xs
xsm
sm
md
lg

มติมหาเถรฯ 20 ก.ค. จุดเริ่มต้นของ"สังฆเภท"

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• ไปกันใหญ่แล้วเมื่อ รัฐบาล เลือกใช้ อำนาจของฝ่ายบริหาร ตรา พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 เปิดช่องให้ มหาเถรสมาคม สามารถดำเนินการ แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ได้ในวันนี้ วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 เป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารชนิดที่ เก็บลับ, ไม่มีการแถลงข่าว ได้อย่าง ยอดเยี่ยม มิหนำซ้ำยังเป็นการตรากฎหมายของฝ่ายบริหารที่ผ่าน การทำงานมวลชน ชนิด รอบด้าน ด้วยการเชิญ นักกฎหมายจากทุกสำนัก (รวมทั้งสำนัก ขาประจำ, ขาจร) เข้าไปรับทราบถึง ความจำเป็นในการตราพระราชกำหนด โดยแสดง ข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ที่เกี่ยวเนื่องกับ พระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช จนเกิดอาการ เห็นดีเห็นงาม กัน ถ้วนหน้า จนน่าเชื่อได้ว่าเมื่อผ่าน ปฏิบัติการขั้นสุดท้ายในมหาเถรสมาคมวันที่ 20 กรกฎาคม 2547 จะมีแต่ ภาพ ของความเห็นพ้องต้องกันเป็น ฉันทมติ ฆราวาสหรือพระที่คัดค้านก็กลายเป็นพวกดื้อรั้น, พวกมีวาระซ่อนเร้น จะไม่มี แถลงการณ์คัดค้าน-ท้วงติง จาก นักกฎหมายทุกสำนัก (รวมทั้ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ถึงประเด็นที่ว่า พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 นั้นมีความชอบด้วย รัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 218 แล้วหรือไม่ “...ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ .... การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้.” ไชโย

•• วันนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ทำได้ก็แต่เพียงขอให้ พุทธศาสนิกชน จดจำ วันที่ 20 กรกฎาคม 2547 ไว้ในฐานะ วันสำคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จุดเริ่มต้นของ สังฆเภท ที่เกิดจากการดำเนินงานขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการที่ชวนให้ พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่าเสมือนเป็น Constitutional Coup d’Eta รูปแบบหนึ่ง

•• ภาพใหญ่ล่าสุดของ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ที่ปรากฏอยู่บน หน้า 1 นสพ.โพสต์ทูเดย์ ฉบับเช้าวานนี้ วันที่ 19 กรกฎาคม 2547 แสดงให้เห็นถึง พระพักตร์ผ่องใส ไม่ชวนให้ พุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่ง เชื่อได้เลยว่าประมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์นี้ ประชวรจนไม่สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ชวนให้เชื่อได้เลยว่า ประชวรจนไม่สามารถลงพระนามในพระบัญชาแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนด้วยพระองค์เองได้ อย่างแน่นอน

•• แน่นอนว่าพระองค์ อาพาธ แต่ก็เสมอด้วย พระโรคชรา ประมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์ปัจจุบันยังคงเสด็จจากโรงพยาบาลมายัง วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อ ลงโบสถ์ – ทำพิธิปาฏิโมกข์ คิดประสาผู้รู้น้อยอย่าง “เซี่ยงเส้าหลง” พระภิกษุรูปใดก็ตามหากยังสามารถ ลงโบสถ์ – ทำพิธิปาฏิโมกข์ แม้จะ อาพาธ แต่ไม่น่าจะพิจารณาถึงขั้นว่า อาพาธจนเสียสมณสารูป ตามที่พยายาม เผยแพร่กันในทางลับ (โดย แก้ต่าง ว่าที่ไม่ เผยแพร่ในทางเปิด ก็เพื่อ ถวายพระเกียรติ) เลย

•• ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ พระอาการ ที่ “เซี่ยงเส้าหลง” เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน 2547 สืบเนื่องจากจะมีพิธีเปิด วัดเนนบุซซูซุ ใน ญี่ปุ่น วัดได้กราบทูลเชิญพระองค์ไปเป็น องค์ประธาน จึงทรงแต่งตั้งพระราชาคณะในวัดบวรนิเวศวิหาร 2 รูป พระธรรมวราจารย์, พระราชเมธาภรณ์ และ พระเลขานุการส่วนพระองค์ อีก 1 รูป พระสะท้าน วรรณพิมพ์ เป็น ผู้แทนพระองค์ รวมทั้งฆราวาสอีก 1 คน มนตรี ตัณฑวิรัตน์ ท่านผู้นี้เป็นผู้ เตรียมร่างพระลิขิตฉบับภาษาอังกฤษ โดยนำถวายเพื่อ ทอดพระเนตร-ลงพระนาม การณ์ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์ว่าเมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรแล้ว ตรวจพบคำผิด คือคำที่ควรจะเป็น Message (= สาร) พิมพ์ผิดไปเป็น Massage (= นวด) จึง ทรงชี้ที่คำผิด พร้อม ๆ กับ ทรงพระสรวล เป็นเหตุให้คณะผู้จัดทำพระลิขิต พิมพ์พระลิขิตขึ้นใหม่ เพื่อทรง ทอดพระเนตรอีกครั้ง ในที่สุดพระองค์ก็ ทรงลงพระนาม นี่เป็นข้อมูลใกล้เคียงกับที่ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้ยินมาจาก แพทย์อาวุโสท่านหนึ่ง ที่ ถวายการรักษา มานานวันว่ามีหลายกรณีที่พระองค์ ทรงนิ่ง, ไม่ทรงตรัส หรือเมื่อมีการเสนอหนังสือเพื่อลงพระนาม-ประทับตราก็มีบ้างบางครั้งที่ ทรงใช้พระหัตถ์ปิดตรงตำแหน่งที่จะลงตรา อันเป็นเสมือน สัญลักษณ์ แสดงให้เห็นว่า ไม่ทรงเห็นด้วยกับกรณีนั้น ๆ แพทย์อาวุโสที่ร่ำเรียนมาทางวิทยาการสมัยใหม่จนได้รับยกย่องทางโลกเป็นถึง ศาสตราจารย์ ท่านเดียวกันนี้บอกว่าท่าน เชื่อโดยส่วนตัว จาก ศรัทธา – ที่ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ว่าประมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์นี้ ทรงมีพระสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ปัญหาอยู่ที่เหล่าฆราวาสที่เป็น คนของรัฐบาล เข้าไปกราบทูลเรื่องราวต่าง ๆ ต่อพระองค์นั้น ขาดความอดทน, ไม่อดทนเพียงพอ รวมทั้งบางคน ตั้งธงข้อสรุปไว้ล่วงหน้าในใจ ต่างหาก

•• สมควรกล่าวด้วยความคารวะ ณ ที่นี้ว่า สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ประมุขคณะสงฆ์ไทยพระองค์นี้ทรงมี ภูมิธรรมสูง เป็นเสมือนพลังหลักสำคัญทางฝ่าย ศาสนจักร, พุทธจักร ให้กับ รัชสมัยพระมหากษัตริย์ผู้มีภูมิธรรมอันประเสริฐรัชกาลปัจจุบัน ทรงเป็น พระพี่เลี้ยงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช เมื่อ ปี 2499 การจะปฏิบัติใด ๆ ต่อพระองค์ท่านมิใช่เพียงแต่จะอ้างว่า ปฏิบัติตามกฎหมาย (ที่ก็ยังมี ข้อถกเถียง จนต้อง แก้ไข ด้วยวิธีการ ตราพระราชกำหนด) หากแต่จะต้องกระทำด้วย ความเคารพ, ความยำเกรงในพระเกียรติที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาด้วยพระราชอำนาจสมบูรณ์ตามกฎหมายเก่าก่อนปี 2535 เมื่อปี 2532 และ ไม่ควรก้าวล่วงโดยถือความชราภาพหรืออาการประชวร อันจะเป็นผลให้เกิด กรณีพิพาท ที่จะทำให้เข้าใจไปได้แม้แต่น้อยว่า เป็นการยึดอำนาจการบริหารพุทธจักร เพราะนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ สังฆเภท ในที่สุด

•• แถลงการณ์ของคณะสงฆ์วัดป่าฉบับแรกเมื่อ วันที่ 28 มกราคม 2547 เวลา 13.00 น. ที่ วัดป่ากกสะทอน อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี กล่าวไว้ชัดเจนพอสรุปด้วยภาษาของ “เซี่ยงเส้าหลง” ได้ว่า “...ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันได้รับการสถาปนาโดยพระราชอำนาจเต็มในพระมหากษัตริย์ หากจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ก็ควรนำเรื่องแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนั้นเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบเสียก่อน.” น่าเสียดายที่ รัฐบาล เลือกทางอื่นเสียแล้ว

•• และก็ตกที่นั่งเช่นเดียวกับ การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในทางตัวบทกฎหมายลายลักษณ์อักษร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสมือนเป็น ผู้รับผิดชอบสูงสุด, ผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่ง ตรงกันข้ามกับทางปฏิบัติ ในกรณีนี้ก็เช่นกันแม้จะ เพิ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เอาเข้าจริงทั้ง แถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระอาการประชวรของสมเด็จพระสังฆราช วันที่ 15 กรกฎาคม 2547 และ พระราชกำหนดแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ – มาตรา 10 ทั้ง 2 กรณีรองนายกรัฐมนตรีเฒ่าคนนี้บอกว่า ไม่รู้เรื่อง โดยสิ้นเชิง

•• ย้อนอดีตไปสมัยที่ พล.ต.ท.อุดม เจริญ ยังอยู่ใน งานข่าวกรอง-สันติบาล ก็เสมือนอยู่ ขั้วตรงข้าม กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อยู่พักใหญ่ก่อนจะ เซอร์ไพร้ซ์ มา ช่วยราชการด้านข่าว ที่ กระทรวงมหาดไทย สมัยผู้เฒ่าคนนี้เป็น มท. 1 เมื่อกว่า 10 ปีก่อนโน้น

•• มี กลิ่นคอร์รัปชั่น โชยมาจาก การท่าเรือแห่งประเทศไทย เข้าจมูก “เซี่ยงเส้าหลง” พรุ่งนี้เนื้อที่มีมากกว่านี้จะมาเล่าให้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และหัวหน้าคณะรัฐบาลผู้เพิ่งประกาศ จัดการขั้นเด็ดขาดกับคอร์รัปชั่น อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับรู้ไว้ดำเนินการ – โปรดติดตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น