชเสถียร และ รศ.ดร.วิวัฒน์ มุ่งการดี ใครสนใจติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทรศัพท์ 0-2218-9893, 0-2218-9894, 0-2218-9895 ได้ยินมาว่าหนังสือเล่มเดียวกันนี้ที่ อังกฤษ ตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ปอนด์ หรือ 1,600 บาท ทีเดียว
•• เห็นการทำงานและผลงานของ ไอทีวี ในการยกขบวน ถ่ายทอดสด เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2547 ที่ติดตาม ขบวนแห่ฮีโร่นักกีฬาไทย จากถนนสุขุมวิทมาจนถึงทำเนียบรัฐบาลโดยใช้รถถ่ายทอดถึง 6 คัน แล้วก็ต้อง ปรบมือให้ เพราะเมื่อเทียบกับ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แล้วคนดู อิ่ม, เต็ม มากกว่ากันเยอะ

AMERICA ALONE….ฤาอเมริกาจะถูกโดดเดี่ยว !
มีอยู่บ่อย ๆ ที่หนังสือแนวรัฐศาสตร์วิพากษ์การเมืองขายดีอย่างเทน้ำเทท่า แต่ไม่บ่อยเลยที่ผู้เขียนหนังสือจะเป็นคนในพรรคการเมืองนั้น ๆ คงต้องมีแรงผลักดันกันอย่างมากที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น
AMERICA ALONE : THE NEO-CONSERVATIVES AND THE GLOBAL ORDER เขียนโดย Stefan Halper และ Jonathan Clarke
ผู้เขียนเป็นทั้งสื่อสารมวลชน, นักการทูต, นักการเมืองผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเป็นอย่างดี และเคยทำงานอยู่ในพรรครีพับลิกัน พรรคเดียวกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช
เนื้อหาในหนังสือ กล่าวถึงอิทธิพลของนโยบาย Neo-Conservative ว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับสหรัฐอเมริกา ทั้งด้านเศรษฐกิจการเงิน, ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความน่าเชื่อถือด้านการต่างประเทศ อย่างไรบ้าง
ผู้เขียนได้อธิบายถึงภูมิหลังที่ก่อให้เกิดกลียุคในสหรัฐอเมริกา ว่ามาจากตัวของประธานาธิบดี และนโยบาย Neo-Conservative โดยแท้ เนื่องจากแต่เดิมก่อนการเลือกตั้งนั้น เขาได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศโดยใช้แนวคิดแบบ Tradition Conservative ซึ่งอาศัยหลักในการเห็นพ้องต้องกันหรือหลักฉันทมติ (Consensus) ในการสร้างดุลแห่งอำนาจ แต่เมื่อมาดำรงตำแหน่งจริงกลับหันมาใช้นโยบาย Neo-Conservative ที่เน้นการเผชิญหน้าทางการทหาร รวมถึงการเข้าไปแทรกแซงเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของประเทศอื่น
ผู้เขียนยังได้อธิบายถึงภูมิหลังของการพัฒนาการแนวคิดของนโยบาย Neo-Conservative อย่างน่าสนใจยิ่ง
จะว่าไปแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นการชำแหละอุดมการณ์ของพวก Neo-Conservative โดยการพูดถึงพัฒนาการทางด้านความคิด, การโยงใยทางการเมือง และการขึ้นมามีอิทธิพล
เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ Cambridge Press ที่ขายดีมากในหลายประเทศ
•• จำได้าว่าเคยมี มาตรฐาน เกิดขึ้นในช่วง มิถุนายน - กันยายน 2546 กับการเลือกตั้งท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล หรือ ส.ท. ที่ เทศบาลตำบลแม่สาย ผู้สมัครจำนวนหนึ่งในนาม กลุ่มแม่สายพัฒนา ต้องโทษ ใบแดง เพราะจัดให้มี การรื่นเริง, มหรสพ ในรูปแบบของ การฟ้อน และ ฯลฯ ในวันที่เดินทางไป สมัครรับเลือกตั้ง คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 แม้จะ ปฏิเสธ แต่ ก.ก.ต. วินิจฉัยว่า ผิด ตาม มาตรา 57 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 นี่เป็นมาตรฐานที่ ชัดเจน กว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับ ลีน่า จังจรรจา ด้วยซ้ำ
•• เพราะกรณีที่ เทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 นั้นเงื่อนไขด้าน เวลา, สถานที่ คือ วันสมัครรับเลือกตั้ง, สถานที่สมัครรับเลือกตั้ง แตกต่างกับกรณี ลีน่า จังจรรจาที่อยู่ในช่วง หาเสียงเลือกตั้ง, สถานที่สาธารณะทั่วไป น่ากลับไปพินิจดู เหตุผลเชิงนิติปรัชญา ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน จังเลย
•• ก็ต้องย้อนไปดู รายงานการพิจารณา ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ที่ประชุมกันเมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2546 ในการประชุมครั้งที่ 97/2546 ว่ามี รายละเอียด อย่างไรบ้าง
•• เสียดายที่ ณ นาทีเส้นตายส่งต้นฉบับชิ้นนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ยังไม่มี รายละเอียดครบถ้วนบริบูรณ์ ของ รายงานการพิจารณา, บันทึกการประชุม เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2546 เพื่อพิจารณาคดี ไสลยนต์ ศรีสมุทร - และพวก ที่ใน วันเดินทางไปสมัครรับเลือกตั้ง คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 อันเป็น วันแรกของการรับสมัคร เกิดมี ฟ้อน แม้ในที่สุดบางคนในกลุ่มนี้จะ ชนะเลือกตั้ง จากผลการลงคะแนนเมื่อ วันที่ 26 มิถุนายน 2546 แต่ก่อนที่จะ ประกาศผลอย่างเป็นทางการ (โดย ก.ก.ต.) มีผู้ ร้องเรียน ว่า ฟ้อน ที่ว่านั้น ผิด ตัวบทกฎหมาย มาตรา 57 พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 ผลการพิจารณา วินิจฉัย โดย ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ในวันดังกล่าวที่จะปรากฏในบันทึกการประชุมของการประชุม ครั้งที่ 97/2546 ปรากฏว่า มติ 5 : 0 เห็นพ้องต้องกันว่า ผิด จึงมีคำสั่ง แจกใบแดง ซึ่งก็คือ พิพากษาประหารชีวิตทางการเมือง และสั่งให้มี การเลือกตั้งใหม่ ขึ้นใน วันที่ 13 กันยายน 2546 เอกสารที่ “เซี่ยงเส้าหลง” มีอยู่ในมือเป็นเพียง คำสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ลงนามโดย พล.อ.วาสนา เพิ่มลาภ และ โทรสาร จาก ปริญญา นาคฉัตรีย์ ถึง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย เท่านั้น
•• แม้เอกสารที่อยู่ในมือ “เซี่ยงเส้าหลง” จะ มากพอ, มัดแน่น แต่เนื่องจากใน คำสั่ง, หนังสือแจ้ง ระบุเพียง ผลการวินิจฉัย ไม่ได้ระบุถึง รายงานการพิจารณาโดยละเอียด จึงกล่าวในย่อหน้าก่อนว่า เสียดาย เพราะอะไรจะกล่าวถึงในย่อหน้าต่อไป
•• ก็เพราะ ข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี อาจจะ ต่างกัน เหตุเกิดที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2546 กับเหตุที่เกิดขึ้นที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อ วันที่ 26 กรกฎาคม 2547 อาจจะ ต่างกัน จึงนำมาซึ่ง คำวินิจฉัยที่ต่างกัน ก็เป็นไปได้
•• ก็ขึ้นอยู่กับ วิญญูชน, นักกฎหมาย ที่จะต้อง เปรียบเทียบ ในทุกด้าน ข้อเท็จจริง, หลักคิด และ นิติปรัชญา ที่จะปรากฏอยู่ใน รายงานคำวินิจฉัย, บันทึกการประชุม และ คำสั่ง ของ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน ให้ดี
•• ถ้า รับฟังได้ ก็ แล้วกันไป แต่ถ้าแสดงให้เห็นถึงอาการ ตะแบง, เอาสีข้างเข้าถู หรือ ตีความกฎหมายอย่างพิลึกพิลั่น ก็เป็นภาระหน้าที่อันจำเป็นอย่างยิ่งของ ประชาชน ที่จะต้องเคลื่อนไหวผลักดันให้เริ่มต้นกระบวนการ Impeachment หรือนัยหนึ่ง แจกใบแดง แก่ ก.ก.ต.ชุดปัจจุบัน กันได้
•• สองสามวันก่อนที่อุทิศพื้นที่ให้กับ 2 วาระพิเศษ เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. – ฮีโร่โอลิมปิค พอมีเวลาเหลือนิดหน่อย “เซี่ยงเส้าหลง” กลับไปพลิกอ่าน ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือที่รู้จักกันในนาม ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อันเป็น 1 ใน 22 ของ มรดกความทรงจำของโลก ตาม โครงการมรดกความทรงจำของโลก ที่ ยูเนสโก ได้ ลงมติเป็นเอกฉันท์ เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 28 – 30 สิงหาคม 2546 ที่ เมืองกแดนซค์ ประเทศโปแลนด์ พิจารณาในส่วนที่พอจะกล่าวได้ว่าเป็นบทบัญญัติว่าด้วย จริยธรรมของผู้ปกครอง นั้นข้อแรกที่เห็นชัดคือ ผู้ปกครองต้องมีความกล้าหาญ จากข้อความส่วนที่ว่า “...เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดมาท่เมืองตาก พ่อกูไปรบขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชนเกลื่อนเข้าไพ่ฟ้าหน้าใส พ่อกูหนีญญ่าย พ่ายจะแจ กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อมาส เมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อกู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน.” ข้อต่อ ๆ มาที่เห็นชัดไม่แพ้กันนักก็คือ ผู้ปกครองต้องมีความเมตตากรุณาต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินและราษฎร, ผู้ปกครองต้องมีความโอบอ้อมอารี, ผู้ปกครองต้องนับถือศาสนา-ทำนุบำรุงศาสนา, ผู้ปกครองต้องเสียสละ-แบ่งปันสิ่งของ, ผู้ปกครองต้องเป็นนักบริหาร, ผู้ปกครองต้องมีความคิดสร้างสรรค์, ผู้ปกครองต้องมีความรอบรู้ และที่สำคัญไม่แพ้ข้อไหน ๆ ก็คือ ผู้ปกครองต้องมีความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ญาติพี่น้อง และ ผู้ปกครองต้องมีความยุติธรรมต่อประชาชน วันไหนว่างกว่านี้จะยก เนื้อหา มา ชวนคิด-ชวนคุย ในแต่ละหัวข้อ
•• อันว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ค้นพบโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณ เมืองเก่าสุโขทัย เมื่อ ปี 2376 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้ามงกุฎ และผนวชอยู่ ณ วัดราชาธิวาส เชื่อกันอย่าง เป็นทางการ ในกาลต่อมาว่าจารึกขึ้นเมื่อ ปี 1835 ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าพระองค์ทางประดิษฐ์ อักษรไทย (หรือ ลายสือไทย) ขึ้นเมื่อ ปี 1826 ดังคำในจารึกที่ว่า “...เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี 1205 สก ปีมแม พ่ขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในในแล่ใศ่ลายสืไทยนี๋ ลายสืไทนี๋ จึ่งมีเพื่อขุนผู๋น๋นนใศ่ไว๋.” และนี่เป็นเครื่องแสดงถึง อารยธรรม, วัฒนธรรม ของ ชนชาติไทย ที่สามารถนำมาอ้างอิงแก่ นักล่าอาณานิคมแห่งตะวันตก ที่เริ่ม แผ่อำนาจ เข้ามาในยุค รัชกาลที่ 4 ได้เป็นอย่างดี
•• ในเบื้องต้นนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง อ่าน, แปล ข้อความใน ศิลาจารึกหลักที่ 1 แม้จะ ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ได้ดำเนินการ เผยแพร่สู่ต่างประเทศ ในลักษณะที่เห็นว่า ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง กระบวนการ อ่าน, แปล กล่าวได้ว่ามา สมบูรณ์ ในรัชสมัย รัชกาลที่ 9 นี้เองโดยผู้ที่เป็น แกนนำหลัก คือ ฉ่ำ ทองคำวรรณ และ ประเสริฐ ณ นคร นั่นเอง
•• ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ประการหนึ่งคือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นหนึ่งใน เครื่องมือสำคัญ ในกระบวนการ รักษาเอกราชของสยามประเทศ, อำนวยความสุขแก่แผ่นดิน ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัยต่อ ๆ มาไว้ได้
•• ภูมิปัญญาในองค์พระมหากษัตริย์ไทยนั้นได้เล็งเห็น ภัย จาก ตะวันตก มาตั้งแต่รัชสมัย รัชกาลที่ 3 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงทุกวันนี้หากใครหยิบ ธนบัตร 500 บาท ขึ้นมาพลิกดูด้านหลังจะเห็น พระบรมฉายาลักษณ์ อยู่ กลาง และถ้าเพ่งสักนิดจะเห็น พระราชดำรัสองค์สำคัญ พิมพ์ไว้ด้วยตัวเล็ก ๆ ตรง มุมขวาล่าง อ่านยากสักหน่อย “...การงานสิ่งใดของเขาก็ดี ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว.” พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เริ่มทอดพระเนตรเห็น ภัยจากตะวันตก บางที กระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องพิจารณา พิมพ์ด้วยอักษรโตขึ้น เสียแล้วละกระมัง
•• ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ประการหนึ่งคือ จริยธรรมของผู้ปกครอง ที่ปรากฏใน ศิลาจารึกหลักที่ 1 รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นี้คือ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย ใครหน้าไหน ไม่ปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะอ้าง สิทธิ, อำนาจ ตามรัฐธรรมนูญฉบับไหน ๆ ก็ยากที่จะ อยู่เย็นเป็นสุขหรือกระทั่ง อยู่รอด ได้
•• ในอีกมุมหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียวกันนี้ทรงมี พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่พระเจ้าลูกเธอพระองค์หนึ่งให้ ทำดี, ทำในทางที่ถูกที่ควร, ไม่ทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ไว้ตอนหนึ่งว่า “...ตัวเจ้าจะตกเป็นข้าแผ่นดินใดๆ ก็จงอุตสาหะตั้งใจทำราชการแผ่นดินให้ดี อย่ามีความเกียจคร้านแชเชือนแลเป็นอย่างอื่นๆ บรรดาที่ไม่ควรทำ เจ้าอย่าทำ...” อาจจะประยุกต์เรียกว่า จริยธรรมของข้าแผ่นดิน ก็ได้ละกระมัง
•• พูดถึง ตะวันตก ก็ต้องพูดถึงหนังสือเล่มนี้ America Alone : The Neo-Conservatives and The Global Order เขียนโดน สเตฟาน ฮาลเพอร์ – โจนาธาน คลาร์ค ที่ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาสั่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในราคาเล่มละ 1,200 บาท ช่วงนี้ ลด 10 % เหลือ 1,080 บาท แต่เฉพาะ วันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2547 นี้ใครไปร่วมฟังการเสวนาเชิงแนะนำหนังสือเล่มนี้ในเวลา 13.30 – 15.00 น. ที่ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สยามสแควร์ จะซื้อได้ในราคาเพียง 999 บาท แถมยังได้ฟังมุมมองของนักวิชาการอาวุโสด้านการเมืองระหว่างประเทศและสหรัฐอเมริกาอย่าง รศ.ประทุมพร วัชเสถียร และ รศ.ดร.วิวัฒน์ มุ่งการดี ใครสนใจติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทรศัพท์ 0-2218-9893, 0-2218-9894, 0-2218-9895 ได้ยินมาว่าหนังสือเล่มเดียวกันนี้ที่ อังกฤษ ตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ปอนด์ หรือ 1,600 บาท ทีเดียว
•• เห็นการทำงานและผลงานของ ไอทีวี ในการยกขบวน ถ่ายทอดสด เมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2547 ที่ติดตาม ขบวนแห่ฮีโร่นักกีฬาไทย จากถนนสุขุมวิทมาจนถึงทำเนียบรัฐบาลโดยใช้รถถ่ายทอดถึง 6 คัน แล้วก็ต้อง ปรบมือให้ เพราะเมื่อเทียบกับ โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แล้วคนดู อิ่ม, เต็ม มากกว่ากันเยอะ
AMERICA ALONE….ฤาอเมริกาจะถูกโดดเดี่ยว !
มีอยู่บ่อย ๆ ที่หนังสือแนวรัฐศาสตร์วิพากษ์การเมืองขายดีอย่างเทน้ำเทท่า แต่ไม่บ่อยเลยที่ผู้เขียนหนังสือจะเป็นคนในพรรคการเมืองนั้น ๆ คงต้องมีแรงผลักดันกันอย่างมากที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น
AMERICA ALONE : THE NEO-CONSERVATIVES AND THE GLOBAL ORDER เขียนโดย Stefan Halper และ Jonathan Clarke
ผู้เขียนเป็นทั้งสื่อสารมวลชน, นักการทูต, นักการเมืองผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศเป็นอย่างดี และเคยทำงานอยู่ในพรรครีพับลิกัน พรรคเดียวกับประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช
เนื้อหาในหนังสือ กล่าวถึงอิทธิพลของนโยบาย Neo-Conservative ว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับสหรัฐอเมริกา ทั้งด้านเศรษฐกิจการเงิน, ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความน่าเชื่อถือด้านการต่างประเทศ อย่างไรบ้าง
ผู้เขียนได้อธิบายถึงภูมิหลังที่ก่อให้เกิดกลียุคในสหรัฐอเมริกา ว่ามาจากตัวของประธานาธิบดี และนโยบาย Neo-Conservative โดยแท้ เนื่องจากแต่เดิมก่อนการเลือกตั้งนั้น เขาได้ให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายทางการต่างประเทศโดยใช้แนวคิดแบบ Tradition Conservative ซึ่งอาศัยหลักในการเห็นพ้องต้องกันหรือหลักฉันทมติ (Consensus) ในการสร้างดุลแห่งอำนาจ แต่เมื่อมาดำรงตำแหน่งจริงกลับหันมาใช้นโยบาย Neo-Conservative ที่เน้นการเผชิญหน้าทางการทหาร รวมถึงการเข้าไปแทรกแซงเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของประเทศอื่น
ผู้เขียนยังได้อธิบายถึงภูมิหลังของการพัฒนาการแนวคิดของนโยบาย Neo-Conservative อย่างน่าสนใจยิ่ง
จะว่าไปแล้ว หนังสือเล่มนี้เป็นการชำแหละอุดมการณ์ของพวก Neo-Conservative โดยการพูดถึงพัฒนาการทางด้านความคิด, การโยงใยทางการเมือง และการขึ้นมามีอิทธิพล
เป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ Cambridge Press ที่ขายดีมากในหลายประเทศ