•• ไม่อยากจะพูดก็ต้องพูดไม่อยากจะเขียนก็ต้องเขียน ภาพข่าวหน้า 1, ภาพข่าวโทรทัศน์ ของหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ที่ปรากฏออกมาเมื่อ ค่ำวันที่ 23 สิงหาคม 2547 (ในกรณีของ ข่าวโทรทัศน์) และ เช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2547 (ในกรณีของ ข่าวหนังสือพิมพ์) ไม่เป็น ผลดี แม้แต่น้อยต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงที่เผชิญหน้ากับ แนวร่วมต่อต้านระบอบทักษิณ แม้จะเป็นการไปตรวจราชการตามปกติในโครงการ ทัวร์นกขมิ้น – ค่ำไหนนอนนั่น แต่การต้อนรับที่ จังหวัดเพชรบุรี ด้วยการขึ้นคัทเอาท์ใหญ่เป็น ภาพนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ในเครื่องแบบเต็มยศสูงท่วมหัว เวลาปรากฏออกมาเป็น ภาพ แล้วออกจะดู ยิ่งใหญ่เกินไป จะไปเข้าทางขบวนการผู้ไม่ปรารถนาดีนำไป ขยายความ เรื่องแบบนี้หาก ปล่อยเลยตามเลย หรือเห็นว่า ไม่สำคัญ ระวังจะสะสมเป็น ดินพอกหางหมู และถูกนำไปตีความว่าตัวท่าน เห็นดีเห็นงาม ทางที่ดี “เซี่ยงเส้าหลง” ว่า กิตติพงษ์ สุนานันท์ – ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สมควร ถูกลงโทษ เพื่อ ไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่ข้าราช การประจำทั่วไป (ในกรณีที่เป็น ผลงานของข้าราชการประจำ) และไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมควร แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความไม่เห็นด้วยและขออย่าให้เกิดขึ้นอีก ขอแสดงความคิดเห็นมาด้วย ความปรารถนาดี แต่เพียงเท่านี้
•• นาทีที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ วันที่ 25 สิงหาคม 2547 เวลา 14.00 น. เหลือบมอง ภาพข่าวโทรทัศน์ ก็เห็น การต้อนรับด้วยคัทเอาท์ลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นที่ จังหวัดกระบี่ อีกครั้งหนึ่งแล้ว
•• มาพูดถึงกรณี ลีน่า จังจรรจา ตกเป็น เหยื่อ ของ ก.ก.ต. – คณะกรรมการการเลือกตั้ง กันดีกว่า
•• ต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานว่าขณะนี้ ลีน่า จังจรรจา ไม่ใช่เพียงแค่ ถูกถอนสิทธิจากการเป็นผู้สมัครรับเลือก ตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เท่านั้นแต่โทษที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่า ใบแดง นั้นเสมือนโดนโทษ ประหารชีวิตทางการเมือง บทลงโทษที่จะได้รับต่อไปนั้นมีทั้ง โทษปรับ, โทษจำ และที่สำคัญ โทษตัดสิทธิเลือกตั้งซึ่งมีความหมายเท่ากับว่า ถูกถอดออกจากความเป็นพลเมืองชั่วคราว จากการตัดสินด้วย อำนาจเด็ดขาด ของ คน 5 คน ที่ยังคงน่าสงสัยใน การวินิจฉัย, การตีความ สังคมไทยควรพิจารณากรณีนี้มากกว่า ลีน่า จังจรรจา คนนี้เป็นเพียง ผู้สมัครไม้ประดับ, ผู้สมัครที่สร้างสีสัน, ผู้สมัครที่ไม่มีทางชนะเลือกตั้ง รวมทั้ง ผู้สมัครติ๊งต๊อง ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรแต่ที่เธอเป็นและเธอมี สิทธิ แน่นอนคือ ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิเลือกตั้งติดตัว อันไม่สมควรจะถูก ถอดถอน อย่าง ง่ายเกินไป สำหรับ “เซี่ยงเส้าหลง” แล้วเห็นว่านี่คือ ตัวอย่างสุดวิเศษ ที่จะ ทบทวน ประเด็นปัญหาว่าด้วย อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของก.ก.ต. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจแจกใบแดง ที่ ไม่ควรมี มาตั้งแต่ต้น ลีน่า จังจรรจา จะทำผิด มาตรา 57 (3)แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 หรือไม่ต้องพิจารณากันที่ เจตนา ทั้งในส่วน เจตนารมณ์ของกฎหมาย และ เจตนาของผู้กระทำ ถ้าไม่มีความชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงพอก็ควร ยกประโยชน์ให้แก่ผู้กระทำ หรืออย่างมากก็แค่ ตักเตือน หรือ ลงโทษสถานเบา (ในกรณีนี้อาจจะเป็น โทษปรับ) ไม่ใช่ ประหารชีวิตทางการเมือง เพราะนี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เรียกว่า โกง, ซื้อเสียง หรือ ใช้เงินเกินกำหนด เรื่องแบบนี้อย่า อ้างแต่กฎหมาย เพราะมันเป็นเรื่องของ วิจารณญาณในการบังคับใช้กฎหมาย, วิจารณญาณในการใช้อำนาจ ต่างหาก
•• ยิ่งเป็น อำนาจเด็ดขาด ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็น ผู้ใช้อำนาจ ยิ่งจะต้อง ใช้อย่างมีวิจารณญาณสูงสุด จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่คงไว้ซึ่ง สติ, ปัญญา ไม่ใช่ผู้ที่ ตกเป็นทาสของอำนาจ จนเกิดอาการ บ้าอำนาจ ขึ้นมา
•• บทบัญญัติใน มาตรา 57 (3)ที่ห้าม “...ทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ.” ขืนตีความอย่าง ก.ก.ต. ที่ดำเนินการ ประหารชีวิตทางการเมือง แก่ ลีน่า จังจรรจา อีกหน่อยใคร เปิดเพลงงหาเสียง, แต่งเพลงหาเสียง ก็มีสิทธิ ผิด เช่นกัน
•• ปลงเสียเถอะ ลีน่า จังจรรจา คุณไม่ใช่ คนแรก, กรณีแรก ที่ตกเป็น เหยื่อ ของ การใช้กฎหมายอย่างหุ่นยนต์ – ปราศจากวิจารณญาณ อย่าว่าแต่ เต้นบนรถหาเสียง แม้แต่ ส่งพวงหรีดไปงานศพ ก็เป็น ข้อห้ามเด็ดขาด ครั้งหนึ่ง 3 – 4 ปีมาแล้ว นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ก็เคยต้อง ใบเหลือง มาแล้วเพราะพฤติกรรมที่ บริสุทธิ์ใจ, ขาดเจตนาทำผิดกฎหมาย คงจะจำกันได้
•• เรื่อง ก.ก.ต. นั้นถึงที่สุดแล้วคือ โจทย์ผิด อย่างน้อยก็กว่า 4 ปีมาแล้ว ก.ก.ต. โดยการสนับสนุนของ กระแสสังคม ตีความให้น้ำหนัก การปฏิรูปการเมือง อยู่ที่ การทำให้การเลือกตั้งสะอาดบริสุทธิ์ ภารกิจจึงถูกตีความ อย่างกว้าง จนลืมไปว่า กว้างเกินกำลัง การพร้อมใจกันแก้กฎหมายเลือกตั้งยก อำนาจเด็ดขาด ให้นั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง เกิดปัญหา ขอให้ช่วยกันหวนระลึกถึงมุมมองของ นักวิชาการกฎหมายมหาชน ที่เห็นว่า อำนาจเด็ดขาด เป็น อันตราย และคำว่า อิสระ, องค์กรอิสระ นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องเหมือนกับ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด, องค์กรเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หัวใจของการปฏิรูปการเมืองอยู่ที่ การมีส่วนร่วมของประชาชน ใน ทุกรูปแบบ ที่เป็นเชิง เนื้อหา, นโยบาย ไม่ใช่เฉพาะ การเลือกตั้งและที่สำคัญที่สุดก็คือ อำนาจเด็ดขาดของก.ก.ตนั้นเสมือน การประหารชีวิตทางการเมือง เป็นการ กระทบต่อสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน ควรกระทำด้วยกระบวนการที่สามารถ อำนวยความยุติธรรมสูงสุด ด้วยหลักการ ตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ ระหว่าง องค์กรอิสระ ตามแต่จะ ออกแบบ ภารกิจและอำนาจของ ก.ก.ต. เบื้องต้นก็คือ จัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อยปราศจาก การโกงในกระบวนการเลือกตั้ง การจัดการกับ การทุจริต น่าจะขึ้นอยู่กับ อีกกระบวนการหนึ่ง โดย ก.ก.ต. เป็นองค์กรอิสระหนึ่งที่จะต้อง ร่วมงาน กับองค์กรอิสระอื่น ๆ ตามแต่จะ ออกแบบ ต่างหาก
•• มุมมองของ กระแสสังคม เมื่อ 4 – 5 ปีก่อนโดยถึงที่สุดแล้วเห็นว่า การขจัดคนโกงออกจากรัฐสภา เป็น หัวใจ ของ การปฏิรูปการเมือง ดังนั้น อำนาจเด็ดขาดของก.ก.ต. จึง จำเป็นต้องมี แตกต่างกับมุมมองของ นักวิชาการกฎหมายมหาชน ยกตัวอย่างอย่าง คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เมื่อปี 2543 เคยทำหนังสือ ท้วงติงอำนาจก.ก.ต. เลยตกที่นั่งเป็น ผู้ขัดขวางขบวนปฏิรูปการเมือง ในสายตาของ กระแส ไปเสียฉิบ
•• ในทางหลักการนั้นไม่ว่า องค์กรอิสระ ใดก็ไม่อาจมี อำนาจเด็ดขาด แม้แต่ ศาลยุติธรรม ที่คติความเชื่อในบ้านเราถือว่าเป็นสุดยอดของ องค์กรอิสระ, สถาบันอิสระ เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ก็ต้องมี กรอบ ของ ความเป็นอิสระ เฉพาะ อิสระในการตัดสินคดีตามกฎหมาย หรือ Independence of the judiciary เพื่อคานกับ อำนาจบริหาร และ อำนาจนิติบัญญัติ แต่เพื่อป้องกันมิให้กรอบแห่งความเป็นอิสระนี้แปรไปเป็น อำนาจตามอำเภอใจ หรือ Arbitrary power อารยะประเทศทั้งหลายจึงวางระบบบริหารให้สามารถ ตรวจสอบได้ โดย มาตรการหลากหลาย แม้แต่ ศาลฎีกา ก็ยังต้องมี กรอบ อารยะประเทศออกแบบให้ศาลสูง มีอำนาจพิจารณาตัดสินปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้นไม่มีอำนาจตัดสินข้อเท็จจริง วิวัฒนาการของการ กรอบ, มาตรการ ต่าง ๆ ล้วนเป็นไปเพื่อ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้มากที่สุด
•• แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวแต่กรณี ก.ก.ต. กับ อำนาจเด็ดขาดในการแจกใบแดง นี้ทำให้ “เซี่ยงเส้าหลง” หวนนึกถึงวัตรปฏิบัติของ คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ 5 สถาบัน เมื่อช่วง เดือนตุลาคม 2535 ท้ายสมัย รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ครั้งนั้นพวกเขาร่วมแรงร่วมใจกัน คัดค้านพระราชกำหนดยุบก.ต. แม้จะเห็น ข้อบกพร่อง ใน สถาบันตุลาการ แต่ก็ยืนหยัดพิทักษ์หลักการ กฎหมายมหาชน มีข้อเขียนที่โด่งดังมากของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เรื่องหนึ่งชื่อ วิกฤตการณ์ก.ต. - คำตอบจากนักนิติศาสตร์ถึงนักรัฐศาสตร์ มีความบางตอนที่วิพากษ์แนวคิด มุ่งขจัดคนไม่ดีไม่ให้รับตำแหน่งโดยไม่เลือกวิธีการ ตอนหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ “...เมื่อตั้งโจทย์ผิด คือเอาการกีดกันคนขึ้นเป็นหลัก คำตอบที่ต้องหาวิถีทางทุกอย่างที่จะกีดกันคนไม่ดีไม่ให้ได้ตำแหน่ง แม้วิถีทางนั้นจะทำลายระบบโดยสิ้นเชิง และโดยถาวรตลอดไป จึงเป็นคำตอบที่ผิดตามไปด้วย และดูเหมือนจะผิดสาหัสสากรรจ์กว่าโจทย์เสียอีก.” โจทย์และคำตอบเช่นนี้ เผด็จการในอดีต เคยใช้อย่าง ได้ผล เพราะในที่สุดเพื่อขจัดคนคอร์รัปชั่นโกงกินให้ได้ผลก็ต้อง รัฐประหาร, เว้นวรรค แม้เมื่อครั้งล่าสุด 23 กุมภาพันธ์ 2534 แทนที่จะ ต่อต้าน อาจกล่าวได้ว่า กระแสสังคม ดูเหมือนจะ วางเฉย และ สนับสนุน ผู้เขียนข้อเขียนชิ้นนี้กล่าวในอีกตอนหนึ่งว่า “...ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยให้คนไม่ดีทำอะไรก็ได้ แต่ต้องการชี้ว่าคนไม่ดีก็อยู่ในตำแหน่งเพียงชั่วคราว และเรามีวิธีการควบคุมคนเช่นนี้ได้.” เวลาที่ผ่านมา 12 ปีกับ 2 เหตุการณ์ที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวแต่โดย นัย แล้วข้อเขียนของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ น่าจะทำให้เราเข้าใจปัญหาที่เกิดได้ไม่ยากถ้าอยากจะเข้าใจ
•• ในช่วง 4 – 5 ปีก่อนขณะกำลังมีการแก้ไขกฎหมาย ให้อำนาจเด็ดขาดก.ก.ต. นั้น นักวิชาการกฎหมายมหาชนส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะจาก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องจาก ก.ก.ต. และผู้คนทั่วไปที่พอจะกล่าวได้ว่าเป็น กระแส ในการแก้กฎหมาย ติดอาวุธอำนาจแจกใบแดงให้ก.ก.ต. ด้วยสาเหตุที่ว่า หน้าที่หลัก ขององค์กรมหาชนอิสระองค์กรนี้ควรจะมีเพียง จัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อย-ยุติธรรม ไม่ใช่มุ่งไปสู่ ขจัดการซื้อเสียงให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะนั่น ไม่มีทาง และควรจะเป็นเรื่องของ พัฒนาการทางสังคม แต่สุดท้ายก็ พ่ายกระแส ปีต่อ ๆ มามีประเด็นที่น่าสนใจจาก คณะทำงานเพื่อพิจารณาสรุปข้อมูลติดตามผลการเลือกตั้ง ของ คณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ที่ประกอบไปด้วย ปรีดี หิรัญพฤกษ์, สุชน ชาลีเครือ, ภิญญา ช่วยปลอด และ แก้วสรร อติโพธิ สรุป สาเหตุ 8 ประการ ที่ทำให้การเลือกตั้งปี 2544 สกปรก จนพอจะกล่าวได้ว่า โกง ดังนี้ ขานบัตรดีเป็นบัตรเสีย, ส่อเค้าการทุจริตในการนับคะแนน, บัตรเลือกตั้งปลอม, สับเปลี่ยนหีบบัตร, กรรมการประจำหน่วยและกรรมการนับคะแนนทุจริต, นับคะแนนยืดเยื้อ, ซื้อเสียงและแจกของและ ผู้สมัครกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นเรื่องของ การจัดการเลือกตั้ง ที่บกพร่องตรง กลไกก.ก.ต. หรือหากจะพูดจากอีกมุมหนึ่งก็คือกระบวนการซื้อเสียงพัฒนา รับกฎหมายใหม่ จาก ซื้อเสียง มาเป็น ซื้อกก.ต.ยกหน่วย-ยกเขต จน แก้วสรร อติโพธิ ที่เคยกล่าววาทะเด็ดเมื่อเดือนมิถุนายน 2543 ว่า “…จะจัดการคนชั่วได้เท่าใดก็ต้องยุติเท่านั้น ต้องเห็นความจริงกันให้ได้ว่า โลกที่ไม่มีคนชั่วนั้น ไม่มี, การเลือกตั้งที่แสนสะอาด ไม่มี และกระบวนการยุติธรรมกายสิทธิ์ที่จัดการคนผิดได้ทุกคนในโลก ก็ไม่มีอีกเช่นกัน.” ต้องมากล่าววาทะเด็ดอีกครั้งเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 อีกครั้งว่า “…เรื่องโกงประชาชนมันแสบกว่าซื้อประชาชน.” เพราะไม่เข้าใจว่าทำไม ก.ก.ต. ถึงได้ เพิกเฉย, เฉยเมย ไม่จัดการให้ เปิดหีบ-นับคะแนนใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นำไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ จะเพราะไม่ต้องการเปิด ความผิดพลาดของตนเอง หรือเพราะในหลายส่วนหลายพื้นที่มีลักษณะที่เรียกว่า Hidden Agenda กับ พรรคการเมืองเจ้าพื้นที่ กันแน่
•• จากเรื่อง ลีน่า จังจรรจา เผลอพูดยาวไปถึง ก.ก.ต. เพราะนี่ก็ใกล้จะได้เผชิญหน้ากับ ผลงานขององค์กรอิสระ กันอีกแล้ว
•• เมื่อวันก่อนเขียนถึง ชมรมคนรู้ทัน ที่เปิดตัวไปเมื่อ วันที่ 8 สิงหาคม 2547 โดยบอกไปว่าผู้ดำรงตำแหน่ง ประธานชมรม ที่เป็นนายทหารนอกราชการนาม พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม นั้น ไม่ธรรมดา นอกจากจะเป็น ลูกเขย ของ สุกรี โพธิรัตนังกูร อดีตผู้ยิ่งใหญ่ทางธุรกิจและธุรกิจการเมืองในอดีตเจ้าของสมญา ราชาสิ่งทอและเป็น สหายสนิท ของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ แล้วลูกสาวลูกชายของท่านทุกคนล้วนอยู่ใน สังคมชั้นสูง, สังคมผู้ดี ตัวท่านเองโดยส่วนตัว คุ้นเคย กับหลายบุคคลใน คณะรัฐมนตรี รวมทั้ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เรียกท่านว่า คุณพ่อ หลายคนสงสัยส่งเมล์เข้ามาถามไถ่รายละเอียด “เซี่ยงเส้าหลง” อยากตอบใจจะขาดแต่ก็ จนใจ เพราะเรื่องบางเรื่องในบ้านนี้เมืองนี้มี กรอบแห่งความพอเหมาะพอควร พูดมากเขียนมากก็จะอาจทำให้ ผู้ตกเป็นข่าว ถูกมองไปว่าเปิดเผยตนเอง เกินพอดี หรือบางคนอาจกล่าวหาไปไกลว่าเป็น การแอบอ้าง, การฉกฉวยโอกาส ก็ขอตอบแต่เพียงบางส่วนก็แล้วกันว่าคำว่า คุณพ่อ นั้นเป็นการเรียกขานตาม ลูกสาว ของท่านผู้นี้ที่ชื่อ วรจรรย์ โลจายะ (หรือเดิมก่อนแต่งงานเมื่อ วันที่ 27 มกราคม 2546 คือ วรจรรย์ เที่ยงธรรม) เจ้าของและกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทเกรส เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ Tigress และ/หรือ Sport Tigress สาวนักธุรกิจวัย 28 ผู้มีชื่อเล่นว่า ปอ คนนี้สมัยที่เหิรฟ้าไปเรียน LSE – London School of Economics and Political Sciences จัดได้ว่าเป็น ผู้กว้างขวาง เคยดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษ ในขณะที่เรียนก็เปิดร้านอาหารไทยชื่อ Por’s Thai Hut ไปด้วยทำให้ได้มีโอกาสทั้ง ต้อนรับผู้ใหญ่, รับใช้ผู้สูงศักดิ์บางท่าน อย่าง เต็มกำลัง, สม่ำเสมอ เพาะเป็น น้ำใจ ที่ ไม่มีวันลืมเลือน ทำให้หนึ่งในผู้ใหญ่ของแผ่นดินหรือผู้สูงศักดิ์เรียกขาน พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม ว่า คุณพ่อ ตาม วรจรรย์ โลจายะ ไปด้วย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาเรียกขานว่า คุณพ่อ ก็เป็นไปในลักษณะนี้เมื่อวงจรของชีวิตได้มีโอกาสเข้าไปรับใช้ ผู้ใหญ่ของแผ่นดินหรือผู้สูงศักดิ์ ท่านนั้น
•• สามีของ หลานตา อดีตไทคูนธุรกิจสิ่งทอไทย สุกรี โพธิรัตนังกูร นาม ปอ – วรจรรย์ เที่ยงธรรม โลจายะ คนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหากแต่เป็น ดร.ขุมทรัพย์ โลจายะ บุตรชาย ศ.นพ.สมชาติ โลจายะ - ม.ร.ว.ศศิจุฑาภา วรวรรณ เจ้าของสำนักกฎหมายชื่อดัง สำนักงานที่ปรึกษากฎหมายมีชัยไทยแลนด์ ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ ร่วมส่วนอยู่ด้วยนั่นเอง
•• จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็น ประวัติ, ผลงาน ของ ปอ – วรจรรย์ เที่ยงธรรม โลจายะ ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ดัง www.meechaithailand.com อยู่ช่วงหนึ่ง